Gift“หนาว”
ผมมองท้องฟ้าแล้วบ่นกับตัวเองเพราะปีนี้กรุงเทพหนาวนานกว่าทุกปีที่ผ่านมา โลกมันชักแปรปรวนขึ้นทุกวัน หนาวอยู่ดีๆฝนก็ตกซะงั้น ไอ้ผมมันก็คนกระหม่อมบางขี้หนาวเลยน้ำมูกยืดต้อนรับปีใหม่ แถมไอ้พี่ขรรค์ก็ใจดำปล่อยให้แฟนทั้งคนโหนรถเมล์ไปมหาลัยเองได้ลงคอ
คนป่วยนะคนป่วย! ผมสบถในใจยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดรอรถเมล์ จะว่าไปเมื่อก่อนก็โหนรถเมล์ไปมหาลัยอยู่ทุกวันไม่เคยจะเป็นจะตาย แต่เดี๋ยวนี้หงุดหงิดครับ ก็พี่ขรรค์นั่นล่ะทำผมเสียนิสัย กอปรกับบ้านผมเป็นทางผ่านไปมหาลัย พี่แกเลยอาสามารับมาส่งจนผมเคยตัว แต่ผมก็ไม่ได้งี่เง่าถ้าวันไหนไม่มารับ ด้วยเขาก็ต้องมีธุระปะปังส่วนตัว แต่ที่หงุดหงิดอยู่นี่เพราะพักนี้พี่ขรรค์หายตัวไปบ่อยๆติดต่อได้บ้างไม่ได้บ้าง ถามก็บอกว่าต้องช่วยที่บ้านทำงาน ผมก็ไม่ได้อยากทำตัวงี่เง่าพูดไม่รู้เรื่องหรอกนะครับ แต่เพราะคราวนี้หายไปสามวันสามคืน เลยขอโมโหหน่อยเถอะ
หึ!อยากรู้นักว่าที่บ้านทำกิจการอะไร จะปีหม่งปีใหม่แล้วไม่หยุดพักผ่อนกันรึไง
ผมเม้นปากเข้าหากันเมื่อเห็นรถเมล์สายที่จะไปลิบๆ จำไว้เลย! เพราะน้อยใจเลยบ่นคนไม่เห็นตัวไปตามเรื่องตามราวเตรียมตัวขึ้นรถเมล์ หากไม่เห็นรถเก๋งสีเงินคันคุ้นตาวิ่งแซงรถเมล์เข้ามาจอดเทียบท่าและลดกระจกลง
“พี่มารับ ขึ้นมาสิวาลย์”
“...พี่ขรรค์” อาการดีใจจนออกนอกหน้าทำให้ผมต้องปรามตัวเอง เราโกรธอยู่ๆ อะไรฟระ แค่เห็นหน้าไอ้ที่เคืองๆอยู่แทบจะปลิวหาย ใจอ่อนเกินไปแล้วไอ้วาลย์ ว่าแล้วผมก็ทำคอแข็งเชิดหน้าแสร้งไม่สนใจ
หางตาผมแอบเห็นพี่ขรรค์หน้าสลดลง ทิฐิที่มีอยู่น้อยนิดก็พังทลายไม่เหลือเศษซาก แต่ไอ้ครั้นจะหายงอนกันง่ายๆก็เสียเชิง เลยยืนนิ่งเงียบให้อีกฝ่ายง้อ และพี่ขรรค์ก็ไม่ปล่อยให้ผมยืนเอ๋ออยู่นานนัก
“วาลย์ ขึ้นมาก่อนเถอะ แล้วค่อยๆคุยกันนะ” พี่ขรรค์มองผมด้วยสายตาลุแก่โทษ “วาลย์...” น้ำเสียงทุ้มนุ่มแบบที่ผมชอบเอ่ยง้องอน ผมเลยก้มตัวเข้าไปนั่งในรถพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่ถ้าพี่เขาไม่ง้อทำไงเนี่ย แต่เสียงถอนหายใจของผมกลับทำให้พี่ขรรค์เข้าใจผิด คิดว่าผมโกรธมากมาย พอรถออกตัวได้ก็รีบละมือจากคันเกียร์ออโต้มากุมมือผมแล้วบีบเบาๆทันที
“พี่ขอโทษนะวาลย์ ที่บ้านพี่ช่วงนี้งานยุ่งจริงๆ”
“วาลย์ก็ไม่ได้ว่าอะไร ที่บ้านพี่มีกิจการใหญ่โตนี่ครับ” น่าน...ประชดเข้าไปให้มันขาดใจตายกันข้างหนึ่งเลย “แค่โทรบอกกันบ้างไม่ใช่เงียบหายจนผมเกือบลืมว่ามีแฟนกับเขาอยู่เหมือนกัน” อันนี้ย้ำให้จำ กันลืมครับ
“วาลย์...” น้ำเสียงครางอ่อนใจทำให้ผมรู้สึกสะใจพิลึก “วาลย์ พี่จะพยายาม...พยายามให้ดีกว่านี้” ไม่มีประชดกลับมาซักคำพร้อมกับมือใหญ่หากเรียวสวยบีบกระชับมือผมแน่น และนั่นก็ทำให้ผมพยักหน้ารับ คลายใบหน้าบูดบึ้งที่ต้องแสร้งทำแทบตาย
“ครับ” ไม่รู้ว่าผมยอมรับง่ายไปหรือเปล่า พี่ขรรค์จึงเหลือบมองคล้ายไม่แน่ใจ
“เหงาเหรอวาลย์”
“เปล่าซักหน่อย เพื่อนออกเยอะแยะ”
“เยอะมันก็ดีอยู่หรอก แต่อย่าพากันไปเล่นพิเรนทร์ๆกันอีกเลย พี่เป็นห่วงนะ”
“ครับ” ผมตอบยานคางด้วยไม่อยากฟังพี่ขรรค์บ่นเรื่องทัวร์ลองของคราวก่อนอีก “แต่ถึงจะเล่นแผลงๆยังไงไอ้กริชมันก็ไม่ทิ้งวาลย์หรอก ปากดีไปงั้นล่ะ”
ไม่รู้พี่ขรรค์คิดอะไรอยู่ ดวงตาถึงได้ดูดุ๊ดุ
“เจ้านั่นน่ะเหรอ” พี่ขรรค์เม้นปากสวยๆของตัวเองครู่หนึ่งแล้วคลายออก “เมื่อก่อนเห็นไม่ค่อยชอบหน้า สนิทกันแล้วเหรอ”
“เปล่า ก็ยังไม่ชอบหน้ามันเหมือนเดิมล่ะ”
“แต่ก็เห็นไปไหนด้วยกันบ่อยๆ”
“ก็มันชวน”
“ก็ไป?”
“อืม ถึงมันจะปากหมาไปหน่อยแต่ก็เพื่อนเยอะ เลยสนุกดีจนลืมนึกถึงหน้ามันทุกทีล่ะ”
ผมเล่าไปหัวเราะไปไม่ได้สังเกตว่าพี่ขรรค์เงียบลง “นี่เห็นว่าจะชวนกันไปทะเลซักวันสองวัน วาลย์ก็ว่าจะไปอยู่”
“ค้างคืนเลยเหรอ”
“อืม ไปทั้งทีก็ต้องค้างคืนสิ จะได้ก๊งเหล้าให้ฉ่ำปอด พี่ขรรค์จะไปด้วยกันมั้ยล่ะ”
“วันไหนล่ะ ถ้าไม่ติดอะไรพี่ก็ไปด้วย”
“ยังไม่ได้กำหนดหรอก”
พี่ขรรค์พยักหน้าแต่หัวคิ้วขมวดแทบชนกัน หรือจริงๆแล้วไม่อยากไปแต่ขัดไม่ได้หรือเปล่า ผมนึกแหยงเวลาพี่แกไม่สบอารมณ์ ตาแกงี้ดุยังกะเสือเลยรีบออกตัว
“ถ้าพี่ไม่สะดวก วาลย์ไปคนเดียวได้ เพื่อนกันทั้งนั้น” ขณะที่พูดอย่างเกรงใจออกไปก็รู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าปลาบแปลบจากร่างสูงข้างๆ ทำให้ผมถึงกับขนลุกขนพอง แม้จะไม่ค่อยเข้าใจก็ตาม
“เอาเถอะ ไว้ถ้าพี่ไปด้วยไม่ได้ พี่ก็ไม่ปล่อยให้เราไปลำพังหรอก”
คำพูดเหมือนเป็นห่วงแต่ทำเอาผมหน้ากระตุก เห็นเป็นเด็กสามขวบไปได้ ผมบ่นในใจพลางแอบเหล่มองคนรัก
จะพูดไปที่ได้เจอพี่ขรรค์ก็เพราะรู้จักกับไอ้กริชที่เรียนห้องเดียวกันชวนไปดูบาสเก็ตบอล แล้วเพราะเชียร์กันคนละข้างเลยได้พนันขันต่อกับมัน งานนี้ผมชนะได้ตังค์มันมากินหนมหลายพันเลยเผื่อแผ่ซื้อน้ำซื้อขนมไปขอบคุณนักกีฬาที่ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่ แต่ก็รับของกินกันหน้าชื่นตาบาน ส่วนพี่ขรรค์ก็มาเชียร์เพื่อนเขาที่เป็นนักกีฬาเลยได้รู้จักกัน และเลยเถิดมาถึงป่านนี้ล่ะ
“ไงก็ได้ครับ แต่เย็นนี้กลับด้วยกันมั้ย จะได้แวะกินข้าวที่บ้าน แม่บอกว่าจะทำหมูทอดกระเทียมพริกไทยของโปรดพี่ด้วย”
“เอาสิ เรียนเสร็จแล้วโทรหานะ เดี๋ยวพี่ออกมารับ วันนี้พี่เลิกก่อน”
“ครับ” ผมรับคำพอดีกับที่ถึงมหาวิทยาลัย
“หายโกรธพี่แล้วนะ” พี่ขรรค์ยิ้มกว้างเมื่อจอดรถบนตึกจอดรถเสร็จเรียบร้อย
“ไม่ได้โกรธซะหน่อย” ผมแสร้งเมินหน้าหนี ก็ไม่ได้โกรธจริงๆนี่ แค่งอนเฉยๆ
“งั้น...” เสียงเงียบหายไปพร้อมกับเงาร่างสูงเข้ามาใกล้จนต้องหันกลับไปมองฝั่งคนขับ สัมผัสอุ่นๆบริเวณแก้มทำเอาผมหน้าร้อน เขินครับ แม้จะคบกันมาได้พักใหญ่แต่ก็ยังไม่ได้เกินเลยไปถึงขั้นร่วมเตียง กอดๆหอมๆกันอยู่แค่นี้ล่ะครับ ไม่ได้จะเล่นตัวแต่ไม่อยากใจเร็วด่วนได้ และพี่ขรรค์ก็ไม่ได้ทำตัวรุ่มร่าม ผมเลยสบายใจเวลาอยู่ใกล้
แรงกดของริมฝีปากหนักขึ้นจนผมเบี่ยงหน้าหนี ก็นี่มันในมหาลัยนี่ครับ ถ้าเป็นที่อื่นพี่ขรรค์ไม่ได้ทำแบบนี้หรอก เพราะผมจะกระชากปากแดงๆนั่นมาจูบเสียเอง หมั่นเขี้ยวพี่แกครับ คนอะไร ทำอะไรก็ดูดีไปหมด ไม่นับเวลาทำลูกกะตาดุๆใส่ผมนะ
“ถ้าอยากไปเที่ยวไว้รอพี่พาไปมั้ย ไปกันสองคนไม่วุ่นวายด้วย อยากไปไหนล่ะ”
ดวงตาสีเข้มส่องประกายวิบวับจนผมรู้สึกอุ่นไปทั่วหน้า “ไม่เอาหรอก”
“ทำไมล่ะ ไม่อยากไปกับพี่เหรอ”
“....อยาก...แต่ไม่อยากอยู่กับพี่สองคน” ไม่ใช่กลัวพี่ปล้ำผมนะ แต่ผมกลัวอดใจไม่อยู่ลงมือปล้ำพี่ซะเอง ก็ทั้งเนื้อทั้งตัวพี่อะน่ากินเป็นบ้าเลย ผมลอบมองลงไปในคอเสื้อ เห็นแผงอกแน่นตึงร่ำไร ถึงกับลอบกลืนน้ำลายตัวเอง...
“กลัวพี่ปล้ำเหรอ”
ผมถูกพี่ขรรค์หัวเราะใส่พลางขยี้หัวจนผมยุ่ง แต่ไม่กล้าพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา ได้แต่เงียบปล่อยให้พี่แกคิดเองไปคนเดียว ขืนรู้เป็นถูกมะเหง็กน่ะสิ เลยเสหาเรื่องอื่นขึ้นมากลบเกลื่อนความลามกของตัวเอง
“ยังไม่เคยพาเข้าบ้านแล้วจะพาลูกเขาไปนอนค้างอ้างแรมข้างนอก ฝันไปเถอะ”
“ก็รอให้วาลย์คุ้นเคยกับพี่เยอะๆอยู่เนี่ย แล้วจะพาไปบ้าน”
“พูดเข้าข้างตัวเอง เมื่อไรก็ไม่รู้ มากินข้าวบ้านวาลย์เป็นกระสอบๆแล้วมั้ง แต่ไม่เห็นเคยพาไปเลี้ยงข้าวบ้านตัวเองคืนบ้างเลย...หรือพ่อแม่พี่ยอมรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้” ผมทำหน้าหวั่นวิตกจนพี่ขรรค์ต้องดึงเข้าไปกอดเบาๆ
“ไม่ใช่หรอก อย่าคิดมาก พ่อแม่พี่ใจดีจะตาย ไว้โอกาสดีๆพี่ก็จะพาไป ไม่เคยหวง แถมอยากให้ไปด้วยซ้ำ แต่จังหวะไม่อำนวยยุ่งๆกันน่ะ”
“เหรอ วาลย์นึกว่าพี่ซ่อนใครไว้ซะอีก ถึงไม่ค่อยอยากให้ไป”
“หึๆ ใครน่ะไม่มี แต่อย่างอื่นซ่อนไว้เยอะ”
“อะไร?”
“ไม่บอก”
“พี่ขรรค์...”
“เอาเถอะๆ ไว้จะพาไปนะ”
“อืม” ผมพยักหน้า “ว่าแต่บ้านพี่ทำอะไรครับ ทำไมดูยุ่งจัง” เพราะผมถามเรื่องส่วนตัวเกินไปหรือเปล่าพี่ขรรค์เลยนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนตอบ
“จะพูดไงดีล่ะ...พ่อพี่เป็นนักพยากรณ์ เลยมีคนเข้าคนออกที่บ้านเยอะ ต้องอยู่ช่วยรับแขกไม่ก็คอยหยิบนู้นหยิบนี้ให้พ่อตลอด” ผมมองหน้าพี่ขรรค์อย่างอึ้งๆ “ตกใจรึเปล่าที่บ้านพี่เป็นแบบนี้”
ผมพยักหน้าก่อนถามเหมือนยังงง “นักพยากรณ์นี่คือหมอดูใช่มั้ยพี่”
“ก็ทำนองนั้นล่ะ”
“โฮ้...งั้นแบบนี้พี่ก็ได้ดูหมอฟรีตลอดเลยสิ ผมก็อยากดูบ้างจัง” ผมคงทำหน้าตาตื่นดีใจจนออกนอกหน้า พี่ขรรค์ถึงได้หลุดขำพรืดออกมา
“ก็นะ”
“แล้วพ่อพี่ชื่ออะไร หรือมีสมญาอะไรที่รู้จักกันบ้างหรือเปล่าครับ” ผมจะได้อาศัยความใกล้ชิดขอดูฟรี ค่าดูของหมอดูดังๆแพงจนล้มทั้งยืนล่ะครับ ผมเตรียมถูมือรอ แต่พี่ขรรค์ส่ายหน้าแทนคำตอบทำเอาผมเสียศูนย์
“แต่ถึงไม่ดังก็แม่นใช่มั้ยล่ะ ไว้ดูให้วาลย์บ้างได้เปล่า” ผมพูดอย่างเขินๆ
“ไม่ต้องถึงพ่อหรอก แค่พี่ก็ดูได้ ดูให้มั้ยล่ะ”
“เอาๆ” ผมรีบยื่นมือยื่นหน้าไปให้พี่ขรรค์ดู
มือผมถูกอีกฝ่ายจับพิจารณาอยู่ซักพักแล้วเงยขึ้นสบตา ใบหน้าเอาการเอางานทำให้ผมคอยด้วยใจระทึก ใครๆก็อยากรู้ดวงรู้อนาคตดีๆของตัวเองกันทั้งนั้นล่ะครับ ไอ้ที่ไม่ดีๆไม่ค่อยอยากจะรู้กันหรอก
“รูปมือสวยแบบนี้ คู่จะต้องหน้าตาดี ฉลาด แล้วก็อยู่ใกล้ๆแถวนี้ด้วย”
“อะ...พี่ขรรค์!” ผมโวยวายใส่พี่แก ล้อเล่นไม่เป็นเวลา คนอุตส่าห์จริงจัง
พี่ขรรค์ยิ้มล้อเลียนแถมแอบหอมแก้มผมอีกหนึ่งฟอดใหญ่ “พี่ล้อเล่นน่ะ พี่ไม่เก่งเท่าพ่อหรอก”
“ถึงว่า ตัวพี่มีกลิ่นคล้ายกลิ่นของธูปของเทียนอยู่ตลอดเวลา”
“ระ...เหรอ ก็ต้องบูชาครูบาอาจารย์อยู่ทุกวัน บ้านพี่เลยอวลไปด้วยกลิ่นพวกนี้ล่ะ เหม็นเหรอ” พี่ขรรค์ยกแขนเสื้อขึ้นมาดม
ผมสายหน้าแทนคำตอบแล้วหยิบหนังสือเรียนตัดบทสนทนา เพราะขืนอ้อยอิ่งอยู่นาน เดี๋ยวได้มีอนาจารกลางลานจอดรถ พี่แกเล่นทำหน้าน่ารักน่าฟัดชะมัด
“แล้วตอนเย็นห้ามเบี้ยวด้วย” ลงจากรถแล้วผมหันหลังไปสำทับพี่ขรรค์ก่อนแยกย้ายกันไปเรียน
คล้อยหลังพี่ขรรค์ได้ไม่เท่าไรผมกลับรู้สึกเสียวสันหลังวาบพิกล เกิดความคิดบ้าๆขึ้นมาในสมองซะเฉยๆ กับเรื่องที่คุยกันเมื่อครู่นี้ ดีนะที่พี่ขรรค์ไม่บอกว่าคุณพ่อเป็นหมอผีเข้าทรง! คนกลัวผีขึ้นสมองอย่างผมจะหัวหงอกก่อนเวลาอันควรก็คราวนี้ล่ะครับ
ผมเดินขึ้นตึกเรียนแล้วรี่เข้าไปหากลุ่มเพื่อนที่นั่งรอเรียนอยู่แล้ว และในนั้นก็มีไอ้กริชอยู่ด้วย มันมองมาทางผม ผมก็มองมันกลับ ไม่รู้มันมีอะไรในใจ ตั้งแต่ทัวร์ลองของคราวนั้นดูมันสงบปากสงบคำขึ้นเยอะ สงสัยมันจะเสียเซฟ์ลเพราะแหกปากร้องเสียงดังพอๆกับผม สมน้ำหน้ามัน ปากดี อวดดี ก็เจอดีแบบนี้ล่ะ
แล้วจนถึงตอนนี้ผมยังไม่กล้าถามมันเลยว่า ไอ้กองผ้าที่ผมล้มไปเจอวันนั้นมันมีอะไรอยู่ข้างในหรือเปล่า ถึงได้เหม็นนรกแตกแบบนั้น
แต่ถ้าการไม่รู้ทำให้เราสบายอกสบายใจ ผมก็เลือกที่จะไม่รู้ครับ รู้แล้วผวาไม่เอาดีกว่า
คิดไปวันนั้นพี่ขรรค์ของผมเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมายามที่ชาติต้องการพอดิบพอดี โอ๊ย!แฟนใครฟระ ทั้งหล่อทั้งเก่ง แถมเอางานเอาการ ที่สำคัญ!ไม่กลัวผี เป็นที่พึ่งอย่างดีให้กับคนอย่างผม
อะไรมันจะสมพงษ์ขนาดนี้ไม่มีอีกแล้ว เป็นโชควาสนาของผมโดยแท้ แต่อาจเป็นกรรมของพี่ขรรค์ ลองคิดดูสิ การเรียนผมก็งั้นๆ ฐานะก็ปานกลางค่อนมาทางต่ำ นิสัยก็อย่างที่เห็น แถมกินเหล้าติดเกมส์อีกด้วย ตรงข้ามกับพี่เขาทุกอย่าง แล้วจะไม่ให้รักให้หลงได้ยังไงล่ะครับ
ระหว่างเรียนเห็นไอ้กริชมันแอบชำเลืองมองผมบ่อยๆจนชักรำคาญ พอออกจากห้องเรียนได้เลยเดินเข้าไปถามมัน
“มึงมีอะไรกับกูเปล่าวะ มองอยู่ได้ กูขนลุกหมด” ระหว่างนั้นเพื่อนในกลุ่มเดินลงบันไดไปเรื่อยๆแล้ว เหลือแต่ผมกับมัน
“ขนลุกทำเชี้ยไร กูมองแค่นี้ทำเป็นสยิว ถ้าโดนมากกว่านี้จะเป็นไงวะ”
“เวรละ น่าเกลียดอย่างมึงใครจะเอา”
“ปากเหรอนั่น” ไอ้กริชถลึงตาใส่ผมที่ว่ามันขี้เหร่ แม้ความจริงมันจะพอไปวัดไปวาได้ก็ตามในสายตาผม แต่มันก็ล้วงมือไปค้นของบางอย่างในกระเป๋าเป้ออกมายื่นให้ผม เป็นกล่องสี่เหลี่ยมลูกเต๋าสูงประมาณคืบ ห่อด้วยกระดาษห่อของขวัญสีน้ำเงินไม่มีลวดลาย ดูท่ามันจะห่อเองด้วยเพราะเห็นร่องรอยยับๆเหมือนห่อแล้วรื้อออกมาห่อใหม่หลายครั้ง
“ปากอย่างนี้มันน่าให้จริงๆ” มันประชดเบาๆแต่ผมได้ยินเลยย่นจมูกใส่
“อะไรของมึง”
“แหกตาดูไม่รู้รึไง ของขวัญ! กูให้” มันพูดขวานผ่าซากมากครับ
“เออ! เห็นว่าเป็นของขวัญ แต่ให้กูทำไม”
“ปีใหม่ไง โง่เปล่ามึงเนี่ย”
“ห๋า! นี่มึงให้ของขวัญกูเหรอวะ เดี๋ยวขอกูออกไปดูท้องฟ้าก่อนนะ”
“ดูทำไม มันเกี่ยวกับของขวัญกูตรงไหน”
“ก็กูสงสัยว่าวันนี้ฝนคงจะตกห่าใหญ่ซะล่ะมั้ง ร้อยวันพันปีมีแต่ชวนไปกินเหล้า มาแปลกนะมึง”
มันโกรธครับ หน้าตาแดงเถือก ผมเลยยิ่งหัวเราะมันหนักขึ้นไปอีก
“ไอ้เวร ปีนี้กูจะไปเชียงใหม่กับที่บ้าน อยู่ก๊งเหล้ารับปีใหม่ด้วยไม่ได้เลยให้ของแทน กูให้ทุกคนล่ะ มึงจะเอาไม่เอา ไอ้ปอดแหก!”
นั่นไง ปากพาเจริญลำเลิกบุญคุณแล้วไง
“ไม่เอา!”
“โห...ก็ดี! กูจะได้เอาไว้ใช้เอง น้ำหอมยี่ห้อนี้แพงจะตาย”
ผมปรายตามองมันอย่างหมั่นไส้ “ลงทุนให้ของแพงกูเชียว!”
“เปล่า ของฟรี กูซื้อให้คนอื่นจนตังค์หมดแล้วลืมมึงคนเดียว กูเลยไปเอาของที่น้าซื้อมาให้ใส่กล่องให้มึง แต่ยังไม่ได้ใช้นะโว้ย”
พูดไม่ออกครับ ว่าสมควรขอบคุณมันด้วยตีนดีหรือเปล่า เลยตั้งท่าจะเดินหนีมัน ว่าแล้ว...พูดกับหมา หมาเลียปาก แถมเสียเวลาอีกด้วย
“ดี...กูจะได้ใช้ น้ำหอมนอกหิ้วมาจากอังกฤษ ใส่ทีหอมไปสามบ้านแปดบ้าน สาวติดตรึม”
อาการหูผึ่งตามด้วยอาการงกกำเริบ รีบหันขวับยื่นมือไปจกของจากมือมันอย่างรวดเร็ว ด้วยกลัวมันจะหาว่าดูถูกน้ำใจ เลยต้องรับไว้ เดี๋ยวมันน้อยใจเก็บใส่เป้ก็อดเลย!
“เอาก็ได้” ผมทำหน้ารับมาอย่างเสียไม่ได้ แต่ก็เห็นมันยิ้ม โดยไม่รู้เลยว่าที่จริงแล้วเพื่อนๆได้กันแค่ปากกาลูกลื่นคนละด้าม
เสียงเตือนข้อความเข้าทางโทรศัพท์ดังขึ้น ทำให้ผมไม่ติดใจอะไรกับคนตรงหน้าอีก ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอ่านข้อความ
จากพี่ขรรค์ บอกว่าขอกลับก่อน มีธุระ “อีกแล้ว! สัญญาไม่เป็นสัญญาเลย” ผมกดปิดมือถืออย่างขัดใจ นี่ถ้าไม่อายไอ้กริชจะถอดแบตเตอรี่ออกมาด้วยเลย “ไม่อยากเจอก็ไม่ต้องเจอ!” น้อยใจครับ เมื่อเช้ารับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ ยังจะมาหนีหายตัวไปอีก แล้วจะมีแฟนไว้ทำไมล่ะถ้าชีวิตนี้เราอยู่ได้ด้วยตัวของเราเอง จะทุกข์จะสุขจะเหงา เราก็สามารถผ่านมันไปได้ด้วยตัวเอง ถึงจะดูดีเป็นคนเข้มแข็งแต่เป็นแบบนี้ อยู่คนเดียวไม่ดีกว่าหรือไง
ผมหันหน้าไปมองไอ้กริช มันก็ได้วะ อยู่ตรงนี้พอดี
“ปะ กูเลี้ยงเหล้าตอบแทนให้ของกู ถึงจะไม่ตั้งใจให้กูก็เหอะ” ผมแขวะแต่มันยังไม่สำนึก พยักหน้ายิ้มเห็นฟันสามสิบสองซี่ ดีใจล่ะสิมึงได้กินเหล้าฟรี แต่ถ้าริสั่งชีวาส กูหนีกลับจริงๆด้วย แพง!
คืนนั้นทั้งคืนผมปิดโทรศัพท์อยู่กินเหล้ากับไอ้กริชสองต่อสองในสถานบันเทิงของวัยรุ่น กินไปมองผู้หญิงเต้นไป มีความสุขครับ ถึงผมจะมีแฟนเป็นผู้ชายแต่ผมก็ยังชอบผู้หญิงนะ แค่ผมมีแฟนเป็นผู้ชายเท่านั้นเอง งงมั้ย?
ช่างมันเถอะ อย่าไปคิด แค่นี้ผมก็รันทดแฟนทอดทิ้งจะแย่แล้ว ดีที่มีไอ้กริชอยู่เป็นเพื่อนแก้เซ็ง ผมบ่นกับตัวเองโดยไม่รู้เลยว่าทำให้อีกคนหนึ่งที่อยู่ไกลหงุดหงิดจนหน้าดำหน้าเขียวไปหลายรอบ เนื่องจากโทรหาแล้วไม่ติด และจากสาเหตุนี้เองที่ทำให้ผมได้รับของขวัญมาอีกหนึ่งชิ้นโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามันแฝงไว้ด้วยอะไรบางอย่าง
ผมกลับมาบ้านได้ยังไงก็พอจำได้ เมื่อคืนดื่มไปเยอะจนเกลี้ยงกระเป๋า และสุดท้ายไอ้กริชก็ต้องช่วยออกค่าเหล้าแถมพามาส่งถึงบ้านตอนตีสามนี่เอง กะว่าจะโดดเรียนนอนสลบอยู่บนเตียงไปทั้งวันถ้าไม่มีอะไรอุ่นๆมาสัมผัสบนใบหน้าจนรำคาญ
“อือ...รำคาญจริง” ผมปัดออกแต่มือกลับถูกกุมไว้ ทำให้ผมรีบลืมตาตื่น
“พี่ขรรค์!” แสงสว่างยามเช้าทำให้ต้องหยีตามองใบหน้าคมคายลอยเด่นอยู่ตรงหน้าอย่างแปลกใจ “พี่เข้ามาได้ยังไง” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยถามในขณะที่มืออีกฝ่ายยังคงลูบแก้มและจับจ้องใบหน้าผมนิ่งก่อนจะค่อยๆคลายยิ้ม ซ่อนอะไรบางอย่างไว้หลังแววตารักใคร่
ไอ้อาการเมื่อครู่นี่มันหมายความว่ายังไง ขนลุกซู่เลย
“พี่มารับวาลย์ไปมหาลัย แต่แม่บอกว่ายังไม่ตื่นเพราะเพิ่งกลับมาใกล้สว่างนี่เอง”
คำพูดเรียบเรื่อยแต่ทำเอาผมหดขาหดแขนซ่อนใต้ผ้าห่ม ด้วยรู้สึกถึงรังสีอำมหิตของฝ่ายตรงข้ามจนแทบส่างเมาเป็นปลิดทิ้ง
“ไปกินเหล้ากันมาเหรอ กลิ่นคลุ้งเชียว น้ำท่าก็ไม่อาบด้วย”
ผมพยักหน้ารับ รู้สึกผิดนิดๆทั้งที่ไม่ควร ก็พี่ผิดคำพูดก่อนนี่ แค่ปิดโทรศัพท์หนีเที่ยวแค่นี้ไม่ต้องมาโมโหกันเลย ผมปลอบใจตัวเองด้วยรู้สึกระแวงคนตรงหน้าพิกล
“สนุกมั้ย” พี่ถาม ผมก็พยักหน้าตอบอีกครั้ง มองพี่ขรรค์คลึงมือผมเล่น “ดีแล้วล่ะ เพราะเมื่อวานพี่ถูกที่บ้านตามให้กลับไปช่วยงานเลยผิดนัด พี่ขอโทษนะ” พี่ขรรค์ยกมือขึ้นปัดเส้นผมที่ปรกหน้าผากให้
“พี่...พี่ขรรค์ไม่โกรธที่วาลย์ปิดโทรศัพท์เหรอ” เจอไม้นวมนี่เข้าไป ผมเลยตกหลุมเผลอสารภาพผิดซะงั้น
“จะโกรธทำไม พี่ผิดเอง แต่เป็นห่วงที่ติดต่อวาลย์ไม่ได้ กลัวจะเป็นอะไรที่พี่ไม่รู้” คราวนี้เจอหมัดฮุกหมัดนี้เข้าไปอีก ผมเลยยอมศิโรราบ ก็พี่แกเล่นทำหน้าสำนึกผิดประกอบ เห็นแล้วน่าปลอบน่ากดอย่างยิ่ง
ผมขอโทษพี่ขรรค์เบาๆแล้วดึงหน้าสวยๆนั้นลงมาจูบจนหนำใจไปเลยครับ ซักพักพี่ขรรค์ทำจมูกฟุดฟิดไม่รู้ว่าเหม็นที่ผมยังไม่ได้อาบน้ำหรือเปล่า
“วาลย์เปลี่ยนน้ำหอมใหม่เหรอ ไม่คุ้นเลย”
“คะ...ครับ” โล่งอกไป นึกว่าเหม็นขี้เต่า ดีนะที่เมื่อคืนยอมให้ไอ้กริชลองน้ำหอมบนเสื้อ มันคงกลัวว่าผมจะเอาไปเพราะงกแล้วไม่ใช้ เลยให้ผมแกะออกมาลองฉีดให้ดูเป็นบุญตาของมัน
พอแกะได้มันก็คว้าหมับเอาไปถือแล้วฉีดใส่แถวหน้าอกกับซอกคอผมทันที พร้อมกับพัดไปพัดมาให้น้ำหอมฟุ้งกระจาย
“อะ...ลองดมดิ หอมเปล่า” ไหนๆมันก็ประเคนให้ถึงตัวแล้ว ผมเลยยกเสื้อขึ้นมาดม
“อืม...หอม น้ามึงจมูกดีว่ะ”
“เหรอ...งั้นกูขอ...”
“เฮ้ย!” ผมรีบยึดขวดน้ำหอมในมือมันคืนมา แล้วยัดใส่กระเป๋าเป้ กลัวมันเอาคืนเพราะกลิ่นนี้หอมจริงๆครับ “ให้แล้วห้ามเอาคืนเว้ย”
“เปล่า ไอ้งก! กูแค่จะลองดมดู กูยังไม่ได้กลิ่นเลย”
อารมณ์กำลังเมาๆเลยมองมันยื่นหน้าเข้ามาดมแถวซอกคอ พอดีกับที่โต๊ะข้างๆกระแทกเข้ามาจนตัวไอ้กริชเข้ามาปะทะตัวผม ฝั่งจมูกลงไปดมกลิ่นเสียเต็มปอด ผมขำพรืดกับความเซ่อซ่าของมัน
“ไง...ตัวกูหอมมั้ย”
“เจ็บ...ยังมาปากดีอีก” มันถอนหน้าออกไปแล้วยกมือขึ้นถูจมูกตัวเองที่กระแทกเข้ากับไหปลาร้าผม สงสัยเพราะเจ็บมันเลยหลบตาผมวูบวาบ
แล้วผมกับมันก็ก๊งเหล้ากันต่อจนได้เวลาลากสังขารกลับมานอนบ้านนี่ล่ะ
“หอมมั้ย”
“อืม...ก็หอมดี” พี่ขรรค์ก้มหน้าลงมาประทับจูบบนริมฝีปากผมอีกครั้งแล้วผละออกห่างเล็กน้อย
“ไอ้กริชให้มา เมื่อคืนเลยลองฉีดดมกัน” ผมบอกที่มาที่ไปให้รู้ แต่ดูถ้าพี่ขรรค์จะไม่ชอบให้ใครหน้าไหนมาเกาะแกะแฟนตัวเอง เห็นได้จากหัวคิ้วพี่แกแทบผูกกันได้
“คนนั้น” อีกแล้วเหรอ เหมือนผมได้ยินประโยคนี้ต่อท้ายด้วยแต่ฟังไม่ถนัดเลยผ่านไป
“ใช่ ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยล่ะ”
“อืม...ให้ในโอกาสอะไรเหรอ” พี่ขรรค์ถามไปพลางปดกระดุมเสื้อผมไป
“อ๋อ ปีนี้มันบอกว่าต้องไปเชียงใหม่กับครอบครัว ไม่ได้อยู่กินเหล้าฉลองปีใหม่ เลยซื้อของแจกเพื่อนๆแทน” ผมมองสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่างของอีกฝ่าย ก่อนพี่ขรรค์จะถอดเสื้อคลุ้งกลิ่นน้ำหอมโยนลงตะกร้าผ้าสำเร็จ
“พี่ก็มีอะไรมาให้วาลย์เป็นของขวัญปีใหม่เหมือนกันนะ”
ผมตาเป็นประกาย ของฟรีชอบครับ “ให้อะไรวาลย์? แต่วาลย์ไม่ได้เตรียมอะไรให้พี่เลยนะ”
“พี่อยากให้ ไม่ใช่อยากให้วาลย์ต้องมาให้คืนพี่ซะหน่อย”
ผมพยักหน้ารับ แบมือขอดูของขวัญจากพี่ขรรค์ทันที
ของที่ถูกหย่อนลงในมือผมคือ สร้อยคอทองคำประมาณหนึ่งบาทพร้อมเครื่องรางทรงกระบอกหุ่มด้วยทองแกะสลักลวดลายสวยงามจนผมต้องเอามาพิจารณาใกล้ๆ
“ข้างในเป็นพระหรือตะกรุดครับ” ผมค้อมศีรษะให้พี่ขรรค์สวมลงคอ
“เป็นตะกรุด พี่ได้มาจากพ่ออีกที จะได้ช่วยคุ้มครองวาลย์”
ปลื้มมั้ยล่ะครับ มีแฟนแสนดีคอยเป็นห่วงเป็นใยอยู่ตลอดเวลา ไอ้ที่ว่าไว้ก่อนหน้านี้เป็นอันยกเลิกนะครับ
ผมปลาบปลื้มกับของขวัญที่สูงค่าและมากด้วยคุณค่าอยู่พักหนึ่ง พี่ขรรค์ก็หยิบขวดแก้วใสผนึกหนาแน่นขนาดย่อม ภายในมีแท่งไม้สีขาวกับสีดำอยู่ในน้ำมันวางลงบนมืออีกชิ้นหนึ่ง
“อะไรครับ?”
“สร้อยนั่นพี่ไว้ให้ติดตัว แต่อันนี้พี่ให้เอาไว้ที่บ้านนะ เป็นของศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน”
ผมมองของศักดิ์สิทธิ์รูปร่างแปลกตาอย่างแปลกใจตงิดๆ แต่เป็นของที่คนรักให้ย่อมต้องดีอยู่แล้ว จึงได้แต่รับไว้ตาปริบๆโดยไม่รู้อะไรเลย
“แล้ววาลย์ต้องทำยังไงด้วยมั้ย หรือไว้บูชาในห้องพระทั่วๆไป”
“ก็ทั่วไปล่ะ หรือวาลย์จะบูชาไว้ในห้องนี้ก็ได้ แต่ต้องไว้ที่สูงๆนะ”
“งั้นวาลย์จะไว้ในห้องนี้ล่ะ เวลาเห็นจะได้นึกถึงคนให้”
พี่ขรรค์หยิกแก้มผมเบาๆพลางยิ้ม “ของศักดิ์สิทธิ์เพราะฉะนั้นวาลย์ต้องถวายของคาวของหวานอย่าได้ขาดนะ อุตส่าห์ได้มาบูชาแล้วก็ตั้งใจทำรู้มั้ย”
“ครับ” ผมรับไว้ด้วยความยินดี เพราะอย่างน้อยของศักดิ์สิทธิ์ก็กันผีให้กับคนขี้กลัวอย่างผมได้
ไม่รู้ว่าผมหูแววไปรึเปล่าถึงได้ยินเสียงเหมือนพี่ขรรค์ถอนใจคล้ายโล่งอก นัยน์ตาพี่แกก็แปลกกว่าทุกที หรือเพราะวันนี้ยังเมาค้างเลยรู้สึกว่าหูแววบ่อยจัง
“แล้ววันนี้จะไม่ไปเรียนแล้วใช่มั้ย”
“อืม... ถ้าพี่ขรรค์สัญญาว่าจะไม่เบี้ยวข้าวเย็นวันนี้อีก รอซัก10นาที เดี๋ยวออกไปพร้อมกันเลย”
“โอเค วันนี้ไม่เบี้ยวแล้ว”
ผมรีบสลัดผ้าห่มออกจากตัว วางขวดแก้วใสบนหัวเตียงอย่างทนุถนอม ก่อนวิ่งปรู๊ดเข้าห้องน้ำ
วันนี้ได้ของขวัญเพียบ อาการงอนเลยหายเกลี้ยง ผมก้มมองสร้อยคออย่างอิ่มเอิ่บใจ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ผมมีเพื่อนใหม่มาอยู่ด้วยในห้องถึงสองตนแล้ว...
ชีวิตผมคงเปลี่ยนไปจากนี้แน่นอน!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ขรรค์มองคนรักหายเข้าไปในห้องน้ำสักครู่ก่อนหันมองไปทางหัวเตียง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม
“พ่อฝากพี่เขาด้วยนะรัก-ยม ดูเเลพี่เขาหน่อย ถ้าเกิดอะไรขึ้นรีบไปบอกพ่อนะ แล้วจะเอาขนมมาให้เยอะๆ”
“ครับ”
เสียงเด็กสอดประสานรับคำขึ้นพร้อมเพรียง ทำให้ขรรค์ยิ้มพอใจและเลยมองไปทางห้องน้ำอีกครั้ง
คราวนี้ถึงจะปิดมือถือก็ไปไม่พ้นหรอก เจ้าตัวดี!จบตอน

พี่ขรรค์เเอบน่ากลัว สงสารวาลย์ กลัวอะไรได้ยั่งงั้น กร๊ากกกกกกก