ผมเสียงอ่อนลงจนแทบไม่ได้ยิน แต่ยังพยายามเค้นสมองตั้งสติคิด ตอนนี้ผมนึกอยากให้มีอะไรมาตบหน้าผมแรงๆซักที จะได้รวบรวมสติที่กำลังกระจัดกระจายกลับตัว
และไม่ต้องขอนานครับ เพราะผมหน้าหงายเหมือนมีใครมากระชากเส้นผมจากด้านหลังอย่างแรง
ผมทะลึ่งพรวดลุกขึ้นจ้องหน้าพี่ตรีเขม็ง ดวงตาคู่คมที่ผมชมว่าสวยกลับดูเยือกเย็นน่าหวาดหวั่นขึ้นมาในใจ ผมรีบเอื้อมไปคว้ากระเป๋า หากถูกพี่ตรียึดแขนทั้งสองข้างไว้ พร้อมทั้งรั้งให้นั่งลงดังเดิม
โอม พาลี...
เสียงเย็นพึมพำข้างหู ผมเริ่มจมลึกลงไปในดวงตาสีดำสนิทลึกล้ำ ไม่ต่างกับคนจมน้ำที่พยายามตะเกียกตะกายขึ้นฝั่ง ในสมองฉายภาพคนตรงหน้ายกยิ้มมุมปากเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผมกลับได้ยินเสียงอื้ออึงดังรอบตัว
เสียงเหมือนเด็กทะเลาะกัน
‘พ่อเล็กตั้งสติสิ โอ๊ย!’
‘สมน้ำหน้า อยากลองดีก็ต้องโดนแบบนี้”
‘พ่อเล็ก!...พ่อ ช่วยด้วย ไม่ไหวแล้ว’
เสียงร้องเล็กๆหายไปเมื่อผมถูกพาออกจากร้านเกม โดยที่ผมไม่คิดค้านพี่ตรีซักแอะ แถมยังอยากจะมองแต่หน้าพี่ตรี อยากอยู่กับพี่ตรี อยากสัมผัส อยากแตะต้องปากสวยๆนั่นที่เอาแต่พูดจาอะไรที่ผมฟังไม่รู้เรื่อง
“วาลย์ ไปอยู่กับพี่นะ”
“คะ ครับ”
“เด็กดี”
พี่ตรีจูบขมับผมเบาๆแล้วค่อยๆเคลื่อนรถไปข้างหน้า ท่ามกลางรอยยิ้มยินดีเกลื่อนบนใบหน้าของผม
ในหัวไม่หลงเหลือภาพพี่ขรรค์ติดอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งแม้สักน้อย
ผมมานั่งบนเตียงอ่อนนุ่มในบ้านหลังงามสไตล์โมเดิร์น นัยน์ตากวาดมองไปรอบๆแต่ไร้ซึ่งความคิดอ่านอ่อนเชื่อม มองพี่ตรีรินน้ำสีทองมาประคับประคองให้ดื่มอึกใหญ่
“อีกมั้ย?”
ผมพยักหน้ารับ ของชอบจะตาย และดื่มจนหมดแก้วก่อนยิ้มหวานให้อีกฝ่าย
“ยิ้มแบบนี้พี่ก็แย่สิน้องวาลย์”
มือพี่ตรีเอื้อมมาบีบแก้มผมเล่นเบาๆ “นุ่มจัง” ดวงตาเยือกเย็นทอแสงเรืองรองก่อนก้มลงชิมริมฝีปากผมอย่างหยอกเอินราวผีเสื้อโฉบ
ชั่วพริบตาที่ผมออกแรงต้านทานโดยไม่รู้ตัว หลบอีกฝ่ายรวดเร็ว จนพี่ตรีเลิกคิ้วฉงน และยกมุมปากยิ้มหมายมาด
“สอนมาดีจริงๆ แบบนี้พี่ยิ่งชอบ รู้มั้ย” ปลายนิ้วเรียวเชยคางมนขึ้นมอง
ผมค่อยๆยื่นริมฝีปากตัวเองเข้าประกบจูบอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนเอ่ยน้ำเสียงอู้อี้
“อยากให้พี่ตรีสอนมากกว่า”
“ปากหวานจัง เดี๋ยวเจ้าตัวเขามาตาม แล้วจะกลับคำไม่ได้นะ” พี่ตรียักยิ้มเจ้าชู้ “รู้รึเปล่าว่าเขาน่ะชื่อดังในวงการเชียวล่ะ ดังจนน่าลองของ แถมมีรางวัลน่ารักน่าใคร่เสียด้วย”
ผมเอียงคอสงสัยในรอยยิ้มมีเล่ห์ แต่ก็ถูกอีกฝ่ายกดลงบนที่นอน และใช้ฝ่ามือลูบไล้แผ่นอกเรียบ จากนั้นจึงปลดกระดุมสอดมือเข้าไปสัมผัสผิวเนื้อให้ผมกระตุกวาบ แล้วถูกริมฝีปากอีกฝ่ายประกบปิด ดูดดุนลิ้นร้อนจนผมหายใจตามแทบไม่ทัน พี่ตรีค่อยๆขยับตัวขึ้นคร่อม แทรกกลางหว่างและบดเบียดลงมาให้ผมใจสั่นขนลุกไปทั้งตัว
“พี่ตรี...”
เสียงครางอ่อนยวบยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายเพิ่มแรงกดคลึงเคล้นหนัก จนผมต้องหลับตาปี๋ บีบต้นแขนแข็งแน่น กระทั่งทุกอย่างหยุดชะงักและได้ยินเสียงหัวเราะหึๆข้างใบหู ผมจึงลืมตามอง
“ไม่อยากจะเชื่อ เจ้านั่นมันตายด้านรึไง?” พี่ตรีก้มกัดริมฝีปากล่างผมเบาๆ ก่อนเอ่ย “ถ้าเจอ พี่คงต้องขอบใจมันหน่อยแล้ว”
ปัง!
“ไม่ต้องขอบใจหรอก เพราะฉันไม่รับของจากพวกใจบาปหยาบช้าอย่างนาย!”
เสียงพี่ขรรค์ดังขึ้นพร้อมๆกับหน้าต่างใกล้ตัวเปิดออกกระแทกผนังดังสนั่น ร่างเงาตะคุ่มค่อยๆชัดเจนขึ้นท่ามกลางแรงลมหวีดหวิวจนผมต้องหยีตามองคนตรงหน้าเหมือนคนไม่รู้จัก ก่อนขยับเข้าไปเบียดชิดพี่ตรี ด้วยอาการหวาดหวั่นกับเหตุการณ์ ทว่าหางตาผมเหมือนเห็นผู้บุกรุกกำลังหน้าเขียว เม้มปากแน่น จ้องผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ยิ่งทำให้ผมซุกหน้ากับไหล่พี่ตรียิ่งขึ้น
“วาลย์! ลุกออกมาเดี๋ยวนี้”
เสียงตวาดสร้างความตื่นตระหนก ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธเร็ว มองคนตาแทบถลนออกจากเบ้ากระโดดข้ามหน้าต่างมายืนไม่ห่าง
“ดุแบบนี้ น้องเขาก็กลัวกันพอดี”
พี่ตรียิ้มกับผมก่อนหันไปมองผู้มาใหม่แววตาเยือกเย็นแข็งกระด้าง จากนั้นจึงค่อยๆลุกขึ้นไปเผชิญหน้า
“อยากคุยด้วยมานานแล้ว” พี่ตรีเดาะลิ้น
“ฉันไม่อยากคุย แต่จะมารับคนของฉันกลับ ถ้าไม่อยากให้เป็นเรื่องก็ส่งเขาคืนมา และเลิกทำอะไรต่ำทรามแบบนี้ซะที”
“พูดจาอวดดีเหลือเกิน แกไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดในวงการนี้หรอกนะ อย่าได้ใจไปกับคำเยินยอนักเลย ฉันล่ะอยากสำรอก”
พี่ตรีประสานสายตากับอีกฝ่ายราวกับมีสายฟ้าแล่นปลาบแปลบรอบตัว ผมได้แต่ขดตัวคราง เพราะเริ่มเห็นเงาทะมึนที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างหน้าตาน่ากลัวรอบคนทั้งสอง และร่างของเด็กผมจุกฝั่งละสองตนกำลังทำหน้าตาเยาะเย้ยใส่กัน
“กุมารทอง พาวาลย์ออกไป ฉันไม่อยากให้ของขวัญชิ้นนี้บุบสลายก่อนจะได้ลิ้มชิมรสเสียก่อน”
ผมมองเด็กผมจุกลอยพุ่งมาหา แล้วฉุดให้ลุกขึ้นด้วยแรงมหาศาล
“รัก! พาพี่มาหาพ่อเร็ว ต้องถอนมนต์ให้พี่เขาได้สติ ไม่งั้นถูกพาไปไหนต่อไหนไม่รู้ตัวอีกแน่”
สิ้นเสียงสั่ง เด็กผมจุกอีกตนก็ทะยานเข้ามาหา พร้อมๆกับง้างเท้าถีบกุมารทองที่ลากผมอยู่เสียกระเด็น จากนั้นก็ลงมือตะลุมบอนกันนัวเนีย
ส่วนเงาทะมึนที่กลายร่างเป็นซากคล้ายมนุษย์ตรงเข้าหาพี่ขรรค์ จากการสั่งการของพี่ตรี ทว่าร่างน่าเกลียดน่ากลัวนั้นกลับเข้าใกล้เป้าหมายไม่ได้เลย เพราะผมมองเห็นพี่ขรรค์พนมมือกล่าวอะไรพึมพำ แล้วเกิดเป็นรัศมีสุกสว่างรอบกาย ทว่ากลับสร้างความเจ็บปวดให้ร่างที่ไม่ใช่มนุษย์ผงะถอยหลัง เป็นช่องว่างให้พี่ขรรค์เข้าประชิดตัวและออกหมัดชกพี่ตรีจนคว่ำในหมัดเดียว เลือดกบปาก
ผมมองชายหนุ่มที่ผมรู้สึกคุ้นเคยเข้ามาหาด้วยหน้าตาเหมือนโกรธใครมาสักสิบชาติ กระชากผมให้เข้าหา ฝ่ามือร้อนจัดจับต้นแขนผมไว้มั่นพลางเอ่ยวาจารื่นไหลเสนาะหู
นะโม...
‘วาลย์...วาลย์...’
เสียงเรียกแผ่วเบาดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมมองใบหน้าซึ่งซ่อนทับกันมากมายรวมกันเป็นหนึ่งเดียวและกระจ่างในบัดดล
“พี่ขรรค์...”
ผมงึมงำเรียกอีกฝ่ายอย่างมึนงง หากคนตรงหน้ามีท่าทางคลายกังวลลงเล็กน้อย
“ไม่ต้องถามอะไร รีบตามยมออกไปข้างนอก”
ผมถูกรุนหลังพร้อมๆกับยกมืออุดปาก เพราะเด็กที่พี่ขรรค์เรียกว่ายม กำลังลอยมาหาผม ขอย้ำ! กำลังลอยมาครับ ไม่ใช่เดิน ผมหูตาเหลือกขาแข้งไม่ยอมก้าวไปข้างหน้า เหลียวมองพี่ขรรค์อย่างตื่นตระหนก พลางส่ายหน้าดิก
“พะ...พี่ขรรค์ อะ...อะไร นะ...นั่น...ผะ...ผี มะอาว ไม่น้าพี่ขรรค์!”
ผมกระโดดเกาะคอพี่เขาแน่น แหกปากร้องโวยวาย จนพี่ขรรค์ขมวดคิ้ว มีสีหน้าวิตกอย่างเห็นได้ชัด
พี่ก็กลัวใช่มั้ยล่ะ แล้วทำไมยังให้ผมไปกะไอ้นั่น!
“หย๋า! ลอยมาแล้ว ไม่เอา ออกไปนะ ออกไป!”
ผมไล่ส่งไอ้เด็กผมจุกที่ลอยมาอยู่ตรงหน้าไม่ยอมไปไหนอย่างรังเกียจสุดฤทธิ์ จนหน้าเล็กๆซีดๆหงอยลงไปถนัดใจ
“พ่อเล็กอะ พ่อเล็กไล่ผมเหรอ พ่อเล็กไม่รักยมเหรอ อะ...ฮื่อๆ”
เกิดมาผมเพิ่งเคยเห็นผีร้องไห้งอแงก็วันนี้ล่ะครับ แถมร้องได้น่าเอ็นดูซะด้วย เล่นเอาผมเอ๋อไปเลย หันมองหน้าพี่ขรรค์เลิ่กลั่ก ทว่าอีกฝ่ายที่ทำหน้าเคร่งเครียดดึงผมไปอยู่ข้างหลัง และมองพี่ตรีกำลังลุกขึ้นมายืนจังก้า ปาดเลือดจากมุมปากคล้ายไม่แยแส
“หมัดหนักดีนี่ แต่ไม่ง่ายหรอกถ้าจะกลับไป”
‘พี่ตรีทำไมพูดแมวๆยังงี้เล่า’ ผมย้อนคนเลือดกบปากในใจ หากในสมองกำลังทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกระท่อนกระแท่น สายตาก็กวาดมองไปรอบๆตัว ที่มีแต่ผีลอยอยู่ให้เต็มห้อง จนนึกอยากสลบไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่อาการตื่นตัวก็ทำให้เมฆหมองที่บดบังสติให้เลือนรางค่อยๆแจ่มชัด ถึงชัดแจ๋ว
ผมไม่ได้ลืมเหตุการณ์ที่ผ่านมา ผมจำได้ จำได้ทุกอย่าง ผมถูกพี่ตรีชวนมาด้วย และผมก็ปฏิเสธ แต่พอพี่เขางึมงำอะไรซึ่งผมฟังไม่รู้เรื่อง ผมก็คล้อยตามพี่เขามาเฉยเลย
ตายห่าล่ะ ผมเป็นอะไรไป ทำไมผมใจง่ายขนาดนี้ แถมยังไปถึงไหนๆกะพี่ตรีไปตั้งเยอะแล้วด้วย ซวยหละ พี่ขรรค์!
ผมเหลือบมองซีกหน้าคนที่ยืนเป็นโล่กำบังทุกสิ่งให้อย่างหวาดๆ
จะโมโหมากมั้ยอะ
พอถึงเวลาคับขันผมเลือกกลัวพี่ขรรค์มากกว่าผีซะอีก
ก็แฟนประเสริฐแบบนี้ ชีวิตนี้ผมคงหาไม่ได้แล้วล่ะครับ
ถึงผมจะรู้สึกเป็นบุญท่วมหัว แต่ผมว่ามันตงิดๆยังไงไม่รู้ ก็พี่ขรรค์ไม่ออกอาการกลัวภูตผีปีศาจรอบตัวซักกะติ๊ด นิ่งสงบเป็นน้ำในตุ่ม
“พี่...ขรรค์ ผมกลัว” ผมดึงชายเสื้อพี่เขาไว้หวาดๆ
“วาลย์อยู่ตรงนี้ ห้ามไปไหนจนกว่าพี่จะมารับ เข้าใจมั้ย”
พี่ขรรค์สั่งเสียงเข้มโดยไม่หันมามองหน้าผมแม้แต่น้อย ฉับพลันพื้นที่ผมยืนเกิดเป็นแสงเรืองรองโอบล้อมตัวผมไว้ ละอองสีทองไหลวนเป็นสาย ดังม่านขวางกั้นสิ่งชั่วร้ายไม่ให้มากล้ำกราย
ผมเข่าอ่อนลงไปกองกับพื้น นึกอยากวิ่งหนีก็ทำไม่ได้หรอกครับ ได้แต่มองพี่ขรรค์เดินไปประจัญหน้ากับพี่ตรีซึ่งยืนคอยท่า กำหนดจิตส่งภูตผีเข้ามารุมทึ้ง ผมเห็นพี่ขรรค์ล้วงบางสิ่งจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเป็นกำ แล้วสาดซัดใส่ภูตผีจนเกิดเป็นประกายไฟแดงวาบลามไปทั่งร่างจนค่อยๆสลายหายไปในอากาศ
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ พี่ตรีไม่รู้ไปปลุกซากศพมาจากไหน ถึงเดินทื่อเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังอีกหลายตน เหตุการณ์ชักไม่ดี เหมือนพี่ขรรค์กำลังเสียท่าหมาหมู่ ไม่ใช่สิ ผีรุมต่างหาก ผมได้แต่หันมองหาตัวช่วย กุมารทองของพี่ตรีกำลังเตะต่อยกับกุมารน้อยที่พี่ขรรค์เรียกว่ารักอยู่ หน้าตาปูดกันเลยทีเดียว และเจ้าเด็กจุกที่ว่างงานลอยอยู่ตรงหน้าผมอีกตน น่าจะชื่อยม
รัก-ยมเหรอ?
พี่ขรรค์เลี้ยงรัก-ยมด้วย!
แม้จะกลัว แต่ร่างเล็กๆลอยอยู่ตรงหน้าก็ไม่คิดจะทำร้ายหรือหลอกหลอนผมแต่อย่างใด กลับกำลังทำหน้าที่ปกป้องผมจากวิญญาณที่จ้องมาเอาตัวผมออกไปจากแสงเรืองรองอบอุ่น ที่ซึ่งพี่ขรรค์สร้างให้ แต่พี่ขรรค์กำลังจะแย่แล้ว
ผมตะโกนออกไปสุดเสียง เมื่อเห็นพี่ขรรค์ถูกซากศพจับได้ ขาจึงก้าวออกจากอาณาเขตปลอดภัยอัตโนมัติ
“ห้ามออกไปนะพ่อเล็ก!”
“แต่ว่า...”
“พ่อใหญ่เก่ง ไม่เป็นอะไรหรอก พ่อเล็กออกไปจะเป็นตัวถ่วงเปล่าๆ”
สะอึกครับ เจอภูตเด็กตอกหน้าหงายแบบนี้ แต่ไม่ยอมหรอก
“งั้นนายก็ไปช่วยพ่อใหญ่ของนายสิ!”
“แต่พ่อสั่งให้หนูคอยคุ้มครองพ่อเล็กนะ”
“โว๊ย! สั่งไว้แล้วไงเล่า ถ้าพ่อนายเป็นอะไร ก็ตายกันหมดนี่สิ ไปเร็ว ฉันไม่เป็นไรหรอก รับรอง ฉันไม่ออกไปนอกเส้นนี้แน่ ”
กุมารน้อยเม้มปากก่อนพยักหน้าแล้วพุ่งตัวไปช่วยพ่อใหญ่ให้หลุดจากการจับกุม พอสลัดตัวออกมาได้ พี่ขรรค์ก็ร่ายคาถายาว บังเกิดแสงวาบ พระขรรค์ลงอักขระปรากฏขึ้นในฝ่ามือ จากนั้นเข้าฟาดฟันซากศพขาดเป็นท่อนๆ เข้าถึงตัวพี่ตรีซึ่งยืนทำหน้าเคร่งเครียด ทว่าในแววตากลับมีรอยยิ้มเยือกเย็น
พี่ขรรค์ใช้ไหล่กระแทกอกอีกฝ่ายจนไปนอนกับพื้น จากนั้นปักพระขรรค์ลงเฉียดลำคอพี่ตรีไปเส้นยาแดงผ่าแปด
“แกร่ำเรียนวิชามาเพื่อสนองตัณหาตัวเอง ก็หวังว่าครูบาอาจารย์จะสอนแกอีกว่าหากทำผิดศีลเมื่อไร ของมันจะเข้าตัวแก”
สิ้นคำพูดพี่ขรรค์ ผมเห็นพี่ตรีกระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ หากคนถูกกดไว้กลับหัวเราะออกมาดังๆ
“ฉันก็หวังว่าแกที่แสนดีจะไม่หลงไปกับมนต์ตราของขลังพวกนี้เข้าสักวัน ไอ้ขรรค์เทพ!”
อยู่ๆบนพื้นห้องก็มีอสูรกายสูงใหญ่ผุดขึ้นมาจนพี่ขรรค์ต้องพลิกตัวออกห่าง เพียงชั่วหันหลัง พี่ตรีก็หายไปแล้ว หายไปยังกับหายตัวได้ ทิ้งไว้เพียงวิญญาณที่ถูกมนต์คาถาตรึงไว้ใช้งานล่องลอย ไปไหนไม่ได้
พี่ขรรค์เสยผมตัวเองหนักๆก่อนรวบรวมสมาธิพนมมือ แล้วกล่าวบทสวดถอนมนต์สะกดให้วิญญาณเหล่านี้ได้ไปตามยถากรรมที่เคยสร้างสมไว้
สายลมดังหวีดหวีวสงบลงจนเหลือเพียงความเย็นเบาบางล้อมรอบตัว
ผมก้มมองเป้ากางเกงตัวเองซึ่งยังไม่เปียก และคลำหัวตัวเอง ผมก็ยังไม่ตั้ง ไม่หลุด แต่ผมอยากเป็นลม
ละอองสีทองดังอาณาเขตหายไปแล้ว พี่ขรรค์เดินตัดข้ามห้องมาหา ประคองผมให้ลุกขึ้น แต่ผมเป็นง่อยไปเสียแล้วครับ พี่ขรรค์เลยอุ้มผมเหมือนอุ้มเด็กเล็กๆออกจากบ้านที่เมื่อครู่ยังเป็นสมรภูมิภูตผีไปวางในรถยนต์ โดยมีรัก-ยมลอยตามมาอยู่เบาะด้านหลังด้วย
ผมเอาแต่จ้องหน้าพี่ขรรค์ ไม่กล้าเอ่ยในสิ่งที่ตนเองคิด ด้วยกลัวคำตอบที่ได้รับ
พี่ขรรค์ไม่ได้แวะส่งผมที่บ้าน แต่เลยบ้านผมไปยังมุมหนึ่งของกรุงเทพ ซึ่งเป็นที่ตั้งของตำหนักพยากรณ์ศาสตร์
ผมมองป้ายหน้าเรือนไทยเขียนไว้ยังงี้จริงๆ
รถยนต์จอดสนิทหน้าเรือนไทยหลังใหญ่โต ท่ามกลางความมืดสนิทแลดูถมึงทึงน่าเกรงขามจนขาสั่นผับๆ พี่ขรรค์ไม่ยอมพูดอะไรตั้งแต่ออกมาจากบ้านพี่ตรี
พี่โกรธผมจนจะฆ่าหมกตำหนักเชียวรึพี่ ฮือๆ แค่นี้ผมก็อึ้งช็อกตาเหลือกจะแย่แล้ว
“ถึงบ้านพี่แล้ว”
บ้านพี่!?
ผมหันขวับมองคนนั่งข้างๆ และเหมือนจิ๊กซอชิ้นสุดท้ายวางลงในช่องว่างที่ขาดหาย สมองทำงานเต็มกำลังอย่างไม่เคยเป็น และทุกอย่างก็มาจ่ออยู่ที่คอหอย
พ่อพี่ขรรค์เป็นหมอดู แต่พี่ขรรค์ไล่ผีได้ บ้านตรงหน้าก็เป็นเรือนไทยโบราณ บวกกลิ่นธูปเทียนตลบอบอวล กุมารน้อยอีกสองตน ผีอีกเป็นโขยง
มะ...มันไม่ใช่ตำหนักหมอดูแล้วมั้งพี่
“พี่...พี่ขรรค์ ผมถาม...ถามตรงๆนะ พ่อพี่นอกจากจะเป็นหมอดูแล้ว ยังทำอาชีพเสริมเป็นหมอผีด้วยเปล่าพี่”
ผมเบิกตากว้างรอฟังคำตอบด้วยใจระส่ำ หากพี่ขรรค์พยักหน้ารับตั้งแต่ผมถามยังไม่ทันจบประโยค เพราะมัวแต่ติดอ่าง
“หมอผี!...แล้วพี่ล่ะ พี่เป็นรึ...รึเปล่า” ผมยกนิ้วชี้หน้าพี่ขรรค์สั่นๆ
“วาลย์” พี่ขรรค์ถอนใจยาว
“เป็นรึเปล่า!?” ผมไม่สนใจฟังพี่เขาอธิบาย ที่ผมสนใจตอนนี้คือคำตอบเท่านั้น
และพอพี่ขรรค์พยักหน้ารับเท่านั้นล่ะ ผมรู้สึกมีลมบ้าหมูพัดวนรอบศีรษะ หน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็นลม
มิหน้าล่ะถึงไม่กลัวผีสางที่ไหน เพราะแบบนี้นี่เอง
“วาลย์...วาลย์เป็นอะไร วาลย์”
โลกตรงหน้าค่อยๆมืดสนิทลง วันนี้ผมช็อกมามากพอแล้วครับ ขอผมหลับให้หายเหนื่อยแล้วค่อยปลุกผมขึ้นมารับความจริงเถอะครับ ไม่งั้นผมได้ลาโลกไปก่อนได้กดพี่ขรรค์แน่ๆ
ขรรค์เทพจ้องมองคนรักเป็นลมหมดสติคอพับคออ่อนให้รู้สึกเห็นใจอยู่ไม่น้อย หากไม่คิดปล่อยมือ จึงบรรจงอุ้มคนจิตอ่อนเข้าไปยังเรือนพักของตนเอง
ร่างเล็กถูกวางลงบนที่นอนขาวสะอาด เสื้อผ้าบนตัวถูกขรรค์เทพถอดออกจนหมด สายตาคมกริบกวาดพินิจไปทุกตารางนิ้วบนผิวกาย ก่อนก้มลงชิดใบหน้านวล
“รัก-ยม ไปพักเถอะ วันนี้เหนื่อยมาเยอะแล้ว แล้วพรุ่งนี้พ่อจะถวายของชอบให้”
“จ้ะพ่อ แล้วพ่อเล็กล่ะจ๊ะ” กุมารน้อยชะเง้อมองเป็นห่วงพ่อเล็กที่นอนล่อนจ้อน ด้วยฝีมือพ่ออีกคน
“เดี๋ยวพ่อดูแลเอง แล้วก็คืนนี้ถ้าพ่อไม่เรียกก็ไม่ต้องออกมานะ”
กุมารน้อยมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนพยักหน้าแล้วหายวับไปจากสายตา ให้ขรรค์เทพกลับมาสนใจริมฝีปากอิ่มสีอ่อนอีกครั้ง
“ตื่นขึ้นมาแล้วพี่จะพิสูจน์ให้รู้ว่าพี่มีน้ำยารึเปล่า”
ชายหนุ่มยกยิ้มหมายมาด
“หลับให้สบายไปเถอะ”
........จบตอน......
พี่ขรรค์เท่โคดดดดดด กรี๊ดดดดดดดดด

ตอนหน้าจะเป็นตอนต่อจากตอนนี้นะคะ เเละเป็นตอนจบด้วย
ขอบคุณทุกคอมเมนท์ค่ะ
