หากแต่กลับมีแรงมาตะปบไหล่อย่างแรงจากด้านหลังพร้อมกับเสียงห้าวที่ดูไม่สบอารมณ์กับการมาของทินกฤตเท่าไหร่นัก
" มึงทำอะไรเด็กกู? "
ทินกฤตหันกลับไปมองก็เห็นใบหน้าถมึงทึงของพศวัตแล้วเหยียดยิ้มน้อยๆ
"กอดกับน้อยอยู่แหกตาดูซิ่...เออแมกซ์ กูขอเหอะ...ที่ชาร์จไฟกูเลยนะเนี่ย" ไมพูดเปล่ามือยิ่งกอดสมปองแน่นขึ้นไปอีก แต่คนถูกกอดก็ไม่ได้มีท่าทีจะปัดป้องอะไร เด็กหนุ่มได้แต่ยืนยิ้มอยู่แบบนั้น
"กูไม่ให้ " พูดจบก็แทบจะกระชากเพื่อนออกจากคนรักของตัวเองทันที ก่อนจะดึงเอาเก้าอี้มานั่งขวางกลางคนทั้งคู่ แล้วหันไปทางสมปอง
" เพิ่งมาเหนื่อยๆ น้อย..ไปหาอะไรพี่กินหน่อยสิ " เพราะดูๆแล้วท่าทางของทินกฤตแย่เอามากๆเลยทีเดียว มันคงไม่สะดวกนักที่จะให้สมปองมารับรู้เรื่องเครียดๆด้วย
"แต่..."สมปองหมายจะเถียง แต่ก็ต้องทำหน้าบูดเมื่อเห็นสายตาของพศวัตที่มองกลับมา
"ครับๆ คุณแมกซ์เอากาแฟกับขนมใช่ไหมครับ...อ๊ะ วันนี้มีแซนวิชใส่สลัดปูล่ะฮะ เดี๋ยวไปเอามาให้.....พี่หมี......" ว่าแล้วก็วิ่งหายเข้าครัวไปหาเชฟประจำร้านของตัวเองทันที
ดวงตาคู่คมของทินกฤตมองตามร่างเล็กๆที่วิ่งเข้าไปในครัวแล้วยิ้มกับภาพนั้นอย่างเอ็นดู ก่อนจะหันมาทางเพื่อน
" มึงเป็นอะไรของมึง? "
"อิจฉามึงว่ะแมกซ์...มีไอ้น้อยอยู่ข้างๆ" ทินกฤตยังไม่ตอบคำถามนั้นดวงตามองตามร่างผอมของผู้จัดการคนนั้นไป สมปองดูสดใสขึ้นเยอะ หลังจากครั้งสุดท้ายที่เขาแวะเวียนมาที่นี่
"กว่าจะได้อยู่ด้วยกัน พวกกูก็เจ็บมาเยอะ....ว่าแต่ มึงเป็นอะไรของมึงวะ มีอะไรรึเปล่า? "พศวัตถามออกมาตรงๆ เพราะคบกันมานานจึงได้ดูออกว่าอีกฝ่ายคงกำลังมีปัญหาอะไรอยู่โดยไม่ต้องถามเท้าความอะไรให้มันมากมายถึงช่วงหลังๆตั้งแต่ทินกฤตแต่งงานจะได้เจอกันแค่ไม่กี่ครั้งก็ตาม และหากว่าเพื่อนสนิทมีเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ถึงจะหมั่นไส้การกระทำของอีกฝ่ายไปบ้าง แต่เขาก็อยากจะช่วยอีกฝ่ายเท่าที่จะทำได้ ยิ่งมีเรื่องของข่าวลือที่ได้ยินมาของอีกฝ่ายนั้น...แค่จั่วหัวมาก็บอกได้เลยว่ามันแรงน่าดู
"ไม่รู้ดิ่...กรรมสนองกูมั้ง... พอถึงเวลาจะมีแฟน ก็มีคนกีดกัน ...จน....แฟนกูเขาคงทนไม่ได้ กินยาเกินไปซะเยอะ กูก็ไม่รู้ว่าน้องเขาคิดอะไร เสียใจมากไหม...เจ็บขนาดไหน...กูไม่ได้อยู่ข้างๆเขาเวลาที่เขาต้องการกู...นี่เขาเข้าโรงพยาบาล กูยังโพล่หน้าไปเยี่ยมไม่ได้เลย...ทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง ไร้ประโยชน์ชิบ!!" มือแกร่งของทินกฤตกระแทกลงกับโต๊ะเสียงดัง ยังดีที่กาแฟร้อนนั่นไม่ได้หกออกมาลวกไม้ลวกมือ
"แฟน? มึงมีแฟนกับเค้าด้วย? "คิ้วหนาของพศวัตเลิกขึ้นอย่างแปลกใจกับท่าทางที่ดูสบายๆ ไม่แคร์สิ่งใด แถมยังกวนประสาทได้ตลอดนั้น ตอนนี้กลับดูเคร่งเครียดและดูเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
...หรือที่เค้าลือกันจะจริงวะ?.."ใครวะ?.. " ชายหนุ่มตัดสินใจถามออกไปตรงๆ
" น้องเมียอย่างที่เค้าลือกันรึเปล่า? ""...................." ชายหนุ่มผิวขาวจัดพยักหน้าลงช้าๆ ก่อนที่หางตาคมจะเหลือบมองหน้าของอีกฝ่าย
"ผิดมากใช่ไหม"
"มึงรักน้องเขาใช่ไหม?..กูไม่เคยเห็นมึงทำหน้าแบบนี้ " หากเป็นเวลา สถานการณ์ปรกติ การที่ได้เห็นหน้าของทินกฤตเป็นแบบนี้ พศวัตคงอยากจะหัวเราะให้ลั่นไปแล้ว ถ้าไม่ติดว่าสถานการณ์จากที่ฟังมันแย่กว่าที่คิด หรือ สมปองจะต่อว่าอะไรเขา และหากไม่ติดที่ว่าอีกฝ่าย "น่าสงสาร" ไม่น้อยที่มารักน้องเมียตัวเอง แบบนี้
"เออ...รัก...รักมาก...ไม่รู้เหมือนกันว่ารักตรงไหน รักไปได้ยังไง...แต่ก็รัก "ทินกฤตสูดลมหายใจเข้าลึกไม่รู้ทำไมต้องมาหมดท่าเอาตรงหน้าทินกฤตด้วย
"กูแคร์เพราะอยากอยู่กับน้องเขาอย่างเปิดเผย ถูกต้องเสียที...มึงก็รู้ว่ากูปิดบางเรื่อง เปิดมากบางเรื่อง...แต่ตอนนี้กูไม่อยากปิดใครแล้ว...นี่พ่อแม่พวกกูก็รู้กันหมดแล้ว...”
" มึงนี่นะ..” พศวัตจิ้มที่หน้าผากอีกฝ่ายเสียจนหน้าหงาย ก่อนจะยิ้มที่มุมปาก
“เมื่อก่อนกูไม่เห็นมึงจะสนใจเรื่องผิดถูก แล้วทีนี้ทำไมถึงมาถามกูแบบนี้วะ ถ้านี่เขารู้กันหมดแล้วมึงจะแคร์อะไร พ่อแม่มึงรู้แล้วจะโอเคไม่โอเคก็ช่างเขาซิ่ แค่มึงพอใจซะอย่างอยากทำอะไรก็ทำไป .. เรื่องนี่กูรู้ว่ามึงจัดการได้ในแบบของมึง มานั่งซึมให้มันได้อะไรวะ?"
คำพูดของพศวัตทำให้ทินกฤตต้องเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของเพื่อนรัก
“เออ! จริง! รู้หมดแล้วกูก็ไม่มีอะไรต้องแคร์แล้วนี่หว่า..."เหมือนจะมีความหวังขึ้นมาบ้างในหัวใจ ในดวงตาที่ดูอ่อนล้านั้นเหมือนจะมีประกายอะไรบางอย่างขึ้นมา
"เออ มึงอยากทำอะไรมึงก็ทำเลย ไหนๆก็แกรนด์โอเพนนิ่งไปแล้ว ชนแม่งเลย ฮะ ฮะ " เพื่อนสนิทได้ที ยุให้เพื่อนทำอะไรบ้าระห่ำเสียบ้าง ตั้งแต่รู้จักกันมา ทินกฤตนี่แหละที่แผนเยอะไม่ชอบชนปัญหาและนั่นก็คงส่งผลกระทบต่อเด็กคนนั้นไม่น้อยเช่นกัน
"น้องเขาคงไม่รู้จะทำยังไง...มึงไปอยู่ข้างๆเขาสิวะ แล้วก็คุยกันซะ มึงมันแผนเยอะ น้องเขาอาจจะไม่เข้าใจมึงก็ได้ "
"ถ้ามึงรู้เรื่องทั้งหมดมึงจะเห็นว่านี่กูใช้ไอ้มึงเรียกว่า "แผน" น้อยมาก....." ทินกฤตว่าพลางถอนหายใจ ก่อนหยิบกาแฟของเจ้าน้อยขึ้นมาดื่ม มัวแต่คุยกาแฟเย็นชืดไปบ้าง แต่รสชาตของมันก็ทำให้เผลอยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้
"แต่เดี๋ยวคงได้ฤกษ์ใช้แล้วล่ะ แผนน่ะ..... ต้องเข้าไปหาน้องเขาให้ได้ .... กูปล่อยน้องเขาอยู่คนเดียวมานานเกินไปแล้ว....พูดตามตรง เป็นห่วงว่ะ"
"ไอ้เทียน..กูขอพูดอะไรอย่างได้รึเปล่าวะ? " จากคำที่ว่าน้องเมียของทินกฤตกินยาเกินขนาดนี่มันแสดงให้เห็นถึงอะไรบางอย่างที่ดูเปราะบางนัก
"มึงบอกว่าน้องเขากินยาเกินขนาด..คิดมากและเครียดเรื่องของพวกมึงสองคน..มึงพูดกับน้องเขาดีๆนะเว้ย ถ้าเจอหน้ากัน กูเป็นห่วง "พศวัตสบตาอีกฝ่ายนิ่ง
"จะพยายาม..."ทินกฤตรับคำพลางพยักหน้าลง ทินกฤตเองก็หวั่นใจไม่น้อย เขาเสียใจมากแค่ไหนที่คนรักของเขาต้องมาเป็นแบบนี้ จะแก้ยังไงได้ ...จะทำอย่างไรได้ แม้จะร้อนอยู่ในอกแต่ท่าทีที่แสดงออกนั้นกลับนิ่งสนิทไม่ต่างจากผิวน้ำที่เหมือนจะไหลเอื่อยแต่เบื้องลึกนั้นเชี่ยวกราด ในหัวของทินกฤตกำลังคำนวณสิ่งที่จะต้องทำเมื่อตัดสินใจว่าจะเข้าไปหาจุนเจือให้ได้
+++++++++++++++
ณ ห้องพิเศษที่ถูกจัดไว้เป็นส่วนตัวชั้นเกือบจะบนสุดของโรงพยาบาลเอกชนกลางเมือง เด็กหนุ่มกำลังนั่งมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ผ้าม่านสีเขียวเปิดทิ้งไว้ ดวงตาคู่สวยเหม่อมองการจราจรที่ติดขัดของกรุงเทพในชั่วโมงเร่งด่วนยามเย็น ท้องฟ้าที่กลายเป็นสีส้มบริเวณขอบฟ้าเนื่องจากแสงตะวันกำลังจะลาลับไป เขานั่งอยู่แบบนี้มานานเพียงใดแล้ว .. มันก็คงจะตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาที่โรงพยาบาล พร้อมกับสายน้ำเกลือที่ยังติดอยู่ตรงข้อมือกระมัง
จุนเจือละสายตาจากวิวด้านนอกแล้วก้มลงมองเข็มที่ยังคาอยู่กับข้อมือตนเอง รอยช้ำที่ตัดกับผิวขาวอย่างชัดเจนแลดูน่ากลัวเสียจริงๆ น่ากลัวเสียจนเขาอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าพวกที่คิดสั้นโดยใช้วิธีทำให้ร่างกายเป็นแผลนั้น กล้าทำไปได้อย่างไร
....คิดสั้น...ฆ่าตัวตาย......เขาฟื้นขึ้นมาเพราะคำพูดนั้นของผู้เป็นพ่อที่ดังขึ้นในห้องนี้ ท่ามกลางเสียงสะอื้นของผู้เป็นแม่ หัวใจของคนทั้งคู่คงเจ็บปวดมาก เด็กหนุ่มได้แต่ขอโทษบุพการีอยู่ในใจ .. เขาไม่กล้าพูดอะไรออกไป และไม่รู้สึกปรารถนาที่จะพูดจากับใครด้วย
...ทำไม...คนแรกที่ผมเจอหน้าตอนที่ตื่นมาถึงไม่ใช่พี่นะ?+++++++++++++++
บานประตูห้องค่อยเลื่อนเปิดออก จุนเจือได้ยินเสียงฝีเท้าเขาคาดว่าคงเป็นบุรุษพยาบาลที่เข้ามาเช็ค "สภาพ" เขาตามที่พ่อกับแม่ได้กำชับเอาไว้เป็นแน่ แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นร่างสูงของใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้น
"เจือ...."
เสียงทุ้มที่แสนจะคุ้นเคยดังขึ้นที่ประตูนั่นทำให้คนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงต้องหันมามองทันที ชายหนุ่มเชื้อสายจีนคนนั้น คนที่อยู่ในห้วงความคิดมาตลอดหลายวันที่แสนทรมาน
..ไม่สิ...หรือจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาเด็กหนุ่มกริบพริบตาถี่ๆ ก่อนจะลืมตาอีกครั้ง และภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็ยังคงเป็นคนเดิม
" พี่เทียน ?" น้ำเสียงนั้นฟังดูอ่อนแรงจนตัวเองยังแปลกใจ... เด็กหนุ่มไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองหมดสภาพด้วยไร้แล้วซึ่งแรงกำลังทั้งกายและใจเช่นนี้มาก่อน
"ครับ...พี่อยู่นี่แล้ว คนดี......."ชายหนุ่มตรงเข้าไปหามือหนึ่งแตะที่ข้างแก้มของคนรักดวงตาคมพิศมองหน้าของอีกฝ่าย สัมผัสที่ไม่ใช่ความฝันอันยาวนานของตัวเอง ทำให้จุนเจือต้องยกมือข้างที่ต่อกับสายน้ำเหลือนั้นขึ้นมาจับมือที่แตะแก้มของเขา ขอบตาร้อนผ่าว จนต้องระบายความอัดปั้นผ่านทางน้ำตาที่ไหลรินลงมากระทบกับมือแกร่งที่คุ้นเคย
"พี่ขอโทษ.....พี่ขอโทษ......" ยิ่งเห็นน้ำตาของเด็กหนุ่มยิ่งทำให้ทินกฤตเจ็บปวด เขาไม่รู้จะเอ่ยคำใดแล้ว
" ทำไม...
ทำไมพี่ถึงเพิ่งมาเอาตอนนี้...ทำไมพี่ไม่อยู่ตอนทีเจือฟื้น..เจือกลัว เจือคิดถึงพี่ อยากเจอพี่ " เสียงพูดปนเสียงสะอื้นระบายออกมาอย่างเจ็บปวด ตั้งแต่วันนั้นวันที่ถูกลากขึ้นไปขังเอาไว้ในห้อง ไม่มีใครที่ปฏิบัติกับเขาเหมือนเดิมเลยครอบครัวที่แสนสุขนั้นพังลงไปตรงหน้า เพียงเพราะว่าเขามีความรักกับคนที่เคยเป็นสามีของพี่สาว จุนเจืออยู่ในห้องนั้นไม่สามารถรับรู้เรื่องใดๆบนโลกภายนอก อยู่กับตัวเองฟุ้งซ่านข่มตาลงนอนไม่ได้จนแทบบ้า ... แล้วพอหาบางสิ่งที่พอจะช่วยให้เขาหลับได้ยาวๆ......ยาวพอที่อยากจะคิดว่าสิ่งที่เลวร้ายนี้เป็นเพียงแค่ความฝันและเมื่อตื่นขึ้นมา เขาก็อยากจะอยู่ในอ้อมแขนของทินกฤตแต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เขาตื่นขึ้นในห้องเย็นเยียบของโรงพยาบาล ความจริงก็คือความจริง.....ยา.......ก็ยิ่งมีแต่จะทำให้ครอบครัวที่แตกสลายของเขาเจ็บปวด และทินกฤตก็ไม่สามารถอยู่กับเขาได้เหมือนเดิม
น้ำตาและคำพูดตัดพ้อที่เจ็บปวดของคนรักทำให้ทินกฤตทนที่จะเก็บกลั้นความรู้สึกชองตัวเองเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป น้ำตาไหลลงมาจากดวงตาคมทั้งสองข้างแต่ก็ไม่คิดจะยกมือขึ้นปัดปาดออกไป มือแกร่งที่แตะใบหน้าของจุนเจือนั้นสั่นระริก เขาพยายามจะกลืนน้ำลายลงไปแต่มันก็ยากเย็นเสียเหลือเกิน
"พี่ขอโทษ..พี่น่าจะรู้ น่าจะมาอยู่ข้างๆเรา ให้เร็วกว่านี้ ...พี่น่าจะมาให้ไวกว่านี้" ทินกฤตรู้ดีว่าตัวเองมาช้า และมันไม่มีคำอื่นนอกจากขอโทษให้กับอีกฝ่าย กว่าเขาจะเข้ามาที่นี่ได้มันก็ใช้เวลาอยู่ไม่น้อย ไม่มีฝ่ายใดให้ความร่วมมือ นับตั้งแต่ รปภ. พยาบาล บุรษพยาบาล หรือแม้แต่ตัวหมอเจ้าของไข้เองก็ดี แม้จะไม่พอใจ แม้จะอยากพังกำแพงที่กั้นขวางระหว่างเขากับอีกฝ่ายออกไปให้หมดด้วยสองมือ แต่เขาไม่ใช่คนแบบนั้น สิ่งที่เขาทำได้ดี คือ การเลือกใช้อำนาจในมือให้เป็นประโยชน์อย่างที่เคยทำมาทุกครั้ง เงินแทบจะถูกโยนรายทางไม่ต่างจากเบี้ย เขาเค้นถามจนได้ราคาที่พ่อกับแม่ของจุนเจือให้เอาไว้ แล้วจึงฟาดกลับด้วยสิ่งที่มีในมือ มันมากพอที่จะทำให้คนพวกนั้นลืมเลือนสัญญาเก่าและหันมาเลียขาของเขาแทน
ดวงตาคมสบตาของเด็กหนุ่ม ดวงตาคู่สวยที่เคยสดใส บัดนี้กลับแดงก่ำและเหนื่อยอ่อน มือแกร่งลูบเส้นผมที่เริ่มมีความมันเกาะของคนป่วย ก่อนแตะริมฝีปากที่หน้าผากมนดึงร่างบางของจุนเจือเข้ามาแนบอก
"พี่รักเจือนะ....รักเจือมาก...อย่าทำให้พี่ตกใจแบบนี้อีกเลยนะ...
อย่าทำร้ายตัวเองเพื่อคนแบบพี่เลยนะ" น้ำเสียงของทินกฤตสั่นเครือน้ำตายังคงไหลออกมาด้วยห้ามไม่อยู่ เขาไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดกับอีกฝ่ายหรือแม้แต่ตัวเองให้รู้สึกดีขึ้นจากความเจ็บปวดนี้ได้เลย การที่ต้องรู้ว่าคนที่รักได้ทำร้ายตัวเองเพราะตัวเขาเองนั่นก็แย่พออยู่แล้ว แล้วคนที่ทำร้ายตัวเองลงไปอย่างจุนเจือล่ะ จะรู้สึกแย่แค่ไหน คิดอะไรจึงได้ตัดสินใจลงไปแบบนั้น....มันคือเสียเรียกร้องขอความช่วยเหลือ....ที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ได้ยิน
"เจือก็แค่...อยากตื่นมาเจอหน้าพี่..เหมือนทุกเช้าของเรา..
เจืออยากจะคิดว่าเรื่องเจ็บปวดพวกนี้มันเป็นแค่ฝันร้าย แต่....พอตื่นมา แม่ก็ยังร้องไห้พ่อกับแม่เขา..เขาทะเลาะกันเพราะเจือเป็นแบบนี้" เด็กหนุ่มสะอื้นอยู่ในอ้อมแขนอีกฝ่าย
"เจือไม่น่าทำ..ทำแบบนี้เลย "
"มันผ่านไปแล้วคนดี...." ทินกฤตปลอบสองมือลูบเบาๆที่กลางหลังของเด็กหนุ่ม
"เราทำอะไรกับเรื่องที่ผ่านมาไม่ได้...แต่เราจะพยายามด้วยกันกับเรื่องในอนาคตจะได้ไหม " ทินกฤตหลับตาลงเขารู้ว่าพ่อแม่ของอีกฝ่ายกำลังดำเนินการเร่งด่วนที่สุดที่จะส่งคนที่เขารัก เด็กหนุ่มที่ไม่ประสีประสาเรื่องความรักเสียจนทำร้ายตัวเองลงไปคนนี้.....ไปให้พ้นจากมือของเขาให้ได้เร็วที่สุด
"มองหน้าพี่ซิ่..... " มือแกร่งจับหน้าของเด็กหนุ่มให้เงยหน้าขึ้นมามองหน้าของตัวเอง
"ได้ไหมครับ...."
ดวงตาแดงก่ำเปรอะด้วยหยาดน้ำตามองหน้าอีกฝ่าย ริมฝีปากแดงจัดเพราะการเม้มปากเมื่อพยายามหยุดเสียงสะอื้น
"พี่รู้ ว่าเจือเป็นทุกข์...พี่เองก็ทุกข์ และทุกข์ยิ่งกว่าที่เห็นเราเป็นแบบนี้ ...
พี่จะไม่ขอให้เจือเข้มแข็งเพื่อพี่ ...แต่จะขอให้เจือเข้มแข็งเพื่อตัวเอง พี่บอกว่าพี่จะทำให้เราได้อยู่ด้วยกัน และพี่จะไม่ผิดสัญญา เพียงแต่ในโลกของความเป็นจริงบางครั้งเราต้องเล่นตามเกมส์ของคนอื่นบ้าง แต่ก็เพียงเพื่อให้เราก้าวต่อไปได้ในทางของเรา...." ทินกฤตเอ่ย
"เจือจะช่วยพี่ด้วยการเข็มแข็ง...เพื่อตัวเองจะได้ไหมครับ""พี่เทียน.. "จุนเจือพยายามพูดแทนที่จะสะอื้นจะทำอะไรไม่ได้
" พ่อให้คน..เอาเอกสารมาให้เจือเซ็นแล้ว..เขา..เขาจะจับเราแยกกันจริงๆด้วย" เอกสารทำเรื่องการไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น อันที่จริงเป็นแผนที่วางไว้แล้ว แต่ถูกเร่งให้เร็วขึ้นอีก .. แทนที่จะดีใจ แต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกเหมือนหัวใจจะสลายเมื่อต้องจรดปากกาลงกับเอกสารชุดนั้น
"พี่รู้.... พี่ถึงอยากให้เจือเข้มแข็ง ตั้งใจเรียนและทำในสิ่งที่เจืออยากทำ อย่างน้อยเจือไปอยู่ที่นั่น ถึงจะไม่มีพี่ แต่ก็ยังมีเจนกับยัยอลิส...เจือคงไม่เหงา แต่ที่สำคัญที่สุดคืออย่างน้อยเจือจะได้เอาตัวเองออกไปจากสิ่งที่เจือไม่อยากเห็น ไม่อยากจะรับรู้ ถึงแม้มันจะเป็นความจริงแต่ใช่ว่าความจริงจะไม่เปลี่ยน ...พี่จะเปลี่ยนมันเอง ถึงจะต้องใช้เวลามากแค่ไหนก็ตาม" ดวงตาคมสบตาของเด็กหนุ่มนิ่งกำลังขอร้อง
อีกฝ่ายให้มอบความไว้วางใจให้กับเขาอีกครั้ง
"พี่...จะมีใครตอนที่เจือไม่อยู่รึเปล่า? "เด็กหนุ่มถามอีกฝ่ายถึงจะคิดว่ารักกันเพียงใดแต่เพราะเขาไม่เคยแยกจากอีกฝ่ายเลยรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมา เพราะรู้ว่าผู้ชายอย่างทินกฤตเป็นที่ต้องการของใครต่อใครมากมายเสียขนาดนี้ ..... ถ้าวันเวลาเปลี่ยนไปแล้วผู้ชายคนนี้จะยังรักเขาอยู่หรือเปล่า?..
"พี่ดูเป็นคนไม่น่าไว้ใจซิ่นะ..."ทินกฤตยิ้มน้อยๆ
"พี่จะไปมีคนอื่นได้ยังไง....พี่มีเจือคนนี้ คนเดียวก็ทำเอาพี่ไปไหนไม่รอดแล้ว..." ชายหนุ่มพยายามพูดติดตลก
" ไม่จริงหรอก ใครๆก็อยากเป็นแฟนพี่ทั้งนั้นแหละ..หล่อเทพซะขนาดนี้ " ท่าทางของทินกฤตทำให้จุนเจือเองคลายความกังวลได้บ้าง เขาพยายามจะยิ้มแม้ว่าจะเป็นยิ้มบูดๆเบี้ยวๆเพราะกล้ามเนื้อบนหน้าชินกับการร้องไห้มามากแล้ว
"ใครอยากได้ แต่พี่ไม่ให้อยากได้ไปก็เท่านั้น....คิดว่าญี่ปุ่นมันไกลขนาดไหนกัน พี่ไปหาเราได้ทุกเดือนนะ"
"สัญญานะ"
"สัญญา" คำตอบสั้นๆ แต่กลับทำให้ใจของคนสองคนแนบแน่นขึ้นกว่าเดิม
+++++++++++++++
talk : เจอกันแล้วนะคะ^^