และแล้วก็ถึงวันของการถ่ายทำหนังสือภาพ โดยที่เป็นการถ่ายแบบที่เน้นเรื่องราวสองภาคทั้งภาคของโลกแฟนตาซี และภาคที่อยู่กับโลกที่เต็มไปด้วยธรรมชาติรอบตัว มีการจัดฉากสถานที่ถ่ายทำไปยังหลายๆสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นกลางสวนสาธารณะ มุมจากบนอาคารสูง และฉากในสตูดิโอ เจนสุดาคอยดูแลนายแบบเป็นอย่างดี แทบจะไม่ยอมห่างกันเลย
ในระหว่างที่รอน้องชายทำงานอยู่นั้นหญิงสาวก็ได้เก็บภาพบรรยากาศการถ่ายภาพไปด้วย แล้วส่งให้คนรักที่อยู่ระหว่างการแต่งหน้าเพื่อเตรียมเดินแบบได้ดูไปด้วย
"อะไรกัน อลิส ยังไม่รีบไปทำผมอีก..." เสียงสไตลลิสต์ดังขึ้นเมื่อเห็น นางแบบสาวลูกครึ่งที่ทำสัญญาจ้างมาจากประเทศไทยนั่งยิ้มอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก
" แหม ก็เห็นคิวยาว .. อะ มิกิซัง ดูนี่สิ .. สวยไหม? " ภาพของจุนเจือดูสวยจนเรียกได้ว่า อวดใครต่อใครได้อย่างไม่อาย อลิสชอบฝีมือถ่ายรูปของเจนสุดาจริงๆ
" คนถ่ายรูปเก๊งเก่งเนอะ ถ่ายสวยจริงๆเลย~ "
"เอ้อจริง...แต่ฉันว่าคนเนี้ยะ...สวยกว่า" สไตล์ลิสต์สาวเพ่งมองใบหน้าสวยของตนในภาพ
"ใคร?...."
" อุ๊ย .. คนนี้เหรอ? น้องชายแฟนน่ะ..ถ่ายรูปขึ้นเนอะ เสื้อผ้า หน้า ผมก็เป๊ะ สไตลิสต์นี่เก่งจริงๆเลย นี่ขนาดงานสมัครเล่นนะเนี่ย " สาวลูกครึ่งยังคงชมแฟนสาวของตัวเองอย่างออกนอกหน้า
"เหรอ...วันไหนว่างก็พามาซิ่...จะพาไปแนะนำให้รู้จักคนที่นิตยสาร...เผื่อจะได้ลงซักคอลลัม แต่ก่อนหน้านั้น ช่วยไปทำผมได้แล้วไป..." มิกิกล่าวเธอไม่ได้พูดเล่นทั้งเรื่องว่าจะพาไปแนะนำให้นิตยสารและเรื่องที่บอกให้อีกฝ่ายไปแต่งตัว
" จ้า ไปเดี๋ยวนี้แหละ ดุจริงๆเล้ย " อสิสบ่นอุบอิบ แต่ก็เดินไปแต่งหน้าทำผมแต่โดยดี ทิ้งคอมพิวเตอร์เครื่องเล็กเอาไว้ให้มิกิได้พิจารณาจุนเจือแบบนั้น
++++++++++++++++++
"สาย"ได้รายงานเข้ามาในช่วงดึกเรียกได้ว่าจวนเจียนจะฟ้าสาง ด้วยอีเมลในกล่องข้อความของทินกฤต ด้วยหัวข้อที่ว่า
---จุนเจือดังแล้วคร้าบ~~---เชื้อชวนให้ชายหนุ่มเข้าไปอ่านเป็นอย่างยิ่ง
"อะไรของมัน.." ทินกฤตพึมพำพลางกดเปิดอีเมลนั้นดูขณะที่นั่งทำงานอยู่ที่บริษัท ภาพที่เห็นคือภาพของเด็กหนุ่มที่เขารักในชุดสวยงามโพสต์ท่าให้กับตากล้องถ่ายภาพราวกับนายแบบมืออาชีพ
"อะไรเนี่ย...." ทินกฤตขมวดคิ้ว แต่ริมฝีปากกลับอมยิ้ม ช่างเป็นสีหน้าที่ขัดแย้งก้นอย่างสิ้นเชิง พลางเลื่อนเมาส์ลงมาเรื่อย ใบหน้าของเด็กหนุ่มเปลี่ยนมุมรับแสงเงา ในขณะที่ร่างกายก็จัดวางท่วงท่าออกมาได้อย่าสวยงาม เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่นั้นก็ประณีตบรรจงเพียงมองดูก็รู้ได้ว่าเป็นผลงานการตัดเย็บของเจนสุดาผู้ที่ใฝ่ฝันจะเป็นดีไซเนอร์นั่นเอง
ก่อนที่จะเลื่อนภาพลงมาเรื่อยแล้วเห็นได้ถึงฉากหลังที่เปลี่ยนไป ฉากหลังสีฟ้าสดขับให้ผืนผ้าสีขาวที่ปูอยู่เป็นพื้นโดดเด่นขึ้นมา แต่คงไม่มีอะไรโดดเด่นมากไปกว่าคนที่อยู่ตรงกลางภาพ
เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งมีเพียงผ้าผืนบางพันกาย แม้จะดูเป็นศิลปะ แต่กลับดูยั่วยวนและเปิดเผยอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาสีอ่อนเป็นประกายเย้ายวน มองมาที่กล้องราวกับจะดึงดูดให้คนที่เฝ้ามองก้าวเข้าสู่โลกของความฝันและจินตนาการที่สรรสร้างขึ้นมา
"เฮ้ยยยยยยยย" ทินกฤตร้องเสียงหลง เพราะผ้าผืนบางผืนบางที่ห่อพันร่างกายของเด็กหนุ่มเอาไว้นั้นบางเบาจนเห็นเพียงกรอบร่างของเด็กหนุ่มผู้เป็นนายแบบ มือแกร่งกดโทรศัพท์ทางไกลต่อถึงเจนสุดาแทบจะในทันที
"ฮัลโหล เจน รูปเจือนั่นมันอะไรน่ะ ให้น้องไปถ่ายอะไรแบบนั้นได้ยังไง" ทินกฤตโวยวายเสียงดัง ยิ่งเลื่อนเม้าส์ลงไปเรื่อยท่าทางของจุนเจือยิ่งดูยั่วยวนในสายตาของเขามากขึ้นเท่านั้น
"หา? อะไรนะเทียน รูป อ้อ นั่นมันเป็นแบบ ในโปรเจคจบของนักศึกษาที่นี่น่ะ...ไม่มี....ฮัลโหล....เทียน?....ฮัลโหล???" เจนสุดาเรียกเอาไว้ แต่ก็ไม่ทันที่จะได้ร้องเรียกเอาไว้อีกฝ่ายก็ตัดสายเธอไปเสียแล้ว
"อะไรเนี่ย...โทรมาแค่นี้?..." เจนสุดาเกาหัวแกรก เมื่อยังไม่ทันจะได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมให้อีกฝ่ายได้รับรู้เลยทินกฤตก็ตัดสายไปเสียแล้ว
ทินกฤตวางโทรศัพท์อย่างหัวเสีย เขาร้อนรนไปหมดจนคิดอะไรไม่ออก มันเป็นหนังสือแบบไหน ทินกฤตอดคิดไม่ได้ว่าจะมีคนอีกมากเท่าไหร่ที่ได้เห็นสีหน้าท่าทางแบบนั้นของเด็กหนุ่มคนที่เขาเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็น "คนรัก" ของตัวเอง
...ก็บอกแล้วว่าหวงๆ...
...ทำไมยังไปถ่ายรูปแบบนั้นอีกนะเจือ...ทินกฤตยกหูโทรศัพท์ภายในกดเรียกสายของ นุช เลขาหน้าห้องทันที
"นุช อืม มีเรื่องอยากให้จัดการให้หน่อย ช่วยเตรียมเอกสารขอวีซ่า แล้วก็เตรียมจองตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นให้ผมด้วยนะ...อืม ภายในไม่เกินสองอาทิตย์นะครับ..." เสียงทุ้มย้ำให้แน่ใจ
++++++++++++++++++
เรื่องการจัดการเอกสารวีซ่าและการเตรียมตัวไปญี่ปุ่แบบเร่งด่วนนของทินกฤตดังเข้าหูของคุณกฤษณา ผู้เป็นแม่ของชายหนุ่มจนได้ หลังจากเรื่องที่เขาแอบคบกับจุนเจือได้ถูกเปิดเผย การทะเลาะกันอย่างรุนแรงในวันนั้นทำให้ชายหนุ่มไม่ได้กลับเข้าบ้านอีกเลย ดังนั้นเมื่อได้ทราบข่าว คุณกฤษณาจึงรีบเดินทางมายังบริษัทด้วยตนเอง พนักงานของบริษัทต่างก็ต้องไหว้ด้วยความเกรงกลัวในท่าทางที่ราวกับโกรธทุกคนที่ขวางหน้า แม้แต่เลขาหน้าห้องเองก็เช่นกัน
" สวัสดีค่ะ ... มาพบท่านประธานเหรอคะ? " หญิงสาวถามอย่างหวาดๆ
" ใช่ .. เดี๋ยวฉันเข้าไปเอง " พูดจบเธอก็เปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานของลูกชายทันที
" ตาเทียน ได้ข่าวเราจะไปญี่ปุ่นรึยังไง ที่แม่เคยบอกไว้ ไม่เคยใส่ใจเลยใช่ไหม? "
"แม่?....อะไรกันครับเนี่ย...อยู่ๆก็มาถึงที่นี่" ทินกฤตถามพลางลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน
" มีคนบอกแม่ว่าเราจะไปญี่ปุ่น จะไปหาเด็กนั่นใช่ไหม? ทำไมล่ะเทียน? ตั้งหลายเดือนแล้วนะ ไอ้เรื่องลูกเป็นเกย์น่ะ แม่จะทำใจยอมรับก็ได้ แต่เด็กนั่น..แม่ไม่ยอมรับนะ "
ผู้เป็นแม่ส่ายหน้าไปมา ในตอนนี้ทั้งเธอและสามีรู้ตัวดีว่าทำอะไรไม่ได้มาก ครั้นจะริบบริษัทคืนจากทินกฤตที่ทำเงินให้เป็นอย่างมากนั้นก็ทำไม่ได้อีกแล้ว เงินที่เข้ามาไหลเวียนในครอบครัวของเธอและ ครอบครัวทางโน้น ล้วนแต่มาจากความสามารถของลูกชายคนนี้ทั้งนั้น พวกเขาทั้งสี่คนรู้ดีถึงข้อดีของทินกฤตในการทำเงินมากกว่าที่จะยอมยกเลิกสัญญาระหว่างสองบริษัท แต่กระนั้นความสัมพันธ์ของสองบ้านก็ยังอยู่ในสภาวะที่เรียกได้ว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยกันทั้งคู่
"ทำไมล่ะครับ... ทำไมยอมรับไม่ได้....เรารักกัน ก็เหมือนพ่อกับแม่หรือที่ใครๆเขารักกัน...แค่ผมจะไปหาคนที่ผมรักเนี่ย ทำไมแม่จะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้ด้วย" ทินกฤตมองหน้าของผู้เป็นแม่วางมือลงบนพื้นผิวเรียบของโต๊ะเหมือนจะยึดไว้เป็นหลัก เขาพยายามที่จะอธิบายให้อีกฝ่ายฟังอย่างใจเย็น ไม่อยากจะใช้คำพูดอะไรที่มันจะเชือดเฉือนอีกฝ่ายไปมากกว่านี้
" แม่ไม่ชอบเด็กคนนั้น " คุณกฤษณาตอบกลับมาตามตรง เธอสบตาลูกชายนิ่ง
"และจะไม่ยอมรับมันด้วย "
"แล้ว....."คำขาดของผู้เป็นแม่ทำให้ทินกฤตสบตาของผู้เป็นแม่นิ่ง
"
แม่จะให้ผมทำยังไงล่ะครับ...ให้ผมเลิกกับเจือ แล้วไปหาคนอื่นมาอยู่ด้วย? คนอื่นที่ไม่ได้รัก? เหมือนอย่างตอนที่พ่อกับแม่พยายามจะให้ผมแต่งงานกับเจนให้ได้น่ะเหรอครับ? ถ้าอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องที่ผมเป็นเกย์แล้วล่ะที่พ่อแม่ไม่ยอมรับผม...พ่อแม่ไม่ยอมรับตัวตนและการตัดสินใจด้วยตัวเองของผมมากกว่า"
" จะไปหามันให้ได้ใช่ไหม? "น้ำเสียงของผู้เป็นแม่สั่น พยายามสะกดความไม่พอใจใดๆเอาไว้ให้ได้
"
ผมรู้ว่าคนที่ผมรัก อาจจะไม่ได้เป็นที่รักของแม่... เขาเป็นคนอื่นสำหรับแม่ และผมรู้ว่ามันไม่ใช่ความจำเป็นอะไรของแม่ที่จะต้องยอมรับเขา แต่สำหรับผมแล้วเขาเป็นทุกอย่าง...ไม่ใช่ว่าผมจะตัดแม่พ่อและทุกๆคนออกไป แต่ตอนนี้ผมกำลังจะยื่นข้อเสนอกับแม่...เพราะผมยังไงซะ ผมก็ยังเป็นลูกของแม่ที่ยังพร้อมจะทำงานให้พ่อกับแม่ ให้ได้มีกินมีใช้ ตอบแทนพ่อกับแม่ที่ให้ชีวิตให้ความรักให้การศึกษาผมจนถึงตอนนี้....
ขอเพียงแค่พ่อกับแม่จะไม่พยายามกีดกันพวกเรา และช่วยเฝ้าดูอยู่ห่างๆ..." ทินกฤตหยุดเล็กน้อย
"ว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง...อาจจะล้ม...อาจจะพลาด พ่อกับแม่จะหัวเราะเยาะผมก็ได้ ผมไม่ว่า เพราะผมจะถือว่าพ่อกับแม่ได้เตือนผมแล้ว และถ้าเราประสบความสำเร็จก็อยากให้ช่วยเป็นกำลังใจก้นต่อไป....แต่แม่ครับ
ผม...ไม่ใช่เด็กแล้ว ผมมีเหตุผลพอที่จะตัดสินใจได้ด้วยตัวเองและไปไหนต่อไหนด้วยตัวเอง ผมไม่จำเป็นจะต้องขออนุญาตพ่อแม่อีกแล้ว.... นอกเสียจากเรื่องทางธุรกิจ ผมอยากให้พ่อกับแม่วางใจ แล้วปล่อยให้ผมใช้ชีวิตของผมกับเจือ..ต่อไป" ทั้งคำพูดสีหน้าและแววตานั้นไม่ได้มีความลังเล หรือ หวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อยสิ่งที่เขากล่าวออกไปแม้เหมือนเป็นการขอร้อง แต่ทินกฤตไมได้คิดจะฟังคำตอบ มันเป็นคำพูดที่แสดงถึงการตัดสินใจของตัวเขาเองต่างหาก
ผู้เป็นแม่หลับตาลงพลางเงยหน้าขึ้น เธอไม่อยากจะให้น้ำตาไหลออกมาอีก เธอร้องให้มามากพอแล้วกับเรื่องนี้ ถึงจะมีน้ำตามันก็คงจะเปลี่ยนใจลูกชายคนนี้ของเธอไม่ได้เช่นกันร่างท้วมนั้นหันหลังเดินออกจากห้องประธานบริษัทไปทันที เธอคงไม่มีอะไรจะพูดกับทินกฤตอีกแล้ว
++++++++++++++++++
talk : อาจจะนานๆอัพทีนะคะ..พอให้หายคิดถึงได้บ้างเนอะ ..เอาล่ะ พี่เทียนจะไปจัดการจุนเจือถึงญี่ปุ่นยแบบไหนกันนะ?