โชคดีที่การทำงานของจุนเจืออย่างเหนื่อยอ่อนในวันนั้นเป็นวันศุกร์ เขาจึงมีเวลานอนตื่นสายในวัยเสาร์และวันอาทิตย์ แต่ถึงแบบนั้น คำพูดของทินกฤตก็ยังคงค้างคาใจอยู่ดี ดังนั้น เมื่อวันจันทร์มาถึง เด็กหนุ่มจึงแวะซื้อแฮมเบอร์เกอร์มาสามอันก่อนจะวิ่งขึ้นไปเบียดผู้คนในรถไฟฟ้า แล้วเดินไปจนถึงบริษัทตั้งแต่เช้า เพื่อที่จะถามในสิ่งที่ยังข้องใจกับคนที่น่าจะให้คำตอบเขาได้
"โอ้ว...จุนเจือเพื่อนรัก เป็นไงบ้าง...คิดถึงชิบเลยว่ะ เอ้าของฝาก" ว่าพลางส่งรถด่วนในกล่องให้เพื่อนหน้าสวย
" อะไรอะ...เฮ้ย! สาดดดดดดดดดดด มึงเอาออกไปเลย กูขยะแขยง "
เมื่อเห็นหนอนรถด่วนเต็มกล่องก็ทำเอาหนุ่มหน้าสวยต้องโวยวาย ร่างเพรียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มีล้อเลื่อนนั้น ถึงกับไถลตัวเองออกห่าง หน้าขาวๆโทรมเล็กน้อย( ?? ) ขาวซีด มือทั้งสองข้างลูบแขนตัวเองให้หายขนลุก
"อร่อยนาเว้ย...เนี่ยมึงรีบๆกินนะ.... เดี๋ยวมันเดิน" บาสไม่วายยังแหย่เพื่อนต่อ
" เหี้ย..มึงเอาออกไปเลย กูอุตส่าห์ซื้อแมคมาฝาก " จุนเจือโวยวาย
" งั้นมึงก็กินหนอนตามสบาย เบอร์เกอร์ของมึงกูเอาให้ไอ้เก่งแทนละกัน " ว่าแล้วก็หยิบไม้ทีไปเกี่ยวถุงหิ้วที่ใส่ห่อเบอร์เกอร์มาใกล้ๆ ท่าทางยังขยะแขยงหนอนทอดอยู่ไม่น้อย
"กูก็อุตส่าห์ซื้อโปรตีนมาฝากมึงนะเนี่ย ...มีประโยชน์นะเว้ย..." ก่อนที่ถุงเบอร์เกอร์จะลอยไปไหน บาสก็เดินไปคว้าถุงนั่นเอาไว้ "ไหนๆมึงก็เอามาแล้ว.....กูไม่อยากให้เสียน้ำใจ"
ใบหน้าสวยมองหน้าเพื่อนสนิทเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมอง ซ้าย-ขวา เพื่อให้แน่ใจว่าจะยังไม่มีใครมาทำงานในแผนก ในช่วงเวลาเช้าขนาดนี้
" เออ..กูมีเรื่องจะถาม "
"อะไร..." บาสไม่ได้สนใจจะหันมามองเท่าไร มือแกะเบอร์เกอร์ขึ้นมายัดใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ
" มึงว่า..กูจะเป็นเกย์รึเปล่าวะ? ""เฮ้ย....แค่ก..อ่อก....."บาสถึงกับสำลัก "อะไรวะ..เหี้ยแม่งมาพูดอะไรเอาตอนกินข้าว..." ก่อนจะถอยออกห่าง
"
นี่มึงอย่าบอกนะมึง...ชอบกู สาดไม่เว้ย กูมีน้องเอกอยู่เต็มหัวใจ" พูดเองเออเองเสร็จสรรพ
บาสว่าพลางมองหน้าของอีกฝ่าย "มึงเอาจริงดิ่ สาด..แย่แล้วกู อย่ามาเข้าใกล้กูนะเว้ย...
เอกรู้ว่ากูมีชู้นี่แม่งเอากูตายแน่" บาสร้องออกมาแบบนั้น ก็คว้าถุงเบอร์เกอร์วิ่งหนีไปอีกทาง
" ไอ้บาส .. มึงจะไปไหนเล่า มาตอบกูก่อน
ไหนว่าผีเห็นผีไงมึง ไม่เห็นผีสิงกูใช่ไหมวะ สาดดดดดดดดด!! "จุนเจือส่งเสียงถามตามไป
"ผีน่ะกูเห็นโว้ย...แต่
ไอ้คนผีเข้าผีออกแบบมึงนี่ กูไม่เห็นนนนนนนนนน" เสียงบาสตะโกนกลับมา
คำตอบของบาสทำเอาจุนเจือต้องหน้าหงิกไปทั้งวันอีกรอบ .. งานที่ค้างไว้ยังกองอยู่บนโต๊ะ แต่เขาไม่มีกระจิตกระใจจะทำแล้ว วันนี้ ดวงตาคู่สวยนั่นพยายามสอดส่องมองหาต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องมาถามคำถามบ้าบอกับเพื่อนสนิทอยู่ทั้งวัน
+++++++++++++++
กว่าทินกฤตจะเข้าบริษัทก็ล่วงเลยมาจนเวลาบ่ายแล้ว จุนเจือที่นั่งเล่นเวปไซต์หารุปเลเยอร์คอสเพลย์ก็เดินออกจากแผนกไปทันที
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้คนที่เพิ่งจะเข้ามาถึงบริษัท ต้องหันไปมองบานประตู
"เข้ามา..."ทินกฤตว่าพลางถอดเสื้อสูทของตัวเองแชวนไว้ที่ที่แขวนเสื้อ
เขาเพิ่งจะกลับมาจากการไปเข้าพบประธานบริษัทคู่ค้า การเข้าไปฝากเนื้อฝากตัวถือเป็นเรื่องดี เพราะอย่างไรเสียเขาก็รับช่วงต่อจากพ่ออยู่แล้ว
ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างแรง ตามมาด้วยเสียงปิดประตูที่ฟังดูก็รู้ว่าคนที่เข้ามาไม่ค่อยพอใจเอาเสียเลย
" พี่เทียน! "
"อ้าว ...เจือ?...มีอะไร" ทินกฤตว่าพลางปลดเนคไทออกจากคอ ไม่พอปลดกระดุมเสื้อออกอีกเล็กน้อย วันนี้เขาอึดอัดกับสูทมามากเกินพอแล้ว ร่างสูงเดินไปนั่งที่เก้าอี้
"วันนี้มีอะไรเหรอ " ชายหนุ่มถามสองมือประสานบนโต๊ะทำงาน
" ยังจะมาถามอีกนะ! ดูหน้าผมนี่! " นิ้วเรียวชี้ที่หน้าตัวเอง ใบหน้าที่เรียกได้ว่าสวย บัดนี้กลับมีสิวเม็ดเป้งที่หน้าผาก รอยคล้ำใต้ตาและริ้วเล็กๆ แบบคนอดนอน
" เพราะพี่คนเดียว! พูดบ้าอะไรก็ไม่รู้ ผมนอนไม่หลับมาตั้งสองวันแล้วนะ! แล้วผมจะเอาหน้าแบบนี้ไปประกวดคอสที่ญี่ปุ่นได้ยังไง หา " มือเรียวตบโต๊ะทำงานของทินกฤตดังปัง
"หา?...อะไร?....เดี๋ยว แล้วพี่พูดอะไร" เทียนเอียงคอด้วยความไม่แน่ใจว่าตัวเองตีความสิ่งที่ได้ยินถูกไหม
"พี่ไปทำอะไรให้เราเหรอ?"
" พี่บอกอะไรผมล่ะ .. ทำอะไรผมล่ะ?! "
คิ้วเรียวขมวด เขากำลังนึกถึงจูบที่ควรจะขยะแขยงนั่น แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น หรือว่า?...
" แล้วผมเป็นเกย์รึไง?""หา..เราอ่ะนะ
เป็นเกย์?" ทินกฤตก็อุทานเสียงดังเหมือนกัน ก่อนจะสังเกตเห็นท่าทางของอีกฝ่าย ริมฝีปากได้รูปหยักยิ้ม พลางยกมือขึ้นเท้าคางมองหน้าของน้องเมีย
" อะ..อะไร "ใบหน้าสวยแดงๆมองหน้าอีกฝ่ายแล้วเสมองไปทางอื่น เขาไม่ชอบทินกฤตที่ทำหน้าแบบนี้เลย
"อยากให้พี่พูดอะไร?...
ให้ทำให้แน่ใจเหรอ...ว่าเราไม่ใช่เกย์? เพราะพี่พูดไปแบบนั้น เลยทำเราคิดมาก?" ทินกฤตขยับตัวพิงหลังกับพนักเก้าอี้ ท่าทางยียวนไม่น้อย
" แล้วมันแปลกตรงไหน ใครก็ต้องคิดทั้งนั้นแหละ ..
จู่ๆมีเกย์มาบอกว่าตัวเองอาจจะเป็นเกย์อะ! "
จุนเจือเถียงออกมาทันที เขาเรียวทั้งสองพาตัวเองอ้อมหลังโต๊ะทำงานไปอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย
"อ้าว...ก็ที่เราทำมันก็......" ทินกฤตนิ่งเมื่ออยู่ๆอีกฝ่ายมาหยุดอยู่ตรงหน้าสองแขนเรียวนั้นเท้าแขนกับพนักเก้าอี้ กลายเป็นว่าจุนเจือกำลังล้อมกรอบไม่ให้เขาหนีไปไหน
"หรือจะให้พี่ทำให้แน่ใจ...." ดวงตาคมสบตาของอีกฝ่ายนิ่ง
" งั้นพี่ก็บอกมาสิ ว่าผมเป็นผู้ชาย ผมไม่ใช่เกย์อะ! "มือทั้งสองข้างกำพนักเก้าอี้ของทินกฤตแน่น
"งั้นให้พี่ให้เราบอกเองดีกว่าไหม ว่าตัวเอง..ชอบหรือเปล่า?" ทินกฤตเอ่ยด้วยเสียงเบาที่ดังพอจะให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน
ก่อนที่มือแกร่งข้างซ้ายจะรวบเอาเอวบางลงมานั่งที่ตักในขณะที่มืออีกข้างก็โน้มคอของอีกฝ่ายลงมา ดวงตาคมสบตาของอีกฝ่ายเอาไว้ แล้วจูบเด็กหนุ่มที่ดีแต่จะหาเรื่องต่อว่าเขาทุกครั้ง
ดวงตาคมนั้นเบิกกว้าง มือเรียวพยายามดันอกของอีกฝ่ายออก ริมฝีปากบางก็อ้าออกหมายจะต่อว่าเช่นทุกครั้ง แต่ก็ไม่อาจทำได้ มือของทินกฤตแข็งแรงเกินกว่าที่เขาจะต่อต้านแรงได้
เรียวลิ้นของร่างสูงแย่งชิงเอาความหวานมาจากอีกฝ่าย ส่งผ่านความร้อนไปให้ร่างบางนั้น มือแกร่งโอบร่างเล็กเข้าไว้ ข้างหนึ่งในขณะที่มืออีกข่างกลับไล่สัมผัสอีกฝ่ายผ่านผิวผ้า แผ่นอกเรียบบางใต้เสื้อเชิ๊ตสีขาวนั้นร้อนผ่าวและรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากหัวใจ
ร่างเพรียวกระตุกกับสัมผัสจากมือแกร่ง ริมฝีปากของเขากำลังโดนรุกรานอย่างร้อนแรงและหยาบคาย ปลายลิ้นที่สัมผัสดุนดัน ยิ่งทำให้มึนงงไปหมด มือที่ดันอีกฝ่ายออกอ่อนแรงจนได้แต่กำมือตนเองแน่น
"อืม....อีกนิดน่า..." มือแกร่งดึงเนคไทของอีกฝ่ายเข้ามาหาตัว ปลายนิ้วเลื่อนเกี่ยวดึงปมเนคไทของอีกฝ่ายออก ก่อนจะเลื่อนไล้ปลดกระดุมพลาสติกบนเสื้อเชิ๊ตนั่นออก
เสียงหอบหายใจเมื่อพี่เขยละริมฝีปากออก กลับอุทานอย่างตกใจเมื่อถูกดึงเนคไทออกตามมาด้วยกระดุม ร่างที่อ่อนยวบนั้นดูจะขัดขืนขึ้นมาอีกครั้ง
"อยากจะมั่นใจไม่ใช่เหรอ..."เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาใกล้ใบหูบาง แล้วใช้ฟันขมเม้มริมฝีปากของอีกฝ่ายเล็กน้อย
" มะ..ไม่..ปล่อย.. " ริมฝีปากบางแดงช้ำเอ่ยห้ามตะกุกตะกัก นกหงษ์หยกที่ใบหน้าแดงจัดคงไม่รู้ตัวว่ากำลังแสดงสีหน้าแบบไหนออกไปให้พี่เขยได้เห็นชัดๆแบบนี้
ดวงตาคมมองใบหน้าที่แดงก่ำของอีกฝ่าย ริมฝีปากหยักยิ้มพึงใจ
บางทีเขาควรจะเลิกแกล้งเด็กได้แล้วกระมัง ...แต่ถึงจะคิดแบบนั้นกลับ รู้สึกอยากจะแกล้งอีก ริมฝีปากร้อนฝากรอยช้ำเป็นจ้ำไว้ที่เนื้อใต้กระดุกไหปลาร้าของเด็กหนุ่ม แม้จะใส่เสื้อเชิ๊ตปลดกระดุมก็คงจะมองไม่เห็น...
สัมผัสที่ผิวเนื้อทำให้จุนเจือต้องกระตุกร่างอีกครั้งอย่างตกใจ แต่ก่อนที่จะมีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น
---RRR---
เสียงโทรศัพท์จากเลขาก็ดังขึ้น
ทินกฤตสะดุ้งเฮือก พลางคว้าโทรศัพท์นั่นขึ้นมาทันที
"มีอะไร?..."
" คุณศักดิ์ชัยมาขอพบค่ะท่าน "
"เอ่อ..อ่า.... " เสียงของเลขาสาวที่มาดังเอาตอนที่น้องเมียยังนั่งอ่อนระทวยหน้าแดงอยู่บนตักแบบนี้...ทำเอาพูดอะไรไม่ออก
"อืม..ให้เข้ามาเลย " ทินกฤตตอบกลับไป เขาไม่มีทางเลือกมากนัก จะบอกว่าไม่สะดวกก็กระไรอยู่
ทันทีที่เลขาสาวได้คำตอบ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น จุนเจือยังคงนั่งอยู่บนตักของพี่เขยถึงกับมองหน้าอีกฝ่ายสลับกับประตูอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร
"เจือ ขอโทษนะ" ทินกฤตกลั้นใจพูดออกไปแบบนั้น ก่อนจะดันร่างสูงโปร่งของน้องเมียให้ลงไปนั่งอยู่ใต้โต๊ะ ไม่พอยังยกนิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย
"เงียบๆล่ะ"ก่อนจะรีบผุดลุกขึ้นมาจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย
"เข้ามาซี่ ศักดิ์ชัย"
+++++++++++++++
"ว่ายังไง มีอะไรเหรอศักดิ์ชัย "ทินกฤตสูดลมหายใจเข้าลึกพลางหันไปมองหน้าคนที่เข้ามาใหม่ หวังในใจว่าอีกฝ่ายจะไม่สังเกตเห็นอะไรผิดปรกติบนใบหน้าของตัวเอง
ศักดิ์ชัย ชายหนุ่มวัยสามสิบห้า เป็นคนรูปร่างสูงเพรียวแบบคนเชื้อสายจีน จะว่าเป็นญาติทางฝั่งแม่ของทินกฤตก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะเขาเป็นลูกชายของลูกพี่ลูกน้องของผู้เป็นแม่ของชายหนุ่ม ใบหน้าขาวภายใต้แว่นสายตาแต่ก็ไม่ได้เป็นคนที่ล้าสมัยอะไร ทำหน้าเครียดขณะที่เดินเข้ามาหาประธานบริษัทที่นั่งอยู่กลางห้อง
" ผมมีเรื่องจะปรึกษา เกี่ยวกับเด็กฝึกงานน่ะครับ ไม่ทราบสะดวกคุยหรือเปล่า? "ใบหน้าขาวนั่นค่อนข้างเครียดไม่น้อย
น้ำเสียงนั้นทำเอาคนที่นั่งอยู่ใต้โต๊ะประธานบริษัทอย่างจุนเจือที่กำลังมึนงง ต้องเสียงสันหลังวูบ
"เรื่องเด็กฝึกงาน...มีอะไรอีกเหรอ" ทินกฤตขมวดคิ้ว พลางมองหน้าของศักดิ์ชัย
" คุณคิดว่าเด็กคณะวิศวะสามคนนั้นเป็นยังไงบ้างครับ? "ชายหนุ่มสวมแว่นเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจถามออกมาตรงๆ
"ทำไมเหรอครับ...เจ้าเด็กพวกนั้นสร้างปัญหาอีกรึไง..." ทินกฤตเอ่ยถามไม่ได้เกรงใจคนที่นั่งอยู่ใต้โต๊ะ
" ได้ยินมาว่า..เด็กสองคน ถึงจะหัวดี แต่ก็ไม่ค่อยตั้งใจทำงานเท่าไหร่น่ะครับ .. ส่วนเด็กที่มาจากเชียงใหม่.. " ชายหนุ่มอึกอักเล็กน้อย ..
" ตั้งใจทำงาน..มากเกินไป..น่ะครับ "
"เดี๋ยวนะ..."ทินกฤตยกมือเชิงขอเวลา " ไม่ตั้งทำงานเนี่ยผม....พอจะเข้าใจนะ....แต่ไอ้ตั้งใจทำงานเกินไปนี่มันยังไงเหรอ?"
ทินกฤตเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ใต้โต๊ะ
....เป็นอะไรหรือเปล่านะ...หายใจออกไหมนั่น...." คือ..เอ่อ ผมก็ให้งานเขาไปเหมือนกับที่ให้เด็กสองคนนั่น แต่เด็กคนนั้นทำงานเสร็จก่อนคนอื่น แต่แทนที่จะช่วยงานเพื่อนหรือที่แผนกตัวเอง กลับมาช่วยผมทำงานพวกเล็กๆน้อยๆ อย่าง ถ่ายเอกสาร ชงกาแฟ ..ซึ่งที่จริงแล้ว นายเก่งไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ใช่ไหมล่ะครับ? "
ดูเหมือนคำพูดเหล่านั้นจะไม่เข้าหูจุนเจือเลย ตั้งแต่จับใจความได้ว่า มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา หนุ่มร่างเพรียวยังขดตัวเองอยู่ใต้โต๊ะ .. แต่เพราะศักดิ์ชัยพูดอะไรยาวเหยียด ร่างสูงเพรียวที่ไม่ได้ตัวเล็กเท่าลูกหมานั้นจึงขยับมาด้วยความเมื่อย
"อาฮะ...แล้ว...ทำไมเหรอ ผมว่าถ้าเขาอยากทำแล้วมันช่วยเบาแรง เบางานคุณไปบ้าง...มันก็น่าจะดีไม่ใช่เหรอศักดิ์ชัย"
ทินกฤตยิ้มกับเรื่องเล่าที่ได้ยิน "....ดีนะ อย่างน้อยยังมีคนตั้งใจทำงาน...ไม่ใช่วันๆดีแต่หาเรื่องปวดหัวมาให้น่ะ"
คำพูดจาเหน็บแนมทำเอาคนที่อยู่ใต้โต๊ะแทบจะแยกเขี้ยวใส่ ร่างบางขยับไปมาจนศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมสีน้ำตาลแดงโขกกับโต๊ะ
--กึก--
" โอ๊ะ " อุทานออกมาเบาๆ แล้วก็ต้องยกมือปิดปาก
เสียงที่ดังขึ้นทำเอาทินกฤตสะดุ้งก่อนจะแสร้งร้องออกมา
"โอ้ย....เผลอเตะโต๊ะจนได้...."ก่อนที่ดวงตาคมจะเหลือบมองใต้โต๊ะเหมือนจะดุคนที่ซ่อนตัวอยู่ข้างล่าง
....เด็กบ้า....เสียงเบาๆหน่อยซี่......จุนเจือถลึงตาใส่พี่เขย ทั้งๆที่ยกปิดปากตัวเองอยู่แบบนั้น แล้วก็เจ็บเสียด้วยสิ
"เอ่อ...เอาเป็นว่า ผมว่ามันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ ...อย่างน้อยเขาก็ทำงาน...คุณก็ ชมเด็กมันบ้างอะไรบ้างก็ได้ มันจะได้ไม่เสียกำลังใจ ใครถูกก็ชม ใครผิดก็ติกันไป" ทินกฤตว่าพลางมองไปที่ประตู "เอาไว้เราค่อยปรึกษาเรื่องนี้กันอีกทีก็แล้วกัน..."
+++++++++++++++
ทินกฤตมองจนมั่นใจว่าศักดิ์ชัยเดินออกจากห้องไปแล้ว และไม่มีท่าทีว่าจะเดินย้อนกลับมาปรึกษาด้วยเรื่องอะไรประหลาดๆอีก ร่างสูงรีบดันร่างของตัวเองออกหากจากโต๊ะทันที
"เจือ...เป็นอะไรหรือเปล่า?"
" เจ็บน่ะสิ ถามได้! โอย หัวจะโนไหมเนี่ย? "
เด็กหนุ่มผู้โชคร้าย ถูกพี่เขยลวนลาม ถูกจับยัดใต้โต๊ะ และยังเอาหัวโขกโต๊ะ บ่นออกมา มือเรียวคลำหัวตัวเองป้อยๆ แล้วพยายามออกจากโต๊ะ แต่..
" โอ๊ะ! " ทันทีที่ขยับตัว ความปวดก็ลามขึ้นมาจากข้อเท้า .. ตะคริวกินเข้าให้อีก!
ร่างของจุนเจือทรุดกองอยู่กับพื้น ท่าทางแบบนั้น ทำให้ในใจของทินกฤตเต้นโครมครามขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเห็นว่ามีเด็กหนุ่มหน้าตาดี ในเสื้อนักศึกษาที่เหมือนจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่มานั่งกองอ่อนระทวยอยู่ตรงหน้า
"โอ๋ๆ..." ชายหนุ่มว่าพลางรั้งที่ใต้รักแร้ของอีกฝ่ายให้ลุกยืนขึ้นมา
"ขวัญเอ้ยขวัญมานะ..." มือแกร่งลูบหัวของอีกฝ่ายตรงที่โขกกับโต๊ะเสียงดัง
ใบหน้าของทินกฤตนั้นมีรอยยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ดูเหมือนทำทีว่าจะเยาะเย้ยเหมือนทุกที ในดวงตาคมคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความเอ็นดูอย่างประหลาด
" จะสมน้ำหน้าผมใช่ไหมล่ะ?.. ซวยได้อีก หาเรื่องมาให้โดน..เอ่อ..นั่นน่ะ แล้วยังมาเจ็บตัวอีก "
จุนเจือแยกเขี้ยวใส่ใบหน้าหล่อๆของคนตรงหน้า ที่คงจะยิ้มเยาะเขาเสียมากกว่า
"พี่...จะสมน้ำหน้าเราได้ยังไง...." น้ำเสียของทินกฤตฟังดูอ่อนใจ ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปช่วยติดกระดุมเสื้อให้อีกฝ่าย
"พี่เล่นกับเราแรงไปหน่อย...ขอโทษด้วย แต่ไม่รู้ว่าเราจะได้คำตอบแล้วหรือยัง"
คำว่า"เล่น" บีบให้ในอกของเด็กหนุ่มคนสวยรู้สึกเจ็บได้อย่างประหลาด มือเรียวปัดมืออีกฝ่ายออกทันที
" อย่ามา..แตะผม " เสียงนั้นพูดออกมาแผ่วเบา ก่อนจะจัดการเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อย ความรู้สึกเจ็บในอกนี้ ยิ่งทำให้อะไรมันไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย กระดุมช่างติดยากเหลือเกิน แล้วไหนจะเนคไทที่ถูกดึงออกนี่อีก ริมฝีปากบางที่แดงช้ำนั้นส่งเสียงอย่างรำคาญในสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ตอนนี้หงุดหงิดเหลือเกิน
"นี่....ให้พี่ช่วย" มือแกร่งของทินกฤตหยุดมือที่สั่นระริกของอีกฝ่ายเอาไว้
"ให้พี่ทำให้ก็แล้วกันนะ" พูดพลางก็ช่วยติดกระดุม ช่วยผูกเนคไทสีกรมท่านั้นให้เรียบร้อย
ลมหายใจร้อนหายใจรดใกล้ร่างของเด็กหนุ่ม แต่เป็นเพียงลมหายใจที่สม่ำเสมอ ไม่ได้แฝงความหมายใดๆไว้ในสายตา
ลมหายใจที่กระทบผิว มันไวต่อความรู้สึกเกินไป จุนเจือขยับออกห่างจากพี่เขยทันที
++++++++++++++++++
