ทินกฤตถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางแบบนั้น
"พี่ขอโทษ เรา...คงไม่ชอบที่ทำแบบนี้ ..."มือแกร่งยกขึ้นทั้งสองข้าง เหมือนจะบอกให้อีกฝ่ายรู้ถึงเจตนา
"แต่...พี่คงยังให้เรากลับออกไปทางประตูหน้าตอนนี้ไม่ได้.... " ทินกฤตว่าพลางมองไปยังประตู เสียจอแจข้างนอกไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทุกคนยังอยู่ครบ
"คงมีคนเอาไปพูดกันเยอะแน่ ถ้าเราจะเดินออกไปจากห้องของพี่ ...เวลานี้ หน้าตาแบบนั้น..." ชายหนุ่มว่าพลางมองใบหน้าสวยของอีกฝ่ายที่ทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้
จุนเจือหันหน้าไปอีกทาง มือเรียวตบหน้าตัวเองเบาๆให้หายทำหน้าแบบนี้เสียที
"เจือ...จะทำอะไรน่ะ" ทินกฤตคว้ามือของอีกฝ่ายเอาไว้ "ไหนว่าจะเอาหน้าไปประกวดไงเล่า..."
" ช่างมัน .. วันนี้ ผมไม่อยากเห็นหน้าพี่แล้ว" มือเรียวสะบัดออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย
" ก็แค่ตบให้หายซะ ไอ้ความรู้สึกแบบนี้ "
...เกลียดความรู้สึกนี้..เจ็บ..."แล้วเรารู้สึกอะไร?" คำพูดนั้นของเด็กหนุ่มทำให้ทินกฤตอดไม่ได้ที่จะถาม...
" เจ็บ..ไม่ใช่ที่หัว..และผมเกลียดมัน..ความรู้สึกนี้ " มือเรียวขยุ้มอกเสื้อตัวเองแน่น ก่อนจะมองหน้าอีกฝ่าย ในแบบที่ทินกฤตเรียกว่า "ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้" แบบนั้น
"พี่ขอโทษ" คำพูดของจุนเจือทำให้ใจของทินกฤตเหมือนถูกบีบ ทำไมใบหน้านั้นถึงดูเจ็บปวดแบบนี้
"พี่คงทำให้เราสับสน..."ร่างสูงขยับเข้าหาสองแขนยกขึ้นเหมือนจะลังเลว่าเขาควรจะทำอย่างไร แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะใช้แขนล็อคคอของอีกฝ่ายดึงเข้ามาหาตัว
"พี่บอกเราไม่ได้หรอกนะ ว่าเราเป็น หรือไม่เป็นอะไร...แต่ที่เจือรู้สึกเจ็บอาจจะเพราะรังเกียจพี่กับการกระทำของพี่มาก
พี่ขอโทษ...พี่จะไม่ทำแบบนั้นกับเราอีก
จะไม่แตะต้องน้องของเจนอีก" ชายหนุ่มว่า
"แต่ตอนนี้ แค่อยากจะปลอบให้เราสงบสติอารมณ์เอาไว้...ก็ช่วยอยู่นิ่งๆแบบนี้ซักแป๊บจะได้ไหม พี่ไม่รู้ว่าจะได้ผลไหม...แต่ขอให้พี่ได้ลองดู..."
เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากอีกฝ่ายทินกฤตตัดสินใจยกมืออีกข้างขึ้นโอบเอวบางของเด็กหนุ่มเข้ามาใกล้เพียงเพื่อจะให้แผ่นอกของร่างบางนั้นสัมผัสกับอกของตัวเองให้ไออุ่นและเสียงหัวใจของตัวเองปลอบอีกฝ่ายให้สงบลงก็เท่านั้น
เด็กหนุ่มได้แต่นิ่งในอ้อมกอดของพี่เขย แม้ความสูงจะเกือบเท่าๆกัน แต่จุนเจือในตอนนี้กลับเหมือนเด็กตัวเล็กๆที่ไม่สามารถดื้อดึงได้อย่างทุกที
ทินกฤตทิ้งช่วงให้อีกฝ่ายได้สงบลงตามที่ว่าเอาไว้ เขารู้สึกว่า ลมหายใจของอีกฝ่ายเริ่มเป็นจังหวะมากขึ้นจึงค่อยๆคลลายอ้อมแขนออก
"สงบบ้างหรือยัง" ทินกฤตเอ่ยถามพลางมองหน้าของอีกฝ่าย ในแววตามีแต่ความเป็นห่วงเป็นใย เขาไม่ได้ล้อเล่นเลย
" .................. " จุนเจือขยับตัวเล็กน้อยเป็นเชิงบอกให้ปล่อยเขาเสีย
" ผม..อยากกลับแล้ว "
"กลับได้...แต่คงไม่ใช่ตอนนี้...ไม่ใช่ทางนั้น" ว่าพลางก็ชี้ไปที่ประตูห้องของเขาเอง
"เอาแบบนี้ไหม เจือเดินไปข้างหลังนี่...มีประตูต่อไปที่ห้องประชุม เจือไปรอพี่ที่ห้องประชุมซักพัก ขอพี่เคลียร์งานตรงนี้ก่อน แล้วพี่จะพาเรากลับบ้าน ดีไหม"
ทินกฤตชี้มือไปทางพาร์เทชั่นที่กั้นอยู่เยื้องไปทางด้านหลังของตัวเอง มันช่วยบังตาไม่ให้เห็นประตูที่จะต่อไปยังห้องประชุม ซึ่งอยู่ติดกัน
เด็กหนุ่มหน้าสวยมองตามทางที่พี่เขยชี้ ก่อนจะเดินไปตามทางนั้น มือเรียวเปิดประตูบานนั้นออกก่อนจะปิดลง..
ห้องประชุมขนาดใหญ่ของบริษัท ปรากฏอยู่ตรงหน้า เด็กหนุ่มเลือกที่จะเลื่อนเก้าอี้ประชุมออกเสียหนึ่งตัวแล้วนั่งลงไป ดวงตาคู่สวยปิดลงช้าๆ พลางนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งท่าทีที่ตัวเองแสดงออกไป และสิ่งที่อีกฝ่ายทำกกลับมา ความรู้สึกเจ็บปวดในอกมันยังไม่จางไปไหน
+++++++++++
เวลาผ่านไปเกือบช่วงโมงกับห้องประชุมใหญ่ที่เงียบกริบและความว้าวุ่นใจของเด็กหนุ่ม
ทินกฤตเอง หากจะบอกว่าสามารถเคลียร์งานช่วงบ่ายทั้งหมดให้เสร็จได้ภายในเวลาหนึ่งชั่วโมงได้ด้วยใจ
ที่สงบนิ่งได้ล่ะก็...คงจะเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากเลยทีเดียว
....จูบน้องเมีย....ไปสองครั้งแล้วนะไอ้เทียน....
....แล้วยังไปทำรอยไว้อีก....
....เด็กมัน..แค่สับสน แกจะไปชี้บอกว่าใครเป็นเกย์เป็นเก้งได้ยังไงวะไอ้เทียน.....
....แค่แกคนเดียวนี่มันก็คงจะเกินพอแล้ว....ทินกฤตแทบจะทึ้งหัวตัวเองตอนนี้เขาคิดอะไรไม่ออกแล้ว เขาควรจะมีแผนสำรอง คิดอะไรก็ได้ที่จะแก้ตัวให้กับตัวเอง และทำให้เด็กหนุ่มคนนั้นสบายใจไม่คิดมากกับความเผลอไผลที่เต็มไปด้วยความหลงใหลของตัวเอง แต่ก็ไม่มีเลย ไม่มีแผนการ แนวคิดใดๆที่จะมานำทางเขาออกไปจากความรู้สึกกังวลระคนว้าวุ่นใจนี้ได้เลย
จนเมื่อเคลียร์งานเสร็จ ทินกฤตรีบยกหูโทรศัพท์โทรบอกศักดิ์ชัยปั้นคำโกหกอธิบายว่าที่เด็กฝึกงานที่แผนกหายไปคนหนึ่งเพราะเขาใช้ให้ไปพิมพ์งาน และถ่ายเอกสารให้ที่ห้องเก็บข้อมูล แล้วจุนเจือเกิดไม่สบายปวดหัวปวดท้องขึ้นมาประทันหัน ชายหนุ่มคว้ากระเป๋าเอกสารเดินออกมาจากห้องทำงานของตัวเองทางด้านหน้า เอ่ยขอตัวกับเลขาที่หน้าห้อง ร่างสูงเดินออกไปตามทางเดิน พอพ้นประตูส่วนที่กั้นเป็นห้องของประธาน เดินเลี้ยวซ้ายอ้อมไปอีกนิดจะเป็นประตูห้องประชุมใหญ่ บานประตูไม้ลายโมเดิร์นสีน้ำตาลเข้มนั้นยิ่งเพ่งมองยิ่งชวนให้รู้สึกเวียนหวน ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วยกมือขึ้นเคาะประตูหน้าห้อง
+++++++++++
"เจือ...." เอ่ยเรียกชื่อพร้อมบิดลูกบิดประตูไม้สีเข้มนั้นเข้าไปด้านใน
เจ้าของชื่อนั่งฟุบหลับอยู่กับโต๊ะประชุม จึงไม่รู้ตัวเลยว่าถูกเรียก ดูท่าทางเหนื่อยอ่อน แผ่นหลังที่เคยยืดตรงอย่างมั่นใจบัดนี้โค้งงอลงเพราะกำลังฟุบอยู่กับโต๊ะ เสื้อนักศึกษาสีขาวสะอาดตาสะท้อนแสงแดดยามบ่ายที่ส่องลอดมู่ลี่เข้ามากระทบลงกับแผ่นหลัง เส้นผมสีน้ำตาลแดงเป็นประกายสีเพลิงสว่าง
"จุนเจือ..." ทินกฤตถอนหายใจออกมาอีกหนึ่งคำรบ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย
ดวงตาคมมองใบหน้าของเด็กหนุ่ม จมูกโด่งได้รูปเห็นแล้วน่าจับมาบีบด้วยความหมั่นเขี้ยว ดวงตากลมสวยนั้นหลับพริ้มเป็นขนตายาวไม่ได้ต่างจากพี่สาว ริมฝีปากบางสีอ่อนยังคงดูฉ่ำชื้นเมื่อเผยอริมฝีปากหายใจเบาๆ ด้วยหลับสนิทได้ที่ ทินกฤตอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตัวเองถึงเผลอไผลกับอีกฝ่ายไปได้ถึงขนาดนั้น มือแกร่งยกขึ้นหมายจะแตะใบหน้านั้น
....กวนประสาท หาเรื่อง เจ้าอารมณ์ก็เท่านั้น....
....แต่...ก็น่ารักล่ะวะ...." อือ ..พี่เทียน? "เสียงเรียกชื่อแว่วๆนั้นทำให้คนที่เผลอหลับไปค่อยๆตื่นขึ้น จุนเจือพึมพำเสียงเบาแบบคนที่เพิ่งจะตื่นนอน มือเรียวยกขึ้นเสยผมขึ้นเล็กน้อย
ทินกฤตชักมือกลับในทันที ก่อนจะหันมองไปทางอื่นมันเป็นท่าทางที่เขาไม่เคยเป็นมาก่อน
"ไปกันเถอะ พี่ลางานให้แล้ว " ว่าแล้วก็ดึงให้จุนเจือเดินตามออกไปยังลานจอดรถของบริษัททันที
“กลับบ้าน..เหรอ? "
เสียงนั้นยังเหมือนคนที่ยังไม่ตื่นเต็มตาเท่าไหร่นัก จุนเจือลุกขึ้นจากเก้าอี้ตามแรงดึงของอีกฝ่าย
+++++++++++
ทินกฤตพาจุนเจือขับรถฝ่าการจราจรตอนบ่ายขับรถแทบจะเรียกได้ว่าข้ามเมือง มายังร้านกาแฟหน้าปากซอยใกล้กับย่านทีมีทั้งพนักงานธนาคาร พนักงานบริษัท และ พนักงานรัฐมากระจุกรวมกันอยู่ในที่เดียว
"ร้านของเพื่อนพี่เอง... "
ชายหนุ่มบอกพลางจอดรถเอสยูวีคันใหญ่ของตัวเองตรงซอยด้านหลังร้าน แล้วพาอีกฝ่ายเดินอ้อมมาที่ด้านหน้า เด็กหนุ่มมองเข้าไปในร้านนั้นตกแต่งร่มรื่นและดูเป็นส่วนตัวพอสมควร ดูไม่เหมาะกับพี่เขยเอาเสียเลย
"แปลกใจหรือไง...พี่ก็กินกาแฟแบบคนธรรมดาเขาเหมือนกันนะ" ทินกฤตหัวเราะแล้วเดินนำจุนเจือเข้าไปในร้าน
"มิน...ขอกาแฟพี่หน่อย"
"อ้าวพี่เทียน มาได้ไง...." เจ้าของร้านร่างเล็กละมือจากการนับเงินที่เคาท์เตอร์เดินมารับแขกทันที
" อ้าว พี่เทียน..มากับใครครับนั่น? "เชฟหนุ่มร่างใหญ่ผิวคล้ำที่เพิ่งจะเดินถือถาดขนมออกมาก็เอ่ยทักเช่นกัน ดวงตาคมมองเลยทินกฤตไปด้านหลัง เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษายับๆเดินตามทินกฤตมาเงียบๆคนนั้น...หรือจะเป็น?
"อ้อ...นี่จุนเจือ...น้องชายของเจนน่ะ" ทินกฤตยิ้ม
"สวัสดีครับ " เด็กหนุ่มยกมือไหว้คนทั้งคู่ ท่าทางเหนื่อยๆ
"อ้อ น้องของภรรยาพี่เทียนเหรอ อื้มๆ สั่งอะไรก็สั่งเลยนะครับ เดี๋ยวพี่ทำให้" รามินทร์ยิ้มให้กับอีกฝ่าย
"ส่วนขนมอยากกินอะไร หรือจะกินข้าวอะไรก็บอกพี่แมนได้นะ"
ใบหน้าสวยมองหน้าพี่เขยราวกับจะถามว่าสั่งได้เต็มที่จริงๆน่ะหรือ
"สั่งเลย...อ้อ มินวันนี้พี่ขอคาปูชิโนร้อนละกัน..." ทินกฤตหันมายิ้มให้กับจุนเจือก่อนจะหันไปสั่งกาแฟกับรามินทร์
" งั้นผม..เอาชอคโกแลตเย็นใส่วิปครีมด้วยนะครับ "
"โอเค คาปูชิโนร้อน กับชอคโกเย็นวิปนะ...." รามินทร์รับออเดอร์มาพลางยิ้ม เหลือบมองหน้าของเพื่อนพี่ชายก็พาลทำให้ต้องเอ่ยออกไปอย่างช่วยไม่ได้
"พี่เทียนหัวเราะอะไร"
"หะ อ่ะ เปล่า...ไม่มีอะไร"ทินกฤตส่ายหน้าแต่ปากยังคงยิ้มอยู่
ส่วนน้องเมียก็เดินลิ่วๆไปที่ตู้เค้กโน่นแล้ว ร่างสูงเพรียวดูจะมีพลังขึ้นมาทันทีที่เห็นเค้กหน้าตาน่าทานเรียง
รายกันอยู่ในตู้เค้กของทางร้าน เขาก้มลงกวาดสายตามองไปทั้งตู้
" พี่แมนครับ..ผมเอาชิ้นนี้ กับชิ้นนี้ แล้วก็ชิ้นนี้ นะครับ " นิ้วเรียวชี้เค้กแต่ละชิ้นพลางทำตาเป็นประกายทำเอาเชฟร่างใหญ่ใจดีต้องยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูก่อนจะรับคำแล้วไปจัดการตามออเดอร์นั้น
ทินกฤตยืนมองท่าทางแบบนั้นของจุนเจือก่อนจะหันไปมองหน้ารามินทร์กับกตัญญู ปลายนิ้วยกขึ้นแตะริมฝีปาก เชิงบอกว่าให้เก็บเรื่องที่เขายืนยิ้มกับท่าทางของอีกฝ่ายไว้เป็นความลับ
+++++++++++
กตัญญูหันไปสบตาคนรักเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงรับปากเพื่อนพี่ชาย แล้วจึงหันไปง่วนกับการจัดจานเค้กที่จะเสิร์ฟทั้งสามชิ้น
ส่วนรามินทร์ก็ทำหน้าที่ของตัวเองไปอย่างเงียบๆ...ไม่นานก็เดินเอากาแฟมาเสริฟ...
ช่วงบ่ายของวันที่ยังไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากนักพอเสริฟกาแฟให้เสร็จร่างบางก็วิ่งเข้าไปแหย่กตัญญู ด้วยการตบที่ไหล่ให้อีกฝ่ายหันมา แต่พอกตัญญูหันมาก็กลายเป็นว่าเจอรามินทร์เอานิ้วจิ้มแก้มเข้าให้
“ฮ่ะๆ...หน้าตาพี่แมนเหวอมากเลย” รามินทร์หัวเราะ
“เล่นอะไรน่ะ มิน...” ชายร่างใหญ่ถามพร้อมรอยยิ้ม
“ว่างไม่มีอะไรทำ...แหย่หน่อยได้รึไง” รามินทร์ตอบยียวนแต่ในดวงตานั้นมีความหมาย ร่างบางเดินผิวปากกลับไปที่อ้อมมาที่หน้าเค้าท์เตอร์อย่างอารมณ์ดี เรียกเสียงหังเราะจากกตัญญูได้ไม่น้อย
เสียงหัวเราะของสองคนดังมาจากด้านหลังตู้เค้กที่กตัญญูเอาขนมออกมาจัดวาง ก่อนให้รามินทร์เดินเอาเค้กมาเสริฟให้ทั้งๆที่ยังหัวเราะกับท่าทีของกตัญญูอยู่เลย
"มินนี่ก็แหย่ไอ้แมนได้ตลอดนะเรา..."
"ไม่ให้แหย่แฟนจะให้แหย่ใครล่ะครับ" รามินทร์ตอบกลับ ท่าทีเปิดเผยร่าเริงแบบนี้เป็นท่าทีที่ทินกฤตที่สนิทกับพศวัตมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ได้เห็นมานาน
" แฟน? "จุนเจือทวนคำของรามินทร์เบาๆ พลางทำตาโตมองเข้าไปด้านในของร้าน งั้นก็แปลว่าทั้งสองคน...??
"แฟนพี่เอง...หล่อไหม" รามินทร์ชี้ไปที่คนอยู่ด้านหลังตู้เค้ก ไม่วายหันมาแหย่จุนเจือ
"มิน ไม่เอาน่า อย่าไปแกล้งน้องซี่" เมื่อเห็นหน้าของจุนเจือที่ดูจะตกใจไม่น้อย ทำให้ทินกฤตต้องเอ่ยปราม
"ครับๆ...ไม่ได้แกล้งซักหน่อย แค่อวดน่ะ....ไปละ ขอให้อร่อยนะครับ" รามิทร์ว่าพลางขอตัว
"เอ้อ...มิน แล้ว..เจ้าน้อยล่ะ "ทินกฤตเอ่ยถาม เมื่อมองแล้วไม่เห็นเด็กเสริฟที่คุ้นเคย
"ลากลับบ้านไปตั้งแต่ช่วงที่พี่เทียนแต่งงานนั่นล่ะ... เห็นว่าไปบวช" รามินทร์ตอบกลับ แต่เมื่อโทรศัพท์ที่เคาท์เตอร์ดังทำให้คนถามไม่ทันได้ซักอะไรต่อ ทินกฤตจึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้แบบนั้น
"...อืม...บวชงั้นเหรอ.."
จุนเจือหันไปมองพี่เขยเล็กน้อยก่อนจะหันมาสนใจเค้กตรงหน้าและชอคโกแลตเย็น ที่ทำให้เขาพอจะมีแรงขึ้นมาได้บ้างด้วยพลังงานจากความหวานในเค้กทั้งสามชิ้น มันช่วยให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมากเลยทีเดียว
+++++++++++
มือเรียวบรรจงใช้ส้อมอันเล็กตักไวท์ชอคโกแลตมูสเค้กชิ้นเล็กที่กรุ่นกลิ่นไวท์ชอคโกแลตอย่างดีใส่ปาก รสชาติของมันทั้งหอม และหวาน ถูกใจเขาอย่างที่สุด
ตามมาด้วยเค้กโอเปร่าที่กตัญญูบรรจงทำอย่างปราณีต รสชาติขมๆของชอคโกแลตและกาแฟทั้งช่างเหมาะเจาะพอดี ไหนจะกานาซชอคโกแลตขมๆ ตัดกับรสหวานของไวท์ชอคโกแลตของเค้กชิ้นแรก และสุดท้าย คงจะไม่มีอะไรอร่อยไปกว่า แรร์ชีสเค้ก ที่เสริฟมาพร้อมกับวิปปิ้งครีมผสมน้ำเชื่อมกลิ่นวนิลาและผลไม้สดอย่างสตรอว์เบอร์รี่ พีซ และกีวี่ ที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
ทินกฤตเท้าคางมองจุนเจือนั่งทานของหวาน...อาจจะเรียกได้ว่ามองเพลิน ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะตักอะไรเข้าปากก็ดูอร่อยไปเสียหมด ไม่ใช่ว่าเขาไม่รูว่าฝีมือขนมของกตัญญูนั้นล้ำเลิศแค่ไหน...แต่เพียงแค่ไม่เคยเห็นใครนั่งกินขนมของกตัญญูได้ดูมีความสุขเท่าจุนเจือกินมาก่อนก็เท่านั้น
"อร่อยไหม" เสียงทุ้มเอ่ยถามริมฝีปากหยักยิ้มอย่างมั่นใจว่าจะได้ยินคำตอบแบบใด
" ฮื่อ " เจ้าของผมสีน้ำตาลแดงพยักหน้าแรงๆ ก่อนจะดึงส้อมเล็กๆออกจากปาก ดวงตาคู่สวยนั้นมองเข้าไปในร้าน เห็นเชฟร่างใหญ่ผิวคล้ำกับเจ้าของร้านกำลังหยอกกันอย่างมีความสุขนั้นก็ทำให้ต้องหันมามองพี่เขยตนเองอีกครั้ง
"มีอะไร?..." เห็นดวงตาคู่สวยนั้นฉายแววสงสัยทินกฤตอดจะหัวเราะแก้เขินไม่ได้ ร่างสูงเบือนหน้าไปอีกทาง
" ทำไมพี่ถึงไม่ทำแบบพี่มินกับพี่แมนล่ะ? "เด็กหนุ่มถามออกมาตรงๆ .. เท่าที่ดู คนทั้งคู่ก็มีความสุขดี ไม่เห็นจะแคร์อะไรเลย
"หา?..."ทินกฤตเลิกคิ้วก่อนขยับตัวเข้าหาโต๊ะพลางประสานมือที่พื้นผิวเรียบของหน้าโต๊ะ แล้วมองหน้าของเด็กหนุ่ม "ทำอะไร?"
" ก็..แบบว่า..แบบนั้นไง " นิ้วเรียวชี้เข้าไปในร้าน
" หาแฟน หาคนที่อยู่ด้วยกัน .. ไม่ใช่ต้องมาสร้างภาพอะไรแบบนี้อะ "
"ถ้ามันหาง่ายพี่คงมีไปนานแล้ว.... นี่มันยังหาไม่เจอ...แถมที่บ้านพี่ก็ไม่รู้อีก ว่าพี่เป็นอะไร จะไม่ให้พี่แคร์เลยมันก็เป็นไปไม่ได้หรอก..." ทินกฤตเอ่ย ดวงตาคมของชายหนุ่มเพลย์บอย...อย่างน้อยก็ตอนก่อนแต่งงาน...อ่อนแสงลงเล็กน้อย ตั้งแต่มีเรื่องในงานปาร์ตี้สละโสดคราวนั้น เขาก็แทบไม่ได้ออกไปไหนตอนกลางคืนอีกเลย เรื่องเมื่อหลายเดือนก่อนนั้นเป็นเหมือนอดีตที่มันผ่านไปนานแล้ว
" งั้น พี่มินกับพี่แมนก็น่าอิจฉามากเลยเนอะ "
มือเรียวประสานกันแล้วนั่งเท้าคาง มองเข้าไปในร้าน .. เขาเห็นภาพนี้มาตลอดหลายปี ระหว่างพี่สาวกับคนรัก ถึงในตอนแรกจะไม่เข้าใจ แต่เพราะรักและยอมรับในสิ่งที่พี่สาวเป็น จึงพอจะเข้าใจอะไรได้บ้าง
"อยากให้พี่มีแฟนบ้างเหรอ" ทินกฤตเอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ่งคงมองรามินทร์กับกตัญญูอยู่อย่างนั้น
จุนเจือไม่ตอบคำถามนั้น หากแต่พูดในสิ่งที่รู้ว่า
" พี่อลิสบอกว่า พี่เทียนชอบพาผู้ชายไปนอนที่บ้านไม่ซ้ำหน้า "
....อลิส.....ชื่อของผู้หญิงคนนี้ให้เส้นเลือดอะไรบางอย่างในสมองของคนที่กำลังอารมณ์ดีๆอยู่เหมือนจะกระตุกดังปึด....
+++++++++++
talk : คิดถึงพี่แมนกับมินนี่นะเนี่ย เลยจัดมาซักหน่อย พอน่ารัก^^