"เจือ?....." สัมผัสจากด้านหลังนั้นทำให้ทินกฤตหยุด แรงของมือที่ยึดเอาไว้นั้นพาลทำเอาเขาใจเสียไปเลยทีเดียว
"เป็นอะไร..." ใบหน้าคมหันหมายจะหันกลับไปมองแต่ก็ทำไม่ได้เมื่อเด็กหนุ่มยังคงกอดเขาเอาไว้แบบนั้น
" ผม..จะไม่เป็นตัวถ่วง..ให้งานพี่เสียหรอก แต่ตอนนี้..ขออยู่แบบนี้ซักเดี๋ยว จะได้ไหม? "ริมฝีปากบางพึมพำกับแผ่นหลังกว้าง มือเรียวสั่นระริก พยายามอย่างมากที่จะไม่ทำให้แผ่นหลังของพี่เขยเปียกชื้น มือของเขา เป็นไปโดยอัตโนมัติ เห็นแผ่นหลังของทินกฤตที่อยู่ตรงหน้า ทำไมถึงได้กว้างขนาดนี้
..กว้างพอที่จะให้เขาซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ได้หรือเปล่า?..
..อบอุ่นพอที่จะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นได้ไหม?..
..แข็งแกร่งพอที่จะทำให้เขาพึ่งพิงในเวลาแบบนี้ได้หรือไม่?..."เจือ....พี่....."ทินกฤตสูดลมหายใจเข้าลึก ใจของเขาเจ็บปลาบกับคำพูดของอีกฝ่าย อยากจะหันกลับไปกอดอีกฝ่าย ลูบหัวปลอบแบบที่พี่ชายคนนึงจะทำให้น้องก็ยังดีแต่ก็ทำไม่ได้ มือแกร่งกำแน่นอยู่ที่ข้างๆตัว เพราะกลัวเหลือเกินว่าถ้าหันกลับไปแล้วจะต้องพบเจอกับใบหน้าแบบไหนของอีกฝ่าย
....กำลังทำหน้าเศร้าอยู่ใช่ไหม....
....ถ้าแบบนั้นแล้ว...
...ก็แค่กลัวว่าตัวเอง จะก้าวข้ามอะไรบางอย่างไปอีก..." ดีแล้วที่เป็นพี่..ถ้าพี่เจนมา..ผมคง ไม่รู้จะขอโทษพี่เจนยังไงเหมือนกัน "เด็กหนุ่มยังคงพึมพำกับแผ่นหลังกว้าง
"นั่นซี่นะ...ถ้าเป็นเจนป่านนี้คงร้องไห้ขี้มูกโป่งไปแล้ว" ชื่อของเจนสุดาทำให้อะไรบางอย่างในอกของทินกฤตถูกบีบเสียจนเจ็บ ใช่...มันดีแล้วล่ะที่เป็นเขามา...เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องพวกนี้แต่แรก เขาไม่ได้รู้สึกผูกพันหรือสนใจอะไรในสิ่งที่อีกฝ่ายทำ มันคงดีแล้วที่เป็นเขาที่ต้องมารับรู้ถึงความรู้สึกนี้ของจุนเจือ
....แต่กระนั้นแล้วในใจกลับคิดว่ามันดีแล้วจริงๆหรือ?.... เพราะยิ่งต้องมารับรู้อะไรแบบนี้ ยิ่งทำให้เขาอยากจะหันกลับไปเพื่อกอดเด็กหนุ่มคนนี้มากขึ้น
ทินกฤตปล่อยให้จุนเจือกอดตัวเองเอาไว้แบบนั้น จนกระทั่งโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา ทำเอาร่างสูงสะดุ้งเฮือก เพราะมันเหลืออีกเพียงคืบเดียวในความคิดที่เขาจะไปสู่จุดที่จะหันกลับไปแล้วกอดเด็กหนุ่มคนนี้เอาไว้ในอ้อมแขน ปลอบให้หายเศร้า........กอด.......ให้หายคิดถึง
"เอ่อ...ครับ ทินกฤตครับ" ชายหนุ่มตอบรับโทรศัพท์นั้นทันที
"อ้อ รถมาแล้วเหรอครับคุณล่าม...โอเค ขอบคุณครับ ครับ เดี๋ยวจะลงไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ" ทินกฤตรับคำอย่างสุภาพ ก่อนจะกดตัดสายโทรศัพท์ ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง จุนเจือยังไม่ปล่อยมือจากเขาเลย
"เจือ...." ทินกฤตใช้เวลาช่วงอึดใจก่อนจะหันกลับไปมองหน้าของเด็กหนุ่ม
"ทนหน่อยนะ ...อดทนให้พี่หน่อยนะ...." เขาบอกกับอีกฝ่ายมือแกร่งยกขึ้นวางบนไหล่บางของเด็กหนุ่ม
"จากนี้มันอาจจะยาก แต่พี่อยากให้เราเข้าไปเรียนรู้กับพี่ในห้องประชุมด้วย... ตามตารางที่พี่ให้... พี่ขอแค่วันนั้นวันเดียวก็ได้ ที่จะให้เราอดทนให้ได้มากที่สุด...เพราะนี่มันอาจจะเป็นสิ่งที่เราจะต้องดูแลต่อไปในอนาคตนะ เข้าใจพี่ใช่ไหม" ทินกฤตเอ่ย เขาไม่ได้นัดการประชุมนี้ขึ้นเพียงแค่ในนามของบริษัทของทางบ้านเขาเท่านั้น แต่เป็นงานร่วมกันระหว่างสองบริษัทของบ้านเขากับบ้านของจุนเจือด้วย
เพราะฉะนั้นเขาถึงต้องบอกให้อีกฝ่ายช่วยอดทน ดวงตาคมสบตาของเด็กหนุ่มนิ่ง
"เราไปกันเถอะ"
ซึ่งจุนเจือเองก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ .. เขาเข้าใจทุกอย่างดี..
ร่างบางค่อยเดินตามพี่เขยที่อาสาถือกระเป๋าให้ ส่วนตัวเขาเองก็ถือกระเป๋าใส่ชุดคอสเพลย์เดินตามอีกฝ่ายลงที่ลอบบี้โรงแรมและจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย
++++++++++++++++++
ทินกฤตจัดการบอกล่ามให้ช่วยบอกฟร้อนท์ฝากเรื่องกระเป๋าให้ทีมงานของจุนเจือ รวมไปจนถามให้แน่ใจว่าจุนเจือไม่ต้องจ่ายค่าที่พัก เพราะทางทีมงานจะเป็นฝ่ายจัดการเรื่องนี้อยู่แล้ว เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ทั้งสองคนจึงขึ้นรถยนต์คันใหญ่ที่ทางบริษัทคู่ค้าเตรียมเอาไว้รับรอง "มิสเตอร์เทียน" กลับไปยังโรงแรมที่คณะของทินกฤตเพิ่งจะเช็คอินเข้าพักไปเมื่อเช้าและรอที่จะได้พบกันในช่วงเย็น
จุนเจือตามหลังของพี่เขย ไปอย่างเงียบๆ จนกระทั่งถึงลอบบี้ของโรงแรม และพวกเด็กฝึกงานก็นั่งอยู่กันตรงนั้น
" เป็นไงบ้างวะจุนเจือ ไหนอะ ถ้วยรางวัลของมึง ได้ตังคืเท่าไหร่วะ เลี้ยงเลยๆ " บาสในชุดลำลอง แบบที่ขุดมาจากการแต่งตัวของหนุ่มๆในการ์ตูนเอ่ยทักพร้อมกับทวงถาม พลางโบกไม้โบกมือให้เพื่อน
"เอ่อ บาส...." ทินกฤตอยากจะอธิบายให้เด็กหนุ่มอารมณ์ดีคนนั้นเข้าใจแต่...มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะทำ
"บาสนอนห้องไหน เขาให้นอนห้องละสองหรือสามนะ..."
" สามคนครับ .. องครักษ์สองคนกับเจ้าหญิงจุนเจือไงครับ " บาสยังคงตอบอย่างอารมณ์ดี คราวนี้เขาลุกจากเก้าอี้แล้วเดินมาดึงแขนเพื่อนจากด้านหลังของทินกฤต
" สาด เป็นไรวะมึง..ไม่สบาย ไม่พูดกะกูซักคำ " แถมยังถือวิสาสะจับหน้าจับแขนของจุนเจือหน้าตาเฉย
ทินกฤตมองท่าทางเป็นห่วงเพื่อนแบบนั้นของบาสก็กระแอมไอออกมาเบาๆ
"ทำไมไม่พาเพื่อนไปเข้าห้องพักล่ะ... งั้นเดี๋ยวคืนนี้ เขาจะพาไปเลี้ยงอาหารนะ อาบน้ำแต่งตัวกันออกมาแล้วก็มารวมตามเวลานัดก็แล้วกัน...."ชายหนุ่มว่าพลางโบกตารางในมือให้อีกฝ่ายดู ก่อนจะหันไปหาล่ามซึ่งก็ได้เอากุญแจห้องพักเดี่ยวของทินกฤตมาเตรียมไว้ให้แล้ว
"ถ้ามีอะไรล่ะพี่อยู่ห้อง.....650นะ"
ดวงตาคู่สวยที่ฉายแววเศร้ามองหน้าพี่เขยนิ่ง " ขอบคุณนะครับ "
แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรกับคนตรงหน้าต่อ บาสก็มาลากแขนเขาไปเสียก่อน
" ไปๆ จุนเจือ..กูไปเหมากันพลากับฟิกเกอร์มาเพียบ มึงต้องชอบแน่เลย "
" งั้นพวกผมขอตัวนะครับ " เก่งที่ดูจะมารยาทดีกว่าสองคนนั้นอยู่ตลอดก้มหัวให้เจ้านายเล็กน้อยก่อนจะเดินตามเพื่อนฝึกงานและรูมเมทของเขาไป
++++++++++++++++++
"เฮ้อ....." เมื่อเห็นกลุ่มเด็กฝึกงานเดินจากไปทินกฤตก็ถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ๆ
"มีอะไรหรือเปล่าคะ คุณทินกฤต" เสียงล่ามที่ทางบริษัทญี่ปุ่นเตรียมเอาไว้ให้ เดินเข้ามาถาม
"อ้อ...ไม่มีอะไรหรอกครับ นี่อีกชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัด ยังไงคุณล่ามไปพักก่อนก็ได้นะครับ ทริปนี้คงต้องอยู่ด้วยกันอีกยาว" ล่ามคนนั้นยิ้มก่อนจะโค้งให้เล็กน้อยเพื่อเป็นการขอตัว ท่าทางเหมือนคนญี่ปุ่นแท้ๆนั้นทำให้ทินกฤตต้องยิ้มออกมา ดูท่าจะเป็นพวกเด็กทุนที่เรียนจนติดใจไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องเป็นแน่
ร่างสูงเดินกลับไปที่ห้องพักของตัวเอง ด้วยท่าทีที่อาจจะเรียกได้ว่า "ลากขา" กลับไป
++++++++++++++++++
เมื่อเปิดประตูห้องพักของเด็กฝึกงาน จุนเจือต้องยืนตกใจกับกล่องกระดาษที่เรียงตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง เสียงดังโวยวายของบาสทั้งๆที่น่าหนวกหูแต่เขาก็ไม่มีอารมณ์จะด่าทอ ตบตีเพื่อนคนนี้อย่างทุกที ได้แต่พยักหน้ารับรู้ไปตามน้ำ ทั้งๆที่อยากจะถามออกไปดังๆว่า ซื้อเยอะขนาดนี้แล้วคนรักรุ่นน้องของบาสจะว่าอย่างไรกัน
ส่วนเก่งเมื่อเข้ามาถึงห้องพักก็ค้นอะไรในกระเป๋าอยู่คนเดียว ได้ยินเสียงถุงกระดาษดังกรอบแกรบถูกดึงออกมาจากกระเป๋า ท่าทางที่เคยเห็นว่านิ่งๆไม่ค่อยมีปากเสียงอะไรกับใครมากตอนนี้กลับมีรอยยิ้มกว้างก่อนจะผลุนผลันออกจากห้องพร้อมกับถุงกระดาษที่ดึงออกมาจากกระเป๋าได้เมื่อครู่ ..
ถึงจะน่าสงสัยอยู่ จุนเจือก็ไม่มีอารมณ์จะถามอีกเช่นกัน ร่างบางทิ้งตัวลงกับเตียงนอนกลางห้องก่อนจะหลับตาลงช้าๆ แผ่นหลังกว้าง กับกลิ่นน้ำหอมที่มักติดตัวทินกฤตเสมอ .. หลายต่อหลายครั้งที่เขาพยายามไม่เข้าใกล้ เพราะมันทำให้ใจสั่นไหว แต่วันนี้ เพราะรู้สึกอยากจะถูกปลอบหรืออย่างไร ถึงได้โหยหาความอบอุ่นนั้นเสียเอง ท่ามกลางฤดูร้อนในญี่ปุ่น ซึ่งไม่ต่างจากเมืองไทย แบบนี้
++++++++++++++++++
ทางด้านของทินกฤต แม้ปากบอกว่าอยากจะของีบพัก แต่ก็ยากจะข่มตาให้หลับ สิ่งที่ทำได้มีเพียงเอนหลังลงกับเตียงนอน ขนาดกะทัดรัดไม่ได้กว้างพอให้เขาพลิกตัวยามกระสับกระส่ายได้เหมือนอย่างเตียงที่บ้าน ชายหนุ่มนอนก่ายแขนกับหน้าผากมองเพดาน ได้ยินเสียงโทรทัศน์ที่เปิดคลอดเอาไว้มีเพียงเสียงภาษาที่เขาไม่เข้าใจดังเป็นเพื่อนท่ามกลางความเงียบ สัมผัสของมือผอมๆที่โอบเข้ามาจากด้านหลัง
และอุณหภูมิร้อนผ่าวจากร่างกายนั้นที่แอบอิงเข้ามาจากทางด้านหลังนั้นเหมือนจะยังสะท้อนร้อนวาบอยู่ตลอดเวลา เขายังรู้สึกได้
...ก็เข้าใจว่าไม่ได้รังเกียจอะไรแล้ว...
...แต่ทำแบบนี้...ทางนี้ก็ลำบากใจเหมือนกันนะเว้ย เด็กบ้า... ทินกฤตไม่รู้จะพูดอะไรได้กับการกระทำของจุนเจือ เด็กหนุ่มจะรู้ไหมว่ามันกำลังเชื้อเชิญให้เขาเข้าหาอีกฝ่ายมากขนาดไหน...
++++++++++++++++++
ทั้งจุนเจือและทินกฤตได้แต่จมอยู่กับความคิดตนเองไปแบบนั้น จนกระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น จุนเจือดูจะมีสีหน้าขึ้นเมื่อเห็นปลาดิบเซ็ทใหญ่ที่ทางโรงแรมจัดเอาไว้ให้
ทินกฤตถูกเชิญไปนั่งหัวโต๊ะ สองมือแกร่งประคองแก้วรับเบียร์ที่ทะนะกะซังที่ดูเหมือนจะรับหน้าที่เป็นฝ่ายรับรองเป็นคนรินให้
"ครับ...วันนี้ก็มาถึงญี่ปุ่นกันแล้ว ช่วงบ่ายก็คงได้ไปเที่ยวซื้อของกันสนุกแล้ว พรุ่งนี้ก็จะเริ่มการดูงานกันจริงจังแล้ว ขอให้ทุกคนตั้งใจศึกษานะครับ แล้วสำหรับเรื่องการเจรจา ก็ขอให้ทางคุณทะนะกะเขาเมตตาเราหน่อยก็แล้วกัน" ทินกฤตปล่อยมุกตลก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะดังลั่นของทะนะกะเมื่อล่ามที่นั่งข้างๆแปลให้แบบทันควัน
ทุกคนยกแก้วขึ้นชนก่อนจะเริ่มกินดื่มกันตามสบาย โดยที่ดวงตาคมของประธานหนุ่มที่เหลือบมองใบหน้าของน้องเมียอยู่เป็นระยะๆ
เหมือนกับวันที่พาจุนเจือกินหมูกะทะ .. พอได้เห็นอาหารที่เต็มไปด้วยเนื้อสัตว์ต่างๆ มันจะทำให้จุนเจือดีขึ้นได้ทุกครั้ง รอยยิ้มกับเพื่อนมีปรากฏให้เห็นบ้าง เป็นสัญญาณที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว
++++++++++++++++++
เมื่อวันจันทร์ผ่านมาถึง กรุ๊ปทัวร์ของทินกฤตถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มหนึ่งคือกลุ่มผู้บริหาร และหัวหน้างานที่จะต้องเข้าไปนำเสนอโครงการและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการ บ้านจัดสรรแบบฟูลเซอร์วิสใจกลางกรุงเทพ ในขณะที่อีกกลุ่มคือกลุ่มของพวกเด็กฝึกงานก็จะได้นั่งรถออกไปนอกเมืองเพื่อศึกษาในเรื่องการวางผังและการจัดการต่างๆ ในโครงการ
ทินกฤตสวมชุดสูทสีดำสนิทตัดกับเนคไทสีสวยยืนรอให้รถมารับเข้าไปยังตัวบริษัท ในขณะที่ทางพวกเด็กฝึกงานก็ดูจะตื่นเต้นกันมากเลยทีเดียวที่จะได้ออกไปนอกเมืองกันเป็นวันแรก
"เจือ...." ทินกฤตเรียกเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงคนนั้นให้เข้ามาหา ปลายนิ้วขยับน้อยๆเป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายเดินเจ้ามาใกล้ๆ
ซึ่งเด็กหนุ่มก็เดินมาหาอย่างว่าง่าย
" มีอะไรเหรอครับ? "
"..........ไม่มีอะไรหรอก" ดวงตาคมสบตาของเด็กหนุ่มนิ่งราวกับจะมองหาแววความเศร้าหมองที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่ในตาคู่นั้น ก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อยพลางดึงเอากระเป๋าสตางค์ออกมา แล้วดึงเอาแบงค์หมื่นเยนออกมาให้อีกฝ่ายหนึ่งใบ
"ไม่รู้แถวนั้นจะมีอะไรให้กินหรือเปล่า ก็เอาติดกระเป๋าไปหน่อยไป....เขาพาไปดูงานก็ตั้งใจดูละ จะได้เรียนรู้เยอะๆ"
" ไม่เป็นไรหรอก .. อีกอย่าง พี่ไม่ต้องห่วง...ผมไม่ทำให้งานเสียหรอก " จุนเจือมองเงินในมืออีกฝ่าย พลางปฏิเสธทันที
"เงินค่าขนม...เจนเขาฝากมาให้ กลัวน้องจะผอม" ทินกฤตตัดสินใจอ้างภรรยาตามกฎหมายของตัวเองออกไปแบบนั้น เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแล้วเด็กหนุ่มตรงหน้าคงไม่ยอมรับความช่วยเหลือหรืออะไรก็ตามจากเขาเป็นแน่
จุนเจือถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะรีบเอาธนบัตรใบนั้นมาใส่กระเป๋าเงินที่เมื่อเปิดออกมาก็จะเจอรูปเขากับพี่สาวอยู่ตลอด
"เป็นเด็กดีล่ะ...ถ้ามีอะไรก็บอกศักดิ์ชัยเขาก็ได้ เขาเป็นพี่เลี้ยงพวกเรานี่นา..."ว่าพลางก็พยักเพยิดไปทางศักดิ์ชัยที่กำลังยืนคุยกับเก่งอยู่ ท่าทางเหมือนกำลังจะอบรมอะไรบางอย่างอยู่มากกว่า ทินกฤตยิ้มพลางยกมือขึ้นขยี้ผมของอีกฝ่ายอย่างนึกสนุก วันนี้คงจะเป็นอีกวันที่ยาวนานสำหรับเขาเป็นแน่
จุนเจือดูจะเหนื่อยๆ ส่วนบาสก็บ่นอุบ ผิดกับเก่งที่ดูจะมีแรงจดนั่นจดนี่แทนเพื่อน แถมยังแทบจะเสนอหน้าไปเป็นมือขวาของศักดิ์ชัยได้ตลอด
++++++++++++++++++
เป็นไปอย่างที่ทินกฤต การนำเสนอโปรเจ็คที่เขาเร่งรัดให้ลูกน้องช่วยเตรียมงานและตัวเองก็ต้องทำการบ้านมาอย่างหนักด้วยนั้น ยืดยาวและชวนให้เหนื่อยล้า ประธานบริษัทของทางญี่ปุ่นเองก็รับฟังและยังให้คำแนะนำกลับมา แต่ก็ยังมีอีกหลายส่วนที่อยากให้ทางไทยกลับมาคิดต่อยอด รวมไปจนถึงอยากจะฟังราคาประเมินคร่าวๆ รวมไปจนถึงกำไรที่คาดว่าจะได้รับอีกต่างหาก
ร่างสูงของทินกฤตก้าวลงจากรถที่ทางบริษัทมาส่ง ในตอนเย็นพร้อมด้วยผู้ติดตามที่เดินตามกันลงมาด้วยสภาพหมดแรงไปตามๆกัน ทางฝั่งของพวกที่ไปดูงานที่นอกเมืองมาก็ใม่ได้ต่างกัน อากาศร้อนของฤดูร้อนของประเทศญี่ปุ่นนั้นเรียกได้ว่าสูบพลังงานพวกเขาไปกันไม่น้อย เพราะนอกจากจะร้อนแล้วยังชื้นทำเอาเหงื่อออกกันเป็นน้ำเลยทีเดียว
จนกระทั่งวันเข้าห้องประชุมวันสุดท้าย ก่อนที่ตามตารางจะเป็นการพาผู้เข้าเยี่ยมชมงานทุกคนออกไปพักผ่อนกันยังสถานที่พักตากอากาศนอกเมืองก็มาถึง ดูเหมือนว่าจิตใจของทุกคนอยากจะข้ามวันไปให้เป็นสามวันสุดท้ายที่จะมีแต่โปรแกรม กิน และ เที่ยวให้เร็วที่สุด
"น้องจุนเจือคะ..." อยู่ๆเสียงของล่ามก็ดังขึ้นในตอนเช้าที่ทุกคนลงมาทานอาหารเช้า
" ครับ? " เจ้าของชื่อหันไปขานรับเสียงเรียกอย่างแปลกใจ ขณะที่กำลังดื่มโกโก้ร้อนในมื้อเช้า
"คือว่า วันนี้คุณทินกฤตให้มาบอกน้องจุนเจือว่า ให้เข้าฟังประชุมสรุปด้วยน่ะค่ะ..." หญิงสาวเอ่ยพลางโค้งน้อยๆ
"แล้วบอกว่าให้ไปคอยนั่งรถออกไปพร้อมกันตอน 9โมงนะคะ"
" เอ่อ..งั้นก็ขอบคุณนะครับที่มาบอก " เด็กหนุ่มดูจะแปลกใจไม่น้อย ก่อนจะเอียงคอเล็กๆเมื่อหญิงสาวได้จากไปแล้ว
" บาส เก่ง วันนี้กูต้องเข้าประชุมกับบริษัทใหญ่ว่ะ "
"โห...จริงซื่ เอ แต่ก็แปลกนะทำไมคุณทินกฤตเขาให้เจือไปคนเดียววะ" เก่งถามออกมาอย่างงงๆ
" ไม่แปลกหรอก มึงก็รู้ว่าไอ้จุนเจือมันเป็นน้องเมียคุณทินกฤต ไปฟังด้วยจะไปแปลกอะไรวะ? "
"ก็ถ้าแบบนั้นทำไมไม่ให้เข้าฟังตั้งกะวันแรกอ่ะ ...จะฝึกงานน้องไม่ใช่เหรอ" เก่งว่า
" ช่างเถอะ เอาเป็นว่า เดี๋ยวกูแยกไปเลยก็แล้วกัน "ว่าพลางแยกตัวออกจากกลุ่มที่ทานอาหารเช้าด้วยกันไป
++++++++++++++++++
ทินกฤตยืนรออยู่ตรงลานจอดรถ ช่วงเช้าของฤดูร้อนในญี่ปุ่นนั้นยังพอจะเมตตาคนต้องใส่สูทไปทำงานอยู่บ้าง ร่างสูงยืนเช็ดแว่นกันแดด ท่าทางดูเครียดๆ และประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
เด็กหนุ่มร่างสูงเพรียวในชุดนักศึกษาสวมทับด้วยเสื้อสูทปักด้วยตราคณะที่มหาวิทยาลัย เดินออกมาจากโรงแรมเพื่อไปยังที่จอดรถ ร่างสูงของพี่เขยที่โดดเด่นเห็นได้แต่ไกล เขารู้สึกได้ว่าทินกฤตคงกำลังเครียดไม่น้อย ดวงตาคู่สวยมองซ้าย ขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีคนจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหา
" พี่..เป็นอะไรรึเปล่า? "
"อ้อ...เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอก คงแค่ตื่นเต้น" ทินกฤตเงยหน้าขึ้นมายิ้ม
"งานนี้งานใหญ่ พี่เอาบ้านเราเข้ามาเอี่ยวด้วย....ก็แค่หวังว่าเขาจะสนใจโปรเจคนี้" ร่างสูงพูดเหมือนกับว่าการประชุมในเช้านี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนักหนา ตรงกันข้ามกับมือที่กำลังเช็ดแว่นอยู่ออกแรงเสียจนแทบได้ยินเสียผ้าเช็ดทำความสะอาดแว่นเสียดสีกับกระจกราคาแพงนั่นเสียงดังเอี้ยด
มือเรียวจับข้อมือนั่นเอาไว้โดยอัตโนมัติ
" ถ้าเขาไม่สนใจ .. เขาคงไม่เสียเวลาคุยด้วยตั้งแต่แรกหรอก "
สัมผัสจากมือเรียวนั่นทำให้มือแกร่งของทินกฤตหยุด ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากกรอบแว่นราคาแพงนั้นพลางสบตาของเด็กหนุ่มนิ่ง ริมฝีปากของร่างสูงยิ้มน้อยๆที่มุมปาก ก่อนจะก้มลงเล็กน้อยมองมือของจุนเจือที่ยังจับข้อมือของเขาเอาไว้
"ไม่น่าเชื่อนะ...เจือปลอบพี่ด้วย"
" เจ๊ากันไปไง " พอถูกแซวแบบนั้น เด็กหนุ่มก็รีบปล่อยมืออกทันที
" พี่ก็เคยปลอบผมนี่ "
"ว้า ที่แท้ก็เพราะตอบแทนกันไปมาหรอกเหรอ เกือบดีใจจนน้ำตาไหลแล้วไหมล่ะ" ทินกฤตหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะยกมือตบบ่าของอีกฝ่ายเบาๆ
"วันนี้อาจจะน่าเบื่อหน่อย แต่คุณล่ามเขาก็จะแปลให้ฟังนั่นล่ะ ลองเข้าไปนั่งฟังดูนะ เผื่ออนาคตเราต้องเข้าบริษัทแทนคุณพ่อ จะได้รู้ไว้บ้าง" ชายหนุ่มว่าก่อนจะขยับถอยออกมาเมื่อเห็นคนขับรถของบริษัทที่แต่งตัวดีกว่า คนรถที่เมืองไทยอยู่มากโขเดินมาเปิดประตูรถให้เขาก้าวขึ้นไป เขาตบเบาะให้จุนเจือนั่งข้างๆ โดยที่ส่งล่ามไปนั่งข้างคนขับแทน โดยที่มีคณะผู้ติดตามอีกสามสี่คนนั่งรถแยกกันไปอีกคัน
++++++++++++++++++
talk : ดีใจมากค่ะที่คิดว่าน้องเจือเหมาะจะคอสเป็นเซชโชวมารุ ไรเตอร์กับโคไรท์คิดกันอยู่ตั้งนานแน่ะว่าจะเอาตัวไหนถึงจะเหมาะ อิ อิ .. จะว่าไป ญี่ปุ่นหน้าร้อนนี่โหดร้ายมากค่ะ แดดแรงมาก แต่ไม่ได้ร้อนเหนอะหนะแบบเมืองไทยนะคะ แต่ที่ไรเตอร์ประทับใจมาก คือไอศครีมชาเขียวที่โน่นอร่อยโฮกค่า~
ปล. วันนี้อัพรอบของวันที่ 22 กุมภานะคะ ..เพราะว่าตอนที่แล้วอัพตอนเที่ยงคืนกว่าๆของวันที่ 21 น่ะค่ะ