เอาเรื่องสั้นมาส่งค่ะ ไม่ทราบจะชอบกันรึเปล่า แต่ยังไงเมื่อมีไฟก็ต้องเขียนนะคะ
อ่านแล้วชอบไม่ชอบอย่างไร หรือไม่เข้าใจตรงไหนบอกกันได้เลยนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนมาอุดหนุนค่ะ
ว่าแล้วก็ ไปอ่านกันเล้ยยยยยยยยย
................................
ริมฝั่งยมุนา
บัดนั้น มาฏราชชาติยักษา
เหาะลัดพลัดถึงยมุนา ตามบัญชาน้องยาทศกัณฑ์
ร่อนลงตรงที่ริมน้ำ แล้วงำกายร่ายเวทย์ผายผัน
กลายเป็นหนุ่มน้อยโดยพลัน ไม่ทันมีใครสงกา
ลอยชายกรายกรลงสระสรง ดำลงกลางธารหรรษา
ว่ายวนจนเจอหมู่ปลา ก็จับเป็นภักษาจนอิ่มเอม
บัดนั้น สุวันนะวานรมีฤทธิ์
รุ่นหนุ่มกำลังย่ามจิต จึ่งคิดเร้นกายจากมารดา
ออกซอกซอนเที่ยวเล่นตามพงพฤกษ์ คะนองคึกไปตามราวป่า
จนถึงเขตธานีมิถิลา จึ่งแปลงกายาเป็นมานพ
แวะพักริมฝั่งธาราไหล เคลิ้มไปจนตะวันเจียนพลบ
สะดุ้งตื่นลืมตาก็ประสบ ได้พบเนตรคมจับมา
“เจ้าเป็นใคร ทำไมมานอนหลับอยู่กลางป่า?/ เจ้าเป็นใคร ทำไมมายืนจ้องข้า?” สองสำเนียงดังขึ้นประสานแทบจะพร้อมๆกัน ก่อนที่ฝ่ายที่ยืนอยู่จะเผยอยิ้มจนเห็นเขี้ยวคมๆในปากทั้งสองข้าง ส่งไปให้มานพน้อยร่างบางที่ยังกึ่งนั่งกึ่งนอนท่าทางเกียจคร้านอยู่ใต้ร่มไทรใหญ่
ใบหน้ากลมป้อมแก้มเป็นพวงบ่งบอกว่ายังอยู่ในวัยเยาว์ แล้วยังแววตาซุกซนทั้งๆที่เพิ่งตื่นจากนิทราทำให้มาฏราช ผู้เป็นทั้งพระญาติและผู้ทำหน้าที่ส่งสารให้ราชาแห่งลงกาตนปัจจุบันคือพิเภกพลอยรู้สึกรื่นรมย์เสียยิ่งกว่าตอนลงไปดำผุดดำว่ายในกระแสธารแห่งยมุนาเสียอีก
“ข้ามีนามว่ามาฏราช ข้าเดินทางท่องเที่ยวมาจากแคว้นทางใต้ ด้วยมีกิจจากญาติต้องไปทำในมิถิลานคร แล้วเจ้าเล่ามานพน้อย”
“สุวันนะ นามของข้าคือสุวันนะ ท่านว่าจะเข้าไปในเมืองกระนั้นหรือ” ยักษ์แปลงสังเกตเห็นแววตากระตือรือร้นใคร่รู้ของเจ้าร่างน้อยตรงหน้าก็ยิ่งรู้สึกถูกตาต้องใจนัก
“เป็นเช่นนั้น”
“ท่าน......มาฏราช ท่านให้ข้าไปด้วยได้หรือไม่” เมื่อเห็นว่ามนุษย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีสีหน้าครุ่นคิด ราวกับจะประเมินผลได้ผลเสียหากยอมให้ติดสอยห้อยตามเข้าเมืองไปด้วย คำบรรยายสรรพคุณแห่งตนก็รัวออกมาจากปากน้อยนั่นทันที
“เห็นตัวเล็กๆแบบนี้ แต่ข้าแรงดีนะ สัมภาระของท่าน ข้าจักแบกหามให้ หากท่านหิว ข้าก็หาผลไม้ป่ามาให้ได้ อีกอย่าง ข้าเดินเร็ววิ่งเร็ว ท่านไม่ต้องกังวลว่าข้าจักเป็นตัวถ่วงให้การเดินทางของท่านล่าช้าเลย”
“กระนั้นหรือ เจ้าก็เห็นว่าข้าไม่มีสัมภาระอันใด ส่วนเรื่องอาหาร....ข้าก็เพิ่งอิ่มมา แต่เอาเถิดถ้าสัญญาว่าจักเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดี อย่างไรเสียคืนนี้เราทั้งสองก็ไม่อาจไปถึงทันทวารบาลปิดประตูเมือง คืนนี้เจ้าก็อยู่คุยเป็นเพื่อนข้าก่อนนิทราเป็นอย่างไร”
“ได้สิ ท่านมีข้า รับรองได้ว่าไม่มีทางเบื่อแน่ ว่าแต่...ท่านอิ่มแล้ว แต่ข้าหิว งั้นท่านรออยู่นี่ ข้าจักไปหาผลไม้” ว่าอย่างนั้นแล้วสุวันนะเจ้าลิงแปลงก็ลุกขึ้นพรวดพราด จะผละเข้าไปในราวป่า แต่ข้อมือกลับถูกยึดไว้ด้วยหัตถ์ใหญ่หนา
“จะไปไหน ข้าว่าจับปลาในยมุนานี้ง่ายกว่าพลิกฝ่ามือ ไม่เห็นความจำเป็นที่เจ้าจักต้องเข้าไปในราวป่ายามพลบใกล้ค่ำเช่นนี้”
“ข้าไม่กินปลา อันที่จริง บ้านข้าไม่กินเนื้อ” เสียงปฏิเสธดูกระวนกระวายเหมือนกับปิดบังอะไรเอาไว้ ทำให้มาฏราชต้องหรี่ตาลงจับสังเกตสีหน้าของมนุษย์น้อยที่อยู่ในเงื้อมมือ ก่อนจักถามหยั่งเชิง
“หืม......บ้านเจ้าถือศีลกระนั้นหรือ ข้าก็ถือศีล แต่เฉพาะคืนเพ็ญ มิน่า....เจ้าถึงร่างน้อยนัก”
“เอ่อ....จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ง่า....ข้าไปครู่เดียว เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว” เจ้าลิงน้อยก้มหน้าหลบสายตาคมดุที่จับจ้องมาพัลวัน ไม่ได้สำนึกเลยว่ายิ่งพยายามหลบ ยิ่งก่อให้เกิดพิรุธ
“เอาเถิด ข้าจักรอตรงนี้ หากเจ้าไม่กลับมาก็จักถือว่าเด็กน้อยอย่างเจ้า ที่ขอติดตามข้าคงแค่ลมปาก เมื่อถึงพลบค่ำ เด็กน้อยย่อมต้องกลับไปบ้านให้มารดากล่อมนิทรา”
“นี่ เจ้า!! ข้าจักกลับมาแน่นอน รอดูเถิด” สุวันนะเจ้าวานรน้อยโกรธเกรี้ยวจนส่งสายตาขุ่นขวางไปให้ยักษ์แปลง ในใจได้แต่คิด....นี่หากข้ารู้ทางเข้าเมืองเอง มีหรือจักต้องพึ่งเจ้า
ปล่อยให้เจ้าหนุ่มน้อยที่มีอันใดปกปิดนั้นเข้าไปหาอาหารในป่าแล้วมาฏราชจึงเริ่มรวบรวมเศษไม้ แล้วก่อไฟขึ้นเป็นกองใหญ่เพื่อใช้เป็นไออุ่นเมื่อต้องค้างแรมกลางป่า
มาฏราชนั่งลงรอเวลาที่ร่างน้อยที่ถูกตาต้องใจจนต้องหยุดยืนมองขณะหลับจะกลับมาอย่างจดจ่อ ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมจึงต้องใจจนอยากจะให้ไปอยู่เสียด้วยกัน ด้วยศักดิ์ที่เป็นถึงพระญาติของเจ้ากรุงลงกา นางในที่ได้ประทานมาบ้าง รับบรรณาการมาบ้างจึงมีมากมาย ทั้งนางยักษี ทั้งนางมนุษย์ หากไม่เคยมีนางใดที่ทำให้ดวงหทัยเต้นแรงได้ทัดเทียมกับเพลาที่ได้สบตากับมนุษย์น้อยผู้นี้
‘สุวันนะ ต่อให้ยากเย็นเพียงไร ข้าจักพาเจ้ากลับลงกาด้วยให้จงได้’
เสียงการเคลื่อนไหวรวดเร็วที่ดังใกล้เข้ามาแผ่วเบาและไม่สม่ำเสมอ ราวกับว่าผู้ที่เคลื่อนกายเข้ามาเดี๋ยวก็เดินอยู่บนพื้น บัดเดี๋ยวก็ขึ้นไปห้อยโหนโจนทะยานบนยอดไม้กระนั้น มาฏราชขมวดขนงนิ่วหน้าครุ่นคิด เราเองก็ไม่ใช่มนุษย์ยังปลอมแปลงตนเป็นมนุษย์ได้ หากเจ้าเด็กน้อยสุวันนะนั่นไม่ใช่มนุษย์ด้วยก็คงเป็นไปได้ มิได้ผิดแปลกอันใดเลย.....เพียงชั่วความคิด ร่างน้อยนั้นก็ค่อยๆย่องเข้ามาหา มาฏราชจับสังเกตทิศทางการเคลื่อนตัวของสุวันนะก็พลันพบว่าเจ้ามนุษย์น้อยนั่นจงใจเดินอ้อมให้ห่างจากกองไฟที่ก่อไว้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
‘กลัวไฟ.......’“เจ้ากลัวไฟกระนั้นหรือ อัคคีก่อให้เกิดความอบอุ่น ทั้งยังช่วยเป็นเครื่องมือในการประกอบอาหาร.....น่าแปลก” ไวเท่าความคิด มาฏราชก็เอ่ยปากหยั่งเชิงไปอีกครั้ง
“ข้า.....ข้าไม่ได้กลัว เพียงแต่หากเข้าใกล้นัก มันจักเป็นอันตราย ก็แม่ข้าสอนไว้ ข้าเป็นบุตรที่ดีก็ต้องปฏิบัติตามโอวาท ไม่เห็นแปลกตรงไหน”
เมื่อเห็นว่าเจ้าร่างน้อยค่อยย่องเข้ามาจนใกล้จะถึงตัว มาฏราชจึ่งลอบดีดลูกหินในมือให้ไปกระทบกับฟืนกลางกองไฟ ตั้งใจให้พระเพลิงนั้นกระจายออกเป็นวงกว้างเพื่อทดสอบสุวันนะ
“เอ๊ยยยยยยยยยยยย!!”สุวันนะวานรน้อยหรือจะเท่าทันเล่ห์ โถมกายเข้าเกาะกอดยักษ์แปลงเอาไว้ทั้งตัว ใบหน้าหรือก็ก้มซุกเข้ากับแผ่นหลังของมาฏราช ไม่กล้าจะเงยขึ้นมามอง
มาฏราชถือโอกาสหมุนกายกลับไปโอบกอดร่างน้อยที่สั่นเทาเอาไว้แนบแน่น ก่อนจะปลอบใจเด็กน้อยที่เพิ่งแน่ใจว่าเป็นมนุษย์แปลงไม่ต่างกันในอ้อมแขน
“ไม่ต้องกลัว แค่สะเก็ดไฟ เงยหน้าขึ้นเถิดสุวันนะ”
ได้ยินน้ำเสียงปลอบประโลมดังนั้น สุวันนะจึงเงยหน้าขึ้น พอเงยหน้าขึ้นจึงสบเข้ากับดวงตาของมาฏราชพอดี
“เจ้ามิใช่มนุษย์ เป็นเผ่าพันธุ์ใดหรือ”
“ข้า........เอ๊ะ!! เจ้าก็ไม่ใช่มนุษย์ เจ้ามีดวงตาที่ไร้แวว เจ้าเป็นอะไร” วานรน้อยเริ่มรู้สึกถึงอันตรายจึงพยายามออกแรงบิดตัวจะดิ้นให้พ้นอ้อมกอดของร่างสูงใหญ่ที่นั่งพิงต้นไม้ตามสบาย ไม่ได้มีทีท่าจะต้องออกแรงต่อต้านสักนิดหากเพียงจับยึดไว้ เรี่ยวแรงทั้งหมดของสุวันนะกลับไม่สามารถพาตัวเองให้พ้นออกมาได้
“ข้าพอจะคาดได้ไม่ยากว่าเจ้าคือวานร แต่....เจ้าอยากรู้จริงหรือว่าข้าเป็นอะไร” ดวงตาทอประกายซุกซนอยากรู้อยากเห็นบัดนี้กลับส่อแววหวาดระแวงออกมา พร้อมๆกับที่สุวันนะตัดสินใจคลายมนต์ให้ตนกลับสู้ร่างแท้จริง แล้วสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมทันทีพร้อมทั้งถอยออกห่าง
บัดนั้น สุวันนะพึมพำคำเวทย์
อ้าองค์อวตารปกเกศ ให้ข้าพ้นเหตุเภทภัย
ปรากฏเป็นร่างวานรน้อย กระจ้อยร่อยพ้นพันธนาได้
แล้วถอยร่นจนห่างอย่างว่องไว เผ่นโผนโจนไปในไพรรก
มาฏราชชาติยักษา เอื้อมคว้าไม่ทันให้ตระหนก
เกรงไม่ได้ร่างน้อยมาแนบอก จึ่งโผนผกตามติดไม่รอรี
ปากพร่ำคำปลอบอยู่ไม่ขาด เจ้าอย่าหวาดกลัวไปนะโฉมศรี
พี่ไม่คิดร้ายต่อเจ้านะคนดี หยุดตรงนี้อยู่กับพี่อย่าหนีไกล
ว่าพลางจำแลงกายา กลับสู่ร่างเดิมกำยำใหญ่
สกุณากู่ร้องก้องไพร โผผินบินไกลด้วยเกรงฤทธิ์
หนึ่งก้าวยาวเท่ากับสิบเส้น มองเห็นสุวันนะก็เข้าชิด
วานรน้อยหนีไม้พ้นให้ป่วนจิต คะนึงคิดถึงมารดาน้ำตานอง
เมื่อนั้น สุวันนะประนมกรขึ้นทั้งสอง
วิงวอนชะอ้อนขอให้ปล่อยน้อง หากต้องตายขอข้าพบกับมารดา
ข้าเพียงหนีออกจากบ้านมาเที่ยวเล่น มิรู้เวรหรือกรรมมาพบหน้า
ต้องตกเป็นภักษาอสุรา คงเพราะข้าดื้อรั้นจึ่งมีภัย
ป่านฉะนี้แม่ข้าคงโศกนัก ด้วยลูกรักหายจากไม่สงสัย
ต่อแต่นี้คงโดดเดี่ยวไม่มีใคร คงโหยไห้อยู่ข้างหลังทุกวารวัน
บัดนั้น มาฏราชอสุราใจกล้า
จับเอาร่างน้อยใส่มือมา แล้วผันผายไคลคลาสู่ริมธาร
พร่ำปลอบประโลมน้องให้คลายโศก อย่าวิโยคเลยหนาน่าสงสาร
พี่ไม่กินเจ้าดอกนะเยาวมาลย์ จักลนลานไปไยกระไรมี
ว่าแล้ววางน้องริมฝั่งน้ำ แล้วจำแลงกายาเข้าเร็วรี่
เกาะกุมกรน้อยไว้ไม่ให้หนี เจ้าคิดเองที่ว่าพี่เป็นอันตราย
แล้วรั้งร่างน้อยมาแนบอก อย่าวิตกไปเลยนะโฉมฉาย
ที่ตามติดเพราะอยากได้มาแนบกาย ไม่ทำร้ายให้เจ้าช้ำอย่างแน่นอน
สุวันนะยินคำยิ่งตระหนก ทั้งหัวอกสั่นไหวไม่ถ่ายถอน
ทวนน้ำคำอสุราทุกบทตอน ยิ่งสะท้อนถอนสะอื้นด้วยหวั่นใจ
สองมือยันเข้ากับอุระ เมตตาน้องเถิดนะแล้วร่ำไห้
เราต่างพันธุ์จะรักกันได้อย่างไร โลกจักหยันไยไพไม่บังควร
โอ้เจ้าแน่งน้อยกลอยใจพี่ รักนั้นมีต้นกำเนิดเกิดแต่ไหน
จากสวรรค์ชั้นฟ้าหรือหัวใจ ตามบุราณว่าไว้แต่ก่อนมา
ว่าแม้นเทพอสูราฤามนุษย์ หากได้รักมิอาจหยุดอาลัยหา
แต่นาคียังเกิดรักกับครุฑา ไฉนมาห้ามยักษากับวานร
ว่าพลางอุ้มน้องขึ้นวางตัก พิศพักตร์ยิ่งริรักไม่อาจถอน
เชยปรางค์ทางชมโฉมบังอร นามเจ้าสมพรแห่งสุวรรณ
ด้วยผิวกายแท้แท้ดั่งทาทอง ผุดผ่องกว่าจันทราในคิมหันต์
กลิ่นกายหอมกว่ากระแจะจันทน์ เนตรนั้นงามจริงยิ่งดารา
พระพายพัดลมระบัดใบไม้ไหว กลิ่นมาลีแย้มกำจายชื่นนาสา
ลมรำเพยแผ่วพลิ้วต้องกายา เสมือนฟ้าเป็นใจให้ภิรมย์
เอนองค์ลงทาบทับน้อง เจ้าเนื้อทองของพี่ช่างงามสม
เอวบางอย่างอัปสราช่างน่าชม เร้าอารมณ์เมื่อขวยเขินสะเทิ้นอาย
พระแตะต้องกลีบผกาก็ถดหนี นี่จงใจยั่วพี่หรือโฉมฉาย
ค่อยขยับเขยื้อนเคลื่อนกาย ร่วมรักสมัครหมายทั้งราตรี
เมื่อนั้น สุวันนะวานรน้อยก็กลับฟื้น
ลืมตานึกว่าฝันทั้งยังตื่น ก็ขืนตัวออกจากอกอสุรา
ยิ่งขืนยิ่งขัดยิ่งขวยเขิน ได้แต่เมินว่าอย่าจ้องมองข้า
ก้มหน้าหลบเนตรที่สบมา มิรู้จักซ่อนหน้าได้อย่างไร
เจ้าเอ๋ยเจ้าน้องน้อย เจ้าจักคอยหลบพี่ไปข้างไหน
มาให้พี่รับขวัญนะดวงใจ ว่าอย่างไรเชื่อว่ารักแล้วหรือยัง
หรือต้องให้พี่ย้ำซ้ำซ้ำอีก ผินหน้ามาหาพี่อย่าหันหลัง
เฝ้าแต่จูบลูบโลมเป็นหลายครั้ง จนวิหคจากรังออกหากิน“เดินไหวหรือไม่สุวันนะ ให้พี่อุ้มไปดีกว่า”
“ไม่ต้อง!! ข้าเดินเองได้ แค่อย่าไปเร็วนักก็พอ”
“ตกลงไปกับพี่นะ เสร็จธุระในมิถิลานครพี่ก็ต้องกลับลงกา ไปกับพี่เถิดนะ”
“ลงกา มีแต่รากษส ท่านไม่เห็นข้าเป็นภักษาหารก็ไม่ได้หมายความว่าพรรคพวกของท่านตนอื่นจะไม่กินข้านี่”
“หึๆ นี่เจ้ากับแม่มัวแต่อยู่ในป่า ไม่รู้เลยหรือว่าหลังสงครามยุติและองค์อวตารมอบหมายให้พญาพิเภกซึ่งก็คือท่านอาของข้าครองกรุงลงกา เราก็มีข้อห้ามการกินเนื้อ เรางดเว้นการกินเนื้อมนุษย์และเนื้อวานร และยิ่งไปกว่านั้นหากเจอมนุษย์หรือวานรตกอยู่ในอันตราย เราต้องยื่นมือช่วยเหลือทันที”
“กระนั้นหรือ แต่......แต่”
“เหตุไฉนถึงมีแต่อีกเล่าสุวันนะ”
“ท่านแม่ของข้าเล่า”
“ค่อยยังชั่ว พี่นึกว่าที่เจ้าจะปฏิเสธเป็นเพราะยังไม่เชื่อว่าพี่รักเจ้าจริงๆเสียอีก หึๆๆ”
“ท่าน!!”
สุวันนะในร่างมนุษย์หยุดเท้าที่ก้าวตามร่างกำยำของยักษ์แปลงที่นำอยู่เบื้องหน้าทันที อยากจะพุ่งเข้าทำร้ายร่างกายของมาฏราชนักก็ได้แต่ยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่กับที่ จนมาฏราชกระตุกข้อมือน้อยที่จับจูงไว้เบาๆให้ก้าวเท้าตามนั่นแล้ว วานรน้อยก็ยังไม่ยอมตามใจ
“พี่เย้าเจ้าก็เพราะรัก หากไม่มีกิจธุระของท่านอามีหรือพี่จะยอมปล่อยเจ้าจากอ้อมอก อยากจะกอดเจ้าไว้ตลอดเวลา ไม่รู้หรอกหรือ”
“ข้า.....ข้า....”
“เอาเถิด ไม่ต้องเอ่ยปากพี่ก็รู้ว่าเจ้าเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เสร็จภารธุระเมื่อใด พี่จะไปพูดกับท่านแม่ของเจ้า ขอให้เจ้าไปอยู่กับพี่”
“แล้ว หากท่านแม่ของข้าไม่ยินยอมเล่า”
“พี่ก็จักพาเจ้าหนี แล้วค่อยส่งคนมารับท่านแม่ของเจ้าไปอยู่ลงกาเสียด้วยกัน เจ้าจะหนีไปกับพี่หรือไม่เล่า สุวันนะ” คราวนี้เป็นมาฏราชที่หยุดเดิน แล้วหันมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย เชยคางของร่างน้อยที่เอาแต่ก้มหน้างุดๆขึ้นมาแล้วบังคับให้สบตาด้วย ก็ได้คำตอบจากแววตาที่ทำให้ปลื้มเปรมใจจนอยากจะไชโยโห่ร้องออกมาเสียเดี๋ยวนั้น
.............................................
“ราชสาสน์จากพระเจ้ากรุงลงกากระนั้นหรือ เจ้าอุตส่าห์เดินทางไกลถือมาให้ข้าถึงมิถิลา ก็อ่านให้ข้าฟังหน่อยเป็นไร”
“ตามบัญชา ท่านนิลพัท”
‘คารวะนิลพัทผู้สหาย ข้าพิเภกมีกิจรบกวนทั่น
อันอสุราที่ถือสาสน์สำคัญ คือหลานชายคนขยันของข้าเอง
ด้วยข้าจับยามตรวจชาตา พบว่าจักมีคู่เหมาะเหม็ง
พบข้างยมุนาด้วยตนเอง จึ่งสั่งเร่งให้ออกเดินทาง
สองราจักพบก่อนเขตนาคร แล้วจักร่วมบรรจถรณ์ก่อนรุ่งสาง
หวังสหายเตรียมเสบียงเพื่อแรมทาง เป็นสื่อกลางกับมารดาของคู่ชม’.....................................
.....................................
(จบค่ะ)
ปล.เรื่องนี้ท่านไหนไม่คุ้นกับรามเกียรติ์อาจจะงงๆหน่อยนะคะ
ปล.อีกครั้ง ดาด้าบอกว่าพยายามหาอิมเมจแล้ว ได้มาเท่านี้ กร้ากกกกกกส์
ปล.อีกแล้ว อิมเมจรูปล่างขอบคุณพี่มาร์คขานะคะ ได้เนอะ สุวันนะผู้มีวรรณะดั่งทองทา เอร๊ยยยยยยย