มาตามคำยุและเสียงเรียกร้องค่ะ
เรื่องของคุณชายจ้าวทั้งสอง
เขินนะเนี่ย กร้ากกกกกกกกกกกกกกกกกส์ มาค่ะมาอ่านกันดีกว่านะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
หมายเหตุ สำหรับตอนนี้ควรอ่านตอนลูบคมมังกรที่หน้า 8 ก่อนนะคะ ถึงจะเข้าใจได้แบบเคลียร์ๆ.............................
ลูบคมมังกร
: เล่ห์หงส์
“แม่จ๋า.....แซมรักพี่หมิน....ไม่ใช่แบบพี่ชายอย่างที่แม่สอนให้รักและเคารพพี่หมินเป็นพี่ชาย แต่แซมรักพี่เขา.....เหมือนกับที่แม่รักแม่เสี่ยวหลาน.......”
..........................
“อาหมิน ต่อไป ชื่อของเธอคือจ้าวหมิน เธอเป็นคนของสกุลจ้าว เป็นลูกชายของฉัน.....เป็นคุณชายจ้าว ต่อไปนี้ คฤหาสน์มังกรแดงคือบ้านของเธอ” มือขาวนวลราวงาช้างล้ำค่าจับจูงข้อมือของเด็กชายในชุดเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวผ้าบางเก่าจนเกือบดูไม่ออกว่าเคยเป็นสีอะไร หากแต่สะอาดสะอ้านไปทั้งเนื้อทั้งตัวให้ก้าวลงมาจากรถยนต์สองประตู
สีหน้าของเด็กชายวัยสิบขวบผสมปนเปไปด้วยความงุนงงและตื่นเต้น เมื่อทอดสายตาจับจ้องไปยังตัวตึกสีแดงอิฐกว้างใหญ่ที่ตั้งขวางทางอยู่ด้านหน้า ห่างออกไปไม่ถึงสิบเมตร ความสูงใหญ่ของตัวตึกทำให้ถึงกับต้องแหงนมองคอตั้งบ่า เด็กชายเหลียวหน้ากลับไปมองประตูไม้บานหนาที่เพิ่งปิดสนิทลงห่างออกไปเกือบร้อยเมตร
หากทั้งที่อยู่ในวัยเพียงสิบขวบและทั้งยังอยู่ในอารมณ์ตื่นเต้น การเคลื่อนไหวทุกท่วงท่าของเด็กชายกลับเต็มไปด้วยความนุ่มนวล และระมัดระวัง หลังและคอตั้งตรง อกผายไหล่ผึ่ง ไม่ได้มีทีท่าบ่งบอกว่าถูกเลี้ยงดูมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแบบขาดไปแทบทุกสิ่งมาตั้งแต่ยังเป็นทารกเลยด้วยซ้ำ
เป็นที่รู้กันทั่วว่าประมุขคนก่อนของตระกูลจ้าวมีบุตรีคนเดียว สาวงามที่ไม่ได้มีดีแค่รูปกาย หากสมองอันปราดเปรื่องและลักษณะนิสัยเด็ดขาดที่ถอดแบบมาจากผู้เป็นบิดา คุณหนูจ้าวอิงหลิงมีคุณสมบัติเพียบพร้อม จนเมื่อประมุขของแก๊งค์มังกรแดงคนก่อนวางมือ เธอก็ขึ้นรับตำแหน่งได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ท่ามกลางสายตาของทั้งคนในและคนนอกที่เฝ้าจับตา รอดูว่าชายที่ผู้นำของแก๊งค์อันดับหนึ่งที่แผ่อิทธิพลครอบคลุมย่านสี่หยุนอันไว้ทั้งหมดเลือกมาเป็นคู่ชีวิตจะเป็นคนแบบไหน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยมีข่าวใดใดให้ได้ระแคะระคาย จนเริ่มมีเสียงลือไปทั่วว่ามาดามจ้าวแห่งแก๊งค์มังกรแดงไม่มีรสนิยมชื่นชอบเพศตรงข้าม แล้วยิ่งเวลาผ่านไป คำถามที่ตามมาจึงกลายเป็นข้อสงสัยเกี่ยวกับการสืบทอดอำนาจภายในแก๊งค์มังกรแดง และต่างก็เฝ้ารอเวลาที่อำนาจจะถูกเปลี่ยนมือ ความสั่นคลอนของกลุ่มอิทธิพลที่ใหญ่ที่สุดย่อมก่อให้เกิดผลกระทบต่อทุกชีวิตในโลกมืด
หากทว่า....หลังจากอำนาจเปลี่ยนมาอยู่ในมือของประมุขสกุลจ้าวคนปัจจุบันได้สิบปีเต็มก็มีข่าวที่ยืนยันได้ร่ำลือไปทั่ววงการ ว่าแก๊งค์มังกรแดงมีผู้สืบทอดแล้ว เด็กที่ชื่อจ้าวหมิน เป็นใครมาจากไหนไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆ มาดามจ้าวบอกกับคนสนิทว่า.....นี่แหละลูกชายของเธอ
“จากนี้เธอต้องเรียกฉันว่าแม่ นี่คือห้องของเธอ........ห้องของลูก อาหมิน พรุ่งนี้จะมีครูมาสอนหนังสือและเรื่องพื้นฐานอื่นๆให้ รับปากกับแม่ซิ ว่าอาหมินจะตั้งใจเรียน”
“ครับมาดาม.....คุณแม่ ผมจะตั้งใจเรียน”
จ้าวหมินในฐานะคุณชายของสกุลจ้าวใช้ชีวิตอยู่ในตึกใหญ่ของคฤหาสน์มังกรแดงจนอายุ15 แล้วมาดามจ้าวก็จัดการส่งบุตรบุญธรรมไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ความรักและหวังดีที่มีให้ลูกชายนอกสายเลือดเพิ่มทวีไม่ต่างกับที่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสี่หยุนอันมีให้กับลูกชายที่สืบสายเลือดจากเธอโดยตรง......ใช่ ลูกชายแท้ๆที่ถูกปิดบังว่ามีตัวตนอยู่จริงและใช้ชีวิตตลอดสิบปีตั้งแต่ลืมตาดูโลกที่สเตท ในฟิลาเดลเฟีย เจ็ดปีก่อนจะรับจ้าวหมินมาอุปถัมภ์ ความกดดันจากผู้ใหญ่ในแก๊งค์เรื่องผู้สืบทอดทำให้จ้าวอิงหลิงตัดสินใจพาคนสนิทและคนรักที่ลอบรักกันมาตั้งแต่ยังเป็นเพียงคุณหนูจ้าวเดินทางไปปรึกษาศาสตราจารย์นายแพทย์แซมมวล วิลเลียม ผู้ทำการศึกษาวิจัยเรื่องการผสมเทียมในมนุษย์
“ตกลงว่าคุณจะเลือกรับบริจาคเชื้ออสุจิจากใครก็ได้อย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่จากใครก็ได้ค่ะศาสตราจารย์ ดิฉันต้องการเลือกจากคนที่มีคุณสมบัติที่ดีที่สุด ถ้าเป็นไปได้ ดิฉันก็จะขอใช้น้ำเชื้อจากศาสตราจารย์ จะได้ไหมคะ”
“เอ่อ.......คือ....เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับมาดามจ้าว”
และนี่คือวิธีที่จ้าวเยี่ยนซื่อถือกำเนิด ไข่ของจ้าวอิงหลิงกับน้ำเชื้อจากศาสตราจารย์ผู้ทำวิจัย และ......การตั้งครรภ์ของเสี่ยวหลาน คนรักหนึ่งเดียวของประมุขแห่งแก๊งค์มังกรแดง
“อะ.....อื้อ...หลิงเอ๋อร์ อา......อะ...”สองร่างขาวนวลไร้อาภรณ์ปกปิดแม้เพียงชิ้นกอดก่ายกันแนบแน่นบนพรมขนสัตว์สีขาวหน้าเตาผิง เหงื่อไหลซึมออกจากทุกขุมขน ทั้งที่นอกกระจกปรากฏละอองหิมะที่ยังกระหน่ำอย่างหนาแน่นมากกว่าสองชั่วโมง
จ้าวอิงหลิงยิ่งเพิ่มความเร็วของการขยับร่างกายขึ้นอีก ตามไฟปรารถนาที่โหมกระพือรุนแรงราวกับเปลวเพลิงในเตาผิงหลังเติมเชื้อไฟ เพียงแรงขยับจากข้อมือไม่พอเพียงอีกต่อไป ที่จะส่งให้ความรู้สึกของร่างชื้นเหงื่อที่นอนหายใจหอบถี่ตรงหน้าไปถึงฝั่ง
เสียงกรีดร้องครั้งสุดท้ายดังขึ้นพร้อมกับร่างของคนที่ถูกปรนเปรอกระตุกขึ้นทั้งตัว ก่อนจะลงไปนอนแผ่อย่างหมดเรี่ยวแรงกับพื้นพรม แล้วยกแขนขึ้นไขว่คว้าหาทั้งที่ดวงตาทั้งสองยังปิดสนิท
จ้าวอิงหลิงคว้าแขนเรียวเล็กทั้งสองข้างของคนรักให้โอบแนบรอบลำคอ แล้วตามลงไปกอดเอาไว้ทั้งตัว อกอวบหยุ่นบดเบียดจนแทบจะเป็นเนื้อเดียว ก่อนจะมอบจูบแผ่วเบาหากเต็มไปด้วยเสน่หาซ้ำๆลงบนริมฝีปากแดงจัดที่เผยอหอบหายใจน้อยๆ
“อืม.....เสี่ยวหลาน ฉัน....ต้องคิดถึงเธอมากแน่ๆ......”
“หลิงเอ๋อร์ อืม.......จูบอีก....จูบฉันอีก.....”
บทรักร้อนแรงเริ่มขึ้นอีกครั้งและอีกครั้ง เพื่อเป็นการสั่งลา และตอกย้ำว่าต่างยังมีอีกฝ่าย แม้จะต้องห่างไกลกันตามภาระหน้าที่ก็ตาม
วันรุ่งขึ้นเสี่ยวหลานเข้ารับการฉีดฝังตัวอ่อนลงในมดลูก และหลังจากนั้นเพียงสามวัน หัวหน้าแก๊งค์มังกรแดงก็ต้องเดินทางกลับฮ่องกง กลับสู่อาณาจักรของตนโดยทิ้งทั้งหัวใจไว้ที่แผ่นดินซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปถึงครึ่งโลก คนในแก๊งค์ต่างสงสัยถึงการหายตัวไปของสาวใช้คนสนิทที่มักอยู่ข้างกายของมาดามจ้าวตลอดเวลา หากแต่ไม่มีใครกล้าทักถาม
การมีอยู่ของเสี่ยวหลานรับรู้ได้เพียงในใจของจ้าวอิงหลิง จำนวนเงินในธนาคารและอสังหาริมทรัพย์ที่มีในอเมริกาทำให้พอจะวางใจได้ว่าคนรักและลูกที่คาดว่าจะเกิดในอีกเก้าเดือนจะใช้ชีวิตได้อย่างสบายที่สุดเท่าที่อำนาจเงินจะทำได้ การติดต่อส่งข่าวทางจดหมายมีถึงกันสม่ำเสมอ หากแต่ต้องใช้รหัสที่มีเพียงสองคนจึงจะเข้าใจ
ทั้งมาดามจ้าวและเสี่ยวหลานต่างอดทนรอเวลาที่มั่นใจว่าศัตรูภายในจะไม่แว้งกัดโดยไม่รู้ตัว และรอเวลาที่ลูกซึ่งหลังจากคนทางไกลคลอดได้เกือบเดือนจ้าวอิงหลิงจึงรู้ว่าเป็นลูกชาย จะเติบโตพอที่จะวางใจให้กลับมาอยู่ที่สี่หยุนอันโดยไม่เป็นอันตราย
ข่าวจากสายที่เชื่อถือได้ทำให้จ้าวอิงหลิงรู้ว่ามีข่าวลือเรื่องเสี่ยวหลานและลูกกระพือไปทั่วทุกกลุ่มอิทธิพล การไปทำบุญบริจาคให้มูลนิธิบ้านเด็กกำพร้า แล้วได้สบตากับเด็กชายวัยสิบขวบที่ได้ยินผู้ดูแลเรียกว่าอาหมินจึงทำให้แผนดึงความสนใจจากคนรักและบุตรที่แท้จริงผุดขึ้นมาโดยไม่ทันได้คิดไว้ก่อน จ้าวอิงหลิงจึงยื่นซองเงินบริจาคจำนวนหนึ่งให้มูลนิธิ แล้วขอให้รักษาความลับเรื่องที่เธอรับอาหมินเป็นบุตรบุญธรรมไว้ แล้วจูงมือเด็กชายที่มีสีหน้าแปลกใจขึ้นรถกลับคฤหาสน์มังกรแดงด้วยทันที
หลังจากวันนั้นเพียงหนึ่งเดือน คุณชายจ้าวหมินก็ได้รับการแนะนำให้ทุกคนรู้จักในฐานะผู้มีสิทธิ์สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าแก๊งค์มังกรแดงคนต่อไปในงานเลี้ยงภายในของแก๊งค์ แน่นอนว่าข่าวของคุณชายจ้าวย่อมเล็ดลอดออกไปถึงหูทุกชีวิตในโลกสีดำ
จ้าวหมินเติบโตขึ้นภายใต้การดูแลและความรักอย่างจริงใจที่มาดามจ้าวมีให้เด็กชายเสมือนลูกแท้ๆ เติบโตและสง่างามได้ตรงใจมาดามจ้าวทุกอย่าง ปีแรกที่จ้าวหมินถูกส่งไปอังกฤษก็เป็นครั้งแรกที่จ้าวอิงหลิงมั่นใจในความปลอดภัยจนยอมให้เสี่ยวหลานและจ้าวเยี่ยนซื่อกลับมาที่สี่หยุนอันได้แบบลับๆ
เสี่ยวหลานเลี้ยงจ้าวเยี่ยนซื่อมาโดยไม่มีการปิดบัง ภาพถ่ายของจ้าวอิงหลิงถูกติดประดับไว้ในห้องนอนของลูกชายคนเดียวตั้งแต่ยังแบเบาะ จ้าวเยี่ยนซื่อรับรู้มาตั้งแต่รู้ความว่าตนเองไม่มีพ่อ แต่มีแม่สองคน ทุกคืนก่อนเข้านอนเสี่ยวหลานจะจูบแก้มลูกชายพร้อมกับบอกว่าแก้มซ้ายจากแม่เสี่ยวหลาน แก้มขวาจากแม่หลิงเอ๋อร์ ดังนั้นจ้าวเยี่ยนซื่อในวัยไม่เต็มสิบปีจึงก้าวเข้าสู้อ้อมกอดที่รอรับของแม่อีกคนทันทีที่ถูกพาเข้ามาถึงห้องส่วนตัวของมาดามจ้าว
ท่าทางช่างออดอ้อนออเซาะของเด็กน้อยตาโต แก้มใส ขนตาหนาเป็นแพทำให้มาดามจ้าวเกิดความรู้สึกทั้งรักทั้งห่วง พร้อมกันนั้นก็ตัดสินใจยอมทิ้งความรู้สึกส่วนตัวที่อยากจะกอดจะจูบ จะพูดคุยกันทุกวันกับลูกชายและคนรักออกไป แล้วอนุญาตให้อยู่ฮ่องกงได้เพียงปีละสิบวัน
“แม่จ๋า.....จะให้แซมกลับไป แม่จะไม่คิดถึงแซมเหรอ” เจ้าตัวเล็กทั้งส่งเสียงออดอ้อนทั้งแสดงกิริยาประกอบด้วยการซุกหน้าแนบเข้ากับตักของจ้าวอิงหลิงไปด้วย
“คิดถึงสิลูก แต่แม่อยากให้อาซื่อไปเรียนหนังสือที่โน่น พออาซื่อโตขึ้นจะได้กลับมาช่วยแม่ทำงานไงลูก”
“ไม่ใช่เพราะแม่รักพี่หมินมากกว่าแซมเหรอ” จ้าวเยี่ยนซื่อถูกแนะนำให้รู้จักกับพี่หมินตั้งแต่มาถึงฮ่องกงวันแรก เพราะรูปถ่ายใบเดียวที่ใส่กรอบวางไว้บนโต๊ะทำงานของมาดามจ้าวเป็นรูปถ่ายของหนุ่มน้อยผมดำตาดำสนิทสวมสูทสีขาวนั่งอยู่หน้าเปียโน เบือนหน้ามายิ้มน้อยๆ
“ไม่หรอกลูก แม่รักทั้งอาซื่อทั้งพี่หมินมาก มากจนบอกไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่ามากแค่ไหน เท่าที่รู้แม่รักลูกทั้งสองคนมากกว่าตัวเองเสียอีก” อาซื่อของมาดามจ้าวยิ้มออกมาเสียจนบรรยากาศทึบทึมในห้องทำงานหัวหน้าแก๊งค์สว่างไสว เมื่อได้ยินคำพูดนี้จากปากของผู้ที่ถูกสั่งสอนมาตลอดว่าคือแม่ จำได้ว่าวันแรกที่ไปโรงเรียนแม่เสี่ยวหลานยังให้บอกกับรูปของแม่หลิงเอ๋อร์ก่อนออกจากบ้านด้วยซ้ำ
“ถ้างั้นแซมก็จะรักพี่หมินบ้าง รักมากๆให้เท่ากับที่แม่รักแม่เสี่ยวหลานเลยนะครับ”
ทั้งมาดามจ้าวและเสี่ยวหลานไม่ได้สะดุดหูกับคำพูดของลูกชายคนเล็กในวันนั้น
หากแต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกสิบวันที่รอคอยจะได้อยู่พร้อมหน้าสามแม่ลูกมาถึง คุณชายน้อยที่เสี่ยวหลานเรียกเมื่ออยู่ต่อหน้าบุคคลที่สามก็ไม่เคยสักครั้งที่จะลืมเลือน ‘พี่หมิน’ ไปจากความคิดคำนึง จ้าวหมินเรียนจบและกลับฮ่องกงเมื่ออายุย่างเข้า 22 ปี เมื่อกลับมาถึงสกุลจ้าว จ้าวหมินก็ขออนุญาตมาดามจ้าวไปอยู่ตึกเล็กที่แยกออกมาด้านหลังของตึกใหญ่ ในระยะห่างเพียงเดินสามนาทีก็ถึง จ้าวหมินเข้าทำงานให้แก๊งค์โดยไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าคุณแม่ที่เขายึดเป็นแม่พระของตัวเองมาตลอดมีลูกชายแท้ๆอยู่อีกคน
ไม่ใช่ว่าจ้าวอิงหลิงต้องการจะปกปิดลูกชายคนโต แต่เพราะคำขอร้องของจ้าวเยี่ยนซื่อตั้งแต่ลูกชายคนเล็กอายุได้ 15 ปี ทั้งที่ไม่เคยเจอตัวจริงของพี่ชายเลยสักครั้ง.......คำขอร้องโดยมีเหตุผลข้อเดียว......ความรัก
“แม่จ๋า.....แซมขออะไรแม่สักอย่างจะได้ไหม” ลูกชายเล็กที่เงยหน้าขึ้นมาส่งสายตาอ้อนจากท่าที่ซบอยู่กับตักทำให้มาดามจ้าวผู้แข็งแกร่งเด็ดขาดใจอ่อนตั้งแต่ยังไม่ทันรู้ถึงคำขอด้วยซ้ำ
“ถ้าแม่ให้ได้.....”
“แม่อย่าเพิ่งเล่าเรื่องแซมกับพี่หมินได้ไหม......”
“.....ทำไมล่ะลูก”
“เพราะแซมรักพี่หมิน”
“อาซื่อ......” ถ้าไม่มีอ้อมแขนของเสี่ยวหลานที่โอบกอดจากด้านหลัง มาดามจ้าวคงเผลอตัวลุกหนีสายตาแบบนี้ของลูกชายเล็กแน่ๆ
“แม่จ๋า แม่ฟังแซมนะ พี่หมินเคยเป็นคนรักของแซมมาก่อน แซมจำได้.....แม่จ๋า.....แซมรักพี่หมิน....ไม่ใช่แบบที่แม่สอนให้รักและเคารพพี่หมินเป็นพี่ชาย แต่แซมรักพี่เขา.....เหมือนกับที่แม่รักแม่เสี่ยวหลาน.......”
“อาซื่อ พูดอะไรน่ะลูก!!”
“เป็นอย่างนี้แหละหลิงเอ๋อร์ แซมพูดแบบนี้มาตั้งแต่เห็นรูปอาหมินครั้งแรกแล้ว.....ฉันขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อน”
“แล้วแน่ใจหรือ ยังไม่เคยเจอหน้ากันด้วยซ้ำนะอาซื่อ”
“แซมแน่ใจ เหมือนกับที่แน่ใจว่าแม่รักแม่เสี่ยวหลานนั่นล่ะครับ”
“ก็แล้วถ้าแม่จะบอกกับอาหมินเรื่องของลูก มันจะไม่ดียังไงล่ะ”
“แซมอยากให้แน่ใจ ว่าถ้าพี่หมินจะรัก พี่เขาจะรักเพราะนี่คือตัวแซมจริงๆ ไม่ใช่เพราะสงสารสมเพชน้อง หรือเกรงใจแม่ อีกอย่าง.....แซมต้องการเวลา และวิธีที่จะพิสูจน์ ว่าพี่หมินมีค่าแค่ไหนกับการรัก แม่จ๋า....แซมขอเท่านี้ แม่จะให้แซมได้มั้ย” หลังจากนั้นทุกๆปี สิบวันที่จ้าวเยี่ยนซื่อกลับมาฮ่องกง มานอนที่คฤหาสน์มังกรแดง มาดามจ้าวรับรู้เสมอมาว่าลูกชายคนเล็กใช้เวลาก่อนเข้านอนหมดไปกับการเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของห้องบนชั้นสองที่มักเปิดไฟจนครึ่งค่อนคืนเพราะเจ้าของห้องอย่างจ้าวหมินทำงานข้ามวันเป็นกิจวัตร
ปีแรกก็ยังแค่มองด้วยตาเปล่า หากปีที่สองจ้าวเยี่ยนซื่อกลับบ้านมาพร้อมกับกล่องบรรจุกล้องส่องทางไกลที่ทะนุถนอมมาตลอดการขนย้าย จากที่เคยตื่นสายจนเป็นคนสุดท้ายของบ้าน คุณชายน้อยที่สมาชิกในบ้านต่างคุ้นหน้า แต่กฎเหล็กจากปากมาดามคือห้ามพูดถึงต่อหน้าคุณชายจ้าวกลับตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อมารอเฝ้ามองพี่ชายที่ตึกเล็กซึ่งมักจะเยี่ยมหน้าออกมาทักทายบรรยากาศยามเช้าตรงหน้าต่างเสมอ
รอจนจ้าวหมินกลับเข้าไปทำธุระส่วนตัวนั่นแหละ จ้าวเยี่ยนซื่อถึงพาตัวเองไปซุกตัวเข้ากับโปงผ้าห่มใหม่พร้อมกับรอยยิ้มระบายเต็มดวงหน้า
จนมาปีนี้ หลังจากได้แต่เฝ้ามองข้างเดียวมาสามปีเต็ม จ้าวเยี่ยนซื่อก็กลับมาพร้อมกับปริญญาบัตรวุฒิทางการเงิน ไม่น่าแปลกใจด้วยมันสมองชั้นเลิศจากทั้งมาดามจ้าวและศาสตราจารย์นายแพทย์ที่ยอมบริจาคน้ำเชื้อ จ้าวเยี่ยนซื่อในวัยยี่สิบปีที่ฝีมือและเล่ห์เหลี่ยมในศิลปะการต่อสู้ไม่เคยทำให้อาจารย์อย่างแม่เสี่ยวหลานต้องขายหน้า ก็บอกกับมาดามจ้าวว่าจะขอกลับมาอยู่ฮ่องกงแบบถาวร และเรื่องของจ้าวหมิน คุณชายน้อยแห่งสกุลจ้าวก็จะขอจัดการเอง
จนวันนี้.......หลังจากยืนฟังเหตุการณ์อยู่หน้าห้องด้วยเป็นห่วงลูกชายทั้งสองจนทนรอรับการรายงานสถานการณ์จากเด็กที่ให้คอยจับตาการเคลื่อนไหวจากตึกเล็กไม่ได้ แทบจะเข้ามาตั้งแต่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวโครมครามดังลอดออกจากประตูห้อง แต่ก็พยายามยับยั้งใจไว้เพราะได้รับปากกับลูกชายคนเล็กไปแล้ว และเมื่อได้ยินคำว่ารักจากปากจ้าวเยี่ยนซื่อก็ทำให้มาดามจ้าวถึงกับถอนหายใจยาว ก่อนจะตัดสินใจก้าวเข้ามาในห้อง
“แม่.....///คุณแม่!!”
“อาหมิน แม่ยินดีแนะนำให้รู้จักน้องชายของลูก.....อาซื่อ”“น้องชาย........”
เสียงแผ่วต่ำหลุดออกมาจากลูกชายคนโต ทำให้มาดามจ้าวยิ่งจับสังเกตไปที่สีหน้าของจ้าวหมินที่แม้จะยังนิ่งสนิท แต่กลับซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะเห็นว่าลูกชายคนเล็กกระซิบอะไรบางอย่างแผ่วเบากับพี่ชาย แล้วสีหน้าที่มาดามไม่เคยได้เห็นมาก่อนของจ้าวหมินก็ถึงกับทำให้มาดามจ้าวต้องลอบยิ้มในหน้า.....อาหมินของแม่ คงจะจำน้องได้เหมือนกันกระมัง ถึงได้หน้าแดงขนาดนั้น
ร่างของลูกชายคนเล็กยังคงสั่นสะท้านจนเห็นได้ชัดอยู่ในอ้อมกอดของคนเป็นพี่ที่ค่อยๆสูดลมหายใจเข้ายาว แล้วเงยหน้าสบตากับผู้เป็นแม่พระประจำชีวิต แววตาที่มองมามีทั้งการสำนึกผิดรวมไปถึงความดื้อรั้นจนแยกจากกันไม่ออก
“คุณแม่ครับ.......ผมกับ...น้อง เรารักกันครับ”
“แม่รู้แล้ว.....”“........งั้น....อย่างนั้นหรือครับ”
“อาหมินไม่ต้องกลัวแม่จะตำหนิ ถ้าลูกสองคนรักกันจริงก็ดูแลกันให้ดี เพียงแต่ต้องรับปากกับแม่ว่าจะไม่ให้กระทบกระเทือนกับแก๊งค์ อีกอย่าง.....ถ้าเลิกรักกันวันไหน ห้ามทั้งสองคนทำร้ายจิตใจกัน จำไว้ว่าไม่ว่ายังไง อาหมินกับอาซื่อก็เป็นลูกของแม่ และทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน......รับปากได้ไหม”
“ครับแม่.....เอ่อ...น้อง......น้องหลับไปแล้วครับ”
“หึๆๆ....แม่เห็นแล้ว อาซื่อเป็นเด็กเอาแต่ใจ อาหมินคงต้องอดทนมากหน่อยนะลูก ส่วนเรื่องของและลูกน้องที่รายงานมาว่าเจ็บและตาย แผนของอาซื่อทั้งนั้นนะ แม่ไม่เกี่ยว แล้วก็ไม่ต้องห่วงด้วย ทุกคนสบายดี คนที่อยู่โรงพยาบาลตอนนี้แม่เรียกกลับมาหมดแล้ว ให้นอนกินแรงเพื่อนนานนักไม่ดี ส่วนคนที่รายงานมาว่าตาย น้องเราส่งไปพักร้อนไกลหน่อย ยังไงก็รออาซื่อตื่นแล้วอาหมินก็ถามน้องเอาเองแล้วกันนะลูก”
มาดามจ้าว.....คุณแม่ เดินออกไปนานแล้ว แต่จ้าวหมินยังอยู่ในท่าเดิม กึ่งนั่งกึ่งนอนโอบกอดร่างกายชื้นเหงื่อที่จะมองยังไงก็ผู้ชายเหมือนกัน แถมยังตัวโตพอๆกันไว้ให้ซบอยู่กับอก เลือดของตัวเองที่เปรอะเปื้อนอยู่ทั้งสองมือของคนที่หลับใหลไม่ได้สติแห้งกรังเป็นคราบ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะตกหลุมรักผู้ชาย แต่จะทำยังไงได้ เจ้าความรู้สึกอยากปกป้องดูแลที่แวบขึ้นมาทันทีที่สบตา จนมาตอนนี้แล้วมันยังไม่เลือนหายไปเลยสักนิด
‘พี่หมิน....ต้องเป็นพี่ชายของผม เป็นผู้สืบทอดเหมือนกับผม......แล้วก็เป็นคนรักของผม ผมเชื่อ....ว่าเก่งอย่างพี่ ต้องทำหน้าที่ทั้งหมดได้ดีแน่ๆ โดยเฉพาะหน้าที่ของคนรัก....อ้อ พี่ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ เพราะผมจะไม่ยอมปล่อยพี่ไปแน่....’
จ้าวหมินมาย้อนคิดถึงข้อความที่น้องชายหมาดๆเพิ่งกระซิบก่อนจะหมดสติไปก็ได้แต่ขำในใจ....อย่างที่คุณแม่บอกนั่นไม่ผิดไปเลย อาซื่อ.....ท่าทางจะเป็นเด็กเอาแต่ใจมากจริงๆ อย่างนี้คงต้องปรามไว้ก่อน เอาให้อยู่หมัดก่อนล่ะมั้ง “อืม.......อะ พี่หมิน อ๊ะ......พี่ทำอะไร ปล่อยผมนะ!!!”“หึๆๆๆ” เสียงหัวเราะต่ำๆในลำคอดังออกมาจากร่างสูงผมดำสนิทที่ตอนนี้อยู่ในชุดคลุมตัวใหม่ หยดน้ำยังเกาะตามไรผม จ้าวหมินโน้มตัวลงไปจนใกล้กับร่างของน้องชายเจ้าวางแผน ที่พอตื่นขึ้นมาเห็นสภาพของตัวเองก็โวยวายเสียงลั่น
ก็อาซื่อเล่นวางแผนแกล้งกันขนาดนี้ จะไม่เอาคืนเดี๋ยวจะได้ใจไปกันใหญ่ ปล่อยให้หลับยาวตั้งแต่เมื่อคืนจนนี่เช้าวันใหม่แล้ว เมื่อคืนนอนกอดน้องชายที่ขนาดจับพลิกหน้าพลิกหลังเช็ดตัวทำความสะอาดจนทั่วยังไม่รู้ตัวทั้งคืน จ้าวหมินหลับสนิทแถมยังฝันดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วน้องชายตัวดีเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกันนักหรอก เล่นหลับยาวจนเช้า แถมเขาลุกไปอาบน้ำแล้วกลับมาแกล้งจับถอดเสื้อผ้าออกจนหมดก็ยังไม่ยอมรู้ตัว
เมื่อคืนจัดการให้น้องชายหลับสบายแล้วจ้าวหมินก็เรียกลูกน้องในปกครองทั้งหมดมาพบ แล้วจัดการสอบรายตัว พบว่าอาเล่ยแหละตัวดีรับคำสั่งของเขาก็จริง แต่ก็รับคำสั่งพิเศษจากนายใหญ่อย่างมาดามจ้าวที่ขอเป็นกรณีพิเศษให้ช่วยภารกิจของคุณชายน้อย.....ภารกิจลูบคมมังกรอย่างเขา มังกรต่างเลือดอย่างจ้าวหมิน
จ้าวหมินคาดโทษลูกน้องทุกคน อาเล่ยมือขวาโดนหมายหัวเป็นพิเศษ ดีนะ.....ที่เขาคิดแล้วคิดอีกแล้วสรุปได้ว่าเจอกันครั้งแรกแบบนั้นก็ดี เพราะอย่างน้อย ท้ายที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายชนะ รีดเอาความจริงออกจากปากอาซื่อได้โดยไม่เสียท่าไปเสียก่อน ไม่อย่างนั้นถึงจะเป็นคนอารมณ์เย็นแค่ไหน แต่ลูกน้องคงจะได้เจ็บตัวกันถ้วนหน้าแน่
“พี่หมิน ปล่อย ผมบอกให้ปล่อยไงเล่า!!”
“อาซื่อ อย่าดิ้นแรงนักสิ เดี๋ยวข้อมือเป็นแผล พี่ไม่อยากให้เราต้องเจ็บนะ” จ้าวหมินแตะจูบลงตรงข้อมือที่ถูกล็อคไว้ด้วยกุญแจมือติดกับหัวเตียง เพียงเบาๆเท่านั้น แต่ร่างเปลือยเปล่าที่พอถอดกางเกงออกถึงเห็นสีผิวขาวอมชมพูแบบลูกผสมก็สะดุ้งขึ้นทั้งตัว แสงแดดยามเช้าที่ควรจะทอเข้ามาอาบห้องให้สว่างถูกกรองด้วยม่านบางๆที่ร้อยวันพันปีไม่เคยถูกรูดปิดแต่วันนี้เจ้าของห้องกลับรูดปิดหน้าต่างไว้เสียทุกบาน
“อ๊ะ!!” เสียงอุทานดังขึ้นมาพร้อมๆกับใบหน้าขึ้นสีจัด ทำให้อารมณ์อยากแกล้งของจ้าวหมินเริ่มเปลี่ยนไป....ก็ทั้งๆที่ตอนอาบน้ำก็จัดการตัวเองไปแล้วแท้ๆ ต้องให้น้องชายที่รักรับผิดชอบแล้วมั้ง.....
จ้าวหมินถอยร่างออกมาจากร่างเปลือยเปล่าไม่อยู่สุขแล้วปลดเชือกที่ผูกชุดคลุมสองข้างให้ปิดบังร่างกายไว้ออก เผยเรือนร่างของวัยหนุ่มที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามจากการออกกำลังกาย ผิดกับภาพลักษณ์นิ่งสงบยามปกปิดร่างกายด้วยสูทสีขาวเจนตา
“คุณแม่บอกว่าอาซื่อชอบแอบมองพี่ คราวนี้ไม่ต้องแอบแล้วนะ พี่เต็มใจให้มอง.....” จ้าวเยี่ยนซื่อที่มองอยู่ทำได้แค่สะบัดหน้าหนี แล้วส่งเสียงโวยวายที่ฟังยังไงก็เป็นการแก้อาย
“พะ....พี่หมินหน้าไม่อายว่ะ ปล่อยเลย ผมหิวแล้ว” เสียงแข็งๆนั่นกลับเจือไปด้วยกระแสสั่นจนเห็นได้ชัด แถมซีกแก้มที่โผล่ให้เห็นก็ยิ่งแดงจัดเข้าไปใหญ่
“ถ้าเป็นเด็กดี พี่จะปล่อยไปกินข้าว” จ้าวหมินกระซิบจนใกล้ที่ริมหู แล้วเริ่มพรมจูบไปตามขมับละเรื่อยไปตามข้างแก้มแดงๆของคนที่ดิ้นหนีไปไหนไม่ได้
“อะ.....ก็ปล่อยเลยสิ แซมสัญญานะ จะไม่แกล้งพี่หมินอีก......”
“พี่ก็อยากปล่อย แต่ทำไงดีล่ะอาซื่อ.....มันเป็นแบบนี้ซะแล้ว” พร้อมกับคำพูดนั้น จ้าวเยี่ยนซื่อก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ร้อนผ่าวและแข็งขึงจากร่างของจ้าวหมินนาบอยู่แถวหน้าขา พอจะถดตัวหนีก็ติดที่ร่างเปลือยเปล่าของพี่ชายทิ้งน้ำหนักทับลงมาแทบทั้งตัว
“อาซื่อ......คนดี..... จะไม่รับผิดชอบพี่หน่อยเหรอ” ริมฝีปากรุมร้อนเริ่มจู่โจมซุกไซ้ไปตามซอกคอ สลับกับป้อนจูบยั่วเย้าลงตรงปากแดงๆของผู้ได้ชื่อว่าน้องชาย
“คะ คือ.....แซม แซม.....ไม่เคยทำกับใครเลยนะ......”
“ก็เพราะแซมรอพี่ไม่ใช่เหรอ.....ให้พี่ได้รักแซมเถอะนะ.....” จ้าวหมินโน้มน้าวด้วยคำพูด แล้วมือทั้งสองก็ลูบไล้ไปตามเนื้อตัวของร่างโปร่งแข็งแกร่งที่เริ่มจะหายใจถี่ด้านล่าง
“......พี่รักแซมจริงๆใช่มั้ย......”
“ครับ.....รัก ตั้งแต่ได้สบตา แค่สบตาพี่ก็รู้แล้วว่าแซมคือคนที่พี่รอ.......” จ้าวหมินละมือออกจากการลูบโลมผิวเนื้อตึงแน่นของจ้าวเยี่ยนซื่อเพื่อเอื้อมหยิบกุญแจที่หัวเตียงไขปลดล็อคกุญแจมือให้ และไม่ทันได้พูดจนจบประโยค คนเอาแต่ใจด้านล่างก็ใช้มือทั้งสองที่เพิ่งได้รับอิสระรั้งคอให้พี่ชายลงไปมอบจูบอีกครั้งเสียแล้ว
วันนั้นเป็นวันแรกนับตั้งแต่ก้าวเข้ามาทำงานที่คุณชายจ้าวคนขยันลาพักโดยไม่ยอมแม้แต่ออกจากห้อง ไม่เสียเวลาแม้แต่จะออกไปบอกกับคนสนิทอย่างอาเล่ยเลยด้วยซ้ำ
...........................................
แต่จะกังวลอะไรล่ะ ในเมื่อมาดามจ้าวเพิ่งสั่งงานพิเศษอยู่เมื่อคืน......
งานดูแลน้องชายเอาแต่ใจอย่างอาซื่อ ไม่ใช่จะทำเสร็จได้ง่ายๆนี่นะ.......
....................................
....................................
..........จบจริงค่ะ............
ปล.แวะเข้ามาแปะอิมเมจอีก เมื่อวานก็คิดนานว่าจะเอาอิมเมจไหนดี แตชอบสีหน้าของทั้งสองคนในภาพเมื่อตอนที่แล้ว แต่พออยู่บนเตียง....ก็คงจะร้อนแรงกันประมาณนี้มั้ง....โฮะๆๆๆๆๆๆ
ขอบคุณภาพจากดาด้าและพี่มาร์คนะคะ กอดดดดดดดดดดค่ะ