รีบมารีบแปะค่ะ เน็ตแอร์การ์ดไม่อำนวย
ฮึบๆๆ ไม่หวานจัดนะคะ แต่ไม่มาม่า อิอิ ^o^
....................
‘เจ้าสอนของเรียมเอย’
“แม่ วู้ววววววว แม่”
เสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นมาถึงชั้นบนของเรือนไม้ใต้ถุนสูง ตั้งแต่ยังไม่ทันเห็นตัวเจ้าของเสียง
เรียกความสนใจจากผู้หญิงสามคนสามวัยที่เพิ่งนั่งล้อมวงลงเปิบข้าวได้ไม่กี่คำได้ทันที ผู้หญิงที่อายุน้อยที่สุดอยู่ในวัยสาวรุ่นยันตัวลุกขึ้นยืนจากท่าที่นั่งขัดสมาธิอยู่อย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งรี่ลงไปตามไม้กระดานที่นำมาพาดไว้ลวกๆแทนกระได อ้อมตรงไปทางท่าน้ำริมคลองเล็กๆหน้าบ้านทันที
ได้ยินเสียงเอ็ดตามหลังจากผู้สูงวัยที่สุดแต่ไม่ได้เป็นใหญ่ที่สุดในบ้านดังตามมา
“อีเล็กกกกก เอ็งจะลุกจะนั่งก็ให้มันดีๆ ผาดโผนเป็นทโมนอย่างนี้เอ็งไม่ขึ้นคานอยู่ให้ข้าเลี้ยงไปจนแก่เรอะ อีหลานคนนี้”
ร่างโปร่งบางของคนที่ถูกเรียกว่า ‘อีเล็ก’ ตอบโต้ด้วยการหัวเราะเสียลั่นคุ้ง โดยที่ไม่ได้ลดความเร็วของการวิ่งลงเลย
“ไง....แม่สายสวาท วิ่งอย่างนี้ถ้าผ้าถุงหลุดพี่จะสมน้ำหน้า”
“พี่สอน ฉันนึกว่าพี่จะมาไม่ทันเรือเที่ยวสุดท้ายเสียแล้ว นี่ก็เพิ่งตั้งสำรับ ทั้งแม่ทั้งย่าชะเง้อคอยพี่กันจนคอยาว ฉันล่ะหมั่นไส้จริงๆ”
“แม่กับย่าชะเง้อคอคอย แล้วเอ็งล่ะ?”
“ฮี่ๆๆ ฉันก็ชะเง้อ แต่ไม่ได้คอยพี่หรอกนะ ฉันคอยของฝากจากบางกอกตะหาก”
แม่สายสวาทของพี่สอนและอีเล็กของย่าแสวง หรือย่าแหวงคนดังแห่งบ้านไผ่ช้างล้อมรับถุงกระดาษที่พี่ชายยื่นให้มาถือไว้ เดินนำกลับเรือนไปก็แหวกปากถุงออกดูของไปด้วย
“หึๆๆ เดินไปดูบนบ้านก็ได้สาย ถุงใหญ่นั่นของเอ็ง ที่เหลือของแม่กับย่า”
“เหอะ ถึงพี่จะให้ฉันเอาถุงเล็กฉันก็ไม่เอาหรอก สีคนแก่......เออ พี่สอน พี่จำอีเผื่อนได้ไหม”
“อีเผื่อนไหน”
“ก็อีบัวเผื่อนลูกผู้ใหญ่ผันไง นี่เขาว่า......”
แม่สายสวาทที่ตามสำมะโนครัวชื่อนางสาวสายใจยังไม่ทันได้บอกว่าเขาไหนว่ามาว่าอย่างไร ก็พอดีเดินขึ้นมาถึงบนเรือนเสียก่อน
“ย่า แม่ สวัสดีจ้ะ ฉันไปบางกอกแค่ไม่เท่าไหร่ ทำไมกลับมาคราวนี้ย่าถึงผอมลงนักล่ะจ๊ะ ไม่ค่อยกินข้าวเหรอ”
ไอ้สอนก้าวขึ้นเรือนวางของลงได้ก็ทรุดลงนั่งกราบย่าที่ตัก ก่อนมื้อเย็นจะเริ่มขึ้นอีกครั้งพร้อมหน้ากันทั้งบ้านเป็นครั้งแรกในรอบสามเดือน
“น้ำค้างตกแล้วนะพี่ ไม่เข้าบ้านอีกเหรอ”“พี่ขอตากน้ำค้างอีกนิดเถอะสาย อยู่ในบางกอกนานจนจะลืมกลิ่นน้ำค้างเสียแล้ว” ไอ้สอนนอนหงายหนุนหมอนขวานเก่าๆอยู่นอกชานเรือน สายตาจับไปที่ดวงดาวดวงที่สุกใสที่สุดกลางท้องฟ้า ขาข้างหนึ่งชันขึ้นในขณะที่อีกข้างไขว่ห้างแถมยังกระดิกตีนไปมาอย่างสบายอารมณ์
“เออ พี่สอนเรื่องอีเผื่อนน่ะ.....” น้องสาวคนเดียวเลยเดินย้อนกลับไปหยิบแส้เก่าๆที่เอาไว้ใช้ปัดไล่ยุง แล้วจึงย้อนกลับมาทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ มือก็คอยปัดยุงให้พี่ชายไปด้วย ก่อนจะเริ่มบทสนทนาที่ค้างคาอยู่ขึ้นมาอีก
“ฮ่าๆๆๆ นี่เอ็งคันปากอยากเล่าขนาดนั้นเลยรึ เฮ้อ....เอ็งนี่น้า.....” ไอ้สอนยกตัวขึ้นขยี้หัวน้องสาวไปที แล้วค่อยเอนตัวลงนอนในท่าเดิมต่อ
“แหม......นี่ถ้าไม่เกี่ยวกับพี่ ฉันก็ไม่เล่าหรอกน่า”
“หืมมมมม แล้วเรื่องของลูกสาวผู้ใหญ่ผันจะมาเกี่ยวอะไรกับพี่ล่ะ”
“ก็เขาว่ามันท้องไม่มีพ่อ”
“นั่นยิ่งไม่เกี่ยวกับพี่เข้าไปใหญ่ พี่ไปอยู่บางกอกงวดนี้ตั้งสามเดือน ยังไงก็เป็นพ่อให้ลูกในท้องอีเผื่อนของเอ็งไม่ได้หรอก หึๆๆ”
“ก็ไม่ได้จะบอกว่าพี่สอนเป็นพ่อนี่.....คนที่อีเผื่อนมันบอกว่าเป็นพ่อเด็กน่ะ คือพี่มั่นตะหาก”
“ไอ้มั่น!!!” ชื่อที่หลุดจากปากน้องสาวคนเดียวทำให้เรือนร่างแกร่งเกร็งแบบคนทำงานของไอ้สอนสะดุ้งขึ้นทั้งตัว แต่ชั่วอึดใจสีหน้านั้นก็กลับสงบนิ่ง แล้วหันไปจับสายตาอยู่กับดวงดาวดวงเดียวนั้นเหมือนเดิม แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่น้องสาวคนเดียวอย่างอีสายจะสรุปสิ่งที่สงสัยมาตลอดได้
“พี่สอน.....พี่กับพี่มั่น รักกันใช่ไหม”“.....................”
“....................”
.................................................
“สอนเอ๊ย......กลับบ้านมาช่วยไถนาคราวนี้ เอ็งนัดกับไอ้มั่นแล้วยังลูก แม่ว่าไม่เกินวันนี้พรุ่งนี้ฝนคงตกแล้วนะ”
“ยังเลยจ้ะแม่ เดี๋ยวบ่ายๆหนูจะเดินไปดูมันเสียหน่อยแล้วจะได้นัดกันเลย อาบน้ำให้อีแหง่มันก่อน มันโตไวเหมือนกันนะแม่ อีแหง่เป็นสาวแล้วสงสัยต้องหาผัวให้มันเสียที แม่สายสวาทจะได้มีลูกแหง่น้อยๆไว้เลี้ยงเล่น เผื่อหน้านาปีหน้า ไม่มีใครมันอยากจะมาช่วยไถช่วยหว่าน บ้านเราจะได้มีควายสองตัวช่วยผ่อนแรง หึๆๆๆ” น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปหากคนไม่คุ้นเคยย่อมเข้าใจว่าผู้พูดรู้สึกสนุกสนานเหมือนกับเนื้อความ หากสำหรับแม่ที่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกมาเข้ายี่สิบปีอย่างแม่เปี่ยมกลับสะดุดหูกับประโยคท้าย เหมือนลูกชายจะมีตะกอนในใจกับเพื่อนรักเสียแล้ว
“.....สอน เอ็งได้ยินข่าวแล้วรึ”
“.......แม่.....แม่รู้......” คำถามของนางเปี่ยมที่ดูเป็นคำถามทั่วๆไปและน้ำเสียงเรียบเรื่อยนั้นย่อมไม่ทำให้ไอ้สอนตกใจได้หากไม่ประกอบกับสายตาแสดงความเข้าอกเข้าใจที่คนเป็นแม่ทอดมองมา
“น้องเอ็งมันปากมาก ....แล้วเอ็งเชื่อปากคนรึเปล่าล่ะลูก” ใช่ว่าคนเป็นแม่จะภาคภูมิใจที่รับรู้ว่าบุตรชายคนเดียวของตนมีหัวใจรักให้ผู้ชายด้วยกัน แต่เมื่อคืนนางเปี่ยมได้ยินเสียงกุกกักนอกชานเลยย่องออกไปดู แล้วบังเอิญได้ยินบทสนทนาของลูกทั้งสองเข้าพอดี
คำถามของลูกสาวทำให้หัวอกคนเป็นแม่ปั่นป่วน แล้วยิ่งความเงียบที่เป็นคำตอบจากลูกชายหัวแก้วหัวแหวน สำหรับคนเป็นแม่แล้วมันดังยิ่งกว่าเสียงระฆังที่พระท่านตีบอกเวลาเพลเสียอีก นางเปี่ยมในวัยเฉียดห้าสิบปีค่อยๆถอยหลังกลับเข้าไปในมุ้ง พลิกตัวกระสับกระส่ายอยู่ค่อนคืน จิตใจร้อนรนครุ่นคิด ทบทวนแต่ว่าจะทำอย่างไร
จนสายใจมุดมุ้งเข้ามานั่งคุกเข่าสวดมนต์กราบพระอยู่ข้างๆแล้วล้มตัวลงนอน นางก็แข็งใจแสร้งทำเป็นหลับสนิท จนได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอจากลูกสาวนั่นแหละ นางเปี่ยมจึงลุกขึ้นมานั่งพนมมือสวดมนต์ ขอเอาคุณพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง นั่งหลับตากำหนดจิตให้เป็นสมาธิ สักครู่คำสอนที่ได้ฟังมานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่ยังเยาว์ก็ดังขึ้นในห้วงความคิด
‘หากยังยึดถือว่าตัวกู ของกู ก็จะปลดทุกข์ไม่ได้ สังขารนั้นมันไม่เที่ยง ชีวิตก็ไม่เที่ยง ตัวเราไม่ใช่ของเรา เสื้อผ้าไม่ใช่ของเรา ลูกก็ไม่ใช่ของเรา ผัวก็ไม่ใช่ของเรา......ไม่ใช่ของเราทั้งนั้น’ “แม่จ๋า หนูขอโทษ......หนูไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้” ไอ้สอนวางมือจากอีแหง่ลูกรัก แล้วก้าวสวบๆขึ้นมาก้มลงกราบแม่ที่กำลังเลือกเก็บมะเขือขื่นลงตรงไหล่บอบบางหากไอ้สอนรู้ว่าไหล่นี้บ่านี้แข็งแกร่งนัก
ปฏิเสธว่าสิ่งที่แม่รู้ไม่เป็นความจริงไปก็เท่านั้น นางเปี่ยมไม่ใช่คนมักพูดแบบหญิงชาวบ้านทั่วไป แม่ของเขาคิดก่อนพูดเสมอ และถ้าเรื่องไหนไม่มั่นใจว่าเป็นความจริงจะไม่มีทางหลุดจากปากของแม่ได้เลย
ไอ้สอนยิ่งคิดยิ่งอยากจะหัวร่อ เป็นมันเองแท้ๆที่ทำพิรุธจนแม่กับน้องจับได้ ก็ตั้งแต่จำความได้ เพื่อนสนิทที่สุดก็มีเพียงไอ้มั่นคนเดียว โตมาด้วยกัน บ้านก็ห่างกันแค่คลองกั้น คลองสายเล็กๆ ว่ายน้ำแค่ไม่ทันเหนื่อยก็ไปเจอกันได้แล้ว ทั้งมันทั้งไอ้มั่นบวชเรียนเป็นเณรก้นกุฏิท่านพระครูรูปเดียวกัน เรียนหนังสือที่วัดด้วยกันมาตลอด จนจบเปรียญ ไอ้มั่นลาสิกขาออกมารับมรดกที่นาเหยียบร้อยไร่เพราะพ่อมันตายกะทันหัน ในขณะที่ไอ้สอนเข้าไปเป็นนักมวยในบางกอก สองสามเดือนจึงจะกลับมาบ้านที
เวลาที่ต้องกลับมาทุกปีนอกจากสงกรานต์ที่ต้องกลับมารดน้ำให้แม่กับย่า ก็ก่อนเข้าพรรษาหน้านานี่แหละ ที่ไอ้สอนมันต้องกลับมาช่วยไถดะไถแปรไปจนถึงหว่านข้าว ที่นาแค่ห้าไร่ก็จริง แต่ลำพังแม่กับอีสายน้องสาวคนเดียว ถึงอีสายมันจะบอกว่าไหว แต่ไอ้สอนเองนั่นแล้วที่ไม่อยากให้แม่กับน้องต้องเหนื่อยจนเกินกำลัง
นอกไปจากนั้น.....เพราะมีเพียงช่วงเวลานี้ ที่มันกับไอ้มั่นจะใช้ด้วยกันสองคนโดยไม่ต้องเกรงสายตาใคร ถึงแดดจะกล้าแค่ไหน แต่พอจับคันไถไล่ต้อนควายให้ก้าวไปพร้อมๆกับไอ้มั่น มีไอ้มั่นคอยเย้าแหย่ คอยชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ แถมบางทียังแถมร้องเพลงให้ฟังเสียอีก ไอ้สอนเลยได้อาบเหงื่อไปพร้อมกับอาบสุขได้ทุกที
สองปีที่แล้วน้ำท่วมหนักจนนาล่ม แม่ปรึกษากับไอ้สอน แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจขายอีหมาควายที่เลี้ยงไว้ใช้งานตัวเดียวเพื่อเอาเงินไปใช้หนี้ค่าปุ๋ยที่ไปเชื่อร้านเขาไว้ ไอ้สอนในตอนนั้นที่ยังไม่ได้เข้าไปเป็นนักมวยในบางกอกเล่าให้เพื่อนรักฟังเพื่อระบายตามประสา ไอ้มั่นถึงกับเสนอจะเอาเงินของมันไปจ่ายหนี้ให้แทน แต่มีหรือไอ้สอนที่ถึงจะเป็นลูกชาวนาแท้ๆแต่ก็รักศักดิ์ศรีจะยอมให้เพื่อนรักช่วยเหลือเรื่องเงิน วันที่ตัดสินใจเอาอีหมาไปขายทั้งน้ำตา ไอ้มั่นมันโกรธจนไม่ยอมพูดด้วยและไม่ยอมมองหน้าไปเกือบเดือน
แต่พอพ้นเดือนเท่านั้น จู่ๆมันก็มาตะโกนเรียกหน้าบ้านพร้อมกับจูงอีแหง่ลูกรักนี่มาด้วย จะไม่รับไว้เพราะเห็นเป็นของมีราคา ไอ้มั่นมันก็ว่าอีสวยของมันตกลูกแฝด เลี้ยงลูกแหง่สองตัวไม่ไหว
ไอ้สอนมันรู้ใจตัวเองดี ที่อยู่มาจนอายุครบบวชแล้วยังไม่มีใครก็เพราะทั้งหัวใจมันมีแต่ไอ้มั่น ตั้งแต่เล็กจนโต มันไม่เคยมีสายตาแลสาวบ้านไหน ก็เพราะมันคอยแต่จะมองไอ้มั่นเพื่อนรักอยู่คนเดียว แต่ที่มันไม่รู้ก็คือใจของไอ้มั่น.....ไอ้ความรักแบบเพื่อนต่อเพื่อน ไอ้มั่นมันมีให้แน่ๆ แต่ความรักแบบที่จะอยากอยู่ด้วยกันไปจนแก่นั้น ไอ้สอนเองก็ไม่เคยกล้าที่จะคิดจะฝันถึง
“ไม่ต้องรู้สึกผิด เอ็งไม่ได้ทำอะไรผิด......ใจของเอ็งก็เป็นของเอ็ง ถ้าไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร ไม่ได้เบียดเบียนใคร เอ็งก็ไม่ได้ทำผิดนะสอน”
“..................”
“วันบุญใหญ่ที่แล้วแม่ไปทำบุญที่วัด หลงปู่ของเอ็งท่านสอนเรื่องพระสูตรอะไรน้า....ชื่อเรียกยาก แม่ก็จำไม่ได้เสียด้วย แต่ใจความท่านว่า อย่าได้ปักใจเชื่ออะไรง่ายๆ..... อย่าเชื่อเพราะครูท่านว่า อย่าเชื่อ....เพราะเขาเล่าว่า.....ไอ้ข้อท้ายๆหลงปู่ท่านยังสอนอีกนะว่าอย่าเชื่อ....แค่เพราะสายตาเห็นว่า.....”
“แม่จ๋า......หนู.....เฮ้อ..........”
“เออ สอนคิดอย่างไรล่ะลูก ถ้าแม้แต่ครูเรายังเชื่อไม่ได้ แถมสายตาเรามองไปเห็นแท้ๆพระพุทธองค์ท่านยังห้ามไม่ให้เชื่อ.....แล้วเรายังจะเชื่ออะไรได้อีกล่ะลูก”
“แหม.......แม่ ฉันว่านะ ถ้าอะไรๆมันก็เชื่อไม่ได้ ไอ้ที่หลงปู่ท่านสอน เราก็อย่าเชื่อเลยนะแม่ ฮะๆๆๆๆ”
“เอ็งก็เหมือนกันสาย เที่ยวเก็บเอาขี้ปากคนอื่นมาพูดดีนัก” ว่าแล้วนางเปี่ยมก็เงื้อมือเตรียมจะฟาดลูกสาวเสียหนึ่งเผียะ แต่นกรู้อย่างอีสายก็ปรู๊ดหลบไปอยู่หลังพี่ชายเสียก่อน “ทโมนเหมือนที่ย่าเอ็งว่าจริงๆลูกคนนี้ หึๆๆๆ”
‘น้ำค้างเดือนหกตกแล้ว น้องเอยน้องแก้วเจ้าไม่หนาวบ้างหรือไร เมื่อไหร่จะหาเพื่อนมาช่วยจับคันไถ รู้ตัวหรือเปล่าว่าใคร คนหนึ่งชอบน้องงงงงงง’
เสียงเพลงจากลำคอหนาของร่างสูงแกร่งกล้ามเป็นมัด ที่หนายิ่งกว่าคนที่เป็นนักมวยไทยอาชีพอย่างไอ้สอนดังคลอกับเสียงของนักร้องชื่อดังจากลำโพงทรานซิสเตอร์เครื่องน้อยอย่างไม่เกรงว่าใครจะได้ยิน จนไอ้สอนก้าวเข้าไปจนชิดกับแคร่ไม้ไผ่ที่ต่อขึ้นอย่างลวกๆที่ใต้ถุนเรือนไม้สักทั้งหลังนั่นแล้ว ร่างหนาของไอ้คนที่คิดว่าตัวเองเสียงดีนักหนาก็ยังไม่รู้สึกตัวอยู่ดี ไอ้สอนจึงตัดสินใจนั่งลงไปข้างๆร่างที่กึ่งนั่งกึ่งนอนหลับตาฟังเพลงอย่างสบายอารมณ์เสียเลย
เมื่อรู้สึกถึงความยวบของแคร่ไม้ไผ่ ไอ้มั่นจึงแสร้งทำจมูกฟุดฟิด ผินหน้าไปซ้ายทีขวาทีทั้งที่ยังไม่ลืมตา แล้วก็เลื่อนตัวควานจนเจอตักอุ่นๆของไอ้สอน ก่อนจะวางหัวที่มีผมหยักศกดำขลับลงไปบนตัก แล้วทั้งๆที่ยังไม่ลืมตานั่นแหละ ไอ้มั่นก็เริ่มจีบไม้จีบมือ ร้องเพลงไทยเดิมที่เคยได้ยินวงปี่พาทย์เบิกโรงของลิเกคณะเพชรน้อยเอามาเล่นเมื่อปีกลายแล้วมันฝังใจคิดถึงไอ้สอนมันทันที
“หอมกลิ่นเกสร.....เกสรดอกไม้ อือฮื่อ....... หอม กลิ่นคล้าย...คล้ายเจ้าสอนของเรียมเอย.....หอมกลิ่นกรุ่นครัน หอมนั้น....ยังบ่เลย เนื้อหอมทรามเชยเอ๋ยเรา.......ละเหนอ....”“หึๆๆๆ ไอ้มั่น เพลงนี้ออกดัง เอ็งก็เอามาร้องผิดๆได้เนอะ”
“ก็ที่รักของข้าชื่อสอน ไม่ได้ชื่อสูนี่หว่า แล้วข้าจะร้องเพลงชมกลิ่นไอ้สูมันทำไมล่ะ ฮ่าๆๆๆ”
“เอ็งมันก็ดีแต่ล้อข้าเล่นไปวันๆ แล้วว่าอย่างไร จะให้ข้าช่วยอะไรก็บอก เอ็งจะจัดงานยังไงเมื่อไหร่ ข้าจะมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้เอ็งแน่ๆ”
“เพื่อนเจ้าบ่าว.....พูดเรื่องอะไรของเอ็ง” ได้ยินคำจากปากเจ้าของตักที่ยึดเป็นหมอนหนุนนอน ไอ้มั่นถึงกับเด้งตัวลุกขึ้นพรวดพราด แล้วเปลี่ยนเป็นนั่งเผชิญหน้าพร้อมทั้งจับยึดข้อมือของไอ้สอนไว้ทันที
“.............................” ไอ้สอนไม่ตอบคำถาม แต่กลับเบือนหน้าหนีไปทางอื่น จนเมื่อไอ้มั่นเอื้อมมือไปแตะปลายคางให้หันกลับมานั่นแหละ จึงได้เห็นว่ามีน้ำตาคลออยู่จนเกือบล้นออกมาจากดวงตาที่ปกติก็หวานหยาดเยิ้มอยู่แล้วทั้งสองข้างของคนที่มันเรียกว่าที่รักเสียแล้ว
“สอน.....มีเรื่องอะไร เอ็งไปได้ยินอะไรมา ข่าวลือเรื่องข้ากับอีเผื่อนใช่หรือไม่” พอไอ้มั่นมันถามออกไป ไอ้สอนก็ก้มหน้าหลบสายตาลงทันที พร้อมๆกับที่ไอ้มั่นรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆหยดหนึ่งที่ตกต้องลงบนหลังมือด้านที่ใช้เชยคางของไอ้ตัวขี้แยอยู่เมื่อกี้
ไอ้สอนมันเป็นอย่างนี้แหละ เป็นมาตั้งแต่เด็ก เวลามีเรื่องกับคนอื่นมันสู้ได้ไม่เคยถอย แต่พอเรื่องจบแล้วมาเห็นว่าไอ้มั่นมันเจ็บเท่านั้น แม้จะมีบาดแผลแค่รอยแมวข่วน ไอ้สอนมันก็ร้องไห้ได้ง่ายๆ พูดง่ายๆขอให้เป็นเรื่องของไอ้มั่นเถอะ ไม่ว่าจะดีใจหรือเสียใจ ไอ้สอนมันจะรู้สึกมากกว่าเจ้าตัวเสียทุกครั้งไป
“อื้ม”
“เอ็งก็รู้ ข้ารักเอ็ง รักเอ็งอยู่คนเดียว แล้วข้าจะไปเป็นพ่อเด็กในท้องอีเผื่อนมันได้ยังไง......หรือเอ็งไม่รู้” คราวนี้ไอ้มั่นจึงได้คำตอบเป็นการส่ายหน้าถี่ๆจากไอ้สอน ทั้งที่ยังไม่ยอมสบตาด้วยอยู่นั่นเอง
“เอ็งไม่รู้ว่าข้ารักเอ็ง หรือไม่รู้ว่าข้าจะไปเป็นพ่อเด็กได้ยังไงกันแน่”
“บ้า ไอ้มั่น เอ็งนี่นะ ฮึ่ยยยยยยยยย”
“หึๆๆ หน้าแดงอย่างนี้ ข้าจับปล้ำเอาไม่รู้นะเว้ย” ไม่ว่าเปล่าไอ้มั่นฉวยทีเผลอฉกจูบลงไปบนริมฝีบางบางเฉียบของไอ้คนที่นั่งหน้าตาแดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุกทันที ก็บอกด้วยปากมากี่ครั้งมันยังบอกว่าไม่รู้ ไอ้มั่นเลยตัดสินใจบอกมันด้วยการกระทำนี่แหละ ง่ายดี
“โอ๊ยยยยยยย!!”ได้ผล ไอ้คนถูกขโมยจูบมันลุกพรวดแล้วเสยเข้าปลายคางพอดิบพอดี ไอ้มั่นถึงกับร้องเสียงหลงพร้อมทั้งลงไปวัดพื้นทำหน้าตาเหยเกทันที แล้วพอตั้งสติได้ ก็เป็นไอ้สอนอีกแหละที่รีบพยุงไอ้คนเข่าอ่อนลงไปพับเพียบกับพื้นขึ้นมานั่งบนแคร่
“เจ็บมากไหม ข้าขอโทษ.......ก็ ข้าตกใจ จู่ๆเอ็งก็....ก็...”
“เจ็บสิ เจ็บมาก เจ็บที่อกเนี่ย คนบอกรักแทนที่จะบอกรักตอบ กลับถูกชกเสียได้....ว่าที่เมียข้านี่หมัดหนักแท้ๆ กว่าจะได้เอ็งมาเป็นเมียข้าไม่น่วมเป็นกระท้อนเรอะ แต่สำหรับเอ็งนะสอน ข้ายอม....อยากจะทุบจะถองเท่าไหร่ก็ยอม ให้เอ็งคนเดียวเลย.....”
“....................” ไอ้มั่นมันเลื้อยตัวเองจนวางหัวลงบนตักไอ้สอนอีกแล้ว แถมคราวนี้ยังจับยึดมือทั้งสองข้างของไอ้สอนเอามากุมไว้ตรงหว่างอกอีกด้วยสิ
“ถึงข้าจะไม่เหมือนกระท้อนที่ยิ่งทุบก็ยิ่งหวาน แต่สำหรับเอ็ง ข้าหวานได้ทุกเวลาเลยนะสอน”
“ก็นี่แหละ เพราะเอ็งดีแต่พูดเล่นแบบนี้ ข้าเลยไม่รู้....ว่า....เอ่อ....”
“สอน.....ขอให้เชื่อข้าเถิดนะ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ข้ามองเอ็งคนเดียว มีแต่เอ็งคนเดียวมาตลอด ข้ารู้ว่ามันแปลกที่ข้ารักเอ็งทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ทำไงได้ ก็มันรักไปแล้วนี่ อีกอย่าง เอ็งรู้ไหม......ที่ข้าคอยแหย่ คอยพูดเล่นกับเอ็งแบบนี้ได้ ก็เพราะอยู่กับเอ็งทีไร ข้าก็รู้สึกสบายใจ รู้สึกมีความสุข จนความสุขมันแทบจะจุกอกทุกที ข้าเคยคิดว่าข้าคงไม่ชอบผู้หญิงแต่ชอบผู้ชาย แต่พอข้าลองมองผู้ชายคนอื่น ข้าก็ไม่เห็นจะรู้สึกรักแบบที่รู้สึกกับเอ็งได้เลยสักที....เพราะอย่างนั้นเอ็งเชื่อข้าเถิดนะ ข้าไม่มีอะไรกับอีเผื่อนมันจริงๆ สายตาของข้า มีไว้มองเอ็งคนเดียว.......อือ....อื้ม..”
ไอ้สอนมันคงเขินมากกระมัง จะเอามือปิดปากที่พูดบอกรักอยู่นั่นแก้เขินก็ทำไม่ได้ จะลุกหนีก็ถูกยึดตักไว้เสียอีก มันเลยก้มหน้าลงเอาปากมันนั่นแหละ แนบไปกับปากที่ขยับเจื้อยแจ้วอยู่เสียเลย เอ.....หรือไอ้สอนมันจะกลัวไอ้มั่นน้อยใจ ก็ไอ้มั่นเล่นบอกทั้งคำพูดทั้งการกระทำออกขนาดนั้น ไอ้สอนมันเลยเอาบ้าง ไม่กล้าบอกออกจากปาก บอกทางการกระทำคงทดแทนกันได้หรอก
และดูนั่น ดูท่าไอ้มั่นจะถูกใจเสียด้วยสิ พอไอ้สอนมันขยับจะถอนปากออก ไอ้มั่นมันถึงเอื้อมมือไปกดที่ท้ายทอยเอาไว้ไม่ให้ไอ้สอนผละจากไปได้......
เป็นอย่างนี้ ไอ้มั่นมันคงไม่ต้องกังวลแล้วกระมังว่าตัวเองจะน่วมก่อนจะได้ไอ้สอนเป็นเมีย.....
....................................
....................................
(มีต่อที่หน้า7ค่ะ)
ปล.แอบบอกหลังอ่าน เรื่องนี้คนเขียนตั้งใจให้ แม่เป็นนางเอก อีสายเป็นนางรอง ย่าเป้นตัวประกอบทำหน้าที่ด่าอีสาย..ส่วนอีกสองคน..เอ่อ..เป็นคนรักกันค่ะ