ทุกอย่างกำลังจะไปได้สวยแท้ๆ.............นี่ถ้าเพียงแต่ผมมีเวลาต่อเนื่องอีกสักหน่อยล่ะก็...........ผมคงจะสามารถสร้างสายสัมพันธ์กับนัทได้แน่นแฟ้นมากกว่านี้.............คิดแล้วก็ให้นึกเสียดายอยู่ครามครัน....................ก็ได้แต่หวังว่า สิ่งที่ผมทำไปในช่วงเวลาที่ผ่านมาคงจะพอมัดใจเค้าเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง........ไว้ตอนกลับมาจากฝึกงานที่โรงพยาบาลชุมชนเมื่อไหร่ ผมค่อยลงมือร่ายมนต์อีกครั้งเป็นคำรบที่สอง....คราวนี้ล่ะ.........รับรองว่าดิ้นไม่หลุด......หุหุ............
“พรุ่งนี้จะไปกี่โมงล่ะ” ผมนั่งมองนัททานข้าวด้วยสายตาละห้อย..............ทำไมต้องมาแยกกันตอนนี้ด้วยนะ.........ไปฝึกงานตั้งเป็นเดือน.............ถ้าเค้ากลับมาแล้ว เรามิต้องมาเริ่มนับหนึ่งกันใหม่หรือยังไงกัน........
“หกโมงเช้า ไปกับรถตู้ของคณะ” เค้าไม่ได้มีท่าทีจะอนาทรร้อนใจอะไรเลยสักนิดเดียว............ผมซะอีกที่แสดงความอาลัยอาวรณ์ออกมาทางสีหน้าอย่างโจ่งแจ้งชนิดไม่มีปิดบัง.............
“เอาเพลงไปฟังด้วยสิ” ผมยื่นแผ่นเอ็มพีสามที่เตรียมเอาไว้ให้....อย่างน้อยๆ มีอะไรให้เค้าเอาไว้ดู ไว้ฟังต่างหน้าผมบ้างก็ยังดี..............
“พี่กั้ง แว่นตาของพี่กั้งไม่ค่อยได้ใส่ เดี๋ยวนัทจะเอาไปใส่ที่โน่นนะ จะได้ดูภูมิฐาน” ปกติแล้วผมจะใส่คอนแทคเลนส์..........เพราะรำคาญแว่นเวลาเหงื่อออก.........จึงเอาไว้ใส่เฉพาะตอนอยู่ห้อง..........ผมกับเค้าสายตาสั้นในระดับใกล้เคียงกัน.......
“ถ้าอยากได้ก็เอาไปสิ พี่ไม่ค่อยได้ใส่หรอก” ผมเอ่ยปากยกให้.......จริงๆก็เสียดายอยู่เหมือนกัน.......ตัดมาตั้งหลายพัน........แต่ถ้าลงได้รักใครแล้วอย่าว่าแต่ของพวกนี้เลย..........มากกว่านี้ก็ให้ได้.........หากแต่ว่า การให้และการรับควรจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงใจต่อกัน..........
“เดี๋ยวกลับมาแล้วนัทจะเอามาคืน” นัทเป็นคนที่ไม่เคยฉกฉวยเอาอะไรจากความรักของผมเลย............ถึงแม้ผมจะแสดงให้เค้าเห็นตลอดมาว่า ผมพร้อมจะให้เค้าได้ทุกอย่างก็ตาม........ ไม่แน่หรอกนะ....เค้าอาจจะกลัวว่า มันจะกลายเป็นสิ่งผูกมัดระหว่างเราก็เป็นได้..............
“ถ้าไปอยู่ที่โน่นแล้วโทรหาพี่บ้างนะ เพราะนัทก็รู้อยู่แล้วว่าพี่ไม่โทรไปหานัทหรอก” ผมสั่งเสีย.....และหวังใจเหลือเกินว่า มันจะเข้าหูของเค้าบ้าง ไม่มากก็น้อย............เรื่องจะให้เป็นฝ่ายโทรหาใครก่อนนั้นผมไม่ถนัด.............ไม่ใช่ว่าเล่นตัวหรือว่าเรื่องมาก...............แต่ผมคิดว่าผมแสดงให้เค้ารู้ตลอดเวลาอยู่แล้วว่า ผมปรารถนาที่จะได้รับข่าวสารจากเค้ามากมายเพียงใด..........หากมีใจตรงกันก็ขอให้เค้าเป็นฝ่ายโทรมาเองจะดีกว่า...............ผมคงไม่กล้าโทรไปรบกวน.....ทั้งๆที่อยากจะทำใจแทบขาด.............
“แกมันคนประหลาด เรื่องที่ควรกล้าก็กลับไม่กล้า เรื่องที่ไม่ควรกล้าดันกล้า” เพื่อนสาวมักจะคอยกระแนะกระแหนผมด้วยความหมั่นไส้ เวลาเห็นผมทำท่ากระบิดกระบวน ด้วยความไม่กล้าที่จะทำนั่นทำนี่ เป็นเหตุให้หล่อนต้องคอยออกหน้าให้แทนเสมอ...............ความไม่กล้าของผมมีหลายอย่าง.......ชนิดที่เรียกได้ว่าจาระไนกันแทบไม่หมด อาทิ.......ไม่กล้าตะโกน...............ครั้งหนึ่งผมเคยไปเดินป่ากับเพื่อนๆ และมีเหตุบังเอิญให้ต้องพลัดหลงกัน..........ระหว่างที่เดินตามหาคนอื่นๆ..........เพื่อนสาวต้องเป็นคนตะโกนเรียกหาเพื่อนๆจนคอแทบแตก........ในขณะที่ผมสามารถตะโกน (ไม่แน่ใจว่าควรจะเรียกว่าตะโกนดีมั้ย) ได้แค่เบาๆ............และนั่นก็เป็นสิ่งที่หล่อนยังสามารถนำมาใช้ค่อนแคะผมได้จนถึงทุกวันนี้..........อีกอย่าง เวลานั่งรถตู้โดยสารในกรุงเทพ.........หากผมได้นั่งเบาะหลัง.............ผมจะเลือกใช้วิธีลงป้ายที่ใกล้ที่สุด ที่ผู้โดยสารคนอื่นลง..........ซึ่งบางครั้งผมต้องเดินกลับมายังจุดที่ต้องการลงจริงๆไกลเกือบกิโลเมตร..........เหตุผลเพียงเพราะผมไม่กล้าตะโกนบอกให้คนขับจอดรถนั่นเอง......งี่เง่าสิ้นดี ว่ามั้ย........
“ไม่โทรหาแต่ส่งข้อความไปจิกสุดฤทธิ์” นัทหลิ่วตา ยิ้มล้อเลียน............ก็มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมสามารถใช้บอกความในใจกับเค้าได้นี่นา..............ถ้ามีการแข่งขันพิมพ์ข้อความโดยใช้โทรศัพท์มือถือ.............ผมคงได้รางวัลชนะเลิศเป็นแน่...........รวดเร็ว.....ถูกต้อง.....และแม่นยำ.......อิอิ
“อยู่ที่โน่น พักกับใครเหรอ” ผมยังคงไม่คลายกังวล.....ด้วยเป็นห่วงว่าเค้าจะไปอยู่กินยังไง.....จนนัทรำคาญในความพิรี้พิไร....
“ก็อยู่กับเพื่อนๆ น่ะสิถามได้” เค้าตอบเสียงขุ่น.....เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าควรหุบปากเสีย............ผมจึงรีบหุบปาก.........
“กลับกันเถอะ เดี๋ยวนัทต้องไปแพ็คกระเป๋า” นัทเร่งเร้า ภายหลังจากที่ทานอาหารเสร็จแล้ว
“ดึกๆค่อยกลับไม่ได้เหรอ” ผมทำเสียงอ่อย.......พยายามต่อรอง.........นี่ยังหัววันอยู่เลย
“ไม่ได้ดดดดด นัทยังไม่ได้เตรียมกระเป๋าเลย” เค้าลากเสียงปฏิเสธน่าหมั่นไส้........จนผมต้องยอมแต่โดยดี...........ไม่รู้จะรีบร้อนอะไรกันนักหนา.............ในใจผมนึกหมั่นไส้เหลือประมาณ...........จะไปจากเชียงใหม่แล้วนี่ ถึงได้ทำท่ายังกับปลากระดี่ได้น้ำแบบนี้............เรื่องอะไรจะปล่อยให้ไปอย่างสบายอกสบายใจ..............ผมต้องทำให้เค้ารู้สำนึกเสียบ้างว่า ยังมีผมรออยู่ทางนี้นะ..............
ระหว่างทางที่ขับรถกลับไปส่งนัทที่หอ.............ผมทำท่ากระเง้ากระงอดไม่พอใจที่เค้าเร่งรัดอยากรีบกลับไปเก็บของจนเกินเหตุ.............………
“เป็นไร ทำไมทำหน้าบูดหน้างอ” เค้าเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าผมเงียบไปนานจนผิดสังเกตุ.........ปกติเค้าจะเคยใส่ใจอะไรที่ไหนล่ะ.........สงสัยจะสำนึกผิด
น้ำตาผมเอ่อด้วยความรักอาลัยผสมน้อยใจ.............ผมหันไปสบตาเค้าก่อนจะเบือนหน้าหนียกมือขึ้นปาดน้ำตา พลางทำท่าสูดลมหายใจแผ่วเบา รวยริน..............
“พอไม่ได้อย่างใจอะไร เอะอะก็จะทำเป็นบีบน้ำตา” นัทเอื้อมมือมาลูบศรีษะผมเบาๆ................น้ำเสียงเค้าดูอาทรจนผมใจสั่น...........ผมชอบมุมนี้ของเค้าจัง.......
“ไม่ได้บีบน้ำตาสักหน่อย แค่คอนแทคเลนส์มันแห้ง ก็เลยแสบตาตะหาก” ผมทำท่าแก้ตัว...........น้ำเน่าสิ้นดี...........ก็ไอ้เรื่องน้ำเน่าแบบนี้แหล่ะ............คนไทยชอบกันนักไม่ใช่เหรอ.........ถ้าตีบทแตกกระจุย.........ตุ๊กตาทองก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม........ผมก็แค่อยากให้เค้ารู้ว่า ยังมีผมรอเค้าอยู่ที่เชียงใหม่นะ...........ไม่ใช่ว่าพอจากไปแล้วจะทำตัวเหมือนปลาที่ถูกปล่อยลงน้ำ...........ไม่หันกลับมาเหลียวแล...............บางคนอาจจะคิดว่านี่เป็นวิชามาร.............ก็แล้วมันไปทำให้ใครเดือดร้อนบ้างล่ะ.............ในเมื่อผมจะทำเพื่อเรียกร้องความสนใจจากแฟนผมอ่ะ.....ผิดตรงไหน.......จริงมะ.......
หลังจากส่งนัทกลับไปแล้วผมจึงกลับมานั่งคิดอะไรอยู่ที่ห้องคนเดียวเงียบๆ..............อยากไปส่งเค้าเหมือนกัน.............แต่คงเป็นไปได้ยาก..........เนื่องจากสถานะของผมในตอนนี้คือบุคคลที่ไร้ตัวตน....ไม่ได้มีการรับรองสถานะทางสังคมจากนัทแต่อย่างใด..............คิดแล้วก็น่าน้อยใจในวาสนาของตัวเองนัก............
ค่อนดึก.......นัทโทรมาหาผม สงสัยจะเพราะบทบาทเมื่อตอนหัวค่ำนั้นจะทำให้เค้าเป็นกังวล....
“เป็นยังไงมั่ง” น้ำเสียงเค้าแสดงออกถึงความห่วงใย......เรื่องแบบนี้ไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นบ่อยๆหรอก........
“ก็ไม่เป็นยังไง เก็บของเสร็จแล้วเหรอ” ผมย้อนถาม เพราะผมเองก็ไม่ได้เสียอกเสียใจอะไรมากมายขนาดนั้น.............ก็แค่อาลัยรักประสาคนจะจากกันไปไกลก็เท่านั้น.......
“เก็บเสร็จแล้ว” เก็บเร็วดีนี่.........ผมนึกประชดในใจ
“เอาอะไรไปบ้าง” ผมซักต่อ
“ก็ทุกอย่างแหล่ะ ผ้าห่ม เสื้อผ้า คอมพิวเตอร์ ทีวี” โห......ทำไมเอาไปเยอะจัง.......ไปอยู่แค่เดือนเดียวเอง........
“อย่าลืมเอาพวกของแห้งไปกินด้วยนะ ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่นั่นจะลำบากมากรึเปล่า” ผมแสดงความวิตกกังวลต่อปากท้องของนัท..........เพราะรู้ดีว่าเค้าเป็นคนกินเก่งมากแค่ไหน........
“เอาไปแล้วววววววววว” เค้าเริ่มทำเสียงรำคาญ...........ส่วนใหญ่แล้วเราจะคุยโทรศัพท์กันดีๆได้ไม่นาน..........เพราะนัทจะชอบทำท่ารำราญที่ผมมีนิสัยร่ำไรไม่รู้จักจบสิ้น............
“ไปอยู่โน่น เจอพวกรุ่นพี่ๆในที่ทำงานอย่าลืมไหว้เค้าล่ะ ต้องไหว้ทุกวันด้วยนะ เดี๋ยวเค้าจะหาว่าเราไม่มีสัมมาคารวะ” ผมยังคงพล่ามต่อ.............ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองชักจะพูดมากเกินไปแล้ว........แต่ก็เตือนเพราะความเป็นห่วง............กึ่งๆกับอยากยั่วให้เค้าโมโหเล่นๆ.......
“นี่ คิดว่ารู้ดีแต่ตัวเองรึไง” นัทเริ่มเสียงเขียว............
“พี่ไม่ได้หมายความยังงั้นสักหน่อย ก็แค่เตือนเอาไว้เฉยๆ” ผมพยามอธิบาย เพราะเห็นน้ำเสียงเค้าเริ่มโมโห.....ดูท่าเอาเรื่องทีเดียว........
“ผมอยู่คนเดียวก่อนจะมาเจอคุณ ก็ไม่เห็นว่าจะเดือดร้อนอะไร ไม่เห็นจำเป็นต้องมีคนมาคอยตักเตือนให้ทำนั่นทำนี่ให้วุ่นวาย”......นัทบ่นผมเป็นชุด.......เอาล่ะสิ......ขึ้นคุณขึ้นผมเสียด้วย สงสัยจะโมโหมาก..........เคยมีคนบอกผมว่าถ้าคิดจะมีแฟนเด็กห้ามพูดจาสั่งสอน หรือปฏิบัติกับเค้าเหมือนเค้าเป็นเด็กกว่าเราเด็ดขาด......เพราะเค้าจะเสียความมั่นใจในตัวเองและจะโมโหเอามากๆ...............เนื่องจากว่าเป็นปมด้อยของเด็กที่มีแฟนเหนือกว่าทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิอย่างเราๆ.........
“เอ๋า เตือนเฉยๆแค่นี้ก็โกรธ” ผมตัดพ้อเสียงแผ่ว.......เพราะรู้ว่าตอนนี้เค้าโมโหแล้ว
“มีอะไรอีกมั้ย จะวางแล้วนะ” นัทตัดบทน้ำเสียงกระด้าง.......เอาแต่ใจตัวเองชะมัด…..
“อย่าเพิ่งสิ พี่ยังพูดไม่จบเลย" ผมพยายามยื้อเวลาเอาไว้
"มีอะไรอีกล่ะ จะวางแล้วนะ" เกลียดนักไอ้คำๆนี้..........
" อย่าลืมเอามาม่าไปเยอะๆล่ะ เผื่อที่นั่นไม่มีอะไรจะให้กิน” ผมยังคงพล่ามต่อ............จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าควรจะยุติหรอก.............แต่มันสนุกดี เวลาที่ได้กวนประสาทให้เค้าโมโหเล่น..................
“รู้แล้ว งั้นแค่นี้นะ”...............
เค้าวางสายไปแล้ว..............นัทนี่ก็แปลกคน...........ผมพูดอะไรมักจะต้องเป็นอันขัดหูเค้าไปเสียทุกเรื่อง...........คนเป็นแฟนกันเค้าคุยตะคอกกันแบบนี้หรือไง..........ผมว่าไม่น่าจะเป็นแบบนี้หรอก........เวลาเห็นเพื่อนๆคุยโทรศัพท์กับแฟนทีไร ผมนึกอิจฉาทุกที......เพราะเห็นเค้าคุยจ้ะจ๋ากันดี......ไม่ยักกะมีทะเลาะตบตีกันแบบที่เราสองคนเป็นอยู่นี้เลย......กรรมของผมจริงๆ........