คนละปลายทาง
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คนละปลายทาง  (อ่าน 166987 ครั้ง)

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #60 เมื่อ24-05-2007 10:44:53 »

              ถ้าตัดเรื่องของความรักออกไปแล้ว การกลับมาใช้ชีวิตที่เชียงใหม่อีกครั้งในช่วงเวลานี้ก็ไม่ถึงกับเลวร้ายนัก...อย่างน้อยๆแลปก็เสร็จกลับมาทันเวลาแบบเส้นยาแดงผ่าแปดพอดี......แถมที่บ้านยังใจดีให้รถใหม่มาใช้อีกด้วย.....เอาล่ะ ผมจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่อีกครั้งหนึ่ง....กลับมาอยู่ที่จุดศูนย์เหมือนเดิม....ตั้งหน้าตั้งตาเรียนและก็หาแฟนต่อไป...จะจบดอกเตอร์อยู่แล้วยังไม่เคยมีแฟนจริงๆจังๆซักทีเฮ้อ.....
               ผมไม่มีเบอร์โทรของพี่ดุ๊ก รวมทั้งของนัทด้วย....ดูเหมือนว่าพวกเค้าทั้งสองคน จะถูกกำหนดมาให้เป็นเพียงแค่เพื่อนคุยแก้เหงาของผม เฉพาะตอนที่อยู่เมืองนอกเท่านั้น แต่พอกลับมาถึงเมืองไทย ทุกอย่างก็พลอยจบสิ้นตามไปด้วย.....แปลกดี....ตอนอยู่เมืองนอกผมรู้สึกว่า คุ้นเคยและใกล้ชิดกับพวกเขาทั้งสองคน เสมือนเพื่อนที่รู้ใจ.....แต่พอกลับมาถึงเมืองไทย ผมกลับไม่แน่ใจว่าที่แท้แล้วพวกเค้ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่......หรือนี่เป็นเพียงแค่ฝันไป...

              “หวัดดีครับ นั่นพี่กั้งหรือเปล่าครับ” เสียงจากปลายสายนิรนาม โทรเข้าทักทายในคืนหนึ่ง หลังจากที่ผมกลับมาอยู่ที่เชียงใหม่ได้สักพักแล้ว
             “ใช่ครับ นั่นใครอ่ะ” ผมทักตอบ พลางนึกเดาในใจไปต่างๆนานา
             “ผมนัทไง พี่มาถึงเมืองไทยเมื่อไหร่อ่ะ” .....เฮ้ย.....เป็นไปได้ยังไง.....ผมแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเค้าจะโทรมาจริงๆ
            “นี่เบอร์นัทเหรอ” ผมถามต่อเพื่อดึงบทสนทนา
            “ไม่ใช่คับ เบอร์เพื่อน” อันที่จริงผมไม่สนหรอกว่าจะเป็นเบอร์เค้าหรือเบอร์เพื่อน เพราะถึงยังไงผมก็ไม่โทรไปจิกเค้าอยู่แล้ว......ไม่ใช่นิสัย.....แต่ผมคิดเอาเองว่าเค้าน่าจะโกหกมากกว่า
             เราคุยกันต่อพักหนึ่งก่อนจะวางสาย.....ผมกลับมานั่งนึกถึงพูดบางคำของนัท.....ซึ่งผมรู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลย
             “เสียงพี่กั้ง สาวจัง.....ส้าวสาว” เค้าพูดย้ำคำนี้ซ้ำไปซ้ำมา ราวกับว่าเค้าจะตอกมันลงไปในหัวของผมให้มิดจนถอนไม่ขึ้น......นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงของผม.....เราเคยคุยโทรศัพท์กันผ่านเอ็มเอสเอ็นตั้งหลายครั้ง.....แล้วเพิ่งจะมาทำเป็นตินั่นตินี่....แล้วนายน่ะดีแค่ไหนกันเชียว....ผมได้แต่นั่งเจ็บใจอยู่คนเดียว.....รู้สึกโกรธกึ่งขำระคนกัน.....สาวแล้วไง.....ไม่อยากคุยก็ไม่ต้องมาคุย....ผมนึกในใจ....ถ้ารูปการณ์ออกมาเป็นอย่างนี้แล้ว...เส้นทางระหว่างผมกับนัทคงจะตีบตันอย่างไม่ต้องสงสัย......

             หลังจากไม่สบอารมณ์จากโทรศัพท์ของนัทเพียงไม่กี่วัน พี่ดุ๊กก็โทรเข้ามารายงานตัวอีกคน.....ระยะหลังมานี้ผมรู้สึกว่า เค้ามักจะมาพร้อมกับคำอธิบายห่วยๆเสมอ
             “ขอโทษนะที่พี่ไม่ได้ไปรับที่สนามบิน พอดีมีเรื่องยุ่งที่ทำงาน นี่พี่ก็เพิ่งกลับมาจากเมืองจีน” ส่วนใหญ่เค้าจะเป็นคนพูด ในขณะที่ผมมักจะต้องเป็นคนฟังเสมอ
            “ถ้าต้องมานั่งรอพี่ สงสัยกั้งคงต้องรอจนเหงือกแห้งกันพอดี โชคดีนะที่ไม่ได้ไปนั่งคอยอยู่แถววังบัวบาน ไม่อย่างนั้นกั้งคงได้กระโดดเหวล้างอายไปวันละหลายรอบ” ผมพูดกึ่งตลกเพื่อไม่ให้เขารู้สึกแย่มากไปกว่านี้....บางทีคำประชดประชันเล็กๆน้อยๆ ก็สามารถเรียกคะแนนพิศวาสได้มากกว่าที่คุณคิด.....พี่ดุ๊กหัวเราะระรื่น....คงเดาเอาเองว่าผมหายเคืองแล้ว....แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก....
            “พี่อยากขึ้นไปเยี่ยมกั้งช่วงวันลอยกระทงที่จะถึงนี้จัง และก็จะถือโอกาสแวะไปดูโรงงานที่ลำปางด้วย ไม่รู้ว่ากั้งจะสะดวกหรือเปล่า”
            เอาล่ะสิ.....จะทำยังไงดี.....แต่ถึงจะยังไงผมก็ต้องเผชิญหน้าความเป็นจริงในที่สุดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ.....จะออกหัวหรือก้อยก็ควรจะลองดูมันสักตั้ง..........
           “พี่มาพักที่ห้องกั้งก็ได้ กั้งอยู่คนเดียว พอเที่ยวงานลอยกระทงเสร็จ เดี๋ยวกั้งจะขับรถไปส่งที่โรงงานให้” ผมออกปากเชื้อเชิญให้พี่ดุ๊กมาพักที่ห้อง...ด้วยเห็นว่าเค้าเดินทางมาหาเรา...จะให้ไปนอนที่อื่นก็ดูจะแล้งน้ำใจเกินไป...ใครได้ยินเข้าจะหาว่าเป็นคนใจคอคับแคบ.....อีกอย่างผมเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงยิงเรือมาจากไหน จะมามัวนั่งคิดเล็กคิดน้อยด้วยกลัวว่าจะเสียทีผู้ชาย ก็คงจะดูไม่ดี.....แต่ในใจนั้น ผมได้เตรียมหาทางหนีทีไล่เอาไว้แล้ว.....คงไม่มีผู้ชายที่ไหนปล้ำผู้ชายด้วยกันหรอกน่า ผมพยายามคิดมองโลกในแง่ดี....
            ณ เวลานี้พี่ดุ๊กเป็นตัวเลือกสุดท้าย เพียงทางเดียวที่เหลืออยู่ของผม มานั่งคิดๆดูแล้ว เค้าเองคุณสมบัติก็ไม่เลว เสียเพียงแต่หน้าตาอาจจะไม่ตรงตามสเป๊คของผม.....แต่ผมจะมารีบด่วนตัดสินอะไรตอนนี้จากเพียงแค่ภาพถ่าย....มันก็คงจะเป็นการอยุติธรรมกับเค้าจนเกินไป....

            ผมโทรไปนัดแนะกับน้องพร เกย์นักศึกษาปริญญาโทรุ่นน้อง ให้มาคุยกันเกี่ยวกับเรื่องวันลอยกระทงที่จะมาถึงเร็วๆนี้
            “ตกลงน้องหมอ (นัท) นี่ ไม่เวิร์กแล้วเหรอพี่กั้ง” น้องพรพูดเปรยๆ พร้อมกับทำท่าเสียดายจนออกนอกหน้า ทำเอาผมพลอยรู้สึกเสียดายตามไปด้วย......
            “ช่างเขาเถอะ ถึงยังไงพี่ก็ยังมีพี่ดุ๊กอยู่ทั้งคนจริงมั้ย” ผมพยายามมองหาข้อดีจากสภาวะการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่
            “ได้แฟนเป็นเจ้าของโรงงานเซรามิกส์แล้ว อย่าลืมน้องลืมนุ่งนะจ้ะ” น้องพรทำท่าประจบประแจง ฝากเนื้อฝากตัว.....น้องพรเอ๋ย...อนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไงพี่เองก็ยังไม่ทันได้รู้.....อย่าเพิ่งมาคาดหวังอะไรในตอนนี้ให้มากนักเลย...ผมได้แต่รำพึงอยู่ในใจ.......
            “ถ้าถึงวันนั้นแล้ว เธอช่วยไปรับพี่ดุ๊กที่สนามบินเป็นเพื่อนพี่ด้วยนะ” น้องพรพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงตกลง.....ผมไม่ถนัดเรื่องไปไหนมาไหนคนเดียวอยู่แล้ว.....โดยเฉพาะกรณีนี้.....ดังนั้นถ้ามีคนอื่นไปด้วย คงจะคลายความเคอะเขินลงไปได้ไม่น้อย.....การจะได้เจอตัวจริงของคนที่ผมเคยคุยเรื่องรักๆใคร่ๆด้วย มาตลอดระยะเวลาห้าเดือน เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากพอสมควร....ถ้าผมไม่ชอบเค้า.....ผมจะเรียกเอาสิ่งที่ได้เคยพูดออกไปแล้ว คืนมาได้หรือเปล่า.....หรือผมต้องรับผิดชอบในคำพูดของตัวเองที่ได้เคยพูดออกไป......แล้วผมต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างไรล่ะ.....โอ้ยปวดหัว....ความง่าย มักง่าย รักสนุก มักนำความยุ่งยากมาให้ในภายหลังเสมอ....

            ผมภาวนาขอให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี.....ถ้าทุกอย่างลงตัว...ชีวิตเกย์ของผมคงจะจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ...ได้แฟนที่เป็นผู้ใหญ่ ฐานะมั่นคง (แม้จะเป็นองค์ประกอบรองที่ผมนำมาพิจารณา แต่มันก็ทำให้เค้าดูดีไม่ใช่เหรอ) มีความรับผิดชอบและรักเราด้วยความจริงใจ....อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า....ผมจะรักและดูแลเค้าให้ดีที่สุด.....ถ้าผมพิจารณาแล้วว่า เค้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ที่ผมจะเลือกเอามาเป็นคู่ชีวิต....
           
           “พี่กั้ง เรามาทำกระทงกันเองดีมั้ย” น้องพรเสนอกิจกรรมเพื่อสร้างความบันเมิงแก่พวกเราในค่ำวันหนึ่งขณะที่เรากำลังนั่งทานอาหารกันอยู่ ดูน้องพรจะตื่นเต้นกบการมาของพี่ดุ๊กมากกว่าผมเสียอีก.....เค้ามักจะเป็นคนที่จะคอยลุ้นเสมอว่า ผมจะมีหัวข้ออะไรใหม่ๆเกี่ยวกับผู้ชายที่เข้ามาจีบ เอามาเล่าให้ฟังบ้าง....มันดูเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งสำหรับเค้าเหมือนแฟนคลับที่คอยตามอัพเดตข่าวของดาราที่ตนชื่นชอบ.....ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในครั้งนี้น้องพรดูกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ.....ทำกระทงเอง....เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย
           “เอาสิ เราไปซื้ออุปกรณ์แล้วเอามาทำที่ห้องพี่ แล้วเธอก็ต้องมานอนด้วยกันดีมั้ย” ผมถือโอกาสรวบรัด เนื่องจากไม่อยากอยู่กับพี่ดุ๊กเพียงลำพัง.....
           “มันจะดีเหรอ พี่น่าจะอยู่กับเค้าสองคนมากกว่านะ” น้องพรทำท่าลังเล แต่เมื่อโดนผมหว่านล้อมด้วยเหตุผลนานัปการ สุดท้ายจึงยอมจำนนแต่โดยดี
            ผมวางแผนทุกอย่าง เอาไว้แล้วสำหรับการต้อนรับอดีตเพื่อนคลายเหงายามที่ผมอยู่ต่างแดน...และอาจเป็นอนาคตแฟนก็ได้.... เริ่มต้นจากผมกับน้องพรไปรับพี่ดุ๊กที่สนามบินในตอนบ่ายวันของพรุ่งนี้...พอตกเย็นก็มาทำกระทงที่ห้องพักของผม....วันรุ่งขึ้นพาเค้าไปเดินเที่ยวงานเกษตรแฟร์ในมหาวิทยาลัย....ตอนค่ำไปเที่ยวงานลอยกระทงริมแม่น้ำปิง....เช้าวันต่อมาพาไปส่งที่โรงงานเซรมิกส์ จังหวัดลำปาง....เป็นอันจบรายการ โดยในทุกรายการต้องมีน้องพรไปด้วยเสมอ.....

             วันนี้ผมตื่นนอนแต่เช้าตรู่เพราะความตื่นเต้น.....ก็มันน่าตื่นเต้นดีไม่ใช่หรือไง.....ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยนัดบอด (แม้ว่าจะไม่เคยประสบผลสำเร็จเลยสักครั้งเดียว) แต่คราวนี้มันต่างกันลิบลับ....เนื่องจากคราวนี้ผมได้คุยอะไรต่ออะไรกับเขาเอาไว้มาก....นี่ล่ะน๊า...เค้าเรียกว่าปากพาจน.....ใจจริงๆแล้วผมไม่ชอบการนัดบอดเลย....ผมชอบการหว่านเสน่ห์กับคนทั่วไปที่พบในชีวิตประจำวันมากกว่า....การได้เห็นตัวเป็นๆแล้วค่อยตัดสินใจทอดสะพาน.....ย่อมดีกว่าการทอดสะพานทั้งๆที่ไม่ได้เห็นตัวจริง.....เพราะการสร้างสะพานนั้นง่าย.....แต่หากเขาได้ก้าวข้ามสะพานมาแล้ว เราจะเปลี่ยนใจชักสะพานกลับคืนเห็นทีจะไม่ใช่เรื่องง่าย....ไม่ใครก็ใคร จะต้องเป็นฝ่ายเสียความรู้สึกแน่นอน.....แต่ถึงยังไงผมก็ไม่เคยประสบความสำเร็จจากการทอดสะพานกับคนทั่วไปที่พบในชีวิตประจำวันอยู่ดี....ทำได้อย่างมากที่สุดก็แค่เพียงได้รับความสนใจตอบกลับมาบ้าง.....แต่ก็ยังไม่เห็นจะมีใครกล้าเดินเข้ามายื่นความประสงค์จะขอจีบสักราย.....ก็อีกนั่นล่ะ.....ถ้าเขาไม่กล้าเข้ามาจีบ ผมก็จะมองว่าเขาไม่ได้ชอบเรามากพอ.....แต่ถ้าเขากล้าเข้ามาจีบ ผมก็จะมองว่า....แก่สังคมจัง....ผมนี่เรื่องมากจริงเนาะ.....อิอิ....สมควรแล้วที่จะขึ้นคานต่อไป

                มีข้อน่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่งว่า.....การที่เกย์จะแสดงความเป็นเกย์ โดยการเดินเข้าไปจีบใครสักคนในที่สาธารณะเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความกล้าหาญค่อนข้างมาก.....เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ อาทิ เสี่ยงต่อการแปลสัญญาณจากฝ่ายตรงข้ามผิด และลงเอยด้วยการหน้าแตก.....เสี่ยงต่อการโดนจับตามองจากบุคคลทั่วไป เนื่องจากโดยปกติแล้ว เกย์ธรรมดาสามัญมักจะมีความเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่กล้าแสดงจุดยืนของตนเองอย่างเปิดเผยเมื่ออยู่ในสังคมของคนปกติ เพราะโดนฝังหัวมาตั้งแต่รู้ตัวเองว่าเป็นเกย์แล้วว่า การเป็นเกย์ไม่ใช่สิ่งน่ายินดีแต่ประการใด....ดังนั้นกุลเกย์จึงพึงเก็บงำความเป็นเกย์เอาไว้ให้จงดี อย่าได้แพร่งพรายออกมา....ประการสุดท้ายที่ผมพอจะคิดออกก็คือ ความเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญ ไม่ต่างจากชายหญิงทั่วไป ที่ย่อมจะไม่บุ่มบ่ามเข้าไปจีบใครต่อใครในที่สาธารณะ เพราะเนื่องจากบรรพบุรุษเห็นว่าเป็นสิ่งไม่ดีไม่งาม...ค่อนข้างจะก๋ากั่นเกินไป....รวมความแล้วเกิดเป็นเกย์นั้นแสนจะยากลำบากด้วยประการทั้งปวง........

               ผมพยายามแต่งตัวให้ดูดีที่สุด เท่าที่จะสามารถทำได้......ออกไปทำงานที่มหาวิทยาลัย....และเฝ้ารอ...รอเวลาที่จะชี้ชะตาว่า....จะหมู่หรือจ่ากันหนอ.....
              “หวัดดีครับกั้ง....พี่จะไปถึงประมาณบ่ายสามโมงนะครับ” พี่ดุ๊กโทรมาบอกเวลาและเที่ยวบินที่โดยสารมาเชียงใหม่
              “พี่เปลี่ยนเบอร์ใหม่เหรอครับ” ผมถาม เนื่องจากว่าเบอร์ที่เค้าใช้โทรมาไม่ใช่เบอร์เดิม ที่ผมบันทึกเอาไว้
             “ใช่ครับ พอดีแบตมือถือพี่หมดที่สนามบิน พี่ก็เลยซื้อเครื่องใหม่พร้อมซิม กลัวจะติดต่อกั้งไม่ได้น่ะ”   ห๊า....ซื้อเครื่องใหม่พร้อมซิม....จะอวดร่ำอวดรวยไปถึงไหนกัน....แต่ผมก็ประทับใจนะ ประทับใจในแง่ที่เค้าให้ความสำคัญกับผมค่อนข้างมาก.....อย่าทุ่มเทกับผมให้มากกว่านี้เลย....เรายังไม่ทันได้เป็นอะไรกันนะ....ผมยังไม่อยากจะทำร้ายใคร.....

             ผมกับน้องพรมาถึงที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ก่อนเวลาเครื่องลงราวสิบนาที.....เราทั้งสองยืนรอด้วยใจระทึก....น้องพรเองก็ดูจะตื่นเต้นไม่แพ้ผมเช่นกัน....แต่ต่างกันตรงที่ว่า เป็นความตื่นเต้นที่ไร้ความกดดันใดๆ.....
เครื่องลงจอดแล้ว......ผู้โดยสารเริ่มทยอยออกมาจากห้องผู้โดยสารขาเข้า.....ผมพยายามชะเง้อมองหาคนที่มีลักษณะใกล้เคียงกับพี่ดุ๊กที่ผมเคยเห็นในภาพถ่าย บวกกับจินตนาการเพิ่มเติมของผมเข้าไปอีกเล็กน้อย....ยังไม่มีวี่แววคนที่ว่านั้นเลย......

             “พี่กั้ง ใช่คนนั้นหรือเปล่า” น้องพรสะกิดผมดูผู้ชายวัยสามสิบต้นๆ ท่าทางดูดีคนหนึ่ง ซึ่งกำลังลากกระเป๋าเดินออกมา
             “ไม่ใช่ “ผมพิจารณาดูแล้วเห็นว่าไม่ใช่พี่ดุ๊ก พลางคิดในใจว่าถ้าได้เท่านี้ก็โอเคนะ แต่ผมกลัวว่าจะไม่น่ะสิ
พลันสายตามผมก็เหลือบไปสะดุดกับผู้ชายในเสื้อสีเขียวคนหนึ่ง.....ผมพยายามเขม้นมอง....ผมคิดว่าน่าจะเป็นพี่ดุ๊ก.....และก็เป็นเค้าจริงๆด้วย เนื่องจากผมเห็นเค้ายิ้ม และกำลังเดินตรงมายังจุดที่ผมกับน้องพรยืนอยู่......

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #61 เมื่อ24-05-2007 11:03:23 »

 :serius2: :serius2: :serius2:

ไอ้พี่ดุ๊กมันมาแล้ววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว  :oak:

หน้าตามันยังไงหรอเคอะคุณพี่ อย่าลืมเขียนมาให้น้องอ่านด้วยนะ  :laugh:

ปล. ตอนนี้เขียนได้ดีขึ้นกว่าตอนแรกๆ เยอะเลย  แต่ก็ยังดูเหมือนว่าจะเนือยๆ ไปหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไรถือว่าเป็นสไตล์การเขียนของคุณพี่นะเคอะ  เริ่มอ่านแล้วมีมิติมีเนื้อมากขึ้นแล้วเคอะ

คุณน้องพรเนี้ย  คุ้นๆ นะ หรือว่าจะเป็น...... o21

gobgab

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #62 เมื่อ24-05-2007 11:15:31 »


..........ในที่สุดก็เจอตัวซักที.......... o13

..........คุยกันไป...ไม่เจอซักที....ก็ตัดสินใจอะไรไม่ได้หรอก..... :undecided:

..........คนเราเด๋วนี้มัน fake กันเยอะ...... o8 o8

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #63 เมื่อ24-05-2007 18:53:37 »

จากหลายตัวเลือก เหลือเพียงหนึ่งคือพี่ดุ๊ก จะออกหัวหรือก้อยหว่า  :try2:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #64 เมื่อ24-05-2007 22:00:08 »

อย่าพึ่งตัดสินคนจากความคิดของตัวเอง
 o12 o12 o12

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #65 เมื่อ25-05-2007 09:09:42 »

โกรธเหรอ ขอโทษนะ คราวหลังจะไม่ทำแบบอีกแล้วล่ะ  :o11:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #66 เมื่อ25-05-2007 09:24:41 »

โกรธเหรอ ขอโทษนะ คราวหลังจะไม่ทำแบบอีกแล้วล่ะ  :o11:

เหอะๆ แซวเล่นเหมือนกัน
อย่าน้อยใจนะ คิกคิก
 o17

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #67 เมื่อ25-05-2007 10:19:20 »

             โอว...พระเจ้า....ไม่นะ....ไม่มมมมมมมม....ต้องไม่ใช่คนนี้สิ....ผมรำพึงรำพันอย่างสิ้นหวังอยู่ในใจ....ขณะที่พี่ดุ๊กกำลังจะเดินใกล้เข้ามาถึงในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า.....
              “คนนี้ เหรออออ พี่กั้งงงง” น้องพรสะกิดถามผมด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก ในขณะที่ผมรู้สึกว่ากล้ามเนื้อหัวเข่าอ่อนแรงจนแทบจะทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น....จะทำเป็นไม่รู้จักแล้วรีบชิ่งหนีไปเลยดีมั้ย....ทำตอนนี้ก็ยังทันนะ.....ผมคิดในใจ......ไม่ดีหรอก ทำแบบนี้มันไร้ความรับผิดชอบนะ....มโนสำนึกฝ่ายดีของผมแย้งขึ้นมา......เอาวะ... ไหนๆก็ไหนๆ....แสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำหน่อยสิกั้ง.....ผมพยายามกระตุ้นจิตสำนึกตัวเอง ให้แสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป.....
             พี่ดุ๊กไม่ได้ดูแตกต่างจากรูปถ่ายที่ส่งมาให้ผมดูตอนอยู่เมืองนอกสักเท่าไหร่หรอก....หากแต่ว่าผมจะต้องบวกความแก่เข้าไปอีกห้าถึงหกปีน่ะสิ .....ผมพิจารณาดูเขาอยู่เงียบๆ.....ตัวเล็ก...เตี้ย...เตี้ยกว่าผมอีก.....อ้วน....พุงปลิ้นออกมายังกับอุ้มท้องเด็กฝาแฝดอยู่.....เป็นโรคแพ้ผม (หัวกำลังจะล้าน)....ดูหวานกว่าผมเสียอีก แล้วยังจะมาบอกว่าเป็นแมน.....ชิ.....แต่งตัวเกย์นิยมสุดๆ แต่เป็นเกย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์นะ....ใส่เสื้อแขนยาวสีเขียวเชยๆ และกางเกงยีนส์เอวสูง แบบที่พวกป้าแก่ๆชอบใส่กันสมัยก่อน......ผมดูเหมือนจะเป็นคนใจร้ายใช่ไหมที่มองเค้าแบบนั้น...ผมดูเป็นคนที่ตัดสินคนโดยมองอย่างตื้นเขินแค่เพียงจากภายนอกใช่ไหม....ก็แล้วยังไงล่ะ ถ้าเขาเป็นคนที่ผมจะคบด้วยแบบพี่น้องธรรมดาทั่วไป ...ผมคงไม่มานั่งมองเรื่องภายนอกพวกนี้หรอก...เค้าจะแต่งตัวยังไงก็เรื่องของเค้า....เค้าจะแก่ยังไงมันก็เรื่องของเค้า....แต่นี่เขาเป็นคู่นัดบอดของผม....ซึ่งผมคาดหวังว่าจะเอามาทำแฟน....ผมควรจะมีสิทธิ์เลือกคนที่ผมพอใจใม่ใช่หรือ......เรื่องของจิตใจของเค้า ผมจะต้องศึกษาอย่างแน่นอน....แต่ต้องเป็นภายหลัง.....ภายหลังจากที่เค้าผ่านเกณฑ์เรื่องหน้าตาและบุคลิกภาพที่ผมตั้งเอาไว้เสียก่อน....
              “สวัสดีครับ กั้ง” เสียงทักของพี่ดุ๊กปลุกผมตื่นจากความตะลึงตะลานเมื่อครู่
              “สวัสดีครับ” ผมไหว้เค้า ก่อนจะยิ้มเพื่อซ่อนความผิดหวัง ที่พยายามจะฟ้องออกมาทางสีหน้าอยู่ตลอดเวลา
              “พี่ดุ๊ก...นี่น้องพรครับ”เค้าหันไปรับไหว้น้องพร....เราทักทายกันตามมารยาทครู่หนึ่ง ผมจึงชวนพี่ดุ๊กออกมาจากสนามบิน....เอาล่ะสิ...จะแก้ปัญหายังไงดี....สมองของผมทำงานอย่างหนัก ภายใต้สีหน้าที่ยิ้มระรื่น.....

              “เราแวะซื้ออุปกรณ์ ไปทำกระทงกันดีมั้ยครับ” ผมเสนอ...นี่คือแผน A ที่ผมได้วางเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว....ไม่คิดเลยว่าจะได้นำเอามาใช้จริงๆ.....ทำไมแกถึงได้เกิดมากับความโชคร้ายอย่างนี้นะกั้ง....ผมเผลอบริภาษตัวเองออกมาเบาๆ
              “หือ...ทำกระทงเป็นด้วยเหรอ ทำไมไม่ซื้อเอาล่ะ” พี่ดุ๊กแสดงความประหลาดใจกึ่งประทับใจเมื่อเห็นว่าพวกเราจะประดิษฐ์กระทงกันเอง
             “อ๋อ ไม่ดีกว่าครับ ทำเองสนุกดี อีกอย่างน้องพรเค้าเก่งเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว” ผมออกตัว....แหงล่ะ ของแบบนี้ใครๆก็ทำเป็น..แต่ผมไม่ใคร่อยากให้เค้ามาประทับใจในตัวผมอะไรนักหนา.....
             เราแวะซื้ออุปกรณ์ทำกระทงที่กาดดอกไม้ (กาดในภาษาเมืองแปลว่าตลาด) พี่ดุ๊กพยายามเอาอกเอาใจผมจนออกนอกหน้า...เค้าคงจะเห็นว่าผมน่ารักน่ะสิ....เมื่อตอนที่ผมอยู่เมืองนอกยังเห็นทำท่าลังเลอยู่เลยไม่ใช่หรือไง....
   
             “แวะทานข้าวกันก่อนดีมั้ยครับ พี่มีร้านอาหารเหนือจะแนะนำ ตอนเป็นเด็ก เวลาพี่มาเชียงใหม่ทีไร แม่พี่จะชอบพามากินที่ร้านนี้” ตอนเด็กๆเหรอ....คงตั้งแต่สมัยตั้งเมืองเชียงใหม่โน่นล่ะสิ...ผมคิด
            เขาพาเราไปยังร้านที่ผมไม่รู้จัก....จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่อยู่เมืองเชียงใหม่มา ผมเองก็ได้มีโอกาสต้อนรับเพื่อนๆ ที่เทียวขึ้นมาเยี่ยมค่อนข้างบ่อย....แต่ผมก็ไม่เคยรู้จักร้านอาหารเมืองร้านนี้มาก่อน...แสดงว่าเค้ารู้จักเชียงใหม่ดีพอสมควร...
              อาหารที่นี่ถือว่าอร่อยใช้ได้.....เราคุยกันเรื่องสัพเพเหระต่างๆ ตามแต่จะนึกขึ้นมาได้....เค้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว...รู้จักการเข้าสังคม...รู้จักวางตัว...และก็รู้จักสรรหาเรื่องต่างๆมาคุยได้ไม่เบื่อ....แต่ถึงยังไง ผมก็ยังไม่คิดจะชอบเค้าอยู่ดี...
             “กั้งลองทานนี่สิครับ อันนี้ก็อร่อย” เค้ายื่นมือไปตักอาหารส่งมาที่จานผม...ผมขยับจานไปรับอย่างเสียไม่ได้...พลางแอบทำตาเขียวใส่น้องพร ซึ่งคอยทำหน้าเหมือนมีเรื่องให้ขบขันเสียเต็มประดา...ผู้ชายจะมาสู่ขอแกพรุ่งนี้หรือยังไง...ถึงได้ทำหน้าบานซะขนาดนั้น....ผมก่นด่าน้องพรอยู่ในใจ...
   
              หลังจากทานอาหารเสร็จ ผมยืนยันจะจ่ายค่ากับข้าวมื้อนี้เอง เนื่องจากไม่ต้องการจะให้เค้าต้องเป็นภาระ.....เพราะถึงยังไงผมก็ไม่ชอบที่จะเอาเปรียบใครอยู่แล้ว....ที่สำคัญผมไม่อยากให้เค้าคิดว่าผมอยากจะคบเค้าเพราะเงิน.....
              “พี่ดุ๊กอยากแวะเดินดูของที่ถนนคนเดินมั้ยครับ” ผมเสนอเพราะเห็นว่าตอนนี้ยังหัววันอยู่ จึงไม่อยากรีบพาเค้ากลับเข้าห้อง ถึงภาวะการณ์ตอนนี้จะทำให้รู้สึกอึดอัดยังไง แต่การพาเค้ากลับเข้าไปอยู่ที่ห้อง คงจะอึดอัดมากกว่าเป็นไหนๆ

               ที่เชียงใหม่จะมีการจัดงานถนนคนเดินทุกวันอาทิตย์.....อยู่บริเวณถนนกลางเวียง...ในเย็นวันนั้นพ่อค้าแม่ค้าจะนำเอาสินค้าพื้นเมืองมาวางขายเรียงรายให้เลือกชมมากมาย.......ทั้งยังมีการแสดง ละเล่นต่างๆ สุดแท้แต่ใครอยากจะเอามานำเสนอ..ได้รางวัลเป็นเงินตอบแทนบ้างตามแต่ความพึงพอใจของผู้ชม.....เหนือสิ่งอื่นใดก็คือการได้มีโอกาสแสดงออกในสิ่งที่พวกเขาเป็น (แต่เกย์ยังห่างไกลเรื่องพวกนี้มากนัก การแสดงออกไม่ได้หมายถึงการกระทำวี๊ดว้ายในที่สาธารณะ หากแต่หมายถึงการได้แสดงถึงจุดยืน และตัวตนที่แท้จริงของพวกเราต่อสังคมต่างหาก).......คนเชียงใหม่นับว่าโชคดี ที่ได้เกิดมาในเมืองที่เก่าแก่และร่ำรวยวัฒนธรรมเช่นนี้....ทุกอย่างสามารถขายได้....ไม่ว่าจะเป็นความเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม....ความขลังหรือความเก่าแก่....แค่เพียงไม้เก่าๆหนึ่งชิ้นที่ถูกหยิบจับขึ้นมาดัดแปลงเพื่อนำมาวางขาย ยังดูงดงามมีคุณค่า.....นอกไปจากนี้เชียงใหม่ยังเป็นเมืองที่มีธรรมชาติที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์....ใครลองได้มาที่นี่แล้ว ถ้าไม่ตกหลุมรักเมืองเชียงใหม่ ก็คงจะเป็นบุคคลที่พิเศษแตกต่างจากคนทั่วไปไม่ใช่น้อย.....
   
              ผมรู้สึกว่าตัวเองใจร้ายพอสมควร....ที่ไม่ได้เทคแคร์พี่ดุ๊กตามอย่างเจ้าภาพที่ดีพึงกระทำต่อแขก.....ผมกลับเลือกที่จะปลีกตัวออกมาเดินคู่กับน้องพร...โดยปล่อยให้เค้าเดินดูข้าวของคนเดียวเพียงลำพัง.....จะหยุดรอบ้างก็ต่อเมื่อเห็นว่าอาจจะเกิดการผลัดหลงกัน แล้วเป็นเหตุให้ต้องได้ตามหากันให้วุ่นวายในภายหลัง....เค้าเองก็ดูไม่ได้มีท่าทีว่าจะเดือดร้อนอะไรกับสิ่งที่ถูกปฏิบัติ...บางทีเค้าอาจจะเก็บความเสียใจเอาไว้ลึกๆข้างในก็ได้.......แต่ในตอนนั้นผมไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งสิ้น....ไม่แม้แต่ความเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งซึ่งเคยรู้สึกดีๆต่อกัน.......

              ขากลับ ผมพาน้องพรแวะไปเก็บเสื้อผ้าที่หอพัก...โดยบอกกับพี่ดุ๊กว่าจะให้น้องพรไปช่วยทำกระทงสำหรับวันพรุ่งนี้ ดังนั้นน้องพรจะต้องอยู่ค้างที่ห้องกับพวกเราคืนนี้ด้วย
              “ขี้เกียจขับรถกลับมาส่งตอนดึกๆ” ผมให้เหตุผลตื้นๆที่คิดว่าดูเข้าท่ามากที่สุด
ผมสังเกตุเห็นพี่ดุ๊กหน้าสลดไปวูบหนึ่ง....ก่อนจะฝืนยิ้มออกมาในที่สุด
              “มากันหลายๆคนก็สนุกดี” พี่ดุ๊กพูดอย่างคนมองโลกในแง่ดี......สนุกเหรอ....เชิญสนุกไปคนเดียวเถอะ...ผมอยากจะตะโกนใส่หน้าเขานัก

               พอถึงห้องพัก พี่ดุ๊กขอตัวไปอาบน้ำก่อน คงเพราะเหนื่อยจากการเดินทาง....น้องพรได้ทีรีบขยับเข้ามากระซิบ
              “พี่กั้งจะให้น้องนอนจริงๆเหรอ ให้น้องกลับดีกว่ามั้ง พวกพี่จะได้นอนกันสองคน”
              “เธอเสียสติไปแล้วหรือยังไง ลำพังนอนกับเค้าสองคนพี่ไม่ได้กลัวอะไรหรอก พี่แค่ไม่อยากพูดอะไรที่มันทำร้ายจิตใจเค้า ถ้าหากเค้าเกิดคิดจะทำอะไรรุ่มร่ามขึ้นมา ก็เท่านั้น” ผมถลึงตาใส่น้องพรเป็นเชิงข่มขู่ให้ทำตามคำสั่งแต่โดยดี...ซึ่งปกติผมไม่ทำแบบนี้บ่อยๆหรอก...
              น้องพรขยับกลับไปนั่งตัดใบตองต่อเพราะยอมจำนนต่อเหตุผลหรืออาจเป็นเพราะคร้านจะเถียงก็สุดจะเดา.....

              “กั้งดูนี่สิ พี่ออกแบบลายเซรามิกส์เป็นลายพรรณไม้ด้วยนะ พี่ตั้งชื่อชุดนี้ว่าโบตานิการ์” พี่ดุ๊กหยิบเอาภาพสเก็ตส์แก้วเซรามิกส์ ที่มีลวดลายของพรรณไม้แบบต่างๆออกมาให้ผมดูด้วยความภาคภูมิใจ
             “พี่เห็นว่ากั้งเรียนเกี่ยวพฤกษศาสตร์ พี่ก็เลยได้แรงบันดาลใจมาจากกั้งนะรู้มั้ย”
             ผมรับเอาภาพสเก็ตส์เหล่านั้นมาพิจารณา....อืม...เค้าก็ทำได้สวยไม่เลว...แต่ไม่อยากจะเชื่อว่าเค้าได้แรงบันดาลใจมาจากผม.....สงสัยจะพูดเพื่อทำคะแนน....เมินเสียเถอะ
             “ถ้ามะรืนนี้กั้งไปส่งพี่ที่โรงงาน ที่ลำปาง เดี๋ยวกั้งก็เลือกเอาเซรามิกส์มาฝากเพื่อนๆด้วยนะ เอามาเยอะๆเลย” ชิ...คิดจะเอาของมาล่อเหรอ....ผมดูเป็นคนละโมบมากนักหรือยังไง....
ผมเริ่มกังวลถึงความคาดหวังของพี่ดุ๊ก เรื่องที่จะให้ผมขับรถไปส่งที่ลำปางในวันมะรืน.......ก็ในเมื่อสถานการณ์มันเปลี่ยนไปอย่างนี้แล้ว...ผมไม่แน่ใจว่า ผมยังอยากจะไปส่งเค้าอีกหรือไม่.....แล้วผมจะหาเหตุผลอะไรมาอ้างดีล่ะ....โอ้ยยยยยย..กลุ้ม....

               พี่ดุ๊กนั่งดูเราทำเย็บใบตองอยู่เงียบๆสักพัก จึงขอตัวเข้านอน....ผมกับน้องพร ยังคงทำกระทงการเมืองต่อไปจนเสร็จ.....หลังจากอาบน้ำ ผมจัดแจงปูที่นอนให้น้องพรกับพื้นห้อง...จากนั้นจึงขึ้นไปนอนบนเตียงคู่กับพี่ดุ๊ก....เขานอนอยู่อีกฟากหนึ่งของเตียง ในขณะที่ผมพยายามขยับตัวมานอนให้ชิดกับขอบเตียงอีกฟากหนึ่งให้มากที่สุด....เตียงหกฟุตขนาดไม่เล็กเลย.....ถ้าเพียงแต่ขยับตัวแค่อีกนิดเดียว ผมคงจะหล่นลงไปกองอยู่ที่พื้นห้องอย่างไม่ต้องสงสัย....เหนื่อยจัง.....เมื่อไหร่จะจบสิ้นสักทีนะ....คิดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะสาปแช่งตัวเองอยู่ในใจ....สมน้ำหน้า อยากแส่หาเรื่องดีนัก.......

               ผมตื่นนอนด้วยความอิดโรย เนื่องจากเมื่อคืนนอนไม่ค่อยจะหลับ บางทีการเลือกที่จะพูดอะไรออกไปตรงๆน่าจะดีเสียกว่าการที่ต้องมานั่งทนอึดอัดใจแบบนี้....แต่ผมคงขี้ขลาดเกินกว่าที่จะพูดอะไรแบบนั้นออกมาได้....
หลังจากแวะส่งน้องพรที่หอพัก ผมจึงพาพี่ดุ๊กออกหาข้าวเช้าแถวหน้ามหาวิทยาลัยทาน...ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องอยู่กับเค้าสองต่อสองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว...
                “พี่ดุ๊กอยากไปเที่ยวไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ” ผมถามเพื่อทำลายบรรยากาศอันแสนจะอึดอัดระหว่างเรา
                “กั้งอยากแนะนำที่ไหนล่ะ” ดูเค้าจะไม่ค่อยจะใส่ใจเรื่องเที่ยวเท่าไหร่...ก็รู้อยู่แล้วว่าการมาในครั้งนี้ของเค้าเพื่อจุดประสงค์อะไร
               “ไปเที่ยวงานเกษตรแฟร์ในมหาวิทยาลัยดีมั้ยครับ” ผมรีบเสนอ เพราะมันอยู่ในแผนการของผมแต่แรกอยู่แล้ว
               “อืม ดีเหมือนกัน เผื่อจะมีอะไรน่าสนใจมั่ง” พี่ดุ๊ก เออออ ถึงยังไงเค้าก็ต้องแล้วแต่ผมอยู่ดีนั่นแหล่ะ
ระหว่างที่เดินเที่ยวงานเกษตรแฟร์...ภายในใจของผมว้าวุ่นอยู่ตลอดเวลา...คอยคิดแต่จะหาหนทางปฏิเสธเรื่องที่จะต้องไปส่งพี่ดุ๊กที่ลำปาง....ผมไม่ได้รู้สึกว่าเป็นภาระหนักหนาอะไรในการขับรถ....แต่ผมอยากให้ระหว่างเราจบลงให้เร็วที่สุดมากกว่า....
                  “พี่ดุ๊กครับ พรุ่งนี้ผมคงไปส่งพี่ไม่ได้แล้วนะ พอดีอาจารย์เพิ่งโทรมาจะให้ผมพาไปออกพื้นที่ไปเก็บตัวอย่างน่ะครับ” ผมรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเค้า....... การกลับคำพูด ไม่ใช่นิสัยของผม แต่ในครั้งนี้มันจำเป็นจริงๆ....และนี่ก็เป็นคำแก้ตัวเดียวที่ผมพอจะคิดออก ในเวลานั้น
                “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่จะให้คนที่โรงงานเค้าเอารถมารับก็ได้” เฮ้อ...โล่งอกไปที...ผมสังเกตุว่าเค้าไม่ได้แสดงท่าทีผิดหวังใดใดออกมาเลยแม้แต่น้อย...บางทีเค้าคงเตรียมใจไว้แต่แรกแล้วมั้ง.....

                 พี่ดุ๊กคอยตามติดผมแจ....ทั้งๆที่ผมก็แสดงท่าทีไปแล้วว่าไม่ได้รู้สึกพิศวาสเค้าแต่อย่างใด...แต่เหมือนประสาทสัมผัสของเค้าคงจะบกพร่อง....เพราะเค้าจะคอยเข้ามายืนประชิดเวลาคุยกับผมทุกครั้งที่มีโอกาส...ชอบทำเป็นยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ........ผมอยากตะโกนใส่หน้าเขาดังๆว่าให้ออกไปยืนห่างๆ....แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ปัญญาชนที่ดีพึงกระทำ.....จึงได้แต่กัดฟันอดทนเอาไว้....ดูท่าทางเค้าจะยังไม่ละความพยายามง่ายๆ....
                 “แตงโมสีเหลืองแปลกจัง” ผมเปรยขึ้นมาลอยๆ ระหว่างที่เดินผ่านแผงขายแตงโม....เนื่องจากยังไม่เคยเห็นแตงโมที่มีเปลือกสีเหลืองแบบนี้มาก่อน....พี่ดุ๊กรีบกุลีกุจอไปซื้อมาลูกหนึ่ง........จัดแจงเอาใส่ลงเป้ของเค้าเอง แล้วสะพายขึ้นบ่า....มันเป็นเป้ขนาดจิ๋วแบบที่ผู้หญิงใช้กัน อะไรดลใจตอนที่เค้าซื้อมันมานะ...
                 “เราเอากลับไปกินที่ห้องกันดีกว่า” พี่ดุ๊กแน่ะด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม.....อย่ามาทำหน้าตาไร้เดียงสาใส่ผมเหมือนไม่รับรู้อะไรแบบนี้นะ.......ผมตะโกนอยู่ในใจ......การที่เค้าทำเหมือนไม่โกรธในสิ่งที่ผมทำ....มันทำให้ผมรู้สึกผิด.....ให้เค้าเกลียดผมซะยังจะดีกว่า....
   
                 “เป็นไงมั่งพี่กั้ง สวีทกันไปถึงไหนแล้ว” เสียงน้องพรเจื้อยแจ้วมาตามสาย
                 “อยากจะบ้าตาย เธอเสร็จธุระหรือยัง รีบมาช่วยพี่เร็วๆ”   
                 “เสร็จแล้ว มารับที่ตึกวิทย์ตอนนี้ได้เลยจ้า” ค่อยโล่งขึ้นมาหน่อย....แต่ผมยังต้องวางแผนรับมืออีกรอบในคืนนี้.....คืนวันลอยกระทง....โอย...ทำไมเวลามันเดินช้าอย่างงี้งงงงงงงงง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-05-2007 10:26:05 โดย moody »

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #68 เมื่อ25-05-2007 10:21:15 »

ไม่โกรธก็ดีแล้ว....ตกใจแทบแย่  :try2:

gobgab

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #69 เมื่อ25-05-2007 11:02:00 »


..........เจ๊สองมีเพื่อนและ.........

..........เรียนพฤษศาสตร์เหมือนกันด้วย........

.........รอลุ้นต่ออ่ะคับ.........ว่าจะทำไง..... :o9: :o9:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: คนละปลายทาง
« ตอบ #69 เมื่อ: 25-05-2007 11:02:00 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #70 เมื่อ25-05-2007 13:03:04 »

แล้ววันนี้อิชั้นก้ได้เรียนรู้ว่า  การสลัดผู้ชายออกจากชีวิตมันทำได้อยากพอๆ กับการหาผู้ชายเข้ามาในชีวิต  :laugh:

ปล. คงอีกไม่นานที่ชั้นจะเป็นกระเทยแก่ๆ  :sad2:

MyLoveMyBabe

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #71 เมื่อ25-05-2007 19:01:10 »

อะไรกัน เจ้จะรีบเป็นกระเทยแก่ไปไหนกานนน  หุหุ  :o9:


จริงอย่างที่เจ้ว่านะ   "  การสลัดผู้ชายออกจากชีวิตมันทำได้อยากพอๆ กับการหาผู้ชายเข้ามาในชีวิต  " o21



ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #72 เมื่อ25-05-2007 19:15:10 »

พี่ดุ๊กคะแนนตกไปอีกแล้ว แล้วจะเหลือใครล่ะนี่  :try2:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #73 เมื่อ25-05-2007 19:51:25 »

เหอ เหอ  หน้าตานี่เป็น first impression เลย  หน้าไม่ผ่านเกณฑ์นี่ทำหมดอารมณ์ไปได้เหมือนกัน  o16
อ่านๆ ไปก็สงสารพี่ดุ๊กอะนะ  ไม่รู้ว่าเค้าเป็นไงหรอก  แต่ก็นะ ก็พยายามรักษาน้ำใจเต็มที่แล้วนี่

คนไม่รัก  ฝืนไปยิ่งทำให้เค้าเจ็บ  ให้เค้ารู้แต่ต้นแล้วก็ยอมรับจะดีกว่า
รออ่านต่อจ้า  เราเป็นคนเชียงใหม่เหมือนกันเลย  อ่านแล้วมีสำนึกรักบ้านเกิด คิดถึงจัง อิอิ  :impress2:

ปล  ตกลงรู้จักเจ้สองป่าวเนี่ย 

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #74 เมื่อ26-05-2007 11:03:46 »

ไปถามสองเองจิ...อิอิ

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #75 เมื่อ26-05-2007 19:11:36 »

หึหึ บางทีมันก็ไม่ได้ลงตัวอย่างที่คิด
 o6

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #76 เมื่อ26-05-2007 23:57:54 »

เรารู้จักกันด้วยหรอเคอะคุณคนเขียน

แต่ก้ยินดีที่ได้รู้จักนะ  ดีใจจังมีคนเรียน บอทฯ อีกคนแล้ว  :give2:

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #77 เมื่อ27-05-2007 11:00:07 »

อืม...ใช่...สำหรับบางคน.....บางทีมันก็ไม่ลงตัว....

........แต่กับบางคน มันก็มักจะไม่ลงตัวทุกที......เช่น..

........เค้ารักเรา เราไม่รักเค้า........

........เค้าไม่รักเรา แต่เรารักเค้า.....

.......หรือเค้าป่าวประกาศว่ามีเจ้าของแล้ว......เป็นต้น....หุหุ

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #78 เมื่อ27-05-2007 20:04:14 »


กรีดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

เข้ามากรีดรีบนอย่างเดียว  :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #79 เมื่อ27-05-2007 20:23:29 »

^
^
คุณอิเจ้สอง  รีบน  เป็นอะไรไปคะนั่น  จะกรีดทำไมคะ อิฉันไม่รู้เหตุผล
ขอกรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด  ตามอิเจ้คะ  :laugh:  :laugh:

หุหุ  ว่าแต่ Moody  ยอกย้อนน่าดูนะ รู้จักอิเจ้ป่าวก็มะบอก ชิส์ๆๆ  แล้วก็ดูเหมือนกุ๊กกิ๊กๆ กับใครดีเนอะ

รออ่านต่อจ้า ตาละห้อย  :impress:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: คนละปลายทาง
« ตอบ #79 เมื่อ: 27-05-2007 20:23:29 »





yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #80 เมื่อ28-05-2007 09:08:45 »

                        ในค่ำของวันนั้น หลังจากหาที่จอดรถซึ่งค่อนข้างจะหากยากอยู่สักหน่อยในช่วงเวลาที่มีงานเทศกาลเช่นนี้ เราสามคนเดินลัดเลาะไปตามถนน มุ่งหน้าไปยังสะพานนวรัฐซึ่งเป็นบริเวณที่มีการรวมตัวกันของนักท่องเที่ยวและชาวเมือง เพื่อทำกิจกรรมต่างๆในวันลอยกระทง ไม่ว่าจะเป็น การจุดโคมลอย การจุดเทียนเล่นไฟ การลอยกระทง หรือแม้กระทั่งการละเล่นที่รุนแรงอย่างเช่นประทัดเป็นต้น.....ถึงแม้ว่าจะมีประกาศห้ามเอาไว้แต่ก็ยังมีคนฝ่าฝืนเล่นอยู่ดี........กฎมีเอาไว้เพื่อแหกอยู่แล้วไม่ใช่หรือ...ถึงอย่างไรก็ไม่เห็นจะมีใครโดนจับสักคน......ก็คงจะห้ามยากอยู่สักหน่อยเพราะเค้าก็เล่นแบบนี้กันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ.....ตราบใดที่คุณไม่ได้ปามันไปใส่ใครให้ต้องแตกตื่นขวัญหนีดีฝ่อหรือเลือดตกยางออก ก็เป็นอันใช้ได้.....
                       คืนนี้มีขบวนแห่กระทงเล็ก ซึ่งเป็นขบวนแห่ที่ส่งเข้าร่วมจากชุมชนต่างๆ ที่เน้นทำแบบเรียบง่าย ไม่หวือหวา....ส่วนคืนพรุ่งนี้จึงจะเป็นขบวนแห่กระทงใหญ่ ซึ่งเน้นความสวยงามอลังการตามศักยภาพที่มีเหนือกว่าในทุกๆด้าน จากหน่วยราชการและสถาบันการศึกษาต่างๆ....
                       “พรุ่งนี้กั้งจะมาดูขบวนแห่มั้ยครับ” พี่ดุ๊กถามขึ้นมาลอยๆระหว่างที่เราหยุดพักดูขบวนแห่ที่กำลังจะเคลื่อนตัวผ่านไปอย่างช้าๆ
                       “คงไม่หรอกครับ กั้งไม่ชอบเบียดกับคนเยอะๆ” ผมรีบบอกปัด เพราะถึงแม้ว่าพรุ่งนี้เช้าเค้าจะไปลำปางแล้ว แต่หากผมบอกว่าจะมาเที่ยวงานในคืนพรุ่งนี้ พี่ดุ๊กอาจหาเหตุย้อนกลับมาอีกครั้ง เพราะถึงยังไงเค้าก็ต้องมาขึ้นเครื่องบินที่เชียงใหม่อยู่แล้ว......บรรยากาศนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ....ผมจึงเดินเลี่ยงออกไปหาซื้อโคมลอยสักอัน.....
   
                      “พี่กั้งไปเดินกับพี่ดุ๊กมั่งสิ ทิ้งเค้าไว้คนเดียวแบบนั้นมันน่าเกลียดนะ” น้องพรเดินเข้ามากระเซ้า....ซึ่งก็ได้ผล....ผมฉุนกึกขึ้นมาทันที
                      “เธออยากไปก็ไปเองสิ” ผมยักไหล่ เดินผละออกมา....ปล่อยให้น้องพรยืนทำท่ากระฟัดกระเฟียด ด้วยว่าขัดใจหรือจะแสร้งทำเพราะเป็นจริตนิสัยประจำตัวก็ไม่ทราบ
                      ผมทำทีเป็นไม่มอง แต่แอบชำเลืองดูทางหางตา เห็นน้องพรเข้าไปคุยกับพี่ดุ๊กที่กำลังง่วนอยู่กับการถ่ายรูป.....ความจริงเค้าก็ดูมีความสุขกับการมาเที่ยวของเค้าพอสมควร ไม่เห็นจะมีทีท่าว่าจะแง่งอนไม่พอใจที่ผมละเลยแต่อย่างใด.....สักพักน้องพรจึงเดินกลับมากระซิบ
                    “พี่กั้งๆ พอพี่กั้งไม่อยู่พี่ดุ๊กแตกสาวจิกน้องด้วย” ผมแอบขำ ท่าทางน้องพรอยู่ในใจ...ช่างประจ๋อประแจ๋น่าหมั่นไส้ดีแท้....
                   “เค้าว่าอะไรเธอมาล่ะ” ผมถามส่งๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าถ้าไม่ถาม ก็ต้องเล่าให้ฟังอยู่ดี
                  “น้องบอกว่าตอนขากลับจะให้ตำรวจไปส่งเราที่รถ แล้วพี่ดุ๊กก็ถามน้องว่าสวยเหรอเค้าถึงจะไปส่งน่ะ” น้องพรทำท่าสาธยายปากยื่นปากยาว
                  “แล้วเธอว่าไงล่ะ” ผมซักต่อ
                  “น้องบอกเค้าว่าไม่สวยหรอกค่ะ แต่กินอร่อยยย” น้องพรเน้นเสียง ทำท่าภูมิอกภูมิใจออกนอกหน้า
                  “แล้วพี่ดุ๊กก็ว่าให้น้องว่า เฮ้อะๆ อันนี้ก็ต้องลองงงงงงง” น้องพรจีบปากจีบคอทำท่าเลียนแบบพี่ดุ๊กทำเสียงสาวแตกต่อ.....ผมอดขำไม่ได้เลยตีเพียะที่แขนไปหนึ่งทีแก้เก้อ.....สมน้ำหน้าอยากแส่หาเรื่องเอง....อิอิ

                  ตั้งแต่อยู่เชียงใหม่มา ผมยังไม่มีโอกาสมาเที่ยวงานลอยกระทงจริงๆจังๆสักหน เพราะไม่ชอบคนพลุกพล่าน....ได้แต่คอยยืนมองโคมลอยที่ล่องลอยอยู่เต็มท้องฟ้าเมืองเชียงใหม่ที่ระเบียงห้องอยู่คนเดียวยามดึก....บางทีก็อดคิดเล่นๆในใจไม่ได้ว่า นี่ถ้ามีคนรู้ใจมายืนดูอยู่ด้วยกันข้างๆคงจะโรแมนติกดีไม่น้อย...คนไม่มีแฟนคงจะรู้ดีว่า เทศกาลโรแมติกแบบนี้ช่างทำร้ายจิตใจคนโสดได้อย่างแสนสาหัสนัก....ลองมาอยู่เชียงใหม่โดยที่ไม่มีแฟนดูสิ แล้วคุณจะรู้ซึ้งถึงใจถึงความรู้สึกดังกล่าว...

                  พอมาถึงเชิงสะพานนวรัฐ เราจึงนำเอาโคมลอยมาร่วมจุดกับนักท่องเที่ยวคนอื่นอย่างสนุกสนาน...นี่ถ้าพี่ดุ๊กมาเที่ยวกับเราในฐานะพี่น้อง คืนนี้คงจะสนุกไม่น้อย....เนื่องจากผมจะได้ไม่ต้องมาคอยพะวงกับการวางตัวเพราะเกรงว่าถ้าทำท่าสนุกมากไป เดี๋ยวเค้าจะมองว่าเป็นการให้ท่า...แต่ถ้าทำบึ้งตึงเกินไป ก็ดูจะเป็นคนใจทมิฬขาดความเมตตาอย่างไม่น่าให้อภัย..เราแลกเปลี่ยนกันถ่ายรูปจนเวลาล่วงเลยไปค่อนดึกจึงชวนกันกลับ....จากจุดที่จอดรถมาถึงที่เราอยู่ค่อนข้างไกลพอสมควร หากจะเดินกลับดูจะเป็นงานที่โหดพอดู
                 “เราเรียกตุ๊กๆไปส่งดีมั้ย” น้องพรเสนอ....เราตกลงใจเรียกตุ๊กๆกลับ....ด้วยความที่รถมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด....เราสามคนจึงจำเป็นต้องนั่งเบียดกัน....พี่ดุ๊กเอื้อมมือมาโอบที่ไหล่ผม อาจเพราะจงใจหรือเพราะพื้นที่แคบก็ไม่อาจทราบได้....
                 “อยากจะตบหน้าสักฉาดโทษฐานที่กล้ามาทำกิริยาจาบจ้วงกับเรานัก” ผมคิดในใจอยู่เงียบๆ แต่ก็ทำเป็นวางเฉยเสีย.....นี่ถ้าเป็นคนที่เราพอใจล่ะก็ ทำมากกว่านี้ก็จะสู้อดทนไม่ปริปากบ่นสักคำ หุหุ....
   
                 “เราไปจุดโคมลอยในมหาวิทยาลัยกันเถอะ” ผมออกความเห็น เพราะพิจารณาแล้วว่ายังไม่ดึกนัก ถ้าหากกลับเสียแต่ตอนนี้คงไม่สมเหตุสมผลที่จะให้น้องพรไปนอนค้างที่ห้องด้วยอีกคืน...ดึกแล้วขี้เกียจกลับไปส่ง....คือเหตุผลเดิมที่ผมคิดเอาไว้ในใจ....
                 ในมหาวิทยาลัยมีคนมาลอยกระทงมากพอๆกับข้างนอก แต่บรรยากาศดูเป็นเอกภาพมากกว่า เพราะส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยทั้งนั้น.....
                  “ขอยืมไฟแช็กหน่อยได้มั้ยครับ” หนุ่มน้อยน่ารัก กลุ่มข้างๆเข้ามาขอยืมไฟแช็ก.....ผมยิ้มหวานก่อนยื่นให้......เด็กๆก็น่ารักแบบนี้แหล่ะ..อิอิ...ผมถือโอกาสขอให้เค้ามาช่วยจับโคมไฟไว้ให้ระหว่างรอรมให้ควันมากพอที่จะส่งโคมให้ลอยขึ้นฟ้า.....
                  “เดี๋ยวพี่ช่วยจับโคมเอาไว้ให้ กั้งไปถ่ายรูปให้ที” พี่ดุ๊กเข้ามากระแซะแย่งโคมไปจากมือผม......เค้าจะทำอะไรของเค้าเนี่ย....ผมเดือดดาลอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกมา นอกจากทำตามคำสั่งแต่โดยดี.....ฮึ่มมมมม

                   คืนนี้ก็จบลงแบบเดิมเหมือนคืนที่แล้ว ผมได้แต่หวังว่าบัวคงไม่ช้ำ และน้ำก็คงจะไม่ขุ่นจนเกินไป....ผมไม่อยากบอกกับเค้าตรงๆว่าไม่ได้ชอบเค้า....คิดว่าจากอวัจนะภาษาที่ผมแสดงออกไปตลอดสองวันที่ผ่านมา น่าจะบอกอะไรเค้าได้บ้าง ไม่มากก็น้อย....ผมไม่อยากพูดอะไรที่ทำร้ายความรู้สึกใคร....แต่ใครจะรู้ว่าบางทีสิ่งที่ผมกระทำลงไปอาจจะทำร้ายเค้าได้มากกว่าคำพูดเป็นไหนๆ....คงมีแต่ตัวพี่ดุ๊กเองที่รู้คำตอบนี้ หรือไม่ก็สวรรค์.....
                   ผมหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย....จนรุ่งเช้า....รู้สึกขอบคุณที่เค้าไม่ได้ล่วงล้ำก้ำเกินใดๆให้ต้องลำบากใจ.....ผมพลิกตัวหันไปมองไปยังตำแหน่งที่พี่ดุ๊กนอนอยู่.......เขาจ้องมาที่ผมแต่แรกอยู่แล้ว.....หัวใจผมหล่นวูบด้วยความตกใจ.....แต่เค้ายังคงจ้องนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีคำพูดหรือแสดงปฏิกิริยาใดๆออกมา....ผมรู้สึกว่าช่วงเวลานั้นเนิ่นนานมาก...นานจนน่าอึดอัดใจ......ผมพลิกตัวลุกขึ้นเดินเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำ....ล้างหน้า....แปรงฟัน....อาบน้ำ.....แต่ในใจผมคิดถึงแต่สายตาของเค้าที่มองมาเมื่อครู่....มันช่างอ้างว้าง....ว่างเปล่า....จะสื่อให้รับรู้ถึงอารมณ์ใดๆผมก็ไม่อาจจะพรรณนาได้....รู้แต่เพียงว่ามันทำให้ผมรู้สึกผิด....ผิดกับทุกๆอย่างที่ผ่านมา.....แล้วผมจะทำอะไรได้ในเมื่อความรักมันคือความสมัครใจของคนสองคนไม่ใช่หรือไง......ผมไม่สมัครใจและไม่ต้องการให้เค้าแสดงความรู้สึกต่อผมในแบบคนรัก....ถึงจะมองว่าผมเป็นคนใจดำไร้ความเมตตา แต่ผมก็ไม่มีทางเลือก...ไม่มีเลยจริงๆ....
                     เราร่ำลากันที่หน้าโรงแรม.....พี่ดุ๊กจากไปพร้อมรถยุโรปคันงามที่มาคอยรอรับ.....จบสิ้นกันทีความรักในวิมาน ที่ผมวาดมันขึ้นมาลวงๆ......แถมยังดึงเอาคนคนหนึ่งเข้ามาร่วมและทำลายมันลงให้ย่อยยับโดยน้ำมือผมเอง........ผมได้บทเรียนจากความสัมพันธ์ครั้งนี้อย่างหนึ่งว่าไม่ควรดึงใครเข้ามา โดยการใช้ความหวังเป็นสิ่งหลอกล่อ หากตัวเราเองยังไม่รู้แม้กระทั่งความต้องการที่แท้จริงภายในใจ.....

                     “น่าสงสารเค้าเนาะ แต่ก็ดีแล้วที่พี่กั้งตัดสินใจทำแบบนี้” น้องพรพยายามพูดปลอบใจระหว่างที่เราสองคนมาเดินเที่ยวงานลอยกระทงใหญ่ในค่ำวันนั้น....ผมเคยบอกพี่ดุ๊กว่าจะไม่มา...แต่ผมก็มา...ใช่ ผมโกหกเค้า...
                    “เสียดายเนาะ นึกว่าพี่กั้งจะได้แฟนรวย น้องจะได้พลอยสบาย” น้องพรพูดติดตลก เพื่อสร้างให้บรรยากาศ
                    “เธอก็เอาเองสิ” ผมแหวใส่....เราเดินชมงานต่อเงียบๆ...ผมยังรู้สึกแย่อยู่ แต่ผมไม่ได้ลบเบอร์เค้าทิ้ง....ไม่ใช่เพราะจะเอาไว้ติดต่อ...แต่หากเค้าโทรมาผมจะได้ไม่รับสายต่างหาก...
                    “พี่กั้งๆ นั่นใช่พี่ดุ๊กหรือเปล่า” น้องพรสะกิดผมให้ดูใครคนหนึ่งที่กำลังชมขบวนลอยกระทงอยู่ที่อีกฟากของถนน
                   “จะเป็นไปได้ไง ก็เค้าไปลำปางตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วนี้” ผมค้าน เพราะไม่คิดว่าเค้าจะหวนกลับมาที่เชียงใหม่อีก
                   “ดูดีๆสิ น้องว่าใช่นะ” น้องพรคะยั้นคะยอต่อ อย่างมั่นอกมั่นใจ
                   “เฮ้ย จริงๆด้วย” ผมมองไปในทิศที่น้องพรบอก เป็นพี่ดุ๊กจริงๆ...เค้ากำลังยืนถ่ายรูปขบวนแห่อยู่คนเดียวที่อีกฟากถนน....ตายล่ะผมจะทำยังไงดี....จากตำแหน่งที่เรายืนอยู่มีคนไม่มากนัก....เป็นไปได้ว่าเค้าอาจจะมองเห็นเราสองคนในอีกไม่ช้านี้......ยังไม่ทันที่น้องพรจะพูดอะไรออกมา ผมก็ตัดสินใจกระชากแขนพาวิ่งฝ่ากลุ่มคนออกไปจากจุดที่เรายืนอยู่อย่างรวดเร็ว.....เราสองคนทั้งวิ่ง...ทั้งหัวเราะมาหยุดยืนหอบที่มุมตึก.....นี่ผมทำอะไรลงไปอีกเนี่ย....ในตอนที่เราวิ่งออกมาพี่ดุ๊กต้องเห็นแน่ๆ.....จะไม่เห็นได้ยังไง คนวิ่งออกจะเอะอะมะเทิ่งขนาดนั้น........นี่ผมยังทำร้ายเค้าไม่พออีกหรือยังไง.....ผมเลือกที่จะหนีปัญหาแทนที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา....ผมควรจะเดินไปทักเค้าแล้วพาเค้าไปส่งขึ้นเครื่องอย่างน้องที่ดีควรทำ.....แต่ผมกลับเลือกวิธีที่จะวิ่งหนี เหมือนเด็กๆไม่มีผิด....บางทีผมอาจจะทนความอึดอัดใจมานานจนเกินพอแล้ว จนไม่อยากจะแบกรับกับมันอีกต่อไป แม้เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียว........จบไม่สวยเลย......

                    ผมกลับมานั่งทำแลปอีกครั้งหลังจากผ่านความยุ่งเหยิงที่ตัวเองก่อเอาไว้มาอย่างสะบักสะบอม.....แต๊บๆๆๆๆๆแต๊บแก.....เสียงโทรศัพท์ดังทำลายความเงียบขึ้นมาจนผมสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ (เสียงโทรศัพท์ผมเป็นเสียงตุ๊กแกที่ผมเกลียดมาก แต่ก็เอามาตั้งเป็นเสียงโทรศัพท์)....ผมหยิบออกมาดูเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่พี่ดุ๊ก....ผมยังผวาเค้าอยู่
                   “หวัดดีครับ พี่กั้งเหรอ นี่นัทพูดนะ” อ้าว นึกว่าจะหายไปซะแล้ว...โทรมาอีกทำไมล่ะเนี่ย ผมนึกฉงนอยู่ในใจ
                   “ใช่.....นัทเหรอ มีอะไรล่ะ” ผมไม่จำเป็นต้องปั้นเสียงให้ดูหล่อกับคนๆนี้...ก็ในเมื่อเค้าเคยว่าผมเอาไว้ซะมากเรื่อง....เสียงส้าวววววววสาว...ผมยังเคืองอยู่นะ.....ก็ถ้าคิดว่าเราสาวก็ไปหาคนแมนๆสิจะโทรมาอีกทำไมกัน....หรือยังว่าให้เรายังไม่สาแก่ใจ
                  “กินข้าวเที่ยงยัง” เค้าถามต่อ...นี่อีตานี่คิดว่าตัวเองเป็นใคร....พูดอะไรกับเค้าเอาไว้จำไม่ได้หรือไง ยังจะมีหน้ามาชวนไปกินข้าวอีก...ดีล่ะผมจะทำเป็นเล่นตัวสักหน่อย...
                   “กินแล้ว ทำไมอ่ะ” ผมทำท่าวางเฉย ไม่รู้ร้อนรู้หนาว...
                   “ว่าจะชวนไปกินข้าวสักหน่อย แต่ไม่เป็นไรเอาไว้คราวหลังก็ได้” ใครจะไปกับนายเชอะ...ผมคิด
                   “เอาไว้ตอนเย็นพี่เสร็จธุระแล้วจะโทรหาแล้วกัน” ผมกัดฟันพูดออกมาในที่สุด.....อิอิ...ผมเองก็อยากเจอเค้าเหมือนกันแหล่ะ...อยากจะรู้นักว่าจะวิเศษสักแค่ไหน ถึงได้มั่นใจซะขนาดนี้..
                   “ครับ งั้นแค่นี้นะ” เค้าวางสายไปแล้ว ทิ้งให้ผมอยู่กับความงงงวยต่อคนเดียว...จะมาไม้ไหนกับเราอีกนะ...เดี๋ยวเย็นนี้ก็จะได้รู้กัน....ผมหันกลับมาทำงานต่อ แต่ในสมองเริ่มวางแผนการอีกแล้ว.....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2007 14:12:23 โดย moody »

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #81 เมื่อ28-05-2007 10:54:01 »

ตามเสียงกรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด อิเจ๊สองมา
เนื่องจากกรีดร้องดังมาก เหมือนโดนน้ำมนต์ 5 5 5  :laugh:(พูดเล่นนะ เจ๊)

ชักสงสัยแล้วสิ คนเขียนเนี่ย ....... ใช่คนที่เราคิดรึเปล่า หุ หุ  o3
ถ้าใช่งานนี้มีฮา  :laugh3:

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #82 เมื่อ28-05-2007 11:28:26 »

ผูกเรื่องเป็นตุเป็นตะเชียว.....ไม่ใช่อย่างที่คิดซักหน่อย.....คิคิ

MyLoveMyBabe

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #83 เมื่อ28-05-2007 12:57:04 »

ในที่สุดก้ปลดระวางออกจากบัญชีไปหนึ่งคน อิอิ

จะรอดูน้องนัทต่อว่าจะเป็นงายยย


ปล..คนชื่อนัทอ่ะ น่าร๊ากนะจะบอกให้ เอิ๊กๆๆ o14

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #84 เมื่อ28-05-2007 13:06:56 »


สงสารพี่ดุ๊กจัง  เพี้ยง!! ขออย่าให้เราเจอเหตุการณ์แบบนี้กะตัวเองเลย  :amen:

ปล. รีบนเคอะ  ช่างกล้านะเคอะ อิอิ  แต่เจ้ก็เห็นด้วย

gobgab

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #85 เมื่อ28-05-2007 13:08:58 »


..........ถ้าไม่ใช่ฝืนไปก็เท่านั้น...... o7 o7

..........ยิ่งฝืนนานก็ยิ่งเจ็บลึก........ :o12: :o12:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #86 เมื่อ28-05-2007 20:23:29 »

รอลุ้นน้องนัทดีกว่า   :give2:
อยากรู้นัก จะน่ารักสักแค่ไหน  :o9:

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #87 เมื่อ29-05-2007 10:06:13 »

                        “นัทเหรอ เย็นนี้พี่จะไปตีแบด สนใจมั้ย” ผมรีบโทรศัพท์ถึงนัทในค่ำวันนั้น....ก็เรื่องอะไรผมจะปล่อยให้เค้าลอยนวลไปล่ะ......เค้าทำอวดดีกับผมเอาไว้มาก......ยังไงก็ต้องขอเจอตัวจริงกันหน่อยล่ะ.....
                       “พี่ไปกันกี่คนน่ะ” ผมบอกชื่อคนที่จะไปด้วยสองคน
                      “ผู้ชายหรือผู้หญิง เป็นเกย์หรือเปล่า” เค้าซักต่อ....บ๊ะเจ้านี่เรื่องมากจริง...ผมนึกฉุนในใจ
                      “ถามทำไม”
                      “ก็ไม่อยากให้ใครมองว่าเป็นเกย์ ไปหลายๆคนดีกว่า เดี๋ยวคนอื่นจะสงสัย” นัทให้เหตุผลอ้อมแอ้ม...ดูทีรึ...เป็นเกย์แต่ไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเป็นเกย์.....ผมเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคนจำพวกนี้มามาก....เกย์ประเภทแอบแฝง ไม่แสดงออก....และซีเรียสมากในการปิดบังตัวเอง...พวกเขาพร้อมที่จะตัดสัมพันธ์กับใครๆได้ในทันที โดยที่ไม่เหลือเยื่อใยใดๆ...ถ้าหากว่าคนผู้นั้นกระทำการอันจะส่งผลกระทบถึงภาพลักษณ์ของความเป็นชายที่เค้าพยายามสร้างมายาวนาน......ในเมื่อห่วงภาพลักษณ์ตัวเองมากขนาดนั้น แล้วจะมาเป็นเกย์ทำไม....อย่างว่าล่ะนะ...ก็ความอยากมันเข้าใครออกใครซะที่ไหน.....คนจำพวกนี้เค้าเรียกว่า เป็นคนประเภทเกลียดปลาไหล แต่กินน้ำแกง....เห็นแก่ความรู้สึกของตัวเองมากกว่าความรู้สึกของคนอื่น ต่อให้มีคนที่รักและดีกับเขามากแค่ไหนก็ตาม เขาจะไม่มีวันสร้างสัมพันธ์ให้ลึกซึ้งเกินไปกว่าความสัมพันธ์ทางกาย เนื่องจากเขาได้ตีกรอบการใช้ชีวิตเกย์ของเขาเอาไว้แต่แรกอยู่แล้ว.....อย่างไรก็ดีมันเป็นการอยุติธรรมต่อบางคนที่ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความรักโดยคิดว่า....จะใช้ความรักเปลี่ยนเขาได้ในที่สุด.....แต่สุดท้ายก็มักจะจบลงด้วยน้ำตาและความพ่ายแพ้อยู่เสมอ....ชีวิตเกย์นี่เข้าใจยากจริงๆ

                       “พี่กั้งกำลังจะไปไหนเนี่ย” น้องพรถามอย่างสงสัย.....ก็ในเมื่อเราสองคนกำลังจะไปตีแบด แล้วทำไมผมถึงขับรถมุ่งหน้ามาที่หอพักนักศึกษาคณะแพทย์ ซึ่งอยู่คนละทิศละทางกับสนามแบดที่เรากำลังจะไป
                      “เออน่า เดี๋ยวก็รู้เอง” ผมแกล้งพูดเป็นปริศนาให้น้องพรสงสัยเล่นๆ......ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรถึงนัท
                     “พี่มาถึงแล้ว ลงมาสิ” หลังจากวางสาย ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาคอยลุ้นว่า นัท ที่ผมเคยคุยด้วยทางเอ็มเอสเอ็นตั้งแต่สมัยอยู่เมืองนอกคนนั้น ตัวจริงของเค้าจะเป็นยังไง....จะเหมือนอย่างที่ผมคิดเอาไว้หรือเปล่านะ.....

                      ไม่นาน....ผมสังเกตเห็นผู้ชายคนหนึ่งวิ่งลงมาจากหอพัก.....เค้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาใครบางคน.....แล้วเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น.....
                     “ฮะโหล พี่กั้งอยู่ไหนอ่ะ” เค้าพูดผ่านสายโทรศัพท์ พลางสอดส่ายสายตามองหาผม ไปทั่วบริเวณลานจอดรถ
                     “อยู่ทางนี้” ผมเลื่อนกระจกรถลงโบกมือเรียกนัทให้หันมองมายังจุดที่พวกเรารออยู่.....เค้ากำลังเดินตรงเข้ามา
                    “คนนี้เหรอน้องหมอ ไม่เห็นจะหล่อเหมือนในรูปที่พี่กั้งเอาให้ดูเลย” น้องพรรีบฉวยโอกาสวิพากวิจารณ์ก่อนที่นัทจะเดินเข้ามาถึง
                   ความจริงเค้าก็ไม่ได้ดูหล่อเหมือนอย่างในรูปที่ส่งให้ผมดูจริงๆนั่นแหล่ะ.....ผิวไม่ขาวอย่างที่คิดแต่ก็ไม่ถึงกับดำ.....สูงประมาณร้อยแปดสิบเซ็นติเมตร.....น้ำหนักเกินค่อนไปทางอวบ.....ดูเซอร์ๆ คงจะไม่ค่อยดูแลตัวเองสักเท่าไหร่....ใส่กางเกงขาสามส่วนสีมอๆ ตัวใหญ่ๆ แบบที่พวกผู้ชายเค้าชอบใส่กัน...เสื้อเชิ้ตปอนๆ.....นี่ถ้าไปเจอข้างนอก ผมคงไม่คิดว่าเค้าจะเป็นเกย์แน่ๆ......เพราะคงไม่มีเกย์ที่ไหนที่จะเซอร์ได้ขนาดนี้....ไม่ดูแลตัวเองเอาซะเลย เป็นหมอประสาอะไร....ผมคิด..แต่เค้าก็มีบางอย่างที่ผมชอบ....มาดแมน....ใส่เหล็กดัดฟัน......ตัวสูงใหญ่...อวบ....ใช่.....ผมชอบคนอวบๆ น่ารักดี

                   “หวัดดีครับ” ความคิดผมสดุดลงพร้อมกับเสียงทักของนัท ผมพยักหน้ารับ เอื้อมมือไปเปิดประตูให้เขาก้าวเข้ามานั่งในตำแหน่งข้างๆคนขับ...นัทไม่ยักกะไหว้ผมแฮะ....ก็เค้าอ่อนกว่าผมตั้งสี่ปีนี่นา....แต่จะคิดอีกที คงไม่มีใครเค้าไหว้คนที่เค้าคิดจะจีบหรอกเนาะ...หุหุ....มีหวังแล้วเรา...
                 “คนนี้ชื่อพี่พร เรียนปริญญาโทอยู่ชีววิทยา ผมบุ้ยใบ้ไปทางน้องพร....ทั้งสองคนทักทายกันตามมารยาท...น้องพรเก๊กแมนขึ้นมาในทันตา...เพราะผมเคยบอกเอาไว้ว่า นัทค่อนข้างจะซีเรียสเรื่องแตกสาว ถ้าเป็นไปได้ ให้พยายามเก๊กแมนเข้าไว้....ซึ่งงานนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นงานยากสำหรับน้องพร เนื่องจากเค้ามีใบหน้าที่ค่อนไปทางมาดแมนอยู่แล้ว ถ้าหากนั่งอยู่เฉยๆไม่พูดไม่จาแตกสาวออกมา คงจะหลอกใครต่อใครให้เชื่อได้ไม่ยากว่าเป็นผู้ชายแท้ๆ.....เกย์สาวแต่หน้าแมน...อิอิ
   
                  “พี่กั้ง กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” นัทถามแก้ขวย....ผมรู้สึกว่าเค้าคอยชำเลืองมองดูผมบ่อยๆ....แต่ผมแกล้งทำเป็นเฉยเสีย พยายามวางหน้าให้ดูละมุนละไมเข้าไป...ใช่แล้วผมกำลังยั่วยวนเค้าอยู่..
                 “สักสองอาทิตย์แล้ว” ผมบอก.....ก่อนจะเข้าเกียร์และเหยียบคันเร่งมุ่งหน้าไปยังโรงยิม....ระหว่างการเดินทาง ส่วนใหญ่น้องพรจะเป็นผู้ผูกขาดการสนทนากับนัทซะมากกว่า เนื่องจากผมเองไม่ถนัดคุยกับคนแปลกหน้าเท่าที่ควร....
                “เรามากันสามคนเองเหรอ” นัทถาม เนื่องจากปกติในการเล่นแบด มักจะต้องเล่นกันสี่คนขึ้นไปจึงจะสนุก
                “พี่นัดปอเอาไว้แล้ว เค้าบอกว่าจะมารอพวกเราที่โรงยิมเลย” การที่จะรวมเอาทุกคนมาเพื่อตีแบดในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก....เนื่องจากผมเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก กลุ่มตีแบดของเราก็ได้ถึงกาลล่มสลายไปตั้งแต่ครั้งนั้น...แต่ด้วยความพยายามอย่างสุดความสามารถ....ในที่สุดผมก็เซ็ตทีมตีแบดเฉพาะกิจขึ้นมาจนสำเร็จ.....จะเพื่อใครล่ะถ้าไม่ใช่เพื่ออีตานัทคนเดียว.....เอ หรือว่าเพื่อตัวผมเองกันแน่นะ...อุอุ

                เรามาถึงโรงยิมตรงกับเวลาที่จองสนามเอาไว้พอดี.....ผมเห็นปอมานั่งรอเราอยู่ก่อนแล้ว..........เค้ายิ้มแต้เดินรี่เข้ามาทักทาย........
               “หวัดดีคับพี่กั้ง นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว” ผมยิ้มตอบพยายามสงวนท่าทีเอาไว้
               “เข้าไปข้างในกันเถอะ” น้องพรรีบตัดบทเพราะเข้าใจสถานการณ์ดี

                 ความจริงแล้วปอกับผมก็มีประวัติร่วมกันมาแบบไม่โปร่งใสซะทีเดียว..... เราเจอกันครั้งแรกที่สนามแบดแห่งนี้เมื่อสองปีที่แล้ว......ครั้งนั้นผมเพิ่งมาอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ได้ไม่นานและกำลังอยู่ในระหว่างการตั้งหน้าตั้งตาเสาะหาคนรู้ใจอย่างเอาเป็นเอาตาย....ในตอนนั้นทีมเล่นแบดของผมมีเพียงสามคน คือผม น้องพร และเพื่อนสาวอีกหนึ่งคน....การมาสามคนไม่ใช่เพราะเราไม่สามารถที่จะหาแนวร่วมได้ แต่มันเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งในการจีบหนุ่มๆของผมตะหาก......เพราะผมจะใช้โอกาสที่เราขาดคนเล่นนี้ เป็นช่องทางในการเสาะหาอาสาสมัครจำเป็น(ที่เราหมายหัวเอาไว้แล้ว) มาร่วมตีแบดกับพวกเรา เพื่อให้ครบสี่คน....ซึ่งปอก็เป็นหนึ่งในบรรดาของหนุ่มๆที่ตกเป็นเหยื่อมารดังกล่าว......
   
                     ในตอนนั้นปอมากับเพื่อนๆกลุ่มใหญ่ ซึ่งกลุ่มดังกล่าวรวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมทางศาสนารวมไปถึงการร่วมกันทำกิจกรรมทางการกีฬาและอื่นๆอีกด้วย.....กลุ่มของปอมีผู้เล่นในหลายระดับฝีมือ...บางคนเล่นเก่ง...บางคนเล่นอ่อน.....เมื่อเค้าได้มาตีกับพวกเรา ผมจึงสามารถดึงให้ปอมาเข้ากลุ่มกับพวกเราได้ไม่ยาก......เพราะการได้เล่นแบดกับกลุ่มที่มีระดับฝีมือค่อนข้างดีอย่างพวกเราย่อมทำให้เค้าติดใจ....คอร์ทไม่ต้องจอง....มีน้ำให้ดื่มฟรี....ค่าลูกแบดถูก......เพื่อนเล่นแบดฝีมือดี....แถมยังน่ารักและเอาใจเก่งอีกต่างหาก....ไม่ติดใจก็ให้รู้ไปสิ........เมื่อทำให้เค้ามาเข้ากลุ่มกับเราได้สำเร็จ ผมจึงทึกทักเอาเองว่าเค้าคงมาเพราะความปรารถนาส่วนตัวที่เกิดจากผมเป็นแรงบันดาลใจ...หุหุ...หลงตัวเองซะไม่มี
   
                     “ไปชอบมันตรงไหนไอ้ปอ ดำก็ดำ” น้องพรแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับความหลงผิดของผมในครั้งนั้น...เนื่องจากภาพของผู้ชายที่เหมาะสมกับผมในสายตาน้องพร ค่อนข้างจะสูงส่งมาก เมื่อเทียบกับปอ.....แต่ในตอนนั้นผมไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น......ผมมักจะหลงไหลได้ปลื้มกับใครที่เข้ามาใกล้ชิดได้ง่ายๆ...ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เพื่อนๆต่างรู้กันดี
                   “เดี๋ยวมันก็หายบ้าไปเอง” นี่คือข้อสรุปที่ทุกคนมองความรักที่ผมมีต่อปออย่างดูแคลน

                   แต่กว่าผมจะหายบ้าก็กินเวลานานพอสมควร....ผมลงทุนตามเค้าไปร่วมพิธีทางศาสนาในวันอาทิตย์ทั้งๆที่แสนจะอึดอัดใจ......ตามเค้าไปเข้าแคมป์ทางศาสนาบนดอยทั้งๆที่เป็นผมนับถือคนละศาสนากัน...และก็ตามเค้าไปในอีกหลายๆที่ โดยต้องลากเอาน้องพรและเพื่อนสาวไปด้วยเสมอๆ....ผมจะจีบใครแต่ละคน มักต้องคอยวุ่นวายไปถึงคนอื่นแบบนี้เป็นประจำแหล่ะ.....ในที่สุดเค้าก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ผมมีต่อเค้า.....ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็คงพยายามหลีกเลี่ยงปัญหานี้มาโดยตลอด.....หลังจากนั้นเขาได้พยายามบอกผมเป็นนัยๆหลายครั้งว่าไม่ได้คิดอะไร.....แต่ผมไม่สนใจที่จะรับฟัง.....จนในที่สุดเราจึงได้เปิดอกคุยกันผ่านทางเอ็มเอสเอ็น....

                    “ผู้ชายชอบผู้ชายไม่ได้มันเป็นบาป ผิดหลักศาสนา” นี่คือเหตุผลที่เขาบอกผมในตอนนั้น
                   “พระเจ้าสร้างผู้ชายให้คู่กับผู้หญิง การที่ผู้ชายมารักกับผู้ชายเป็นสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ ผิดหลักพระคัมภีร์” ถ้าจะเอาเหตุผลความเชื่อทางศาสนามาอ้างผมก็คงไม่มีอะไรที่จะพูดอีกต่อไป........ผมเสียใจ......กินเหล้า......และก็ทำท่าแบบคนอกหัก....สะใจดี....เพื่อนผมบอกว่าผมชอบแกล้งหาเรื่องไปรักคนโน้นนี้ และก็ทำให้ตัวเองอกหัก เนื่องจากเป็นพวกโรคจิต ชอบเสพความเจ็บปวด.....ผมไม่รู้หรอกว่าจริงๆแล้วเป็นอย่างที่เขาว่าหรือไม่.....แต่บางครั้งผมก็ชอบความรู้สึกเวลาที่อกหักมากกว่าความรู้สึกตอนตกหลุมรักเสียอีก........

                    แม้จะผ่านเรื่องราวรันทดดังกล่าวมาแล้ว ผมกับปอก็ยังไม่ได้เลิกติดต่อกัน....เรายังคงคุยกันบ้างตามแต่จะมีโอกาส....แบบพี่น้อง......และเค้าก็มีประโยชน์มากจริงๆสำหรับผมในภาวะการณ์เช่นนี้...เพราะเค้าทำให้เรามีครบสี่คน...ทั้งความที่เค้าเป็นผู้ชายจึงทำให้นัทคลายความวิตกเรื่องจะถูกจับตามองจากคนทั่วไป......
                   นัทเล่นแบดได้เก่งใช้ได้...เก่งกว่าผมด้วยซ้ำ....
                  “นัทเป็นนักกีฬาแบดของคณะ” เค้าโม้ระหว่างที่เราหยุดนั่งพักดื่มน้ำ.....ไม่อยากจะเชื่อ...คณะแพทย์หาคนเล่นแบดเก่งๆได้แค่นี้เองเหรอ
                  เราผลัดกันเล่นสลับคู่ไปมา....ผมคู่กับนัทบ้าง...คู่กับปอบ้าง....แต่ไม่คู่กับน้องพร....มีหลักปฏิบัติที่เข้าใจร่วมกันง่ายๆในอดีตและยังใช้มาจนกระทั่งปัจจุบันก็คือ......เวลาที่เราต้องเล่นแบดกับเป้าหมายที่เราเรียกมา....ผมจะต้องโดนจับให้คู่กับเป้าหมายเสมอ....ยังกะเกอิชา (เกย์อิชา) แน่ะ....เพราะหน้าที่ของผมคือต้องคอยเทคแคร์ผู้ชายทั้งในระหว่างที่เราเล่นแบดและหลังจากเล่นแบดเสร็จแล้วด้วย......จะทำยังไงก็ได้เพื่อให้เค้าติดใจและอยากกลับมาเล่นกับเราอีก....ซึ่งก็ได้ผลทุกทีจริงๆ...
                 หลักในการเล่นแบดกับผู้ชายนั้น ไม่ใช่สักแต่ว่าตีให้เก่งแล้วจะพอ.....มันคือศิลปะอย่างหนึ่ง.....ทำยังไงก็ได้ที่จะทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกรัญจวนใจ.........ไม่ว่าจะเป็นการหัวเราะหรือการอุทานแสดงความรู้สึกในขณะที่เล่น.....ต้องดูยั่วยวนแต่เป็นธรรมชาติ.........ท่วงท่าลีลาในการตีควรเน้นความสวยงามไว้ก่อน อาจจะมีล้มลุกคลุกคลานบ้างก็ขอให้เป็นท่าล้มที่สวยน่ามอง.....ท่าทางที่ปฏิบัติต่อคู่ของเราต้องทำให้เค้ารู้สึกเสมือนว่า ในขณะที่เล่นเราคอยแอบมองเค้าอยู่แต่ไม่อยากให้เค้ารู้ตัว.....ต้องทำให้เค้ารู้สึกแบบนั้นให้ได้ไม่ใช่ปล่อยให้เค้าไม่รู้ตัวจริงๆ.......และพยายามสงวนคำพูดเอาไว้.....ผมเชื่อว่าการใช้ท่าทางในการยั่วยวนได้ผลลึกซึ้งกว่าการใช้คำพูดค่อนข้างมาก......เรื่องการพูดคุยนั้นเอาไว้ค่อยมาทำหลังจากตีแบดเสร็จก็ยังได้........อีกอย่างเราต้องดูเปราะบางแต่ต้องไม่เป็นตัวถ่วงสำหรับเค้า......ไม่ง่ายเลยเนาะกับการเล่นแบดเพื่อหาแฟน
                ที่กล่าวมาทั้งหมดใช้ไม่ได้ผลกับนัทเลย.....เค้าไม่แสดงท่าทีใดๆให้ผมสัมผัสว่าเขาได้ตกหลุมเสน่ห์ของผมแล้ว......หลังจากตีแบดเสร็จผมตรงไปส่งนัทที่หอพักเลย.....เราสามคนต่างแยกย้ายกันกลับที่พัก.......ผมกลับมานั่งทอดถอนใจอยู่ที่ห้องคนเดียว.....สงสัยงานนี้จะหลุดมืออีกแน่ๆ......
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-05-2007 16:31:30 โดย moody »

gobgab

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #88 เมื่อ29-05-2007 11:12:04 »


.......... :try2:...เพิ่งรู้นะเนี่ย......

..........ว่าการตีแบดต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ขนาดนี้..........  :o9: :o9:

..........ถึงว่า.....เราก็เลยหาไม่ได้ซักที...... :laugh: :laugh: :laugh:

MyLoveMyBabe

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #89 เมื่อ29-05-2007 13:01:41 »

ข้าน้อยขอคาระวะ  ได้โปรดรับเป็นศิษย์ด้วยเถิดด... o1


เอ่อ เปิดคอร์ส "การอ่อยอย่างมีศิลปะ"  "ทอดสะพานอย่างไรให้ดูดี"   ดีกว่านะคับ  ผมจะสมัครเรียน อิอิ o14


ได้ใจเจงๆๆ เหอๆๆ  o13

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด