มาต่อให้อีกตอนจ้า
รู้สึกจะมีคนไม่พอใจนายไม้อยู่เยอะ
-----------------------------------------Title : จอมไตรซีรี่ส์-คนมืดมนที่หลงรักคุณหมดใจ
Chapter : 3ผมกลับมาที่อพาตเมนท์ด้วยใจว่างเปล่า คิดถึงรอยยิ้มน่ารักสดใสของน้ำตาลที่ส่งมาให้ผม คิดถึงใบหน้านั้นเปลี่ยนเป็นใบหน้าเศร้าสร้อยเย็นชาอย่างที่ผมเห็นตอนไปหาแกเช้านั้น ผมนี่คงใจร้ายจริงๆ ใบหน้าร้อนใจของอาจารย์ที่เป็นห่วงน้ำตาลมากมาย ใบหน้าเย็นชาจากคนที่ผมแอบรักมาตลอด ตามเข้ามาไม่หยุด ผมนอนขดตัวอยู่คนเดียวในความมืด
ก็แน่ล่ะคนดีที่เดือดร้อนเรื่องของคนอื่นแบบนั้นจะเป็นที่รักก็ไม่แปลก ผมมันเลว คนเลวๆอย่างผมเป็นได้แค่ตัวอิจฉา ไม่ก็ตัวประกอบที่อยู่ฝ่ายผู้ร้ายเท่านั้น เป็นได้เท่านั้นจริงๆ
.........................................................................
ปามโทรศัพท์มาถามอาการผมในวันถัดมา ผมยังลาได้อีกวันและนอนอยู่บนเตียงโดยไม่ขยับไปไหนตั้งแต่วางโทรศัพท์กับปาม ผมรู้ว่าปามเองก็คิดว่าผมทำเกินไปกับเด็กตัวเล็กๆอย่างน้ำตาล แต่เพราะเข้าใจและรู้จักกับผมมานานถึงได้ไม่พูดขึ้นมาตรงๆ แต่เลียบๆเคียงๆถามแทน ผมไม่ตอบอะไรและปามก็ไม่เซ้าซี้ รู้ว่าถามมากๆจะเป็นการราดน้ำมันลงบนกองไฟซะเปล่าๆ
ผมนึกถึงใบหน้ามีความสุขของพี่กวางที่เห็นในภาพ พี่กวางที่ผมรู้จักยิ้มแบบนั้นเสมอ อายุแก่กว่าผม5ปี เป็นคนเรียบร้อย และเป็นที่ชื่นชม มีครอบครัวที่อบอุ่น ผมก็เคยมีนะครอบครัวที่อบอุ่นจนกระทั่งอายุ 10 ปี เมื่อพ่อแม่จากไปด้วยอุบัติเหตุ ญาติๆเข้ามายึดทรัพย์สิน ผมก็ไม่เหลืออะไรสักอย่าง โดนส่งตัวไปสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า โดนรังเกียจจากคนอื่นๆที่อยู่ที่นั่นเพราะถูกเรียกว่าผู้ดี ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนให้ความเมตตา ไม่มีเพื่อนสักคน
พออยู่ม.ต้น ผมก็ขอให้อาจารย์ที่โรงเรียนรับรองและออกมาอยู่ข้างนอกคนเดียว ผมหยุดคิดเรื่องของตัวเอง สมองวนกลับมาคิดเรื่องน้ำตาลอีกครั้ง ผมลองนึกภาพน้ำตาลอยู่ที่นั้น โดนใครๆเย็นชาใส่อย่างที่ผมโดน.....ไม่จริงหรอก
ไม่น่าเชื่อ อาจจะมีอะไรผิดพลาด ที่บ้านนั้นไม่น่าปล่อยให้ลูกของพี่กวางต้องลำบาก
“ช่วยไม่ได้”
ผมบ่นเบาๆเมื่อนึกถึงเด็กที่อาจจะกำลังจะมีโชคชะตาเดียวกับผม กดโทรศัพท์ไปยังเบอร์บ้านใหญ่ที่ผมเคยอยู่กับครอบครัว
“กวางอยู่ไหมครับ”
ผมพยายามทำเสียงให้เป็นผู้ใหญ่ ให้เข้าใจว่าเป็นเพื่อนของพี่กวาง พอเขาตอบว่าพี่กวางตายแล้ว ผมจะได้ถามถึงสถานะของน้ำตาลได้
“คุณกวางเสียแล้วค่ะ เมื่อเดือนก่อน”
เสียงหญิงชราตอบกลับมา ผมรู้ว่าเป็นป้าสำลีที่เลี้ยงพวกผมมาแน่ๆ
“แล้วลูกสาวเธอล่ะครับ”
ป้าสำลีถอนหายใจแล้วพูดเบาๆ
“คงต้องไปอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าน่ะคะ ที่นี้ไม่มีใครสนใจคุณน้ำตาลสักคน”
“ทำไมล่ะครับ”
ผมแปลกใจเพราะพี่กวางเป็นลูกรักและหลานคนโปรดเสมอ
“ก็คุณกวางเธอหนีออกจากบ้านไปน่ะสิคะ ก่อนหน้านั้นก็ขัดแย้งกับคุณพ่อคุณแม่มาตลอด”
ป้าสำลีเล่าไปร้องไห้ไป แกคงไม่มีใครให้พูดด้วยได้ในบ้าน พอคิดว่าผมเป็นเพื่อนพี่กวางเลยพูดเอาพูดเอา
“เธอประท้วงที่เอาตัวลูกพี่ลูกน้องคนนึงไปไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าน่ะคะ แต่ตอนนั้นเธอยังเด็กทำอะไรไม่ได้ พอโตขึ้นก็ออกตามหา แต่ไม่เจอตัวหรอกคะ แล้วเลยออกจากบ้านไป ไม่กลับมาเลย”
ผมเงียบไปเมื่อได้ฟัง ดูเหมือนลูกพี่ลูกน้องคนที่ว่าจะเป็นผมรึเปล่า
“ที่จริงนอกจากคุณกวางแล้ว คุณกุ้งกับคุณกั้งก็เหมือนกันนะคะ ที่นี้เลยแทบไม่มีลูกหลานเหลือเลย”
ผมรับฟังความจริงอย่างปวดใจ พี่กุ้งกับพี่กั้ง ผมและพี่กวางสี่คนมักเล่นด้วยกันเสมอ ผมเจ็บแค้นสามคนนี้มากที่สุดเพราะรักมากจึงเกลียดมาก
“คุณกุ้งกับคุณกั้งไม่ได้ติดต่อมา เลยไม่ทราบเรื่องคุณกวางกับสามีเสียชีวิตน่ะคะ คุณน้ำตาลเลยหมดที่ไป”
ผมวางโทรศัพท์ลงตอนไหนไม่รู้ ความเสียใจเอ่อท้วมทนในอก เสียใจที่นึกโกรธคนที่ผมรักและรักผมทั้งสามคน ไม่ได้รู้เลยว่าทั้งสามคนพยายามเพื่อผมมากแค่ไหน ถึงขนาดขัดแย้งกับพวกคุณลุง ตอนนี้หนึ่งในนั้นได้จากไปและผมก็ทำร้ายความรู้สึกของลูกสาวตัวน้อยของเขาไปแล้วด้วย
ผม.....ยังพอแก้ตัวได้ไหมนะ
ผมยกโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้งต่อเบอร์ไปที่ไปที่สถานสงเคราะห์เด็กและสอบถามเรื่องการรับน้ำตาลมาเลี้ยง วันนั้นผมหัวหมุนทั้งวันกับการทำเอกสารต่างๆที่ดูยุ่งยากสิ้นดี ผมคิดว่ายุ่งยากแล้วนะ แต่เจ้าหน้าบอกว่าเพราะเป็นญาติเลยทำให้ง่ายขึ้น แต่ผมก็แอบถามในใจว่า นี่ง่ายขึ้นแล้วหรือ
................................................
น้ำตาลถูกพามาส่งที่บ้านผมโดยเจ้าหน้าที่พามาจากโรงพยาบาล เด็กที่ทำหน้าเศร้าซึมอย่างที่ผมไม่เคยเห็น เผยก็ยิ้มกว้างทันทีที่เห็นผม
“พี่กลอน”
เด็กหญิงโผเข้ากอดผมด้วยความยินดี ผมเองก็รับแกเข้ามากอดไว้ คราวนี้อาจเป็นคราวที่ผมทำถูกและดีที่สุดในชีวิตผมแล้วก็ได้
..................................................
ผมไม่ได้บอกใครแม้แต่ปามว่าผมรับน้ำตาลมาเลี้ยงถึงแม้จะคุยโทรศัพท์กับปามบ่อยๆ แต่ผมก็ไม่พูดให้ฟัง น้ำตาลเล่าเรื่องพี่กุ้งและพี่กั้งที่ไปเยี่ยมเป็นบางครั้งตอนที่พี่กวางยังไม่ตายให้ผมฟัง ผมติดต่อโรงเรียนใกล้บ้านให้น้ำตาลเข้าเรียน เราใช้ชีวิตกันสองคนน้าหลาน(ถึงน้ำตาลจะเรียกผมว่าพี่ก็เถอะ)อย่างมีความสุข
ผมไม่ได้อยากปิดปาม แต่เพราะปามอยู่ที่บ้านนั้นและดูเหมือนจะเป็นคนของบ้านนั้นผมเลยไม่เล่า ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนคนนั้น นึกถึงสายตาที่มองผมครั้งนั้นผมยังเจ็บในใจอยู่ไม่หาย หลังๆนี่ถึงคุณไม้จะมาที่บริษัทและผมจะแอบดูเขาเหมือนทุกครั้งแต่ก็รู้สึกได้ว่าเขาห่างไกลมากขึ้นกว่าเดิม
“พรุ่งนี้น้ำตาลต้องไปโรงพยาบาลค่ะ”
น้ำตาลที่นั่งทำการบ้านเงยหน้าบอกผมซึ่งกำลังทอดไข่ดาวด้วยความทุลักทุเล ผมทำอาหารไม่เก่ง เป็นความจริงที่ต้องยอมรับ พรุ่งนี้วันเสาร์ผมทำงานครึ่งวัน แต่ผมไม่อยากไปที่นั่นอีกแล้ว
“พี่กลอนไม่อยากไปหรือคะ”
น้ำตาลถามเมื่อเห็นผมไม่ตอบและทำหน้าลำบากใจ
“น้ำตาลไปคนเดียวก็ได้คะ”
ผมอยากจะตอบรับความหวังดีอยู่หรอกนะ แต่จะปล่อยให้เด็กหญิงไปคนเดียวได้อย่างไร
...............................................
“หายดีแล้วนะครับ”
เป็นความซวยของผมหรือไงนะอาจารย์ห้องพยาบาลถึงได้มีเวรตรวจวันนี้ น้ำตาลยิ้มสดใสให้ทุกคนและกล่าวขอบคุณคุณหมอ ในขณะที่ผมนั่งอยู่ข้างๆด้วยใบหน้าปั้นยาก พอตรวจเสร็จ ผมกับน้ำตาลกำลังจะกลับแต่อาจารย์ดันเรียกผมไว้ซะก่อน บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ผมนึกว่าจะบอกอาการน้ำตาลเลยอยู่คุยด้วยโดยให้น้ำตาลล่วงหน้าไปรับยาที่แกบอกว่าทำคนเดียวได้ก่อน
“ผมดีใจมากเลยนะที่คนที่รับเลี้ยงน้ำตาลเป็นคุณ”
“ครับ”
ผมตอบรับตามมารยาทแต่ไม่ยิ้มสักนิด
“คราวที่แล้วผมต้องขอโทษด้วยที่โวยวายใส่คุณ แถมนายไม้ยังพูดไม่ดีอีก”
ผมไม่อยากสนใจแล้ว ไม่อยากนึกถึงด้วย ไม่ต้องมาพูดให้ผมฟังได้ไหม ใจเรียกร้องแต่ก็พูดออกไปไม่ได้
“มีธุระแค่นี้หรือครับ”
ผมถามออกไปเสียงเรียบๆ ผมเห็นอาจารย์หน้าเสียเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ
“งั้นผมขอตัว”
ผมเดินออกมาจากห้องทันที จะว่าเสียมารยาทก็ช่างเถอะ ยังไงผมมันก็เลวอยู่แล้วนิ่
..........................................................
“กลอนรับน้ำตาลมาเลี้ยงหรือ”
ปามโทรหาผมตอนเย็นวันนั้น ผมยิ้มให้ตัวเองที่คิดถูกและเริ่มมองปามเป็น’คนอื่น’มากขึ้นทุกที ปามจะรู้เรื่องจากใครถ้าไม่ใช่จากคุณไม้ที่รู้มาจากอาจารย์อีกที
“ทำไมไม่บอกกันบ้างเลย”
ปามถามอย่างตัดพ้อ
“ก็ไม่คิดว่านายจะอยากรู้”
ปามเงียบไปอึดใจกับคำพูดของผม
“กลอนเป็นอะไรรึเปล่า อารมณ์ไม่ดีเรื่องอะไร”
ปามรู้เสมอเมื่อผมผิดปกติไปไม่ว่าจะทางอารมณ์หรือร่างกาย
“เปล่า มีธุระอื่นอีกไหม พอดีฉันทำงานค้างอยู่น่ะ”
พอผมขอวาง ปามก็ยอมวาง แต่ดูเหมือนยังคาใจอยู่
“พี่กลอนอารมณ์ไม่ดีหรือคะ”
น้ำตาลเองก็ดูรู้สินะ ผมแสดงโจ่งแจ้งมากเลยหรือ
“เปล่าหรอกน่า พรุ่งนี้ไปเที่ยวสวนสัตว์กันไหม”
ผมเปลี่ยนเรื่องและน้ำตาลก็ลืมเรื่องอารมณ์ผมไปทันทีที่ผมชวนไปเที่ยว
.........................................................................
เสียงเคาะประตูห้องแต่เช้าทำเอาผมต้องรีบลุกจากที่นอนทั้งที่ยังงัวเงียเพราะกลัวน้ำตาลจะตื่น ใครกันนะมาแต่เช้าแบบนี้ วันหยุดทั้งทีขอนอนสบายๆหน่อยก็ไม่ได้
“ยังไม่ตื่นหรือ”
ปามนั่นเองที่มาแต่เช้า
“มีอะไรรึเปล่า”
ผมถามทั้งทียังงัวเงีย แต่เห็นท่าทางร้อนรนก็เลยยิ่งไม่เข้าใจ
“ก็กลอนดูโกรธๆ ปามทำอะไรไม่ดีรึเปล่า”
อ้อ มาเพราะเรื่องเมื่อวาน ผมถอนหายใจ ทำไมคนรอบๆผมถึงดูเป็นคนดีนักนะ อย่างงี้ผมก็ยิ่งเลวมากขึ้นน่ะสิ
“ไม่มีอะไรหรอกน่า”
ปามท่าทางไม่เชื่อ ผมเลยตัดสินใจพูดตรงๆดีกว่า
“ฉันไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องของฉัน แต่ดูเหมือนจะมีคนสอดส่องเรื่องของฉันอยู่เรื่อย นายก็รู้ว่าฉันเกลียดพวกแบบนั้น”
ปามดูเหมือนจะเข้าใจ
“แต่...”
ไม่มีคำแก้ตัวหลุดออกมาจากปากปาม ถ้าเป็นปามก่อนหน้านี้จะไม่มายุ่งเรื่องที่ผมไม่บอกแบบนี้ แต่ตอนนี้ปามไม่ใช่คนเดิม ไม่ใช่เพื่อนที่เข้าใจผมที่สุด เพื่อนคนเดียวของผมอีกแล้ว
“ขอโทษนะ”
ปามพูดเบาๆราวกับจะร้องไห้ ผมคงถนัดทำร้ายจิตใจคนอื่นสิ ผมคิดอย่างเบื่อหน่ายตัวเอง
“นายกลับไปเถอะ ขอร้องว่าอย่ามายุ่งกับฉันอีกเลย แค่นี้ฉันก็เกลียดโลกใบนี้มากพออยู่แล้ว”
ปามรับฟังและออกจากบ้านผมไป พอร่างปามลับไปน้ำตาผมก็เริ่มไหลออกมาทันที ปามเป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมมี เป็นคนที่ผมนับเป็นคนในครอบครัว แต่ผมก็ทำให้มันจบสิ้นไป ด้วยตัวผมเอง เพียงเพราะทิฐิและความโกรธงี่เง่า ความน้อยอกน้อยใจต่อโลกและผู้คนรอบข้างของผม ผมรู้...แต่ไม่คิดที่จะแก้ไขมัน
......................................................................
TBC................ กว่าจะโพสได้ กดไปสิบกว่ารอบ