ขอโทษทีจ้า ไม่ได้ตั้งใจให้ค้าง
แต่เมื่อวานเข้าเน็ตไม่ได้ 
------------------------------------Title : จอมไตรซีรี่ส์-คนมืดมนที่หลงรักคุณหมดใจ
Chapter : 2.
.
ผมถูกนำมาโรงพยาบาลในสังกัดของมหาวิทยาลัย ซึ่งค่ารักษาแพงหูฉี่ ถึงแม้ว่านักศึกษาจะสามารถมารับการรักษาที่นี้โดยทางโรงพยาบาลจะคิดค่ารักษาแค่ครึ่งเดียว แต่ก็เป็นครึ่งเดียวที่ผมไม่รู้ว่าจะมีให้ไหม ผมคิดว่าพอจ่ายค่าห้อง ค่าน้ำเกลือวันนี้เสร็จ ผมคงได้กัดก้อนเกลือกินไปอีกนาน
“ใส่ยานอนหลับอ่อนๆให้ด้วยนะครับดูท่าคนไข้จะต้องการพักผ่อนมาก”
อาจารย์ห้องพยาบาลแจ้งกับพยาบาลสาวที่เอาแต่มองคุณไม้ตาไม่กระพริบ ผมไม่แปลกใจหรอก เป็นปฏิกิริยาปกติของสาวๆที่เห็นเป็นประจำ คุณไม้เองก็ไม่ได้สนใจพยาบาลเลยเอาแต่มองอาจารย์ด้วยสายตาอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มน้อยๆที่ริมฝีปาก ทั้งๆที่สองแขนของเขาแนบกระชับอุ้มผมไว้ แต่กลับไม่เคยเหลียวตาลงมาแลผมเลยสักครั้ง ผมปิดตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่ว่ายังไง ผมก็ไม่มีตัวตนในสายตาเขาอยู่ดี
..............................................................
“กลอนไม่เป็นไรนะ”
ปามหรือปารมีเพื่อนสนิทของผมยื่นมือมาแตะที่หน้าผากผมด้วยความเป็นห่วง ผมยิ้มเซียวๆกลับไปให้เป็นการตอบแทน ผมไม่ได้ป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลมาตั้งแต่ครั้งนั้น เมื่อครั้งเรียนอยู่มหาวิทยาลัย พอมานอนที่นี้เลยฝันถึงเรื่องเก่าๆสินะ ทั้งๆที่มันผ่านมาตั้งหลายปี ทั้งๆที่น่าจะลืมเรื่องพวกนี้ไปแล้วแท้ๆ
“ปามมาได้ไง”
ผมถามด้วยความแปลกใจ
“คุณดินบอกน่ะสิ ว่า เพื่อนเธอทำงานจนล้มเจ็บไม่ไปเยี่ยมหน่อยหรือ เชอะ จะบอกกันดีๆก็ไม่ได้” ปามทำเสียงทำท่าเลียนแบบคุณดินหรือคุณวสุธา ประธานบริษัทที่ผมทำงานอยู่ และเป็นพ่อของเด็กๆซึ่งปามเป็นพี่เลี้ยงให้ ดูเหมือนจะไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่ เวลาพูดถึงคนๆนี้ ปามจะทำหน้าบึ้งไม่พอใจเป็นเด็กๆทุกครั้ง
“ว่าแต่ กลอนทำงานมากไปจนไม่สบายอีกแล้วนะ หรือที่นั่นใช้งานกลอนหนัก แบบนี้ต้องไปฟ้องกระทรวงแรงงานนะรู้ไหม อยากจะเห็นหน้านักถ้าบริษัทโดนกระทรวงแรงงานตรวจสอบเป็นข่าวเกรียวกราวจะทำหน้ายังไง”
หลังจากบ่นเรื่องคุณดินจบก็หันมาเล่นงานผมและก็กลับไปเข้าเรื่องคุณดินอีก ผมชักรู้สึกแปลกๆซะแล้วสิ ปกติปามสนใจใครที่ไหน แต่นี้พูดถึงบ่อยๆแบบนี้ ชักยังไงๆซะแล้วมั้ง ยังไม่ทันได้ถามปามก็วกกลับมาบ่นผมอีกครั้ง
“ปามบอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่าหักโหมน่ะ เห็นว่าถึงขนาดเป็นลมในสำนักงานเลยหรือ”
บ่นแบบนี้ประจำที่ผมไม่สบายล่ะครับ ผมชินแล้ว ผมก็แค่ไม่รู้ว่าจะไปไหนทำอะไรเลยทำโอทีมาตั้งแต่ต้นอาทิตย์ เมื่อก่อนปามจะชวนผมไปกินข้าวด้วยกันอาทิตย์ละสองสามครั้ง แล้วผมก็จะไปนอนที่ห้องปาม นั่นคือกิจกรรมเดียวที่ผมทำ แต่พอปามต้องไปเป็นพี่เลี้ยงและต้องนอนที่บ้านท่านประธาน ผมเลยไม่รู้ว่าจะทำอะไร ก็ชีวิตผมมันไม่มีอะไรนิ่ นอกจากปามแล้วผมก็ไม่มีใคร ไม่มีเพื่อนที่ไหนอีก
“แล้วปามมาแบบนี้ไม่เป็นไรหรือ”
ผมถามเพราะนึกเป็นห่วงสถานะทางการงานของเพื่อน ผมจำได้ว่าตอนที่ผมโดนพาไปโรงพยาบาลครั้งนั้น วันถัดมาผมก็โดนให้ออกจากงานทันทีด้วยเหตุผลที่ว่าผมหยุดโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า ตอนนั้นผมนึกโกรธเจ้านายที่เหี้ยมได้ทั้งๆที่ผมไม่สบายจนต้องเข้าโรงพยาบาล ใบรับรองแพทย์ก็มีมาให้ดู ผมโกรธอาจารย์ห้องพยาบาลที่มาใส่ใจผมทั้งๆที่ไม่ต้องจะดีกว่า
ผมโกรธคุณไม้ที่บังคับพาผมไปโรงพยาบาลเพียงเพื่อให้อาจารย์พอใจสบายใจโดยที่ไม่สนใจสักนิดว่าผมจะเต็มใจไหม และผมโกรธตัวเองที่สุดที่ยอมให้เหตุการณ์มันเป็นไปอย่างนั้นเพียงเพราะคิดว่าอยากอยู่ใกล้ๆคนที่ผมชอบมากขึ้นอีกนิด อยากให้ผมมีตัวตนอยู่ในสายตาเขาสักหน่อย ซึ่งความจริงก็คือ...มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ผมเคยอยู่นอกสายตาอย่างไร ก็อย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง.... ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
“เดี๋ยวคุณไม้จะพาเด็กๆมาที่นี้แล้วกลับบ้านพร้อมปามน่ะ แน่ใจนะว่าไม่อยากให้นอนเฝ้า”
ชื่อที่ปามเอ่ยขึ้นทำเอาผมสะดุ้ง ผมรู้ว่าปามเข้าไปทำงานที่นั้นต้องรู้จักคุณไม้อยู่แล้ว ก็คุณไม้เป็นน้องของท่านประธาน น้องคนที่ห้าของครอบครัวจอมไตร ผมไม่อยากเจอเขา ผมรู้ว่ายังลืมเขาไม่ได้ ยังชอบคุณไม้อยู่ ทุกครั้งที่คุณไม้มาที่บริษัทเพื่อมาหาท่านประธาน ผมจะแอบไปยืนมองเพียงเพื่อให้ได้เห็นร่างสูงนั้นสักแวบก็ยังดี และผมจะตั้งใจฟังทุกครั้งที่พวกแม่บ้านซุบซิบเรื่องคุณไม้ ให้พวกสาวๆที่บริษัทฟัง แต่ผมไม่อยากเจอกันซึ่งๆหน้า ไม่อยากรับรู้ความรู้สึกของการถูกเมินอีกครั้ง
“คงไม่ขึ้นมาหรอกนะ”
ปามเอียงคอสงสัยที่ผมโผล่งออกไปอย่างนั้น
“คือ เด็กๆไม่ควรมาใช่ไหมล่ะ แล้วอีกอย่าง ยังไงเขาก็เป็นเจ้านาย”
ผมเฉไฉไปเรื่องอื่น แต่ดูปามไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร เสียงเรียกเข้ามาในโทรศัพท์มือถือ เป็นสัญญาณให้ปามรู้ว่าคุณไม้และเด็กๆมาถึงแล้ว ปามจึงลุกขึ้น ตั้งท่าจะเดินออกไป แต่ไม่วายหันมาสั่งผม
“มากันแล้ว นอนซะนะ พรุ่งนี้จะมาใหม่”
ผมพยักหน้ารับคำสั่งของเพื่อน แต่จะให้นอนตอนสี่โมงกว่าเนี่ยนะ ใครจะหลับลง
พอประตูปิดลงผมก็ลุกขึ้นจากเตียงทันที ปวดหัวอยู่นิดๆแต่คงไม่หนักหนานัก กับการเดินไปสูดอากาศเล่นใสสวน โรงพยาบาลแห่งนี้มีสวนอยู่ที่ดาดฟ้า ซึ่งไม่ค่อยมีคนนักพนักงานทุกคนในบริษัทจอมไตรที่ผมทำงานอยู่สามารถเข้ามารักษาที่นี้ได้ฟรี และผมเคยได้ยินหัวหน้าพูดถึงสวนที่นี้ ว่าสวยมาก ผมเดินออกมาจากห้องยากนิดนึงเพราะต้องลากเสาน้ำเกลือไปด้วย ชั้นดาดฟ้ามีคนอยู่ประปราย ส่วนมากเป็นเด็กๆที่ต้องมาอยู่ยาวที่โรงพยาบาลและพ่อแม่ที่มาเยี่ยม บางคนต้องนั่งรถเข็นแต่ก็ยังยิ้มแย้มชี้ไม้ชี้มือให้พ่อแม่ดูต้นไม้แปลกตา
ผมเดินไปนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้ริมดาดฟ้าที่สุด ทำให้พ่อแม่มักไม่ค่อยพาเด็กๆมาทางนี้ จากตรงนี้ผมมองเห็นเด็กๆที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานและพ่อแม่ที่จับกลุ่มคุยกันราวกับที่นี้เป็นสวนสาธารณะยังไงยังงั้น ประตูลิฟท์เปิดออกอีกครั้งเด็กๆพากันกรูไปทันทีที่เห็นคนในลิฟท์ ส่วนผมได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อ เพราะไม่คิดว่าจะเจอคนๆนี้ที่นี้ แต่ไม่แปลกใจสักนิดที่เห็นอีกคนซึ่งก้าวตามออกมา อาจารย์ห้องพยาบาลกับคุณไม้เดินเคียงคู่กันเข้าไปในกลุ่มเด็กๆ ผมยิ้มเยาะตัวเองบนใบหน้า...... ยิ่งหนีก็ยิ่งเจอ
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะคะ”
เด็กคนหนึ่งเดินเข้ามาเกาะตัวผมแล้วถาม เด็กหญิงตัวเล็กคงอายุไม่เกินสิบขวบ หน้าตาจิ้มลิ้มและดวงตากลมโตนั้นมันคุ้นตาผมจนน่าแปลกใจ ตามตัวเด็กหญิงมีผ้าพันแผลเต็มไปหมด ผมเดาว่าแกคงเจออุบัติเหตุมาแน่ๆ
“ปวดหัวน่ะครับ”
ผมพูดเบาๆส่วนเด็กก็พยักหน้าราวกับเข้าใจ
“หนูก็เคยปวดค่ะ ตรงนี้ เจ็บมากๆเลยล่ะ”
เด็กคนนั้นว่าพลางชี้ไปที่ผ้าพันแผลที่โพกอยู่บนศีรษะ
“ไม่ไปเล่นกับเพื่อนๆหรือ”
ผมถามพลางมองไปยังเด็กๆซึ่งรายล้อมอาจารย์ห้องพยาบาลกับคุณไม้ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอย่างสนุกสนาน
“ไม่เอาหรอก เสียงดัง หนูไม่ชอบเลย”
เด็กหญิงทำปากยื่นแล้วปีนมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวกับผม
“ที่จริงคุณหมอ กับคุณอาคนนั้นก็ใจดีอยู่หรอก”
ผมพอจะจับน้ำเสียงได้ว่าที่จริงเด็กหญิงก็คงอยากไปเล่นกับทั้งสองคนแต่เพราะมีคนห้อมล้อมอยู่เยอะเลยไม่เข้าไป
“พ่อกับแม่หนูล่ะ”
“ไม่อยู่หรอก”
เด็กหญิงก้มหน้าก้มตาตอบ
“งั้นไปห้องพักน้าไหมครับ เดี๋ยวเลี้ยงน้ำผลไม้นะ”
มาคิดดูเหมือนประโยคล่อลวงเด็กเลยเนอะ แต่เด็กหญิงก็ยอมมากับผมจริงๆ
ผมไม่ได้รู้สึกหรือคิดไปเองแน่ๆ ผมรู้สึกได้ว่าพยาบาลและหมอที่เดินผ่านไปมากำลังมองพวกผมอยู่ เราสองคนเดินไปเลือกน้ำผลไม้กับขนมที่ร้านสหกรณ์โรงพยาบาล และตลอดทางผมรู้สึกได้ถึงสายตาเหล่านั้น เขามองกันทำไม ผมแต่งตัวไม่เรียบร้อยหรือ ก็ไม่ แล้วมองทำไม?
เด็กหญิงแนะนำตัวว่าเธอชื่อน้ำตาล และคุยจ้อไม่หยุดปาก พอมาถึงห้องพักผมเธอก็ดีใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นหนังสือที่ปามเอามาไว้ให้ผมอ่าน
“หนูชอบอ่านหนังสือ ขอยืมได้ไหมคะ”
ผมยินดีให้เธอยืมอยู่แล้ว ไม่นานก็มีพยาบาลเข้ามาเคาะห้อง
“น้องน้ำตาล กลับห้องได้แล้วค่ะ”
น้ำตาลหันมามองหน้าผม
“ไปส่งน้ำตาลได้ไหมคะ”
ผมพยักหน้าและลุกขึ้นใส่รองเท้าเพื่อไปส่งเด็กหญิง ดูน้ำตาลจะดีใจมาก ตลอดทางเธอจูงมือผมไม่ยอมปล่อย และเมื่อมาถึงที่น้ำตาลก็กำชับว่าพรุ่งนี้ตื่นแล้วต้องมาหาเธอด้วย ผมก็รับคำก่อนเดินกลับออกมา
“รู้จักแกมาก่อนหรือคะ” พยาบาลที่มาตามน้ำตาลถามผม“เปล่าครับ เจอกันบนสวนเมื่อเย็น”
ผมตอบและพยาบาลก็ทำท่าตกใจ จนผมอดสงสัยไม่ได้ ก็ไหนจะสายตาคนอื่นๆที่มองอีกเล่า
“แกไม่พูดไม่คุยกับใครเลยนะคะตั้งแต่เกิดเรื่อง ก็อุบัติเหตุน่ะคะ พ่อแม่แกตายในที่เกิดเหตุ เหลือแกรอดมาคนเดียว นี่ก็อยู่โรงพยาบาลมาเดือนกว่าแล้ว ใกล้จะต้องออกแล้วล่ะคะ แกคงต้องไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพราะไม่มีญาติรับเลี้ยงดู นี่ดีที่พ่อแม่ทำประกันกับโรงพยาบาลนี้นะคะ ไม่งั้นไม่รู้ป่านนี้แกต้องไปอยู่ที่ไหน”
ผมรับฟังมาด้วยใจห่อเหี่ยว สภาพของน้ำตาลไม่ต่างจากผมตอนเด็กเลย ไม่มีญาติที่ไหนรับไปดูแล ต้องไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แกอาจจะมองเห็นบางอย่างเลยเข้ามาคุยกับผมก็เป็นได้
.............................................................
วันถัดมาผมไปหาน้ำตาลแต่เช้าทันทีที่ผมตื่น พอไปถึงผมก็เริ่มคิดว่าตัวเองมาผิดเวลาซะแล้ว ผมมาถึงเวลาที่หมอเวรต้องเดินตรวจพอดี และก็เลยเจอเข้าอย่างจังกับอาจารย์ห้องพยาบาลที่ปัจจุบันมาเป็นคุณหมอแผนกเด็กให้กับโรงพยาบาลแห่งนี้
“พี่กลอน”
น้ำตาลที่ทำหน้าเฉยชาเผยรอยยิ้มขึ้นมาทันทีที่เห็นผม คุณหมอและนางพยาบาลเลยหันมามองตาม
“มารับน้ำตาลไปเล่นใช่ไหมค่ะ”
วันนี้เปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวว่าน้ำตาลกับพี่กลอนเสร็จสรรพ เมื่อวานยังเรียกคุณกับหนูอยู่เลย
“คุณนี่เองที่เขาลือกัน”อาจารย์ห้องพยาบาลที่ท่าทางจะจำผมไม่ได้พูดแล้วยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ผม ตอนมหาวิทยาลัยตั้งแต่วันที่ผมเข้าโรงพยาบาลผมก็ไม่เคยได้เข้าไปที่ห้องพยาบาลอีกเลย ผมมองดูคุณไม้อยู่ห่างๆ แต่หลีกเลี่ยงที่จะมองเมื่อเขาอยู่กับอาจารย์คนนี้
“ไปกันคะ”
น้ำตาลลงจากเตียงแล้วจูงมือผมเดินออกมา
แกมานั่งที่ห้องผม อ่านหนังสือไปเงียบๆ จนปามมา แกก็ทักทายพูดคุยปกติ แถมยังชมไม่ขาดปากเรื่องขนมที่ปามเอามา ผมยังไม่เห็นว่าน้ำตาลจะเป็นเด็กเงียบเหงาอย่างที่พยาบาลเล่าให้ฟังสักนิด
“ปามว่าน้ำตาลนี่คล้ายกลอนเลยนะ”
ปามที่ยกผ้าห่มไปห่มให้น้ำตาลซึ่งหลับไปแล้วพูดขึ้นเบาๆเหมือนรำพึงซะมากกว่า ผมยิ้มเพราะไม่เห็นว่าจะคล้าย ผมลุกขึ้นเดินไปหยิบหนังสือที่น้ำตาลยืมไปเมื่อวานซึ่งผมยังไม่ได้อ่านมาเปิด พอเปิดหน้าแรกรูปใบหนึ่งก็ตกลงมา มีน้ำตาลยืนอยู่ตรงกลางระหว่างชายหญิงสองคน ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่าเป็นพ่อแม่ของน้ำตาลแน่ๆ แต่ผมคงไม่สะดุดใจนัก หากใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นจะไม่คล้ายกับผมมากขนาดนี้
“ใครน่ะ เหมือนกลอนเลย”
ปามที่ยื่นหน้ามาดูชี้มือลงบนรูป ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมน้ำตาลถึงได้เอ่ยทักผม คงเพราะผมหน้าเหมือนแม่แก ผมเองรู้จักคนที่หน้าเหมือนผมมากขนาดนี้อยู่คนเดียว หนึ่งในลูกพี่ลูกน้องของผม.. พี่กวาง ...พอนึกได้ว่าเป็นญาติ ความรู้สึกเกลียดชังก็เข้าครอบงำ ผมปรายตามองเด็กที่ยังนอนหลับไหลด้วยความรังเกียจ ปามเองพอเห็นแบบนั้นก็แตะบ่าเป็นเชิงให้ใจเย็น ผมยกโทรศัพท์ไปที่หน้าเคาเตอร์ให้พยาบาลมาพาน้ำตาลกลับไปทันที จะว่าผมใจดำก็ช่าง ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น คำว่าเกลียดผุดขึ้นมาในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างชัดเจน ญาติผม ญาติที่ทอดทิ้งให้ผมต้องอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ญาติที่ยึดทรัพย์สินทุกอย่างของผมไป ต้นเหตุแห่งความเลวร้ายทุกอย่างในชีวิตผม
.......................................................
วันถัดมาผมเริ่มเก็บของออกจากโรงพยาบาล เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยอาจารย์ห้องพยาบาลที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางไม่สบายใจ
“คุณจะออกแล้วหรือครับ”
ผมไม่มีอารมณ์ปั้นหน้ายิ้มเลยพยักหน้าลวกๆไม่หันไปมองไปสนใจว่ามีอีกคนเดินตามเข้ามา
“ไม่แวะไปหาน้ำตาลหน่อยหรือครับ”
ผมไม่ตอบและจัดของไปเงียบๆ
“แกดูแย่มากเลยนะครับหลังจากที่คุณปฏิเสธไม่ให้แกมาหาเมื่อวาน”
พร่ำพูดเข้าไป เอาเลย ใช่สิผมมันใจร้าย ผมมันเลว อยากจะตอกย้ำเท่าไหร่ก็เอา ผมยังใช้ความเงียบเข้าสยบ เสียงอาจารย์เงียบไปแล้ว แต่ผมรู้ว่าเขายังอยู่ตรงนั้น
“ช่างเถอะ อย่าไปสนใจคนแบบนี้เลย”เสียงที่ดังขึ้นไม่ใช่เสียงอาจารย์ แต่เป็นเสียงคุ้นหู ที่ถึงไม่ได้ยินมานานผมก็ยังจำได้ทันทีที่ได้ยิน ...คุณไม้ คนที่ผมรักมาตลอด น้ำเสียงเย็นชายิ่งกว่าครั้งไหนๆที่เคยได้ยิน ผมหันไปมองและเจอสายตาที่ทำเอาเย็นเยือกไปถึงขั้วหัวใจได้เลยทีเดียว เขามองผมอย่างเป็นอริไม่ปิดบัง ผมเองรู้สึกหน้าชา แต่ก็ยังทิฐิมองตอบไปให้ได้แบบเดียวกัน แต่ไม่รู้ว่ามันจะออกมาเป็นแบบนั้นไหม
ผมพยายามออกเดินด้วยก้าวที่มั่นคง ผ่านสองคนนั้นมาด้วยใจรวดร้าว ไม่ใช่แค่ไม่สนใจผมเท่านั้น ท่าทางคุณไม้จะเกลียดผมด้วยสินะ เอาเลย ไหนๆก็เจ็บแล้ว ก็ขอเจ็บจนถึงที่สุดเลยแล้วกัน
..........................................................
TBC..........