ไปต่อกันเถอะคร้าบบบบ อิอิ
เร็วๆนี้ทั้งคู่จะได้รู้ใจกันแล้ว อยากรู้ว่าคุณหลวงจะบอกรักเส็งอย่างไร ต้องติดตามนะครับ : ]
*********************************************************************************************************
๑๑
ผ้าแพรสีขาวนวลเลื่อนออกจากใบหน้าของเส็ง แสงสีทองของรุ่งอรุณฉายลงบนดวงหน้าเรียบเนียนนุ่มของบ่าวหนุ่ม ทำเอาหนุ่มน้อยที่นอนหลับอยู่บนตั่งต้องหยีตา แล้วยกมือขึ้นป้องด้วยความที่ยังไม่อยากจะลุกขึ้นจากตั่งที่นอนอยู่นั้น แต่เมื่อแสงยิ่งจ้า และหนุ่มน้อยรู้สึกตัวมากขึ้น เขาก็ต้องลุกนั่งหย่อนเท้า พลางคิดทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วตัวเขาอยู่ที่ไหนกันแน่ ใช้เวลาไม่ได้นานก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองมานอนค้างที่บนตึกไม่ได้กลับไปนอนที่เรือนบ่าว จึงรีบลุกจากตั่ง พับผ้าที่ห่มร่างของเขาไว้ทั้งคืน
แล้วผ้านี้มาจากไหนเล่า
เส็งปรับสมองให้ตื่นแล้วก็จำได้ว่า ผ้าผืนนี้เป็นผ้าที่คุณหลวงใช้ห่มทุกคืน เหตุใดคืนนี้จึงมาอยู่บนตัวของเขาเล่า... ถ้าไม่ใช่หลวงพินิจเดินมาคลุมให้ ผ้าผืนนี้จะลอยมาเองได้หรือ เลือดสูบฉีดขึ้นหน้าของหนุ่มน้อย จนแดงก่ำไปหมด คำพูดของหลวงพินิจยังคงก้องอยู่ในหู “ข้าคิดว่าคนที่ข้ารักคงพอรู้ตัวอยู่บ้าง หากแต่เขาคงไม่มั่นใจ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ถาม”
“คุณหลวงพูดประโยคนี้หลังจากเส็งถามว่าคุณหลวงรักใคร เป็นไปได้หรือไม่ขอรับว่า คนที่คุณหลวงพูดถึง จะเป็นอ้ายเส็งคนนี้เอง” หนุ่มน้อยรำพึงออกมาเป็นคำพูด เบาๆ หากแต่เปี่ยมด้วยอารมณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นพร้อมกันในเวลาเดียว
บ่าวหนุ่มสลัดความคิดออกไปจากหัว ก่อนจะพับผ้าไปวางบนเตียงของหลวงพินิจ แล้วรีบเดินลงบันไดไปชั้นล่างทันที
เพราะเป็นเวลาเช้าแล้ว บ่าวไพร่จึงเดินจัดของตรงนั้นตรงนี้ เก็บกวาดในบริเวณเรือนเทากันอยู่หลายคน พอเส็งเดินลงมาจากตึก หลายคนก็มองด้วยความสนใจใคร่รู้ หลายคนเห็นก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองหน้ากันเอง พากันซุบซิบอย่างไม่เกรงใจ จนเส็ง ร้อนๆหนาวๆ รีบไปจากตรงนั้น
เดินตัดสนามหญ้า มามองที่ศาลาก็ไม่เห็นคุณหลวง นึกขึ้นได้ว่า เช้านี้หลวงพินิจราชอักษรจะต้องเดินทางไปทำธุระที่บางรัก อาจจะกลับมาสายๆกระมัง หรือไม่อย่างนั้นก็คงหลังเที่ยงไปแล้ว หนุ่มน้อยเดินขึ้นเรือนบ่าวอย่างไม่รู้จะทำอะไรก็เห็นแก้ว นั่งร้อยมาลัยอยู่ที่นอนชาน
ทันทีที่เห็นหน้าเส็งหล่อนก็ลุกขึ้นยืน
“เมื่อวานหลังจากที่ท่านเจ้าคุณ และคุณหญิงกลับไปแล้ว เอ็งไปอยู่ไหนมาหรืออ้ายเจ๊ก” หล่อนตวาดแหว พร้อมกันนั้นเอง ยายนอมก็ตะโกนขึ้นมาจากข้างล่าง
“มันกลับมาแล้วหรือแก้ว ดีละได้คุยให้รู้เรื่องไป”
หญิงร่างใหญ่เดินขึ้นมาลงเรือน ปราดตามองหนุ่มน้อยแล้วก็ค้อนปะหลับปะเหลือก ราวกับหญิงสาวงอนชายหนุ่มอย่างไรอย่างนั้น
“เมื่อคืนเอ็งหายไปไหนมาทั้งคืน”
เส็งหลบตายายนอม ไม่รู้จะตอบอย่างไรได้ อันที่จริงหากเขาบริสุทธิ์ใจละก็ บอกเพียงว่าคุณหลวงให้อยู่เป็นเพื่อนบนเรือนเทา เท่านั้นก็คงได้ ใครๆก็คงไม่คิดอะไร แต่เมื่อเส็งรู้สึกพิเศษเกินเลยกับคุณหลวง จึงอดกลัวไม่ได้ว่าหากตอบหน้าตาเฉยอย่างนั้น จะทำให้ใครยิ่งคิดว่า เขารู้สึกอะไรพิเศษกับหลวงพินิจ และจะมีใคร คิดอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของบ่าวและนายคู่นี้ จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือไม่
“ไม่ได้ไปไหนนี่จ๊ะ ฉัน...” เส็งนึกคำแก้ตัวไม่ทัน แก้วก็แทรกขึ้นมาก่อน
“จะไม่ได้ไปไหน ได้อย่างไร เอ็งไม่ได้ตามข้าออกมาตอนที่ เจ้าคุณให้ออก เอ็งไปเสนอหน้าอยู่กับคุณหลวงละซี” เพราะเสียงดังของแก้วแท้ๆ มั่นที่อยู่หลังเรือนบ่าวจึงได้ยินว่ามีเรืองวิวาทกัน บ่าวหนุ่มร่างกำยำจึงเดินออกตัวเรือนขึ้นมายืนข้างเส็ง
“พูดเรื่องอะไรกัน”
“อ้ายเส็งมันไม่ได้กลับมานอนที่เรือนบ่าวเมื่อคืน” ยายนอมว่า “หนีเที่ยวหรืออย่างไรก็ไม่สารภาพ หากคุณหลวงรู้เข้าเอ็งจะโดนโบยหลังลายอ้ายมั่น ที่ไม่ดูแลบ่าวผู้ชายด้วยกัน ตามีก็จะโดนเสียอีกคน”
เส็งยังคงไม่กล้าตอบ หากแต่มั่นคว้าแขนเล็กๆของเขาไว้แล้วบีบเบาๆ
“บอกไปเถิดเส็ง ว่าเกิดอะไรขึ้นได้แก้ปัญหากันได้ถูก”
บ่าวหนุ่มจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้นเบาๆ แม้เรื่องที่พูดจะเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดแต่ด้วยท่าทางและน้ำเสียงทำให้เรื่องธรรมดาที่สุดนี้ ฟังเป็นเรื่องที่ร้ายแรงที่สุดได้ทีเดียว “เมื่อคืน ฉันนอนที่เรือนเทาจ้ะพี่มั่น”
ราวฟ้าผ่าลงกลางใจของแก้ว หล่อนยกมือขึ้นกุมอก แม้ผู้อื่นไม่รู้สึกผิดแปลกกับคำพูดของเส็ง เพราะดูเป็นเรื่องธรรมดาหากจะมีบ่าวไพร่ไปนอนเฝ้ายามหลวงพินิจราชอักษรป่วย หรือ ไม่สบายใจ เทิดเองก็ทำอยู่บ่อยๆ แต่สำหรับแก้ว กิริยาบิดเบือนไม่กล้าพูดความจริงของเส็งนี้แหละ เป็นหลักฐานอย่างดีที่จะชี้บอกให้คนอื่นเห็นกันโต้งๆว่า เส็งได้ไปทำอะไรผิดมา และหากการที่เส็งไปนอนที่เรือนเทา แล้วแสดงออกว่ารู้สึกผิดละก็ สิ่งเดียวที่แก้วพอนึกได้คือ อ้ายเส็งคงทำวิปริต ผิดเพศกับหลวงพินิจมาอย่างแน่นอน
“อ้ายเจ๊ก เอ็งทำได้ถึงเพียงนี้เทียวหรือ” แก้วโพล่งออกมาในที่สุด “ข้าไม่นึกเลยว่าเอ็งเป็นพวกวิปริตได้เพียงนี้”
“วิปริตอะไรแม่แก้ว เส็งขึ้นไปนอนกับคุณหลวงที่เรือนก็คงเป็นเพราะคุณหลวงอนุญาต” มั่นรีบเถียงแทนเส็ง “จะคิดอกุศลเหมือนเอ็ง ข้าว่าไม่น่าใช่”
“พี่มั่นอย่ามาให้ท้ายมันหน่อยเลย” แก้วว่า “ตั้งแต่วันแรกที่ทำกระถางแตก อ้ายนี่ก็คงให้ท่าจนคุณหลวงต้องทำแผลให้ มันยังเสนอหน้าทำกับข้าวไปเอาใจอีกทุกวัน แล้วตอนค่ำก็หายไปในบ้านกันสองคน จนมาเมื่อคืนก็ไม่กลับมานอนที่เรือนบ่าว แต่ค้างที่เรือนเทา จะให้ฉันคิดอย่างไร”
เสียงเงียบ บ่าวไพร่คนอื่นไม่กล้าแม้แต่จะพูดออกความเห็นกันเอง
“ข้าทนรับเรื่องแบบนี้ไม่ไหว เอ็งจะแข่งกับข้าใช่ไหม คิดจะแย่งคุณหลวงไปจากข้าใช่ไหม อ้ายเจ๊ก”
“พี่แก้ว ฉันไม่ได้ทำอะไรอย่างที่พี่แก้วคิด” เส็งเถียงเป็นคำแรก หากแต่น้ำเสียงโกรธจัด จนสั่นสะท้านไปหมด บ่าวหนุ่มกำมือแน่น สะกดใจไม่ให้ทำอะไรรุนแรงมากไปกว่านี้
“แล้วพวกบัณเฑาะก์อย่างเอ็งทำกันแบบไหนเล่า ข้าคิดไปได้ไม่ถึงดอก” แก้วตะเบ็งสุดเสียงด้วยความโกรธที่เส็งบังอาจมาเถียงหล่อน เสียงนั้นดังลั่นเรือนจนบ่าวไพร่ไม่เป็นอันทำอะไร ได้แต่นั่งฟังอย่างไม่กล้ามองตรงๆเพราะความกลัวอารมณ์โกรธของแก้วเป็นที่รู้กันว่า รุนแรงกว่าพายุพัดเสียอีก
“พี่แก้ว” เส็งพูดทั้งน้ำตา เสียงสั่นคลออย่างห้ามไม่ได้อีก “พี่แก้วพูดถึงอย่างนี้ได้อย่างไร ฉันไม่ได้คิด ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง คุณหลวงใช้ฉัน ฉันก็ต้องทำตาม จะให้ขัดคำสั่งได้อย่างไร ฉันนั่งอยู่เป็นเพื่อนคุณหลวง พอดึกแล้วก็นอนเฝ้าอยู่หน้าห้อง ไม่ได้ทำอะไรวิปริตอย่างนั้น ไม่รู้ว่าคนที่คิดเรื่องนี้ได้อย่างพี่แก้วจะเป็นฝ่ายวิปริตเองหรือเปล่า”
น้ำตาไหลเป็นทาง อาบแก้มขาวเนียน แต่เส็งก็ทำอะไรไม่ได้ไปกว่านั้น เขาไม่ทำร้ายผู้หญิง แม้คำว่า บัณเฑาะก์ จะฟังดูร้ายแรง เป็นการสบประมาทเขาเพียงใดแต่เส็งก็ทำอะไรไม่ได้นอกจาก ยืนกำมือแน่น ใช้เพียงคำพูดเท่านั้นที่ทำร้ายแก้วได้
ฝ่ายผู้ฟังหน้าซีดไม่คิดว่าใครจะกล้าต่อปากด้วย
“เอ็งพูดถึงเพียงนี้ ไม่คิดถึงข้าวแดงแกงร้อน ไม่คิดถึงบุญคุณบ้างเลยหรือ” แก้วตวาดกลับ
“พี่แก้วเสียมากกว่าที่ไม่คิดถึงบุญคุณคุณหลวง เธอเลี้ยงพี่มาดีแค่ไหนพี่กลับคิดอกุศลกับเธอแบบนี้ ใครกันแน่ควรถูกเรียกว่าอกตัญญู”
ราวกับถูกตบหน้าไม่ปาน แก้วยืนหน้าชาทำอะไรไม่ถูก ส่วนเส็ง เสียใจก็เสียใจอยู่ แต่แค้นก็แค้นกว่าหลายเท่า จะให้ทนยืนฟังร้องไห้เป็นผู้หญิงนั้นเขาทำไม่ได้ หนุ่มน้อยปาดน้ำตาแล้วเดินเข้าหอนอน ไม่กลับออกมาอีก
เสียงจากนอกหอนอนยังคงดังอยู่เป็นระยะ แม้เส็งจะนอนคว่ำหน้าเอาหมอนปิดหน้าอย่างไรก็ยังได้ยินเสียงแก้วและมั่นเถียงกันอยู่ไม่จบ
“เอ็งพูดอย่างนั้นก็เกินไปแม่แก้ว ถูกอย่างเส็งว่า คุณหลวงมีบุญคุณกับเอ็งมาก เอ็งด่าเส็งก็เหมือนด่าคุณหลวงไปด้วย พูดได้อย่างไรว่าเส็งทำวิปริตกับคุณหลวง”
“ฉันพูดหรือพี่มั่น ฉันไม่ได้พูดว่าคุณหลวงสักคำ ฉันว่าอ้ายเส็ง อ้ายคนนี้มันคิดไม่ซื่อไม่อย่างนั้นมันจะอิดออดไม่ยอมบอกความจริงกับเราหรือ”
“เอ็งไม่ได้เห็นกับตาเอ็งจะรู้ได้อย่างไรว่าเส็งมันทำอะไร”
“พี่มั่นก็ไม่ได้เห็นเหมือนกันไม่ใช่หรือว่ามันไม่ทำอะไร” แก้วว่า เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ “พี่มั่นไม่เคยเห็นแววตาที่มันมองคุณหลวง ฉันละขนลุกทุกครั้งไป อ้ายนี่มันเป็นบัณเฑาะก์ มันคิดจะแย่งคุณหลวง”
“ข้าไม่เชื่อว่าเส็งมันจะเป็นอย่างนั้น หรือว่ามันจะแย่งคุณหลวงเอาอะไรกับเอ็ง อย่าเอาคุณหลวงมาเกี่ยว อย่าคิดไปเองเลยแม่แก้วว่าตัวเป็นคนโปรดของคุณหลวงอะไรนั่น จะเป็นทุกข์เสียเองเปล่า” คราวนี้แก้วไม่เถียงแว้ดขึ้นอย่างที่เคยทำ “บางครั้งก็อาจมีคนธรรมดาๆ อยู่ใกล้ๆเอ็งที่เขารักและเป็นห่วงเอ็งมากกว่าที่เอ็งรู้สึกกับคุณหลวงก็ได้”
แล้วก็เงียบ แก้วคงนั่งลงร้อยมาลัยเหมือนเดิม มั่นก็คงลงไปทำสวนเหมือนเดิม ทิ้งเส็งไว้ในความเงียบคนเดียว
“บัณเฑาะก์” เป็นคำที่เจ็บปวด ใครๆก็รู้ว่าเป็นคำเรียกชายผิดเพศที่รักใคร่ในชายด้วยกัน พอๆกับที่ผู้หญิงเล่นเพื่อนนั่นแหละ แต่บัณเฑาะก์ถือเป็นคำรุนแรง ถือเป็นคำด่าที่แสบร้อน และเป็นการสบประมาทอย่างรุนแรง ในสมัยเส็งการ “เล่นเพื่อน” หรือ “เล่นผีผ้าห่ม” ของผู้หญิงมีให้ได้ยินกันบ่อยแล้วแต่ดูเหมือนเป็นเรื่องซุบซิบนินทาให้สนุกปากมากกว่า แต่ถ้าจะพูดว่าใครสักคนเป็น “บัณเฑาะก์” นั้นจะถือเป็นเรื่องน่าอับอายอย่างมาก แม้ในพระไตรปิฎกก็ได้บันทึกพฤติกรรมของชายรักชายไว้แต่โบราณกาล ว่าห้ามบวชในพระพุทธศาสนาเลยด้วย
จริงอยู่สิ่งที่แก้วพูดเป็นความจริงแม้มันยังไม่เกิดขึ้น เส็งรักหลวงพินิจ แม้อีกฝ่ายจะมีใจให้เขาหรือไม่ก็ตามแต่เส็งแน่ใจว่า ตนไม่ได้คิดกับคุณหลวงเหมือนบ่าวพึงคิดจงรักภักดีกับนาย แต่ไม่ถึงกับคิดยกตนขึ้นเทียบคุณหลวง อยากเป็นนายเหมือนที่แก้วคิด
กระนั้นก็ยังเจ็บปวด ขนาดพวกบ่าวรู้ยังเป็นอย่างนี้ หากหลวงพินิจรู้แล้วเผอิญเขาไม่มีใจคิดแบบเดียวกับเส็งด้วย บ่าวหนุ่มจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน มิต้องถูกไล่ออกจากบ้านนี้หรือ