ฮึบๆๆๆ มาแล้วค่ะ เอาตอนต่อไปมาส่งแล้วนะคะ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาให้กำลังใจค่ะ

ดีใจๆ มีคนมาอ่าน โฮะๆๆๆๆ
เอาล่ะ...ไม่พูดมากค่ะ เชิญมาอ่านกันเลยดีกว่า
(ใครอยากรู้เรื่องความหมายของเพลงจากเอดู รอตอนหน้านะคะ รู้พร้อมๆอิสมันเนอะ)
...............................
บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: maçã verde
“maçã verde......แอ็ปเปิ้ลเขียวอีกแล้วเหรอ?”ผมหันไปมองหน้าไอ้คนถามที่ยื่นเข้ามาใกล้เหมือนกับจะขอชิมแอ็ปเปิ้ลในมือ
แล้วก็บุ้ยปากไปทางแอ็ปเปิ้ลเขียวที่ผมหยิบมาจากบ้านทุกวันมาเกือบสองสัปดาห์แล้ว
“อาฮะ มาซา เวอห์ดิ ทำไม จะกินด้วยเหรอ?”
ระหว่างคาบเรียนที่สองและคาบเรียนที่สามเราจะมีเวลาพักประมาณสิบนาที ตอนนั้นแหละที่จะเป็นเวลาให้เราได้จับกลุ่มคุยกัน
ไม่ก็เป็นเวลาให้คนที่มักตื่นสาย.....เช่นผมเป็นต้น เติมอาหารใส่กระเพาะที่ว่างเปล่า
ที่บ้าน แม่จะเป็นคนตื่นก่อน แล้วลุกมาเตรียมอาหารไว้ให้สมาชิกในครอบครัวทุกคน อาหารง่ายๆอย่างขนมปังฝรั่งเศสที่ซื้อไว้ตั้งแต่ตอนเย็นของวันก่อน และอุปกรณ์ที่คุณจะโปะเข้าไปกับขนมปังได้ ทั้งแยม เนย เนยแข็ง หรือแม้แต่ซาลามี่ แม่ก็จะเอามากองๆไว้กลางโต๊ะอาหารข้างๆตะกร้าใส่ผลไม้ที่จะมีผลไม้ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นแอ๊ปเปิ้ลหลากสี ส้มเปลือกหนา เสาวรส และพวกถั่วเปลือกแข็งชนิดต่างๆ
สิ่งที่แม่จะต้องลงมือทำจริงๆมีแค่อย่างเดียวคือการชงกาแฟ กาแฟดำใส่น้ำตาลจนหวานจัดที่มาจากไร่ของเราเอง แม้ว่านี่จะยังไม่ถึงฤดูเก็บเกี่ยวผลกาแฟก็ตาม
ครอบครัวที่นี่ของผมมีพ่อเป็นคนเดียวที่หารายได้ โดยทำงานประจำเป็นอัยการและงานพิเศษคือเป็นชาวไร่ ส่วนแม่ก็ทำหน้าที่แม่บ้านเต็มตัว ส่วนงานบ้านจริงๆน่ะจ้างให้แม่บ้านรับจ้างมาทำเฉพาะตอนกลางวัน ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์
สุดสัปดาห์เราจะออกไปค้างที่บ้านในไร่กันตั้งแต่คืนวันศุกร์ แล้วกลับเข้าเมืองบ่ายๆวันอาทิตย์เพื่อเตรียมตัวไปโบสถ์ โบสถ์ประจำเมืองที่ทั้งใหญ่โตและสวยงาม ภายนอกทาด้วยสีเหลืองไข่ไก่อ่อนๆ ประดับด้วยกระจกสี ยอดหลังคาที่แหลมชี้ขึ้นไปบนฟ้าเป็นกระเบื้องเก่าสีน้ำตาลเข็ม ภายในจุคนได้มากกว่าสามร้อยแบบไม่แออัด ให้ความรู้สึกที่ทั้งอบอุ่นและสงบด้วยไฟสีนวลตาจากโคมระย้าขนาดใหญ่
ฮ่าๆๆๆ อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ ผมไม่ได้กำลังจะพาทุกท่านทัศนศึกษาด้านศาสนาแต่อย่างใด ประเด็นที่ผมจะบอกน่ะ มันอยู่ที่การที่ผมติดไปกับปะไป๊...ต่อไปนี้ผมจะเรียกพ่อว่าปะไป๊ และเรียกแม่ว่ามะเม้ยนะครับ
อืม....ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การไปโบสถ์ แต่การติดไปไร่กับปะไป๊ด้วยทุกสุดสัปดาห์ทำให้สองเดือนแรกผมไม่เคยได้ไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆ ทั้งเพื่อนที่โรงเรียน ทั้งเพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนจากนิวซีแลนด์ที่ขยันมาชวนกันเหลือเกินเลยสักครั้ง
“maçã verde......แอ็ปเปิ้ลเขียวอีกแล้วเหรอ?”
“อาฮะ มาซา เวอห์ดิ ทำไม จะกินด้วยเหรอ?”ผมหันไปหาแล้วส่งคำถามกลับไปให้ไอ้คนหน้าหนาที่ยื่นหน้าเข้ามาเสียใกล้จนรู้สึกได้ถึงละไออุ่นๆและกลิ่นสะอาดๆสดชื่นของมิ้นต์
“gosto?”
“sim” ซิง...ใช่สิ ถามมาได้ว่าชอบมั้ย ถ้าไม่ชอบคงไม่กินได้แทบทุกวันอย่างนี้หรอก ถามอะไรไม่คิด
ผมเริ่มกัดแอ๊ปเปิ้ลในมือหลังจากเช็ดๆถูๆกับกางเกงยีนส์เน่าๆของตัวเองพอเป็นพิธี มีไอ้คนข้างๆนั่งอมยิ้มแก้มพองส่ายหัวไปมาเหมือนระอาเต็มทน
นั่งกินไปได้สักพักฟลาวิอา เพื่อนผู้หญิงที่ผมเห็นว่าน่ารักตั้งแต่วันแรกก็เดินเข้ามาหา
“อิส เสาร์นี้ไปปาร์ตี้กันนะ”
อา....สาวสวยมาชวน อยากไปก็อยากไป แต่ผมก็ชอบเวลาได้ไปบ้านไร่
ชอบอิตรงตื่นแต่มืดมาช่วยปะไป๊รีดนมวัวนี่แหละ สนุกจะตาย พวกลูกวัวก็น่ารักพอเปิดคอกให้ก็วิ่งตามออกมาเป็นพรวน
“ตกลง”
ไม่ใช่เสียงผมหรอกครับ ขณะกำลังสองจิตสองใจ ไอ้ติวเตอร์ประจำตัวมันก็ตอบแทนไปแล้ว
พอผมหันไปมองหน้ามันจะเอาเรื่อง ไอ้เอดูมันก็ทำเป็นไม่สนใจ แถมยังเอื้อมมือมาปิดปากผมที่กำลังจะอ้าออกส่งเสียงประท้วงอีก
“เดี๋ยวจะเป็นคนไปรับไปส่งอิสเอง”
นั่นดูมันนะ ยังไม่ได้ขอเลยมันอาสาเรียบร้อย ผมเห็นฟลายิ้มขำกับท่าทางของเราสองคนก่อนจะเดินออกไปนอกห้องเรียน
แล้วจนฟลาเดินออกไปแล้วไอ้เอดูบ้ามันยังไม่ยอมเลิกแกล้งผมเลย จนผมต้องวางแอ๊ปเปิ้ลอีกเกือบครึ่งลูกลงบนหน้าปกสมุดจดบนโต๊ะ แล้วออกแรงทั้งสองมือง้างมือใหญ่ๆของมันออกจากปาก ก่อนจะหันไปชี้หน้าขู่อาฆาตมันอีกรอบ มันยังหน้าด้านหน้าทนไม่รู้สำนึก หัวเราะร่วนออกมาอีก
ที่แย่ยิ่งกว่านั้นไอ้บ้าเอดูยังทำหน้าตากวนตีนใส่ผม ทำเป็นยกมือที่ปิดปากผมอยู่เมื่อกี้มาแตะๆที่จมูกตัวเองซ้ำๆทำหน้าเหมือนเพิ่งจะบรรลุสัจจธรรมอะไรสักอย่าง ตอนแรกผมก็งงว่ามันทำบ้าอะไรของมัน จนมันพูดออกมา
“smell good”“ฮะ!!? อะ......bobo”
ก็ดูไอ้บ้านี่สิ ทีพอจะแกล้งขึ้นมากลับพูดภาษาอังกฤษออกมาได้หน้าตาเฉย
แถมพูดเสร็จก็เดินหนีไปนั่งที่ เพราะอาจารย์วิชาต่อไปเดินเข้ามาพอทีได้ถูกคิวเหลือเกินด้วยนะ
ทิ้งให้ผมได้แต่อุบอิบด่าตามหลังมันไปเบาๆอยู่คนเดียว....ไอ้บ้า ไอ้หน้าด้าน ไอ้สติวปิ้ดโบโบะ
สรุปเย็นนั้นผมเลยต้องไปขออนุญาตปะไป๊ว่าสุดสัปดาห์นี้ไม่ไปไร่ด้วย เพราะจะไปปาร์ตี้กับเพื่อนที่เรียนด้วยกัน เป็นการขออนุญาตที่ใช้เวลาอธิบายนานมากเพราะคุยกันไม่รู้เรื่อง โปรตุกีสผสมภาษาใบ้ให้มั่วไปหมด ฮ่าๆๆๆๆ
พอเข้าใจกันได้ ปะไป๊ก็บอกแค่ว่าเจ้าปันเตร่าลูกวัวที่ผมชอบไปเล่นด้วยมันคงจะคิดถึงน่าดู ส่วนมะเม้ยที่นั่งอยู่ด้วยก็เริ่มแสดงความเป็นห่วงว่าจะไปยังไง เดี๋ยวจะหลงทางมั้ยไปตามเรื่อง จนผมบอกว่าเพื่อนจะมารับมาส่ง มะเม้ยก็ยังอุตส่าห์เป็นห่วงอีกว่าเสาร์-อาทิตย์ผมต้องอยู่บ้านนี้คนเดียว อาหารการกินจะทำยังไง
ผมต้องเดินเข้าไปกอดเอวไว้แล้วบอกว่าไม่เป็นไรผมอยู่ได้ เดี๋ยวไอ้คนที่มันเจ้ากี้เจ้าการจะพาผมไปมันก็ต้องรับผิดชอบ มันไม่ปล่อยให้ผมอดหรอก มะเม้ยก็ลูบหัวลูบหลังแล้วยิ้มออกมาได้
คนที่มีปฏิกิริยาตลกที่สุดคือวิเวียนน้องสาวของผม เมื่อบอกว่าจะไปปาร์ตี้กับเพื่อน วิเวียนก็กวาดตามองผมทั่วตัว แล้วถามว่า เตรียมพร้อมแล้วเหรอ ผมก็งงสิ....อะไรวะ แค่ไปปาร์ตี้นี่ต้องเตรียมตัวด้วยเหรอ
พอเห็นผมทำหน้างงๆไม่ตอบอะไร ไอ้น้องสาวอายุสิบหกที่ตัวโตกว่าผมทั้งส่วนสูงและเส้นรอบวงเลยเข้ามาตบไหล่ผมป้าบๆก่อนจะอวยพรว่าขอให้โชคดี
กรรมเวร นี่ผมจะไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนนะ ไม่ใช่ไปรบ ฮ่าๆๆๆๆๆ
สิบโมงวันเสาร์ผมตื่นขึ้นมาด้วยเสียงออดที่แผดดังรบกวนการนอน ก่อนจะเดินงัวเงียออกไปส่องตาแมวที่ประตูใหญ่หน้าบ้าน ทั้งที่ยังอยู่ในชุดนอนเสื้อแขนสั้นกางเกงเหนือเข่าลายลูกหมีนอนหลับที่หอบหิ้วไปจากบ้านที่กรุงเทพด้วย ก็เห็นไอ้คนมาปลุกแต่....เอ่อ ก่อนสาย มันยืนพยายามสอดสายตาใต้กรอบแว่นมองลอดเข้ามาอยู่เหมือนกัน
ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ไอ้บ้า แกคงมองเข้ามาได้หรอกเนอะ สติวปิโด้ โบโบะ จริงๆเลยไอ้เอดู
ผมปลดล๊อคเปิดประตูแล้วเบี่ยงตัวออกด้านข้างให้มันเข้ามาในบ้านพร้อมจักรยานสีแดง.....อ้าว ไม่ใช่แฮะ วันนี้เอดูมันมากับจักรยานสีดำ
“จักรยานแม่เหรอ?”
“หึๆๆ ของเพื่อน เอาไปแลกมาใช้วันนี้โดยเฉพาะ”
มันพูดช้าๆชัดๆให้ผมเข้าใจได้ง่ายที่สุด ผมก็ไม่ว่าอะไร เดินนำมันเข้าไปในบ้าน ปากก็ด่ามันไปตลอดทาง
เอ่อ....ผมหมายถึงด่าเป็นภาษาไทยนะ ก็คนมันยังไม่ตื่นดีเลย นัดกันเที่ยงมันดันโผล่มาได้ตั้งแต่สิบโมง บ้าไปแล้ว
เอดูมันพิงจักรยานไว้ตรงไหนผมก็ไม่สนใจหรอก เดินเข้าไปถึงห้องกลางได้ก็ชี้ๆให้มันนั่ง ส่วนตัวเองก็เดินต่อเข้าไปในห้องส่วนตัวที่แต่เดิมเป็นห้องนอนแขก มีเตียงเดี่ยวสองเตียงตั้งคู่กันอยู่ ที่ตอนนี้เตียงนึงผมยึดเป็นที่นอน ส่วนอีกเตียงผมก็ยึดเป็นที่วางของจนเกือบเต็ม
เข้าไปถึงได้ผมก็สอดตัวเข้าไปในโปงผ้าห่มอีกครั้งแล้วก็หลับไปเลย รู้สึกตัวอีกทีก็เพราะท้องมันร้อง
แหะๆ ก็นะ นอนยาวมาตั้งแต่เมื่อคืน ตื่นเพราะหิวคงไม่แปลก ไอ้ที่แปลกคือพอลืมตาขึ้นมาดันเจอกับตาอีกคู่ที่เป็นประกายวิบๆอยู่ในระยะประชิดนี่สิ
“เฮ้ย!!!”หายงัวเงียเป็นปลิดทิ้งเพราะความตกใจ แถมปฏิกิริยาของผมยังฉับไวด้วยการถีบไอ้ตัวบุกรุกที่นอนคนอื่นด้วยการถีบออกไปสุดแรง
สมน้ำหน้าจุกเลยสิไอ้หน้าด้าน....ด้านจริงๆไม่ขออนุญาตแต่มาแย่งที่นอนคนอื่นเขาเฉยเลย เล่นทีเผลอนี่หว่า
“É doi” ไอ้บ้ามันเงยหน้ามาสบตาผมจากพื้นตรงกลางระหว่างเตียงสองเตียง ส่งสายตาหมาเจ็บหวังจะอ้อน หึ....อย่าได้คิดเชียวว่าจะเห็นใจ
“Qué?”
“Doído” เอ่อ.....ผมแกล้งมันไปงั้นเองแหละครับ รู้หรอกว่ามันเจ็บ ฮ่าๆๆๆๆ
“โด๊ยอิโดะ pain?”
ผมยังไม่ยอมลุกไปช่วยดึงมือมันที่ยื่นขึ้นมาให้ช่วยหรอกครับ ยังนั่งคุกเข่าอยู่ในโปงผ้าห่ม
ขอแกล้งมันหน่อยเหอะ หมั่นไส้นัก กะแค่ถีบนิดหน่อยทำเป็นลุกเองไม่ไหว
“อิส ใจร้าย....ถีบมาได้”โถ......ส่งเสียงหงุงหงิงเชียว มันไม่เข้ากับผู้ชายตัวโตๆอย่างแกเลยสักนิดนะเอดู
แต่คงเพราะความไม่เข้ากันของขนาดตัวกับสุ้มเสียงที่มันทำนั่นแหละ ทำให้ผมหัวเราะออกมาจนได้
ก็ผมไม่ได้โกรธนี่นา เพื่อนกัน แย่งที่นอนนิดหน่อยจะเป็นไรไป ที่ถีบมันจนตกเตียงก็เพราะตกใจ....ก็แค่นั้นเอง
ผมหัวเราะใส่หน้ามันก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วออกแรงดึงมือมันขึ้นมาจากพื้น แล้วก็ทิ้งให้มันนั่งลงข้างเตียงนั่นแหละ แต่พอกำลังหยิบข้าวของเตรียมจะเดินไปอาบน้ำก็นึกขึ้นได้เลยหันมาถามมันเสียหน่อย เดี๋ยวมันจะว่าไม่ใส่ใจ
“áqua?”
เอาน้ำมั้ย? มันก็ตอบโดยการส่ายหัวแล้วก็ส่งยิ้มมาให้ ผมเลยยักไหล่นิดนึงก่อนจะเดินไปจัดการตัวเองในห้องน้ำ
กลับเข้ามาในห้องอีกทีด้วยร่างกายที่สะอาดสดชื่นในชุดเสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงขาสั้นแค่เข่า ก็พบว่าเอดูมันกำลังสนใจหนังสือเรียนที่ผมหอบหิ้วมาจากกรุงเทพด้วย กะเอาไว้อ่านเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย...
แต่ก็ไม่ค่อยได้อ่านหรอกครับ อ่านแค่เดือนแรกนั่นแหละ ตอนที่ยังคุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง เลยไม่มีอะไรทำ
ไม่นอนก็อ่านหนังสือ เพราะปกติผมไม่ค่อยชอบดูโทรทัศน์อยู่แล้ว
อ้อ....เว้นแต่เย็นวันอาทิตย์ก่อนไปโบสถ์นะครับ ผมจะนั่งดูบอลลีกกับปะไป๊สองคน ฟังไม่ออกก็ดูเข้าใจ ฮ่าๆๆๆๆ
พอเอดูมันเห็นผมเดินกลับเข้ามาในห้องมันก็ทำหน้าเจื่อนๆมองผมสลับกับหนังสือในมือเหมือนกับกลัวว่าผมจะโกรธที่มันมายุ่งกับของของผมงั้นแหละ ผมเลยยิ้มให้มัน ให้มันรู้ว่าผมไม่ว่าอะไรหรอก ก็ถึงไอ้เล่มที่มันหยิบดูอยู่ไม่ใช่รวมตัวอย่างข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีก่อนๆ แต่เป็นเฟรนด์ชิพที่เพื่อนๆทำให้ก่อนผมจะมาที่นี่ ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะมีผลอะไรเลย ในเมื่อยังไงเอดูมันก็อ่านภาษาไทยไม่ออกอยู่ดี
“สิบเอ็ดโมงจะครึ่งแล้ว เก็บของรึยังอิส?”
“หืม? ต้องเก็บอะไรอ้ะ? เก็บเตียงอะเหรอ? ก็ถ้านายไม่ลุก เราจะเก็บได้ยังไง”
“ไม่ใช่ เตรียมของไปปาร์ตี้ไง”
“ทำไมต้องเตรียมอะไร แค่เอาเงินไปแชร์คนละสิบเฮอัยส์ก็พอไม่ใช่เหรอ?”
หน่วยเงินของที่นี่คือหน่วย real ออกเสียงว่า เฮอัล ครับ แต่เมื่อเป็นพหูพจน์ปุ๊บ ก็จะเป็น reais สิบเฮอัยส์ก็ประมาณสองร้อยบาท
“เฮ้อ......ปาร์ตี้สระว่ายน้ำนะอิส ต้องเอากางเกงว่ายน้ำไปด้วย ส่วนพวกผ้าเช็ดตัว อิสจะใช้ของผมก็ได้”
เอ่อ....ปาร์ตี้สระว่ายน้ำงั้นเหรอ?!?ระหว่างที่ผมยังยืนเอ๋ออยู่หน้าประตูห้อง เอดูมันก็จัดการเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า แหวกๆหาของที่ต้องการ...พอไม่เห็นก็เปิดลิ้นชักด้านล่างไล่หา แล้วก็หยิบกางเกงขาสั้นแบบที่ใส่เวลาลงทะเลออกมากางดู เสร็จแล้วก็พับเรียบร้อยยัดใส่เป้ของตัวเองไปแล้ว
...................................
...................................
..โปรดติดตามตอนต่อไป..
ปล. ไอจัง ภาษาโปรตุกีส พี่นุ่นพอรู้แบบงูน้อยๆปลาน้อยๆค่ะ แบบว่าพอฟังออก แต่มันนานแล้วเลยโต้ตอบไปคนถามอาจไม่เข้าใจได้ ส่วนอ่านเขียนนี่ เป็นทักษะที่ใช้จริงไม่ได้ค่ะ แหะๆ