ตอน ๙.๑
ไตติลาก้มลงมองสมุดบันทึกของตัวเองที่มีนัดหมายต่างๆเขียนไว้แน่นแทบทุกวัน เพื่อดูห้องเรียนที่ต้องไป หลังจากวนรถหาที่จอดอยู่เกือบยี่สิบนาทีเต็ม ไตติลาถึงห้องเรียนก่อนเวลาเรียนเล็กน้อย เขาเลือกนั่งที่ประจำ แถวติดทางเดินกลาง ไม่หน้าไม่หลังจนเกินไป เพื่อนร่วมชั้นมาพร้อมส่งเสียงพูดคุยกันครึกครื้น ไตติลาทักตอบเพื่อนบางคนบ้าง ก่อนจะเริ่มหยิบอุปกรณ์การเรียนของตนออกมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากรู้สึกว่ามีคนมานั่งใกล้ๆ
“คุณบอกการบ้านผมผิด โปรเฟสเซอร์คอมเม้นต์การบ้านผมใหญ่เลย” สมิท ไทสัน พูด ดวงหน้าคมสันเค้าเอเชียยิ้มจริงใจ
“ขอโทษ เพิ่งจะเห็นตอนกลับมาแล้ว แต่ไม่รู้จะติดต่อยังไง”
“เดี๋ยวเทอมนี้ผมไม่ได้ที่หนึ่งจะทำไงล่ะทีนี้” คนพูดพูดอย่างขบขัน ไตติลาฟังแล้วหน้าบูด
“ล้อเล่นหรอก ถ้าผมไม่ได้ที่หนึ่ง คุณจะได้เป็นแทนไง แล้วผมสลับไปเป็นที่สองแทน ดีไหม?”
“ผมไม่ได้อยากจะแกล้งคุณนะ” ไตติลายืนยันหนักแน่น ไตติลาที่ต้องเรียนแข่งกับเพื่อนคนอื่นๆ จนได้ผลการเรียนดีๆนั้น ด้วยกำลังตัวเองทั้งนั้น ไม่เคยคิดอิจฉากลั่นแกล้งใคร
“ผมรู้ คุณขยันออกขนาดนี้” อาจารย์เดินเข้ามาในห้อง ก่อนจะเริ่มการสอน
“ ผมรู้ว่าคุณนอกจากเรียนแล้ว ยังต้องรับผิดชอบค่าเรียนของตัวเองด้วย ครึ่งหนึ่งใช่ไหม?” ไตติลาหันมามองคู่สนทนาอย่างประเมิน ดวงตาของไตติลาหลังกรอบแว่นหรี่ลงซ่อนบางอย่างไว้โดยไม่ยอมปริปาก สมิท ไทสัน ยิ้มด้วยดวงตาเป็นประกายวาววับ
“ผมรู้เกี่ยวกับคุณอีกตั้งหลายอย่าง ถ้าคุณสงสัย” ชายหนุ่มยิ้มยั่วเย้า
“สงสัยสิ”
“เรียนก่อนเถอะ” ไตติลาหน้าตึง ก่อนจะหันกลับไปตั้งใจเรียน คนนั่งข้างๆจึงลอบยิ้มขัน จนไตติลาชักหงุดหงิดพึมพำกับตัวเองตามภาษาตน
“ยังมายิ้มอีก” คนนั่งข้างๆเปลี่ยนจากแอบยิ้มเป็นหัวเราะเบาๆ
“นี่ ยืมปากกาสักแท่งสิ” ไตติลาลอบสูดหายใจเข้าลึกอย่างพยายามใจเย็น ก่อนจะหยิบกระเป๋าดินสอเปิดออก ดวงตาหลังกรอบแว่น มองปากกาหลากสีอยู่อึดใจ ก่อนจะหยิบสุ่มๆออกมาหนึ่งแท่ง แล้วส่งให้ ก่อนทั้งคู่จะไม่ปริปากพูดคุยกันอีกจนจบชั่วโมงเรียน
“ขอบใจสำหรับปากกา” ไตติลาเอื้อมมือไปรับ แต่คนถือไม่ยอมปล่อย
“เราเป็นเพื่อนกันนะ” สมิท ไทสัน ยิ้มกว้างขวาง ด้วยท่าทางจริงใจ ไตติลาเผลอยิ้มร้ายๆโดยไม่รู้ตัว
“ขอคิดดูก่อน....คงจะนานหน่อย” ก่อนจะฉวยปากกาของตนคืนมา เก็บของใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย
“ เอาน่า ถึงคุณจะไม่ยอมเป็นเพื่อนผม แต่ผมแน่ใจว่า รู้จักคุณนานแล้วก็แล้วกัน” คนพูดๆด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจเสียเหลือเกิน จนไตติลาอดคันปากไม่ได้
“ผมว่าคุณไป ทำความรู้จัก ตัวเองก่อนดีกว่า” ไตติลาพูดทิ้งท้าย ก่อนจะสะพายกระเป๋าออกไป
๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙
กว่าไตติลาจะกลับเข้าอพาร์ทเม้นต์เจก็ค่ำแล้ว หลังจากไปเสิร์ฟมา โดยมีคำถามคะยั้นคะยอของเพื่อนสาว มาเลียบๆเคียงๆถามว่าระหว่างเขากับคริษฐ์ไปถึงไหนกันแล้ว จนพอเริ่มได้คำตอบก็ถามอีกว่า ทะเลาะกันหรืออย่างไรและอีกมากมาย จนไตติลาไม่อยากจะตอบ จึงเปลี่ยนไปไหว้วานธุระแทน
“ไอ้แหม่ม พฤหัสหน้าว่างไหม?”
“ทำไมหรือจะชวนไปไหน?”
“ไปโรงพยาบาล”
“ไปทำไมอ่ะ?” เพื่อนสาวทำเอียงคอสงสัย จนไตติลายื่นมือไปตีหน้าผากเพื่อนให้หายคันมือเสียทีหนึ่ง
“ไอ้ติลา อย่านะวันนี้เปิดเถิกเอาฤกษ์เอาชัย”
“หมอนัดผ่าตัดว่ะ”
“เอาจริงดิ” ไตติลาหัวเราะกะท่าทางของเพื่อนสาว
“จริ๊ง” หนุ่มน้อยไตติลาทำเสียงสูงเลียนแบบเพื่อนบ้าง
“วันนี้คลินิกโรงเรียนนัด ฟังผล หมอบอกว่าเป็นเนื้องอก แต่ไม่ได้อันตรายอะไร ผ่าตัดเล็ก ไม่ต้องนอนค้างโรงพยาบาล แต่ไม่ยักกะให้ขับรถกลับเองได้” ไตติลาพูดติดตลก เมื่อเห็นเพื่อนเริ่มหน้าเสีย
“ที่แกบ่นว่าปวดท้องนะหรอ?” ไตติลาพยักหน้า
“ว่าไงล่ะ ว่างหรือเปล่า?”
“ไม่แน่ใจว่ะ อาจารย์นัดสอนเพิ่มหรือเปล่า ไว้จะบอกอีกทีนะ แต่จะพยายามให้ว่างไว้”
“คิดอะไรอยู่?” เสียงทุ้มนุ่มๆที่บัดนี้คุ้นใจไตติลาถามเบาๆ กษิดิสยืนส่งยิ้มให้อยู่ที่โถงทางเดิน
“แหม มาบ่อยจัง วิตโตลิโอ้ดีใจแย่”
“เปล่า ผมมาหาแต่ติลา ไม่ได้หรือ?” ปลายเสียงนั้น ติดจะเว้าวอน จนไตติลาเผลอเม้มริมฝีปาก
“ก็แล้วแต่คุณสิ”
“ผมเข้าไปได้หรือเปล่า?”
“อ้อ เชิญครับ แต่มีงูหรือเปล่าก็ไม่ทราบ” กษิดิสหัวเราะ มองไตติลาด้วยดวงตาเป็นประกาย ดวงตาแบบที่ไตติลานึกรักอย่างบอกไม่ถูก
“แหม เหมือนห้องผมเลย” กษิดิสออกปากเมื่อมองไปรอบๆ
“เหมือนตรงที่รกสินะครับ” ไตติลาพูดอย่างขบขัน พลางพยายามจัดโต๊ะเขียนหนังสือของตนให้เป็นระเบียบ พอให้ผู้มาเยือนนั่งได้
“เรียนเก่งจริง” กษิดิสออกปากชม เมื่อเห็นใบผลการเรียนที่ไตติลาปักไว้บนบอร์ดเล็กของตน ไตติลานิ่งคิดบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งจึงถามขึ้น
“คุณกษิดิสว่างไหมครับ? วันพฤหัสนี้ พอดี ผมมีธุระ ขับรถกลับเองไม่ได้”
“มีอะไรหรือ?”
“ไปโรงพยาบาลน่ะครับ คุณหมอไม่ให้ขับรถกลับเอง” กษิดิสถึงกับตกใจ
“ไปโรงพยาบาลเป็นอะไร?”
“ผ่าตัดนิดหน่อยนะครับ เป็นผ่าตัดเล็กเองครับ ไม่ต้องนอนค้าง เพียงแต่ยาสลบทำให้มึนๆหน่อย เลยไม่สะดวกจะขับกลับมาเอง”
“ติลา ผมขอโทษนะ เห็นจะช่วยไม่ได้” กษิดิสพูดพร้อมกับดวงตาคมนั้น ทอประกายของความเสียใจ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมจะลองถามเพื่อนคนอื่นๆดูก่อน คงจะมีว่างสักคนล่ะน่า” ไตติลาพูดพลางยิ้มจางๆ เขาไม่ชอบเลย ที่เห็นดวงตาคู่นั้นแสดงว่าเจ้าตัวกำลังกังวลใจ
ไตติลามักใช้เวลาในช่วงค่ำ ทำอาหารทานกับกษิดิสอย่างง่ายๆบ่อยครั้ง ล้างจานแล้วค่อยอ่านหนังสือทบทวนบทเรียน ที่โต๊ะกินข้าว ขณะที่ร่างสูงใหญ่นั้น จะนั่งอยู่ไม่ใกล้ไกล ขีดเขียนอะไรใส่กระดาษไปเรื่อยเปื่อย ไตติลาชอบบรรยากาศแบบนี้ เพราะทำให้รู้สึกเป็นสุขกว่าครั้งไหนๆ ทั้งที่กิจกรรมที่ทำร่วมกันนั้น ไม่ได้พิเศษอะไรมากมายเลย
“วาดอะไรครับ?” ไตติลาถามขึ้นหลังจาก เท้าคางมองมือคู่สวยนั้น ขีดเขียนลงบนเศษกระดาษที่ไตติลาใช้แล้วหน้าหนึ่ง ลายเส้นสวยเป็นระเบียบ สมกันวิชาที่ร่ำเรียนอยู่
“บ้านครับ ผมอยากมีบ้านแบบนี้”
“สวยดีนะครับ ท่าทางน่าอยู่” คนฟังยกริมฝีปากหยักสวยนั้นยิ้ม พลางแต่งเติมรายละเอียดลงบนภาพต่อไป
“ผมมีที่อยู่แปลงหนึ่ง เป็นมรดกจากคุณปู่ ท่านยกให้ พร้อมกับเงินจำนวนหนึ่ง ผมเลยมาเรียนที่นี่พร้อมกับเงินก้อนนั้น แต่ว่าที่แปลงนี้ก็ยังไม่ได้ทำอะไร เลยตั้งใจว่า ถ้าได้กลับไป จะสร้างบ้านของตัวสักหลัง”
“แถวไหนหรือครับ?” กษิดิสตอบไตติลาเห็นว่าไม่ได้ไกลจากบ้านตนสักเท่าใดเลย
“รอบๆยังเป็นทุ่งนาอยู่เลย ถัดเข้าไปหน่อยเป็นคลองน้ำใสแจ๋ว คนยังอยู่กันไม่มาก ก็บ้านนอกดีๆนี่เอง” กษิดิสพูดถึงสิ่งเหล่านี้ด้วยดวงตาเป็นประกายอย่างมีความหวัง
“เอ คุณคงจะมาอยู่ที่นานแล้ว ผมเองก็อยู่ไม่ไกลจากแถวที่คุณว่าเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้วนะครับ”
“หรือ? เปลี่ยนไปมากไหม?”
“มากครับ แถวนั้นไม่มีนาแล้ว ถนนใหญ่ตัดผ่าน ถ้าจะไปหานา ต้องเข้าไปลึกๆ เกือบสุดเขตกรุงเทพฯโน่น คลองนั่นก็โดนถมขยายถนนจนบางช่วงไม่มีคลองแล้วล่ะครับ แถมคนก็ย้ายมาอยู่กันมากจนเรียกได้ว่าเจริญแล้วล่ะครับ”
“เห็นทีผมจะจากบ้านมานานมากแล้วจริงๆ”
“กลับไปคราวนี้ คุณดิสจะถึงกับงงเชียวล่ะ” ไตติลาหัวเราะเมื่อลองนึกภาพตาม เป็นคุณดิสแต่งตัวเชยๆ ยืนงงตาแตกอยู่ที่สุวรรณภูมิ
“นั่นสิ เวลาเป็นสิบๆปี เปลี่ยนอะไรไปเสียหมดนะ ว่าไหม? เปลี่ยนเอาความเจริญเข้ามา บางทีก็ทำลายของเก่าดีๆที่เคยมี โดยลืมไปว่า แต่ก่อนเราเคยอยู่อย่างสงบอย่างไร” กษิดิสพูด แล้วก้มลงดูนาฬิกาข้อมือตน ก่อนจะอุทาน
“ดึกมากแล้ว ติลาไม่รีบนอนหรือ?”
“แหม เผลอแป๊บเดียว พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนเสียด้วย”
“ต้องไปโรงเรียนเหมือนเด็กๆเลยหรือเปล่า ต้องมีใครจูงมือไปไหม?” กษิดิสล้อเลียน
“แหม ก็บอกว่าไปโรงเรียนมันดูเป็นเด็กๆดีจะตาย”
“แหม พูดถึงโรงเรียนแล้วนึกได้ แต่ก่อนผมเป็นนักกีฬาโรงเรียนด้วย”
“กีฬาอะไรครับ?”
“กระโดดรั้ว รั้วโรงเรียนนะ ไม่ใช่รั้วในสนาม” ร่างสูงใหญ่นั้นหัวเราะจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้างแกมก่อนจะ ลุกยืนเต็มความสูงส่งไตติลาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มกว้างขวางอย่างที่มักทำเสมอ จนไตติลาค่อนในใจว่าจะสุภาพบุรุษไปถึงขนาดไหน
“ไปเถอะ ราตรีสวัสดิ์ครับ ดูแลร่างกายกับหัวใจด้วยนะครับ”
“ราตรีสวัสดิ์ครับ” ไตติลาตอบอุบอิบ ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องตัวเองไป โดยไม่รู้ว่าตนเอง มีใบหน้านวลซับสีเรื่อยชวนมองอย่างไร
๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙
เเหมไม่มีใครไปตามที่สวนยายเมี้ยนเลย ดองลืม
ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นเช่นเคยนะคะ
ปล. (หมึกน้องพอลทายว่าสเปนใช่ป่ะคะจะได้โขกน้ำพริกทำน้ำจิ้มรอน้องพอลลลล เคี๊ยะๆ)