พิมพ์หน้านี้ - อะกาลิโก..รักไร้กาล

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 14-05-2010 20:50:22

หัวข้อ: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 14-05-2010 20:50:22
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2. ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0





อะกาลิโก…รักไร้กาล

อะไรเอ่ย?.....มีก็เป็นทุกข์ไม่มีก็เป็นทุกข์

อะไรเอ่ย?...ยิ่งวิ่งหนียิ่งเข้าหา

อะไรเอ่ย?....ยิ่งโหยหากลับขาดแคลน





หนึ่งปี...สองปีผ่านไปแล้ว แปลว่าฤดูหนาวกำลังจะผ่านไปสองครั้งแล้วนับแต่มาที่นี่ ประเทศที่อยู่อีกซีกหนึ่งจากบ้านเกิด คิดถึงหน้าหนาวที่บ้านเหลือเกิน ท้องฟ้าสีครามไร้เมฆ ลมเย็นกำลังสบายโบกพัดพร้อมกับแสงแดดเริงแรงในทุกฤดูกาล แล้วนี่มันอะไรกัน ฝนตกในฤดูหนาว ละอองน้ำเย็นจัดนั้นยิ่งทำให้อากาศเย็นจับใจ ชายหนุ่มเจ้าของรถไพรอัสคิดก่อนจะเอารถจอดเข้าข้างทางอย่างเลือกไม่ได้ ลานจอดรถแคบๆของอพาร์ทเม้นต์ที่เขาอยู่ไม่มีที่เหลืออีกแล้ว อากาศปรวนแปรและหนาวขนาดนี้ ใครกันอยากจะออกจากบ้าน มือใหญ่ควานหาร่มจากข้างเบาะที่นั่ง ทว่าไม่พบ จึงตัดสินใจยอมลุยฝนข้ามถนนไปไขกล่องไปรษณีย์ที่ระบุ ‘Apartment P’ แล้วกวาดจดหมายที่มีอยู่ในตู้ทั้งหมดออกมาใส่กระเป๋าเสื้อโค้ต ก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดต่อไป

เสียงฝีเท้าย่ำน้ำอีกคู่หนึ่งดังขึ้นที่ระเบียงชั้นสอง อพาร์ทเม้นต์ที่ช่วงกลางเปิดโล่ง เช่นนี้ไม่อาจกันฝนที่ตกแรงขึ้นกว่าเก่าได้ พื้นที่ทำจากปูนผสมกรวดเล็กๆเมื่อเจิ่งนองจึงลื่นกว่าปรกติ ชั่ววินาทีที่คนทั้งคู่สวนกันที่บันได ร่างที่กำลังกอดบางอย่างไว้ในอ้อมแขนอย่างหวงแหนพลางวิ่งลงบันไดก็เสียหลักลื่น ทว่าโชคดีที่คนวิ่งสวนขึ้นมา คว้าแขนไว้ทัน เสียงของในอ้อมแขนนั้นตกกระแทกไปกับขั้นบันได ดังชัดท่ามกลางสายฝน เรียกให้สายตาของคนทั้งคู่มองตามจนของสิ่งนั้นนอนนิ่งบนพื้นชั้นล่าง

“Are you okay?” ชายหนุ่มผู้วิ่งสวนขึ้นมาและคว้าแขนอีกคนไว้ได้ทันถามขึ้น เรียกให้ดวงตาอีกคู่ที่เบิกกว้างด้วยความตกใจหันกลับมาก่อนจะพยักหน้าเร็วๆ งึมงำเป็นคำขอบคุณ ก่อนจะวิ่งลงไปเก็บของที่หล่นลงไปข้างล่างอย่างร้อนใจ

ชายหนุ่มเดินขึ้นบันไดต่อไป คราวนี้ไม่ได้เร่งร้อน เพราะตัวเปียกไปหมดเสียแล้ว เขาหยุดดูร่างที่ก้มลงเก็บห่อพลาสติกบางใสจากร้านซูเปอร์สโตร์ข้างในนั้นเป็นเท็กซ์บุ๊คเล่มหนา มือนวลๆนั้น เช็ดรอยเปื้อนบนถุงออกแล้วกอดไว้อย่างหวงแหนเช่นเดิม ก่อนจะวิ่งลงบันไดอีกชั้น เพื่อไปสู่ถนนหน้าอพาร์ทเม้นต์ เมื่อร่างนั้นลับสายตาไปแล้ว เจ้าของอพาร์ทเม้นต์พีจึงไขประตูเข้าห้อง พลางคิด อพาร์ทเม้นต์นี้มีคนเอเชียคนอื่นๆอยู่เหมือนกัน....ทว่าคนนี้ไม่เคยเห็น



ความคิดเรื่องภายนอกหยุดลงแต่ตรงนี้...พร้อมๆกันประตูห้องที่มีตัวพีสีเหลืองทองถูกปิดและลงกลอนอย่างแน่นหนา
*******

*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ  แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
 ทิพย์โมบอร์ดนิยาย
หัวข้อ: Re: [Novel]อะกาลิโก..รักไร้กาล บทนำ+ตอน ๑ (๑๔/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 14-05-2010 20:54:01
มาคนแรก  ดีใจเว้ยๆๆๆๆๆครับๆๆๆ

มารอต่อนต่อไป น่าสนใจจังครับ

เป็นกำลังใจให้คุณเมศ :man1:
หัวข้อ: Re: [Novel]อะกาลิโก..รักไร้กาล บทนำ+ตอน ๑ (๑๔/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 14-05-2010 20:58:12
มาคนที่สองก็ดีใจเหมือนกัน เย่ๆๆ อยากอ่านมากมาย แค่บทนำก็ชวนติดแล้ว
บวกประเดิมเรื่องใหม่ค่า
หัวข้อ: Re: [Novel]อะกาลิโก..รักไร้กาล บทนำ+ตอน ๑ (๑๔/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 14-05-2010 21:04:46
ตอน๑

รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นกลางเก่ากลางใหม่สภาพไม่ค่อยน่าดูนักคันหนึ่งพุ่งฉิวไปบนถนนฟรีเวย์ฝ่าความมืดยามราตรีกาล ชายหนุ่มเจ้าของรถเอื้อมมือเปิดวิทยุทั้งที่ใจไม่ได้นึกอย่างจะฟัง ทว่าความเงียบในยามนี้ดูเกินจะรับไหวเช่นกัน รักแท้มันมีจริงนะหรือ?....สำหรับคนเพิ่งถูกทิ้งมาหมาดๆอย่างไตติลา ต่อให้คิดให้ตาย ก็ไม่ได้คำตอบ เลิกคิด....เขาบังคับตัวเอง ความรักก็แปลก ยามไม่อยากให้มาก็มา ยามอยากให้มากลับหนีหาย ไตติลายิ้มขมขื่น ในชีวิตที่ผ่านมา จะสักกี่คนที่เขาเรียกเต็มปากว่าคนรัก แล้วอย่างไร...? คนที่เขารัก ทิ้งเขาง่ายดายราวกับกระดาษชำระ หยิบเช็ดแล้วทิ้งไป สัปดาห์เดียว แค่เท่านั้น ความรักที่คิดว่าหนักหนา ระเหิดหายไร้เยื่อใย คนที่รักขาดการติดต่อ ราวอยู่คนละโลก ก่อนจะพบ...ใช่แล้วกับคนใหม่

“เลิกคิดสักที” ไตติลาพึมพำ พลางเปิดไฟเลี้ยว ออกจากฟรีเวย์ เลี้ยวเข้าถนนเงียบสงบ เพื่อเข้าบ้าน

‘บ้าน’ อพาร์ทเม้นต์เก่าแก่ ที่มีนักเรียนไทยเช่าอยู่กันเพียงสองสามห้อง ทว่าไม่วิสาสะกัน หรืออาจจะเป็นแค่ไตติลาที่เป็นมนุษย์ไม่ชอบสังคม ไตติลาลอบคิดหาคำจำกัดความให้กับชีวิตช่วงนี้ของเขา ....เหี้ยสิ้นดี... บ้านเป็นที่แห่งเดียวที่ดูจะไม่เลวร้าย เพราะเมื่อสมัยเขามาเรียนที่นี่ใหม่ๆ โชคดีที่รู้จักรุ่นพี่นักเรียนไทยที่สำเร็จการศึกษา กำลังจะกลับบ้าน จึงขายเครื่องเรือนให้ด้วยราคาถูก รวมถึงโอนสิทธิ์การเป็นเจ้าของห้องนี้ให้ด้วย ไตติลาแค่หาคนหารค่าเช่าบ้านด้วยก็แค่นั้น เขาเลือกคนทำงานแล้ว เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายแม็กซิกันสองคน

“กลับมาแล้วหรือ? วันนี้ห้องข้างล่างขึ้นมาโวย ว่าน้ำจากห้องน้ำห้องเรารั่วลงไปข้างล่าง แจ้งเมเนเจอร์แล้ว พรุ่งนี้แลนด์ลอร์ดจะมา”ไตติลาพยักหน้ารับรู้

“ ออกไปเที่ยวหรือ?”รูมเมตสาวยิ้มรับ คืนวันเสาร์ใครๆเขาก็ออกเที่ยว

“ไม่ไปเที่ยวมั่งล่ะ?”

“ไม่ล่ะ ลอเรนไปเหอะ”ไตติลายิ้มส่ง พอร่างรูมเมตสาวหายลับหลังประตู เขายกมือลูบหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน รูมเมตทุกคนรับรู้แค่ว่า เขาเป็นนักเรียน แม้การเป็นนักเรียนจะทำงานได้ แต่ชม.การทำงานของไตติลาเกินไปมากโข เขาก็เหมือนมนุษย์อื่นๆ ที่ถือสัจธรรมว่า ที่จริงแท้คือดิ้นรน แน่นอนคือ อดทน มาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ไตติลา คลานขึ้นนอนบนเตียง ทั้งที่ไม่อาบน้ำ ขี้เกียจ พลางเอื้อมมือไปค้นหาสมุดเล่มเล็กที่จดตารางการทำงานและกิจกรรมทั้งหมดออกมาเปิดดู พรุ่งนี้ออกไปเสิร์ฟตอนบ่าย รอแลนด์ลอร์ดมาดูท่อน้ำก่อนน่าจะทัน ...อ้อ ก่อนออกไปต้องเอาจดหมายของผู้ชายเอเชียคนที่ใส่แว่นที่ช่วยคว้าเขาไว้ก่อนจะตกบันไดไปใส่ตู้คืนให้เขาด้วย ไตติลาคิด ก่อนจะหลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความอ่อนเพลียของร่างกายและหัวใจ ทั้งที่ไฟยังเปิดสว่างกลางห้อง




แลนด์ลอร์ด และผู้จัดการอพาร์ทเมนต์จากไปได้พักใหญ่ๆแล้วตั้งแต่ช่วงสาย ไตติลาจึงพอได้มีเวลางีบหลับพักสายตาต่อบ้าง ก่อนจะตื่นพร้อมกับเสียงรูมเมตอีกสองคนคุยกันเสียงดัง เขาลุกขึ้นทำการบ้านอ่านหนังสือได้ประมาณชั่วโมงหนึ่ง จึงอาบน้ำเตรียมตัวออกจากบ้านโดยไม่ลืมคว้าจดหมายที่สภาพค่อนข้างมอมแมมจากการเปียกฝนและถูกเหยียบที่บันไดหน้าอพาร์ทเม้นต์ ติดมือมาด้วย ไตติลาอ่านพิจารณาจ่าหน้าซองอีกครั้ง ‘ Chris Bhuthapiwatta’ จึงรู้ว่าเจ้าของห้องอพาร์ทเม้นพี เป็นคนไทยเช่นกัน ไตติลายักไหล่ ก่อนจะใส่มันเข้าไปในกล่องไปรษณีย์อพาร์ทเม้นต์พี แล้วเดินตรงไปที่รถของตัวเอง เพื่อขับออกไปทำงาน



๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


ไตติลายังคงดำรงชีวิตต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้เขาจะเพิ่งถูกคนที่รัก ทิ้งมาหมาดๆ เป็นการทิ้งที่น่าทุเรศที่สุด ไตติลาคิด เหมือนนึกอยากจะทิ้งก็ทิ้งไปเสียเฉยๆ ด้วยการเงียบหายไปราวไร้เงา ทำราวกับเขาเป็นสิ่งของไร้หัวใจ ชายหนุ่มพยายามบังคับเคี่ยวเข็ญตัวเองให้เลิกคิดถึงคนเลวๆอย่างนั้นเสียที ทั้งที่ภาพคืนนั้นยังติดตา คืนวันเสาร์หลังสอบเสร็จ ที่เพื่อนๆนัดกันออกไปเที่ยวตามคลับในย่านธงหลากสี เพื่อนสาวคนสนิททราบมาตลอดว่าไตติลามีสภาพทางจิตใจเป็นเช่นไร

“แน่ใจนะว่าไหว?” เพื่อนหญิงที่สนิทที่สุดของเขาถามอย่างเป็นห่วง เพราะรู้ คนที่รักของเพื่อนสนิท ห่างหายไปเสียเฉยๆ ไม่มีการติดต่อ บอกลา บอกเลิกใดๆ แค่หาย...เงียบหายไปราวหมอกควัน

“อืม เรื่องผ่านมาตั้งสัปดาห์แล้ว” ไตติลากล่าวพลางยิ้มบางราวไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร...ก็แค่รู้สึกเหมือนทำชิ้นส่วนเสี้ยวหนึ่งของหัวใจ หล่นหายไป...ก็แค่นั้น

“คงไม่ใช่ตายไปแล้วหรอกนะ”ไตติลาฟังแล้วหัวเราะขัน

ผู้ชายเลวๆคนนั้นถ้าตายขึ้นมาจริงๆคงเป็นข่าวออกทีวีนั่นแหล่ะไม่น่าจะตายเงียบๆ หรอกไตติลาคิด มันจะตายได้อย่างไร ในเมื่อวันก่อนยังเห็นให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับซีรีย์ที่เขาเล่นอยู่เลย ใช่แล้ว....คนที่จะตายอย่างเงียบๆ จะเป็นใครได้อีกนอกจากตัวเขาเอง เพราะเขาเป็นแค่คนไกลบ้านเท่านั้น


ในคืนนั้นไตติลายังยิ้มได้ ดื่มไปนิดหน่อยให้พอกรึ่มๆ เห็นแสงไฟหลากสีวูบวาบผ่านสายตาไป เห็นผู้คนมากหน้าหลายตาเวียนผ่านมาแล้วผ่านไป ได้ยินเสียงดนตรีครึกโครมเร้าใจ ได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความสนุกสนาน เสียงหัวเราะบันเทิงอย่างเต็มที่ ดวงตาคู่ดำขลับนั้นกวาดตาดื่มด่ำบรรยากาศรื่นเริง ทว่าร่างหนึ่งบนยกพื้นที่แม้คนในคลับจะมากเสียจนแทบจะหายใจไม่ออก เขากลับยังจำได้แม่นยำเสียยิ่งกว่าอะไร ร่างสูงนั้นเคล้าเคลียอยู่กับใครอื่นราวโลกนี้มีเพียงพวกเขาแค่สองคน ภาพนั้นทิ่มแทงนัยน์ตาไตติลาเข้าเต็มรัก ความรื่นเริงรอบตัวที่เขาพยายามซึมซับมาตลอดทั้งหัวค่ำระเหยหายไปอย่างง่ายดาย

“เฮ้ย เป็นอะไรหรือเปล่า?” เพื่อนสาวของเขาแม้จะสนุกสนานเต็มที่ แต่ก็กลับจับความผิดปรกติของเขาได้อย่างรวดเร็วหันมาจับแขนเขาไว้ ก่อนจะมองตามสายตาเพื่อน

“แม่งตายยากอีก” ไตติลาฟังแล้วก็อดยกยิ้มที่มุมปากไม่ได้ ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจ ว่ารอยยิ้มนั้น เป็นยิ้มขัน หรือยิ้มเยาะตัวเองกันแน่ ไตติลายกมือถือของตัวเองขึ้นมาดูเวลา

“อย่าเท็กซ์*นะ อย่านะ!” เพื่อนสาวร้องตะโกนแข่งกับเสียงเพลง มือนั้น ดันมือทั้งสองข้างของไตติลาที่ถือโทรศัพท์มือถือตัวเองราวพร้อมกับจะส่งข้อความออกไปได้ทุกเมื่อให้ตกลงข้างตัว

ไตติลากำลังใช้สมองที่มึนเมาของตัวเองคิด ว่าควรทำอย่างไรดี ส่งข้อความด่าหยาบๆคายๆเสียดีไหม หรือจะโทรไปกรีดเสียงร้องใส่ให้มันหูแตกตายกันไปข้าง หรือจะทำเป็นไม่เห็น ทั้งที่เห็นอยู่ตำตา หรือจะทำตัวเป็นไอ้บ้า วิ่งขึ้นไปแยกภาพบาดตานั้นเสียให้แหลกกับมือ

“เฮ้ เอาเหล้าเพิ่มหรือเปล่า?” ไตติลาตะโกนถามกลุ่มเพื่อนของตน ก่อนจะรับอาสาแยกตัวออกไปซื้อมาให้ เพื่อนสาวคนสนิทตามประกบเขาแจด้วยความเป็นห่วง รวมถึงยอมออกค่าเหล้าให้ด้วย ชายหนุ่มนิ่งมองแก้วเหล้าเย็นๆในมืออยู่ครู่หนึ่ง

“ไม่เอา ไม่ดื่มแล้ว” ไตติลาตะโกนแข่งกับเสียงเพลง ก่อนจะยัดแก้วเหล้าใส่มือเพื่อนสาวแทน แล้วสั่งน้ำเปล่าสำหรับตัวเองหนึ่งขวด

“น้ำเมาไม่ทำให้ลืม แถมผิดศีลห้าอีกต่างหาก” ไตติลาตะโกนใส่หูเพื่อนสาว ดวงตาดับขลับนั้นเริ่มมีประกายตาสดใสขึ้นอีกครั้งจนคนมองเบาใจ

“ย่ะ”เพื่อนสาวทำย่นจมูกพลางเอามือดันศีรษะเพื่อนรักอย่างหมั่นไส้เต็มทน


ชายหนุ่มดื่มน้ำเย็นๆอึกใหญ่ให้ความมึนเมาจางหายไปทั้งจากร่างกายและหัวใจดวงนี้ ที่ไม่มีใครรักมันมากที่สุด เว้นเสียแต่ผู้เป็นเจ้าของ...ซึ่งไม่พ้นตัวเขาเอง เขามองขวดน้ำเปล่าในมือพลางนึกอย่างขบขัน ขอสาบานต่อน้ำเปล่าขวดนี้เลย....ว่าเกลียดนัก ไอ้พวกผู้ชายประเภทหายต๋อม ชาตินี้ชาติหน้า ขออย่าให้ได้เจออีกเลย



๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


ในวันว่างนอกจากไปยิมแล้ว ไตติลามักใช้เวลาส่วนใหญ่คลุกอยู่ในห้องนอนตัวเองภายในอพาร์ทเม้นต์เจ อ่านหนังสืออ่านเล่น เล่นเกมส์ หรือแม้แต่ดูละครไทยทางอินเตอร์เน็ต เบื่อๆก็ออกไปเดินเล่นตลาดจีนบ้าง ไทยทาวน์บ้างซื้อของสดมาลองทำกับข้าวเล็กๆน้อยๆกินเอง ทำกิจกรรมให้รู้สึกเพลินให้วันเวลาผ่านไปอย่างไม่เงียบเหงาะจนเกินไป วันนี้เขาลุกขึ้นทำกับข้าวง่ายๆสองสามอย่างเก็บใส่กล่องแช่เย็นไว้ ก่อนจะคุยกับน้องสาวผ่านทางระบบสื่อสารทางอินเตอร์เน็ต แล้วนอนกลางวัน ทว่ากว่าจะตื่นก็ค่ำเสียแล้ว

“ผ้าดองไว้เต็มเลย” เขาบ่นกับตัวเอง กับกองผ้าทั้งขาวและสีที่แยกไว้เรียบร้อยแล้ว ทว่ายังไม่ผ่านการซักมาร่วมสัปดาห์ ก่อนจะเดินไปนับเหรียญควอเตอร์ออกมาจากกล่องกระดาษที่เคยใช้สำหรับใส่โฟมล้างหน้าเก่าๆ แปะรูปหมูที่ตาสองข้างเป็นสัญลักษณ์หน่วยเงินดอลล่าห์ แล้วหิ้วตะกร้าผ้าและไอพอดลงไปชั้นใต้ดินของตัวอพาร์ทเม้นต์

เสียงเครื่องซักผ้าที่กำลังทำงานเครื่องอื่นๆ ดังแทรกเสียงเพลงจากหูฟังที่ไตติลาฟังอยู่ เขาใส่เหรียญลงในช่องจนครบจำนวน ทว่าเครื่องไม่ทำงาน ...เหรียญถูกกินไปเสียแล้ว ไตติลาจึงตัดสินใจเปลี่ยนใช้เครื่องอื่น เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งเดินเข้ามา เขาจึงเหลือบตาขึ้นมา ชายหนุ่มคนที่ช่วยเขาไว้ที่บันไดนั่นเอง ชายคนนั้นกำลังก้มๆเงยๆอยู่เหนือเครื่องที่เขาเพิ่งเปลี่ยนมา

“เอ่อ...ขอโทษครับ เครื่องนั้นท่าทางจะเสีย กินเหรียญผมไปควอเตอร์หนึ่งแล้ว”ไตติลาพูดออกมาเป็นภาษาไทย ชายคนนั้น มองเขาอย่างแปลกใจครู่หนึ่ง

“เครื่องนี้ว่างครับ”ไตติลาชี้ไปที่เครื่องว่างตัวในสุด

“อ้อ คุณที่อยู่อพาร์ทเม้นต์เจ ข้างบนห้องผม” เจ้าของอพาร์ทเม้นต์เจยิ้มรับน้อยๆ พลางล้วงกระเป๋าควานหาเหรียญ จากในกระเป๋าเสื้อแจ๊คเก็ตที่สวมอยู่

“เอาของผมก่อนก็ได้ ผมหยิบมาเกิน” เจ้าของอพาร์ทเม้นต์พีเอื้อมมือมาหยอดเหรียญลงในช่องที่เหรียญขาดไปหนึ่งเหรียญ

“ขอบคุณมากครับ เดี๋ยวผมเอาไปคืนให้”ชายหนุ่มอายุน้อยกว่ายกมือประณมไหว้ ไตติลาเห็น ริมฝีปากของชายตรงหน้ายกยิ้มจริงใจ

“ไม่ต้องหรอก ควอเตอร์เดียว”

“ควอเตอร์เดียวก็เงิน ผมไม่อยากเป็นหนี้ใคร” ไตติลาชะงักไป นิสัยเก่าๆยังไม่หาย คำพูดที่อาจจะไม่ได้คิดอะไรของใครสักคน บางทีก็บาดหูบาดใจใครอีกคนได้เช่นกัน

“เอ้า! ตามใจ เราชื่ออะไรนะ?” ชายตรงหน้าหัวเราะเบาๆราวอ่อนใจ

“ไตติลาครับ คุณคริษฐ์”ไตติลากดปุ่มให้เครื่องซักผ้าทำงานก่อนจะกล่าวลา


เมื่อไตติลาปิดประตูห้องอพาร์ทเม้นต์เจลง ‘บ้าน’ ที่ไตติลาอยู่มาหลายปี ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัดจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจที่ปลายหู เขาเพิ่งตระหนักในวินาทีนี้เอง ว่า ‘ความเหงา’ ร้ายแรงเกินกว่า เกราะกำบังตนอย่าง ‘ความเข้มแข็ง’ที่เขาสั่งสมมานานปีจะทนได้ ไปตลอดกาล



๑๑๑๑๑ TBC๑๑๑๑๑



สวัสดีทุกท่านที่เเวะมาเยี่ยมเยียนนะคะ เรื่องเก่าดองเพิ่งจบก็เปิดเรื่องใหม่เเล้ว  :o8:

อะกาลิโก  หลายๆคนอาจจะนึกถึงร้านเค้ก หรือบทสวดมนต์กันนะคะ ความหมายจริงๆคือ "ไม่ยึดติดกับกาล" ฟังเเล้วเพราะดีนะคะ(สำหรับเมศ)

สำหรับเรื่องยาวเรื่องนี้ เป็นการขยายผลมาจากเรื่องสั้น ๒๔ ชม. สองเรื่องคือ ใช่ว่าไม่รักกัน เเละ รักไร้กาล  ขอสารภาพว่าตอนเเรกอยากเขียนให้จบก่อนค่อยลง  เเต่มันตัน เลยอดไม่ได้ ต้องลง เพื่อความกดดัน (ซาดิสซ์นิดๆนะคะ55+)

เรื่องนี้ก็ "น่าจะ" เป็นเหมือนเรื่องยาวเรื่องอื่นๆของเมศนะคะ คือ "ไม่ยึดติดกับกาล" ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้

ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค่ะ
[/color]

ปล.จะพยายามไม่ให้ดราม่ามากนะคะ  หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น
หัวข้อ: Re: [Novel]อะกาลิโก..รักไร้กาล บทนำ+ตอน ๑ (๑๔/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 14-05-2010 21:54:51
ไตติลา

ไม่ยึดติดกลับเวลา

รอตอนต่อไปครับ

ดีใจจังครับคุณเมศ

สู้สู้ครับ :man1:
หัวข้อ: Re: [Novel]อะกาลิโก..รักไร้กาล บทนำ+ตอน ๑ (๑๔/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 14-05-2010 22:23:25
ชอบความหายจังเลยค่ะ

อย่าดราม่าเลยนะคะ สังคมปัจจุบันมันดร่าม่าหนักอยู่แล้ว
หัวข้อ: Re: [Novel]อะกาลิโก..รักไร้กาล บทนำ+ตอน ๑ (๑๔/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 17-05-2010 19:15:52
ก็จะพยายามให้ดราม่าน้อยๆนะคะ หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น ฮาๆฮือๆ

สามารถตามอ่านเรื่องสั้น รักไร้กาลได้จากกระทู้ เรื่องสั้น ๒๔ ชม.นะคะ  เเต่ ใช่ว่าไม่รักกัน เดี๋ยวตอน๒ จะทวนให้นิดหน่อยนะคะ (สามารถเรียกได้ว่า ไม่ต้องตามกลับไปอ่านก็ได้ค่ะ เเล้วเเต่จิตศรัทธา )

เรื่องสั้น๒๔ชม. (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=11202.0)

ปล.เข้ามาปัดฝุ่นไปในตัว  :sad4:
หัวข้อ: Re: [Novel]อะกาลิโก..รักไร้กาล บทนำ+ตอน ๑ (๑๔/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: unnoname ที่ 17-05-2010 19:20:42
เย้ ตามมาอ่าคร่าาาาา
ชอบชื่อจัง ไตติลา แล้วจะรออ่านตอนต่อไปคร่าา
สู้ๆ
หัวข้อ: Re: [Novel]อะกาลิโก..รักไร้กาล บทนำ+ตอน ๑ (๑๔/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 17-05-2010 21:01:27
+1 จัดไปต้อนรับเรื่องใหม่ของคุณภานุเมศพลัง
ภาษาในการเล่าเรื่องยังคงน่าสนใจและชวนติดตาม แล้วจะรออ่านต่อน๊า
แฟนคนนี้ยังชอบเรื่องของคุณเสมอ อิอิ
หัวข้อ: Re: [Novel]อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๒.๑ (๑๘/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 18-05-2010 23:23:06
อัพบ่อยๆให้ตายใจ  o18
(ช่องไฟทำไมใหญ่บึ้มขนาดนี้ เเต่ดูกระจายๆดี กลบเกลื่อนว่ามาเเค่ครึ่งตอน เหอๆๆๆ)

ตอน ๒.๑

  
                ฤดูหนาวเวียนมาอีกครั้งแล้ว นี่เป็นฤดูหนาวครั้งที่สองนับแต่ย้ายมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเช่นนี้    ดวงตาคมหลังกรอบแว่น มองมือของตนเองที่กุมแก้วกาแฟอุ่นๆไว้อย่างใช้ความคิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองออกไปยังโบสถ์ฝั่งตรงข้ามอพาร์ทเมนต์พี  อากาศหนาวจับหัวใจนั้นทำให้ชายหนุ่มอดคิดถึงคืนที่ยังมีใครให้ช่วยคลายหนาว  น่าเสียดายที่มันผ่านมาแล้วเนิ่นนานกว่าสองปี  คริษฐ์ลอบยิ้มกับถ้วยกาแฟในมือ เมื่อนึกถึงใครอีกคนหนึ่ง ที่อยู่ไกลถึงอีกซีกโลก ก่อนจะใช้บัตรโทรทางไกลโทรที่หมายเลยปลายทาง  เขานิ่งฟังเสียงสัญญาณรอสายอยู่นาน จนเกือบจะกดตัดสายจึงมีคนรับ

  
“ครับ?” แค่เพียงได้ยินเสียง คริษฐ์จิตนาการภาพใบหน้าของคนๆนั้นได้อย่างแจ่มชัด

  
“ไง?” ยามเสียงทักทายเพียงสั้นๆ อัดแน่นด้วยความคิดถึงจนโหยหาโดยไม่รู้ตัว

  
 “คริษฐ์! แหมนึกว่าเจ้านายโทรมาทวงงาน”

  
“ยังไม่มีงานส่งอีกหรือ นี่มันจะสิ้นเดือนแล้วนา เชเอ้ย”  คนที่ปลายสาย นิทเช หัวเราะด้วยเสียงสดใส จนคนฟังอมยิ้มตามไม่ได้

  
“แน่สิ ไม่ใช่ง่ายๆนะ งานนี้”

  
“งานอะไร?”

  
“ตามกระทิง ตามมาสองสามเดือนแล้ว ยังไม่เจอสักตัว”  คนฟังหัวเราะ ด้วยงานของอีกฝ่ายเป็นช่างภาพในนิตยาสารกรอบเหลือง จึงได้รับมอบหมายงานต่าง ๆที่เจ้าตัวเห็นว่าท้าทายสมบุกสมบันผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกของเจ้าตัวนัก

  
“แล้วช่วงนี้นอกจากตามกระทิงแล้วทำอะไรอีก?”

  
“ก็เรื่อยๆ .....คริษฐ์ล่ะ” น้ำเสียงที่ตอบมานั้นแผ่วเบาลง

  
“ก็ทำงาน หยุดก็นอนเอาแรง” นิทเชตอบรับแผ่วเบา

  
“ลองมองหาใครสักคนก็น่าจะดีนะ”

  
“นั่นสิ ก็พยายามอยู่นะ  แต่ก็ยัง…”คริษฐ์ยิ้มขื่นๆให้ตัวเอง   ความเงียบโรยตัวบางเบาระหว่างคนสองคนที่ห่างกันอีกซีกโลก คริษฐ์ไม่แน่ใจ ว่าความอึดอัดที่บางเบานี้มาจากสาเหตุไหน

  
“อืม คริษฐ์ เชวางก่อนนะ กำลังจะขับรถไปทำงาน” ชายหนุ่มกระแอม เรียกเสียงของตนกลับมา

  
“อ้อ ขับรถดีๆล่ะ”

  
“วางนะ”

  
“เดี๋ยว...” ที่ปลายสายส่งเสียงคล้ายจะถาม  คริษฐ์อับจนด้วยคำพูดใดๆ  ไม่ใช่เพราะไม่มีสิ่งใดจะบอก แต่บอกออกไปไม่ได้ต่างหาก

  
“ไม่มีอะไร ทำงานให้สนุกล่ะ” ชายหนุ่มกล่าว ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

  
            คริษฐ์จุดยิ้มที่มุมปาก คนเราก็แปลก ทั้งที่ไม่ใช่คนรักของกันและกันอีกแล้ว ทว่าใครคนนั้น ก็ยังคงเป็น คนที่รักของใครอีกคนเสมอๆ ชายหนุ่มทอดกายลงเอนอิงเบาะนิ่ม ละเลียดชิมรสชาติความห่วงหาของตนเองในความเงียบ  หวาน....ทว่าขมปร่าที่ปลายลิ้น

  
๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒



ท่ามกลางสายลมปลายฝนต้นหนาว ใบไม้จากต้นไม้ใหญ่เสียดสีกันราวส่งเสียงกระซิบถ้อยความต่อกันบ้างร่วงโรยตามลมพัด บ้างคงอยู่ กบส่งเสียงร้องต่ำสูงอยู่เพียงไกลๆ เจ้าของบ้านสองคนกำลังช่วยกันเก็บของใช้ส่วนหนึ่งบรรจุใส่ลังกระดาษ หนังสือเล่มใหญ่ตั้งหนึ่งถูกมือนวลบางค่อยวางเรียงลงในลังอย่างเป็นระเบียบก่อนจะผนึกลังด้วยเทปกาวให้แน่นหนา

“ลังนี้หนักมาก ไม่รู้จะแตกหรือเปล่า”

“เขียนไว้ดีกว่าว่าหนังสือหนัก เวลาขนจะได้ไม่วุ่น”  คริษฐ์กล่าว พลางคว้าปากกาเมจิกเขียนข้อความลงบนฝาลัง

“คริษฐ์นี่เขียนหนังสือไม่มีหัวเลย”

“ทำอย่างกับตัวเองเขียนแล้วมี” คนฟังฟังแล้วหัวเราะก่อนจะเถียง มีสิ ก่อนจะคว้าปากกามาลองเขียนบนฝากล่องบ้าง

“เห็นไหมมีแล้ว”

“มัวเล่นอยู่ รีบเก็บของเถอะ เชจะได้รีบนอน พรุ่งนี้ประชุมเช้าไม่ใช่หรือ?” คนรับฟังทอดมองด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ


                จะมีใครเชื่อไหมว่า ‘เรา’ กำลังจะเลิกกัน ไม่ใช่สิ เราเลิกกันแล้ว คริษฐ์แค่แวะมาเก็บของก่อนจะจากไป ออกจากชีวิตของใครอีกคนไป...อาจเป็นตลอดกาล จะมีใครเชื่อไหมว่า เราคบกันเจ็ดปีเต็ม โดยไม่เคยทะเลาะกันสักครั้ง ตามใจกันทุกเรื่อง รู้ใจกันทุกอย่าง ไม่มีใครเชื่อหรอก..... แม้เพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุดของทั้งนิทเชและคริษฐ์ต่างหาว่าเราทั้งคู่โกหก

“ไม่ได้โกหก” นิทเชยืนยันกับเพื่อนสนิท ทั้งที่ข้างกายเขาคริษฐ์ก็นั่งอยู่ตรงนั้น

“ทำไมแกโง่อย่างนี้วะ คริษฐ์เขาดีกับแกทุกอย่างเลยนะเว้ย ไม่เคยทะเลาะกันสักหนเลยไม่ใช่หรือ ตามใจแกทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าคริษฐ์เขาด้อยที่ตรงไหนเลยนะ การศึกษา หน้าตา ความก้าวหน้า เขาเหมาะสมกับแกทุกอย่างเลยนะ”

“ทำไมนะหรือ?” คนทั้งคู่ต่างหันไปสบสายตากันโดยไม่ต้องนัดหมาย และสิ่งที่เราไม่ได้นัดหมายกันในใจอีกอย่างคือ  ทำไมเราต้องเลิกกัน?

เพราะเราไม่เข้าใจกันหรือ? เห็นจะไม่ใช่ เพราะเราพบรักใหม่หรือ? ก็ยังไม่พบ เพราะเรา ทนนิสัยแย่ๆของอีกฝ่ายไม่ได้? ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ ......หรือเพราะเราไม่เคยทะเลาะกัน??

“วันเสาร์นี้ไปงานวันเกิดด้วยกันไหม?” คริษฐ์ถามด้วยเสียงนั้นถามขึ้นเมื่อเราอยู่ด้วยกัน..คำชักชวนเช่นนี้ไม่ใช่ครั้งแรก

“วันเกิดใครล่ะ?”คำตอบที่ได้รับทำให้นิทเชถึงกับต้องนิ่งคิด วันเกิดแฟนเก่า เอาแฟนคนปัจจุบันไปร่วมงานด้วย จะดีหรือ?

“คริษฐ์ไปเถอะ”

“เชไม่ไปแล้วคริษฐ์จะไปทำไม?”

“ก็เขา...เพื่อนคริษฐ์”

“เชไม่ไป ก็ไม่รู้จะคุยกับใคร” นิทเชร้องอ้าว สุดท้ายแล้ว ‘เรา’ ก็ไม่ได้ไป เพียงแต่ส่งการ์ดที่ช่วยกันเลือกไปให้เท่านั้น


ทำไมเราต้องเลิกกัน? หรือเพราะเรารักกันน้อยเกินไป ท่าทางจะไม่ใช่ หรือเพราะเราไม่เอาใจใส่กัน ก็เปล่าเลย หรือเพราะเราใกล้กันมากเกินไป จนต่างอึดอัด ก็อาจจะไม่ใช่อีก เพราะเราต่างเป็นส่วนหนึ่งของอีกคนต่างหาก

“มายืนตรงนี้เร็ว” นิทเชร้องสั่งอย่างขบขัน ก่อนจะจูงมือคนตัวโตกว่ามายืนข้างสิงห์ไม้หน้าบ้าน สัมผัสผิวกายจากมืออุ่นๆคู่นั้น คริษฐ์ยังจำได้เต็มหัวใจ

“ทำไมต้องถ่ายกับสิงห์หน้าบ้านด้วย”

“หรือจะถ่ายกับปลาคาร์ฟในบ่อ เชก็ไม่ว่านะ” นิชเชพูดพลางจัดทรงผมคริษฐ์ให้เข้าที่ ก่อนจะจัดการกับกล้องถ่ายภาพคู่ใจ

“หล่อแล้ว” คนฟังยิ้มเขินเมื่อได้ฟัง

“หล่อเชยๆ”

“รู้ไหม คริษฐ์ไม่เคยชอบการถูกถ่ายภาพเลย” คนหลังกล้องลดกล้องลง

“ถ้าไม่อยากถ่าย เชเลิกก็ได้”

“ถ่ายเถอะ” คริษฐ์ยิ้ม รับฟังเสียงชัตเตอร์ที่ดังขึ้น....ครั้งแรก...และเพียงครั้งเดียว

“พอดีกว่า รูปเดียวก็พอแล้ว”นิทเชพูดก่อนจะเก็บกล้องตัวโปรด

TBC ๒.๒
หัวข้อ: Re: [Novel]อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๒.๑ (๑๘/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 19-05-2010 00:05:04
เข้ามาติดตาม และหลอกหลอน
หัวข้อ: Re: [Novel]อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๒.๑ (๑๘/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 19-05-2010 00:20:16
 :o12: นึกย้อนตามที่ เมศ เขียนตอนนั้นที่อ่านก็ซึมๆ
พอมาอ่านเรื่องของ เช กับ คริษฐ์ ใหม่
มันเกิดความรู้สึกแปล๊บๆในอก แอบอินเล็กน้อย
ตอนแรกก็ว่าทำไมชื่อคุ้นๆปรากฎว่าใช้ตัวละครเดิม
มาดำเนินเรื่องราวใหม่ให้กลมกลืนกัน
รู้สึกแปลกๆกับคำว่า :“ลองมองหาใครสักคนก็น่าจะดีนะ” :
มันแบบฟังแล้วเต็มกลืนไม่รู้จะำูพูดอะไร สุดท้ายสั้นจังเธอ555+
บอกเลยไม่ตายใจหรอก อิอิ
หัวข้อ: Re: [Novel]อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๒.๑ (๑๘/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 19-05-2010 07:05:47
+ ให้ "ใคร" สักคนที่คริษฐ์ตามหาละกันค่ะ
หัวข้อ: Re: [Novel]อะกาลิโก..รักไ
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 19-05-2010 09:47:20
ใช่ว่าไม่รักกัน

ตอนแรกที่อ่านเรื่องนี้ในเรื่องสั้น ๒๔ชม.
ผมนึกอยากให้เป็นมากกว่าเรื่องสั้น เรื่องของสนคนนี้น่าสนใจ

ดีใจมากเลยที่คุณเมศเขียนเรื่องราวของสองคนนี้

ชอบ ชื่อนี้จังครับ นิทเช เพราะจังครับ มีความหมายว่ะไรนะ

เป็นกำลังใจให้ครับ :man1:
หัวข้อ: Re: [Novel]อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๒.๑ (๑๘/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 19-05-2010 10:42:08
นิทเช (Nietzsche) สะกดยากขนาดนี้ ไม่ใช่ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษเลยค่ะ  เป็นชื่อของนักปรัชญาเยอรมัน เมื่อสมัย ประมาณร้อยกว่าปีที่เเล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความหมาย(หรืออาจจะมีเเต่ไม่ทราบ) ดูชื่อท่านเเล้ว หนวดท่านน่ารักดี เลยประทับใจค่ะ :o8:

ปล.ไม่ตายใจกันหน่อยหรอ...ยังจะมาหลอกหลอนอีก 55+
หัวข้อ: Re: [Novel]อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๒.๑ (๑๘/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 19-05-2010 12:42:48
เลิกกันแบบนี้มันทรมาณสุดๆนะเนี่ย หรือทั้งคู่จะรู้ตัวว่า ทั้งคู่ยังไม่ใช่
หัวข้อ: Re: [Novel]อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๒.๑ (๑๘/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 19-05-2010 13:41:28
กรี๊ดดดดดดดดด งานคุณเมศ  ทำไมไม่เคยเห็นผ่านตาเลยอ่ะ  ยังดีว่ามาลงไว้ไม่กี่ตอนไม่งั้นใจร้าวกว่านี้แน่ ๆ
เรื่องนี้รวมตัวละครสองเรื่องมาไว้รวมกันเหรอคะ (สารภาพว่าแอบจำชื่อตัวละครไม่ได้...แต่จำเนื่อเรื่องได้ว่ามันปวดตับแค่ไหน  :m15: ยังดีว่าคุณเมศแปะลิงค์ไว้ แหะแหะ) 
เช...ไม่รู้สึกรักคริษฐ์แล้วใช่มั๊ยคะ ถึงได้ให้ลองมองใครดู  ความรู้สึกมันห้ามกันได้ที่ไหนเนาะ  :เฮ้อ:
แล้วไตติลาจะได้เจอกษิดิสตอนไหนคะคุณเมศ
อา....อยากอ่านตอนต่อไปใจจะขาด  :sad4:
+1 ขอบคุณคุณเมศค่ะ   :pig4: 
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๒.๒ (๒๐/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 20-05-2010 15:40:49
มาต่อให้ตายใจ...อีกที(เเต่ดูเหมือนคนอ่านจะไม่)





ฝนยามบ่ายโปรยลงมาแล้ว ละอองน้ำเล็กๆ เกาะบนกระจกใส ทำให้ภาพเบื้องนอกเลือนลาง เหมือนหัวใจคริษฐ์ในวันนั้น หัวใจที่มองสิ่งใดไม่ชัดเจน ด้วยลมฝนของความคิดคำนึงที่โปรยปรายลงมาอย่างมิอาจห้ามได้

“คริษฐ์ เราสองคนน่ะ รักกันมากเกินไปหรือเปล่า?” สัมผัสจากเส้นผมอ่อนนุ่มคริษฐ์ก็ยังจำได้ ว่าเขาชอบจับเล่น

“อะไรคือมากเกินไปล่ะ”

“ไม่รู้สิ”อ้อมกอดนั้นกระชับขึ้น ยังคงอบอุ่น และอ่อนโยนเสมอ


เราไม่เคยทำสิ่งที่ ‘เราต่าง’ ไม่ชอบ และหลีกเลี่ยงมันเรื่อยมา นิทเชเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบวุ่นวายสังสรรค์กับเพื่อนฝูงที่มากเกินความจำเป็น ในขณะที่คริษฐ์ทำงานที่ต้องพบคนมากเป็นคนอัธยาศัยดี มีเพื่อนมาก
นิทเชชอบถ่ายภาพ เขารักมันยิ่งกว่าสิ่งใด เขามักไปไหนมาไหนคนเดียวกับกล้องคู่ใจ บันทึกภาพสิ่งที่ตนเห็นเก็บไว้ ทว่าไม่เคยบันทึกภาพคนที่เขารักไว้ ...เพราะคริษฐ์เคยบอกว่าไม่ชอบถ่ายภาพเพราะมีปมด้อย...เมื่อใดที่นิทเชหายไปจากบ้านออกไปตระเวนถ่ายภาพ คริษฐ์มักโทรศัพท์มักตามตัวความร้อนรนเสมอ และนิทเชก็รีบกลับทุกครั้ง เพื่อความสบายใจของ ‘เรา’

“ผมเป็นห่วง”

“ไปแค่แป๊บเดียวเอง ซื้อขนมมาฝากด้วย”

“ไว้เราไปด้วยกันไม่ดีกว่าหรือ?” นิทเชแค่รับคำในคอ ไม่มีใครพูดถึงมันอีก จนสุดท้ายนิทเชก็หลงลืมไปเสียเอง

ต่างคิดไปเพียงว่า อยากให้ ‘เรา’ มีความสุข….ก็แค่เท่านั้น



“เพื่อนแทบจะจำหน้าไม่ได้แล้วนะไอ้คริษฐ์” เพื่อนคนหนึ่งของคริษฐ์ ทักขึ้นเมื่อพบกันโดยบังเอิญ

“ก็ไม่ค่อยมีเวลา” มือแข็งแรงอบอุ่น ยังคงกอบกุมมือบางไว้ในอุ้งมือ สุภาพ และอ่อนโยนเสมอ

“แหม คุณเชปล่อยๆไอ้คริษฐ์มันมั่งเหอะครับ”

“เฮ้ย พูดงั้นได้ไง ข้าเนี่ยแหล่ะติดเขา ไม่ใช่เขาติดข้า” ชายหนุ่มพูดก่อนจะหัวเราะกับเพื่อนอย่างขบขัน โดยไม่รู้เลยว่ามือนวลบางในอุ้มมือ ค่อยๆดึงออกจากการเกาะกุม แผ่วเบา...เสียจนเขาไม่รู้ตัว

“ ว่างๆก็ชวนคริษฐ์ออกไปสังสรรค์บ้างนะครับ อยู่ติดบ้านเกินไปเดี๋ยวจะเบื่อ” นิทเชพูดออกไปทั้งที่ไม่รู้สึกอย่างนั้น คนฟังหัวใจวิบโหวง ความรู้สึกที่มันทับถมกันมานานปี กำลังจะเอ่อล้นตันตื้อขึ้นในจิตใจ

“รายนี้คุณเชต้องออกปากเอง เขาถึงจะไปแหล่ะครับ” นิทเชทำเพียงยิ้มน้อยๆ

ในเมื่อเราต่างอยากให้มีความสุข...แล้วเราในตอนนี้ มีความสุขจริงหรือเปล่า??
เราจะมีความสุขด้วยกันได้ โดยที่ตัวตนของเราต่างค่อยสาบสูญไปทีละน้อย ...เราทำอย่างนั้นได้จริงๆนะหรือ?


“แล้วถ้าได้ล่ะ”คริษฐ์ ตอบตัวเอง ทั้งที่มีคำถามอื่นๆผุดขึ้นมาอีก ความสัมพันธ์ของเราจะอยู่ต่อไปได้อีกสักเท่าไหร่?

“แล้วถ้าไม่ได้ล่ะ” นิทเชตอบตัวเอง ผลของมันจะทำให้เราต่างเจ็บปวด ต่างพังทลายลงหรือเปล่า? หรือจะปิดตาตัวเองต่อไป เพื่อให้เรายังอยู่ด้วยกันได้...อีกนิด

“ผมต้องเลือกหรือเปล่า?” น้ำเสียงที่เคยนุ่มนวลนั้น จริงจัง ดวงตาคู่นั้นที่เคยมีน้ำหล่อเลี้ยงฉ่ำหวานกลับแห้งผาก มือนวลกอบกุมมือแข็งแรงที่กำหมัดแน่นไว้

“ไม่ใช่คริษฐ์คนเดียวหรอก แต่เป็น ‘เรา’” น้ำเสียงแห้งแล้งนั้น ทำให้ริมฝีปากหยักสวยสัมผัสแผ่วผิวลงบนมือบาง

“เพียงแต่เราต้องรู้ไว้ เราจะมีทุกสิ่งตามหวังไว้ไม่ได้”

“แล้วอะไรคือสิ่งที่เราต้องการจริงๆล่ะ?” ดวงตาคู่นั้นที่เคยทอประกายอ่อนโยน ทอดมองอย่างดิ้นรนหาทางออก


ความรักหรือ?....เราจะยังกุมมือกันได้สนิทใจทั้งที่พิษของความเจ็บปวดกำลังกัดกินเรานะหรือ?

“แล้วความสุขล่ะ?”

“เชไม่มีความสุขหรือ?”

“มีสิ เรามีเสมอ เมื่อเราอยู่ด้วยกัน ...แล้วคริษฐ์คิดว่าเรา ‘เป็นสุข’หรือเปล่า?” ชายหนุ่มครุ่นคิด ทว่าให้คำตอบที่แน่นอนกับตนเองไม่ได้เช่นกัน

“แล้วถ้าไม่ เราก็ควรจบกันอย่างนั้นหรือ?”ดวงตาที่คอยสบกลับมาวูบหลบ

“แล้วแต่คริษฐ์”คนฟังยิ้มทั้งที่ดวงตาโศก

“จะแล้วแต่คริษฐ์คนเดียวได้ยังไง?”

“เราอาจจะแค่ต้องการเวลา” นิทเชอดไม่ได้เลย ที่จะยื้อความสัมพันธ์เอาไว้ พอๆกับที่ห้ามตัวเองไม่ให้หลั่งน้ำตาไม่ได้

“อืม...เราอาจจะแค่ต้องการเวลา ให้ตัวตนของเรากลับมา...อย่าร้องไห้เลย”น้ำเสียงอ่อนโยนติดจะอ่อนหวานนั้นกระซิบแผ่วเบา พลางกอดคนในอ้อมแขนไว้

“เพื่อนเชจะต้องว่าเอาแน่ๆ”

“นี่ร้องเพราะกลัวโดนเพื่อนว่าเอาหรืออะไร?”คนถามร้องเสียงหลงเมื่อถูกทุบเสียเต็มแรงก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“เราอาจจะเลิกกัน...” ริมฝีปากหยักสวย มอบสัมผัสอุ่นล้ำบนริมฝีปากบาง เนิ่นนาน ก่อนจะถอนจูบอย่างเสียดาย เมื่อสบดวงตาที่ยังเอ่อล้นด้วยน้ำตาคู่นั้น เขายิ่งมั่นใจในสิ่งที่กำลังจะพูด

“แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้รักกัน ใช่ไหม?” ชายหนุ่มยิ้ม นิทเชพยักหน้ารับพลางยิ้มตอบ

บางคนอาจพูดว่าโชคชะตาเปิดโอกาสให้เราต่างกลับไปค้นหาตัวตนของเรากลับมา ด้วยการสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเปลี่ยนแปลง’ นิทเชยิ้มกับตัวเอง โชคชะตาอาจจะช่วยครึ่งหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เป็นเราต่างหาก ที่ ‘กล้า’ พอจะเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า คริษฐ์และนิทเช กล้าพอ ที่จะถอยหนึ่งก้าวสำหรับความสัมพันธ์ ให้พื้นที่กับหัวใจตัวเอง ขณะเดียวกันก็ต้องเดินไปตามเส้นทางชีวิตของตนโดยไม่อาจหยุดยั้ง

“ย้ายไปทำงานต่างประเทศก็ดีนี่นา ใครเขาก็อยากไปกันทั้งนั้น ” นิทเชออกความเห็น ในค่ำวันที่ เราอยู่ด้วยกัน ...มิใช่คนรัก แต่เป็นเพื่อนใจ

“เป็นห่วงเช”

“ห่วงทำไม? เชก็ต้องเดินทางเหมือนกัน”

“ห่วงสิ เพราะเชต้องเดินทางไปหลายที่ ใครจะดูแล”คนพูดอดห่วงไม่ได้ แต่ก็ไม่กล้าขัด มากนัก เพราะรู้ว่านิทเชพยายามมาหลายปีกว่าจะได้รับการตอบรับให้เป็นช่างภาพนิตยสารสารคดีแห่งหนึ่ง

“ทุกคนก็ต้องเดินทางทั้งนั้น เดินไปบนทางเดินชีวิตของตัวเอง”

“คริษฐ์รู้ แต่มันก็อดห่วง...ไม่ได้”นิทเชยิ้มอย่างเข้าใจ เจ็ดปีเต็มที่คนตรงหน้านี้เฝ้าเอาใจใส่ดูแลกันไม่เคยบกพร่อง

“ดูแลตัวเองดีๆด้วยนะ อย่าทำงานจนลืมตัวเองไป เพราะเราต้องรัก...รักตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม”

“อืม...คริษฐ์เข้าใจ”

“ เชไม่ต้องยกลังนั้น เดี๋ยวคริษฐ์ยกเอง”ลังใส่หนังสือถูกนิชเลยกใส่รถที่จอดรอหน้าบ้าน โดยไม่ฟังเสียงค้าน

“มีอะไรต้องขนอีกไหม?”คริษฐ์ว่าไม่มีหรอก ก่อนจะเอื้อมมือมาจับไหล่บาง

“ไม่รู้จะได้เจออีกเมื่อไหร่”

“จะร้องเพลงสั่งนางด้วยหรือเปล่า?” นิทเชถามหน้าตาย ก่อนทั้งคู่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง

“ไม่ร้องหรอก เชก็รู้ ร้องเพลงเป็นปมด้อยพอๆกับถ่ายรูปเชียวล่ะ”มือนวลหยิบรูปหนึ่งออกจากกระเป๋าอกเสื้อ

“รูปนี้คงพอพิสูจน์ได้ ว่าปมด้อยเรื่องรูปถ่ายของคริษฐ์น่ะ ไม่จริงหรอก”


รูปถ่ายขาวดำของกิจวัตรประจำวันที่เจ้าตัวมักทำทุกเช้า เป็นการฝึกสมาธิให้ตัวเองมีสติก่อนออกไป ทำงานเสมอ คนในภาพนั่งบนเก้าอี้ ค้อมกายลงผูกเชือกรองเท้าตนเองในเช้าวันทำงานธรรมดาๆวันหนึ่ง ดวงตาของคนในภาพที่เงยหน้าขึ้นดูคล้ายมองสบในที แววตานั้นฉายประกายนิ่งสงบ และลุ่มลึกกว่าครั้งไหนๆ

“อ่านข้างหลังสิ”ช่างภาพออกปาก คริษฐ์ยิ้มเมื่ออ่านข้อความ

“มิใช่ไม่รักกัน”ไม่มีลงชื่อ หรือวันที่ มีเพียงลายมือหนักแน่นของตัวอักษรไม่มีหัวและเขียนเอียงน้อยๆ ทว่าดูสะอาดตา

“รูปสวยมาก ขอบคุณ” คริษฐ์ก้มลงพิจารณาพลางคาดเดาว่าช่างภาพไปเก็บภาพมาเมื่อไหร่

“ฝนจะตกแล้วนะ” เ สียงแผ่วเบาฟังคล้ายกระซิบนั้น ทำให้ดวงตาคู่คมมองรอบกาย ให้ได้คิดทบทวน ให้ได้ซึมซับความรู้สึกรักและเจ็บปวด ให้ได้เข้าใจ ‘เรา’ ที่ไม่ใช่ฉันท์คนรัก แต่เป็น ‘ตัวเรา’

“อืม ไปล่ะ ปิดประตูบ้านดีๆนะ” มืออุ่นร้อนยังคงสัมผัสอย่างสุภาพอ่อนโยนเสมอ ก่อนริมฝีปากหยักสวยที่ยกยิ้มน้อยๆจะมอบจุมพิตครั้งสุดท้ายลงบนหน้าผากใครอีกคน...ผิวแผ่วราวสายลม ที่พัดมาและผ่านเลยไป

๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒
คริษฐ์ลืมตาขึ้นอีกครั้งเนื่องจากเสียงเคาะประตู เขาเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง เขายังพอมีเวลาอีกพักใหญ่ก่อนจะลงไปเอาผ้าที่ใส่เครื่องซักผ้าแบบหยอดเหรียญที่ชั้นใต้ดิน ซองจดหมายสีขาวถูกสอดเข้ามาใต้ประตู ซองไม่ได้ผนึก หรือเขียนสิ่งใดไว้ ภายในคือเหรียญควอร์เตอร์ คริษฐ์จึงนึกขึ้นได้ถึงเด็กหนุ่มนักเรียนไทยที่เขาให้ยืมเหรียญ เมื่อเปิดประตูออกไป เขาเห็นเพียงแผ่นหลังเล็กๆในเสื้อแจ๊คเก็ตเรียบๆสีเทาหม่นเดินขึ้นบันไดก่อนจะเลี้ยวลับหายไป

ประตูอพาร์ทเม้นพีปิดลงอีกครั้ง ความเงียบสงัดของหัวใจตนเองทำให้ระลึกได้หนึ่งประการ ชีวิต ยังต้องดำเนินต่อไปแม้ว่าหัวใจอาจจะเหงาสักหน่อย ด้วยเพราะยังมีคำว่า ‘พรุ่งนี้’ ให้ได้เรียนรู้ ให้ได้คิด ให้ได้ก้าวเดินต่อไป

๒๒๒๒๒TBC๒๒๒๒๒


ไม่มีไรจะพูดอ่ะค่ะ






อ้อ



ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นนะคะ ช่วงนี้ตกงานเเล้ว (อดไปฝึกงานเลย) เเวะเวียนมาเยี่ยมชมดอมดมคอมเม้นต์บ่อยค่ะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 20-05-2010 15:59:59
^
^
^
จิ้มคุณเมศ 
พรุ่งนี้
สู้สู้ครับ เป็นกำลังใจให้เสมอ
ชื่อนิทเช เป็นภาษาเยอรมัน เพาะจัง
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๒.๒ (๒๐/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 20-05-2010 18:57:21
เป็นกำลังใจให้กันและกันค่ะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๒.๒ (๒๐/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 20-05-2010 21:05:15
อ่านอย่างมีความสุข :o8:
รักใหม่กำลังเริ่มหรือเปล่าเอ่ย อิอิ
+1 ขอบคุณค่ะ รออ่านตอนต่อไปน้าาา
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๒.๒ (๒๐/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 21-05-2010 22:32:34
ฮาๆ เดากันได้ตามสะดวกนะคะ เท่าที่อ่านคอมเม้นต์มา(รวมทั้งอีกบอร์ดด้วย) ก็ยังไม่ค่อยเข้าเค้า อิอิ

ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นนะคะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๒.๒ (๒๐/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 22-05-2010 02:21:14
ไม่ได้เข้าไปอ่านเรื่องสั้นนะคะ กลัวตัวเองรับไม่ได้ T^T
เท่าที่อ่านมาสองตอน แบบว่า..เชกับคริษฐ์.. ทำเราซึมแล้วค่ะ
เลยขอตามลุ้นกับเรื่องยาวดีกว่า
แต่อ่านแล้วรู้สึกชอบเชค่ะ ดูเชเจ็บปวดรึเราเจ็บปวดแทนเชก้อไม่รู้ 555+

เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๒.๒ (๒๐/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 22-05-2010 02:29:32
ชอบคำพูดปิดท้าย...
ยังมีคำว่า ‘พรุ่งนี้’ ให้ได้เรียนรู้ ให้ได้คิด ให้ได้ก้าวเดินต่อไป
ใช้ได้กับวันเวลานี้เลยนะเนี่ย อิอิ
โดยรวมตอนนี้กินใจความของเรื่องเก่าเล่าใหม่ในแบบยาวๆ
อ่านแล้วยิ้มๆ รู้สึกดีว่าในขณะที่เหงาๆ กลับยังมีคนอีกคนที่นึกถึงเราอยู่
แม้จะไม่ใ่เรื่องก็ตาม อย่างการเอาเหรียญมาคือ ^^
แล้วจะรออ่านต่อนะจ้ะ เมศ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๒.๒ (๒๐/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 22-05-2010 10:38:30
ยังรออ่านตอนต่อไปยู่ค่ะคุณเมศ...ท้าวความกันเป็นบทเลยอ่ะ
รอคุณดิส...แต่ไม่รอนิทเช
+1เป็นกำลังใจในการเขียน  ไฟท์ติ้งค่ะคุณเมศ!!!!
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๓.๑ (๒๓/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 23-05-2010 14:07:57


ตอน ๓.๑

   ไตติลากวาดสายตามองลานจอดรถของโรงเรียนที่เขาเรียนอยู่ คาบเรียนตอนค่ำเพิ่งผ่านพ้นไป  สมองของเขากำลังมึนชา อาจเพราะจากการเรียนเนื้อหาที่อัดแน่นหรือเพราะการรับรู้ข่าวสารมากไปก็ไม่อาจทราบ  รถของเพื่อนร่วมชั้นเรียน ค่อยๆทยอยแยกย้ายกันออกไป บางคนที่รู้จักกันก็โบกมือให้ ไตติลายิ้มบางโบกมือตอบ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า เขาก็ต้องกลับบ้านเหมือนกัน ร่างโปร่งนั้นเข้าไปนั่งในรถ  กลิ่นจากชั้นเรียนติดเสื้อผ้า เขาย่นจมูกเล็กน้อย แต่ก็เริ่มชินเสียแล้ว 

“อย่าดื้อนะครับไอ้ขาวลูกรัก” ไตติลาลูบคอนโซลหน้ารถอย่างถนอม  ช่วงนี้ไอ้ขาว ชักอาการไม่ดี เดี๋ยวลากไปซ่อมก็โดนอีกร้อยละซวยหนัก เขาใส่เกียร์เตรียมจะขับออกไป โทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดังขึ้นเสียก่อน

“ครับ”

“เฮ้ นี่ฮวนนะ” ไตติลารับคำในคอ เสียบหูฟังสำหรับโทรศัพท์ให้ปลอดภัยเสียก่อน ค่อยขับออกไป

“เมื่อคืนที่ไม่ได้กลับไปที่อพาร์ทเม้นต์ ....”

“อืมทำไมหรอ?” ไตติลานึกในใจ ใครจะกลับไม่กลับ เขาเกี่ยวที่ไหนกัน

“คือโดนตำรวจจับ เมาแล้วขับ” ไตติลาเหยียบเบรคอย่างแรงทั้งที่แทบไม่เหลือรถในลานจอดรถโล่งๆนี้แล้ว

“เฮ้ย  แล้วทำไงอ่ะ”

“ก็โดนยึดใบขับขี่ ไปศาล”น้ำเสียงคนตอบฟังดูเศร้าใจ จะไม่เศร้าได้อย่างไร กฎหมายบ้านเมืองเขาเบาเอาเรื่องหรือกับเรื่องเมาแล้วขับแบบนี้ 

“ต้องเข้าโปรแกรมด้วยเหรือเปล่า?”

“คงจะอย่างนั้น”

“ไอ้ที่ต้องไปดูศพด้วยใช่ไหม?” ก็ไอ้โปรแกรมที่ว่านี่แหล่ะ ถูกจับครั้งนึงคงเข็ดจนตาย นอกจากยึดใบขับขี่ จับปรับขึ้นศาลกันแล้ว ยังต้องเข้าโปรแกรม รวมถึงพาไปดูร่างผู้เคราะห์ร้ายจากการเมาแล้วขับด้วย  แน่นอนว่าไม่น่าดูแม้แต่น้อย

“ช่วยเอาของในห้องให้หน่อยได้ไหม  ตอนนี้ขับรถไม่ได้ แม่เพิ่งประกันตัวออกมาเมื่อเย็นนี้เอง” ไตติลารับคำ ก่อนจะคุยกันเรื่องค่าห้องแต่ละเดือนอีกเล็กน้อยก็วางสาย  รูมเมทคนนี้หน้าที่การงานค่อนข้างมั่นคงจึงไม่เคยเบี้ยวค่าเช่าห้อง แต่ด้วยเหตุนี้ เมทของเขาอาจจะไม่ได้อยู่ที่ห้องไปอีกระยะใหญ่ๆ  หวังว่าคงจะไม่คิดย้ายออกกระทันหันให้ตั้งหลักไม่ทัน


   ไตติลาขับรถกลับบ้านอย่างเหนื่อยๆ เปิดตู้จดหมายกวาดซองทั้งหมดออกมา ซองค่าประกันรถ...ซองบิลค่าจิปาถะมากมาย ใบปลิวโฆษณาต่างๆ ...แต่ไม่เคยมีจดหมายมาจากบ้าน ไตติลาปลอบตัวเอง นี่มันยุคดิจิตอลแล้ว ใครๆเขาก็ใช้อีเมลล์ สไคป์กันหมด เขาเอาปึกจดหมายแทรกไว้ในหน้าต้นๆของตำราเรียนเล่มหนา ก่อนจะค่อยเดินช้าๆขึ้นบันไดแต่ละขั้นไปอย่างเหนื่อยหน่าย  ชั่วอึดใจหนึ่ง เขาปรายตามองประตูห้องชั้นล่างที่ตรงกับห้องเขาที่อยู่ข้างบนครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวขึ้นไปทีละขั้นๆ

   ภายในอพาร์ทเม้นเจ มืดมิด มีเพียงไฟจากถนนที่ฝั่งตรงข้ามเป็นโบสถ์ รูมเมทสาวคงจะหลับ หรือออกไปข้างนอก ไตติลาไม่สนใจ ตรงเข้าไปไขประตูห้องตัวเอง  เมื่อไฟภายในห้องเปิดเขาจึงเห็นซองจดหมายปิดผนึกจ่าหน้าซองถึงเขา สอดไว้ใต้ประตู 

“ของลอเรน” เขาพอจะรู้ว่าภายในคงจะเป็นเช็ค  หรือเงินค่าเช่าห้อง  เขาเปิดซองด้วยความหวังเล็กๆในหัวใจ



ถึงติลา

   ฉันรู้ว่ามันซ้ำซาก แต่ติลา เดือนนี้ชั้นขอจ่ายอีกครึ่งที่เหลือช้าอีก เศรษฐกิจไม่ดีเอาเสียเลย มีแนวโน้มว่าจะเลย์ออฟอีก  แล้วจะรีบหาส่วนที่เหลือมาจ่าย
ขอโทษ
ลอเรน[/i]


   ไตติลารู้สึกหมดแรง ใจหนึ่งก็สงสารรูมเมทสาว เพื่อนคนนี้ไม่ใช่คนไม่ดี เพียงแต่ควบคุมการเงินของตัวเองได้ไม่ดีนัก จึงจ่ายเลทมาหลายครั้ง แต่อีกใจหนึ่งไตติลาก็สงสารตัวเอง เขาไม่ใช่เศรษฐีที่ไหน ต้องทำงานออกจะลับๆล่อๆเสียด้วยซ้ำ เพื่อหาเงินมาใช้จ่าย  เงินในบัญชีของเขาตอนนี้คงจ่ายส่วนที่เหลือทั้งหมดไม่พอ  ไม่เป็นไร...ค่อยๆคิดหาทางไปใจเย็นๆ  ไตติลาปลอบใจตัวเอง สักครั้งที่ล้านแล้วตั้งแต่มาที่นี้ แต่จะให้ถอดใจกลับบ้านไปนะหรือ ไม่มีทาง เขาสู้อุตส่าห์ดิ้นรนมาถึงขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องดิ้นรนต่อไป

   แม้หัวใจจะหนักอึ้งอย่างไร ไตติลายังคงดำเนินชีวิตปรกติ หาอะไรกินให้พออิ่ม อาบน้ำ อ่านหนังสือทบทวนและเตรียมบทเรียน ก่อนจะสวดมนต์เข้านอน ด้วยหวังให้ธรรมชโลมหัวใจให้สงบลงได้บ้างไม่มากก็น้อย เขานอนขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เริ่มจะเคลิ้มหลับด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายใจ ในหูแว่นเสียงฝีเท้าเดินที่ทางเดินหน้าห้อง เสียงก๊อกแก๊กที่ประตู ก่อนจะรู้สึกเหมือนมีคนโผล่เข้ามาดูว่าเขานอนหรือยัง อาจจะเป็นลอเรน รูมเมทสาวคงร้อนใจไม่แพ้กัน ไตติลากระซิบบอกในใจ ค่อยคุยกันพรุ่งนี้แล้วกัน


   


   เมื่อไตติลาลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง แสงสว่างสาดส่องเข้ามาเต็มที่แล้ว  อพาร์ทเม้นต์เจเงียบเชียบ เหลือเพียงไตติลาคนเดียว  เขาดูนาฬิกาครู่หนึ่งลอเรนคงออกไปทำงาน เขาก็ต้องออกไปเช่นกัน แต่ยังมีเวลาถมไปให้อาบน้ำทบทวนบทเรียนก่อนออกไป  ไตติลาเบื่อที่ต้องทำตัวเหมือนนาฬิกา เป๊ะไปเสียทุกอย่าง มันน่าเบื่อ ที่ต้องตื่นขึ้นมาเพื่อบังคับตัวเองให้ทำนู่นทำนี่  แต่เมื่อเขา ‘เลือก’ แล้ว จึงต้องพร้อมรับกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น ทั้งดีและไม่ดี  วันนี้เขามาทำงานเสิร์ฟเนื่องจากพี่ที่รู้จักกันโทรมาขอแรงให้ช่วยงานทีภัตรคารแห่งหนึ่งที่เน้นขายอาหารประเภทเส้น

“อ้าว ไม่เห็นรู้เรื่องเลย ” ไตติลาอุทาน เมื่อฟังเรื่องราวจากเจ๊เจ้าของร้านหลังจากช่วงเวลาที่ร้านคนเยอะผ่านไปแล้ว

“โน่น มันหอบข้าวหอบของจะกลับแล้วเนี่ย สงสัยทนอยู่ไม่ไหว หนักไม่เอาเบาไม่สู้ คงจะรอดร๊อก” ไตติลาฟัง...แต่ฟังเพียงพอผ่าน เก็บหูไว้ฟังเรื่องที่อยากจะฟังเสียจะดีกว่า

“แล้วทำไงอ่ะพี่ คนขาดแบบนี้?”

“ไม่รู้สิ เราว่างไหมล่ะ?” ไตติลาทำท่าคิดก่อนจะตอบรับ

“ได้นะพี่แต่เสิร์ฟฟรีไม่เอานา”

“ย่ะ”เจ๊เจ้าของร้านรับคำอย่างหมั่นไส้ เมื่อเห็นไตติลาทำหน้าทะเล้น ก่อนจะไปรับโทรศัพท์  ไตติลาเริ่มคิดเลขในใจ ค่าเช่าห้องส่วนที่รูมเมทยังจ่ายไม่ครบ น่าจะพอรอดไปได้อีกเดือน 

“ไอ้ติ โต๊ะเจ็ดดิ๊” คนในครัวเลื่อนถาดใส่อาหารให้เขายกไปเสิร์ฟ   ไตติลาทำหน้าที่ของตัวเองเป็นปรกติ ทักทายเล็กน้อยพร้อมทวนรายการอาหาร

“เอ๊ะ คุณไตติลาหรือเปล่า?”  คนถูกเรียกชื่อ เหลือมองเจ้าของเสียงนั้นแวบนึง

“อ้อ คุณคริษฐ์ มาทานอาหารหรือครับ?” เจ้าของชื่อรับคำน้อยๆ  ก่อนจะชิมอาหารตรงหน้า

“รสชาติเป็นอย่างไรครับ เขียนคอมเมนต์ได้เลยนะครับไม่ต้องเกรงใจ”คริษฐ์ยิ้มรับใบหน้าคมคายนั้นดูสว่างขึ้น จนคนมองยังลอบนึกชมว่าน่าดู

“ขอตัวนะครับ” ไตติลากลับเข้าไปหลังเคาท์เตอร์อีกครั้ง เจ๊เจ้าของร้านรีบมากระแซะ

“ใครอ่ะ รู้จักกันหรอ?”

“อืม อยู่อพาร์ทเม้นท์เดียวกัน เพิ่งจะเคยเจอเมื่อไม่นานมานี้เอง”

“หล่อนา เขาทำการทำงานอะไร”

“เจ๊ก็ไปถามเขาสิครับ”

“เอ้า ก็เห็นรู้จักกัน”

“รู้แค่ชื่อคริษฐ์”

“แน่ะเขาเรียก ไปสิ”เจ๊เจ้าของร้านรีบดันหลัง

“ทำไมเจ๊ไม่ไปเองอ่ะ”  สาวใหญ่ทำบุ้ยใบ้ไปที่ประตูหน้า ที่แท้สามีของเจ๊มาแล้วนั่นเอง

“คุณมีเมนูอะไรแนะนำอีกไหมครับ ผมยังไม่อิ่มเลย” ไตติลามองหน้าลูกค้าหนุ่มที่กินเป็นพายุ ลองเป็นไตติลาสิ ชามเดียวก็อิ่มถึงเที่ยงพรุ่งนี้แล้ว

“รับเป็นของหวานดีไหมครับ ร้านเราไอศกรีมมะม่วงอร่อยนะครับ หรือจะเป็นสมูธตี้ดีครับ เลือกที่ตู้ได้เลยครับ”

“ขอไอศกรีมมะม่วงก่อนเลยครับ ตั้งแต่มานี่ผมยังไม่เคยทานเลย” คริษฐ์พูดแล้วพลางยิ้มกว้างขวาง ไตติลารีบรับคำ ก่อนจะรับออเดอร์กลับไป

“เจ๊ไอติมมะม่วงหนึ่ง”

“ตักเลยสิยะ จะรออะไร”ไตติลายักไหล่ก่อนจะทำเสียเองทุกหน้าที่  แคชเชียร์ เดินโต๊ะ จัดจาน เอาให้ครบ เพราะวันนี้คนขาดจริงๆแม้ว่าจะเลยช่วงBusyไปแล้ว

“คุณเลิกงานกี่โมง?” คริษฐ์เงยหน้าถามขึ้นทันทีที่ไตติลาเดินมาถึง

“เที่ยงคืนได้มังครับ?” คนถามเหลือมองนาฬิกาครู่หนึ่ง เที่ยงคืนไม่ได้นานเกินไปนักนับจากนี้

“งั้นผมคงนั่งจนร้านปิด กลับไปก็ไม่รู้จะทำอะไร นอกจากมองโบสถ์” ไตติลาหัวเราะ สงสัยว่าการมองโบสถ์ยามว่างจะเป็นสิ่งที่คนอยู่ห้องฝั่งเดียวกันทำ

“ตามสบายเถอะครับ”



TBC 3.2


รู้สึกตอนต้นๆ มันเฉื่อยดีจริงๆ
ใครรอคุณดิส นิทเช ยกมือขึ้นนนน /*ยกมือเเขนติดหู  (เห็นคห.บนเเล้ว ขีดฆ่านิทเชออกก็ได้ หึหึหึ)

จะบอกว่า รอต่อไปค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ o18


ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๓.๑ (๒๓/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 23-05-2010 14:34:59
คริษฐ์กับติลา มาเจอกันไม่ชวนกันเหงาหรอเนี่ย 55+
เอ๊ะ..รึเหงา (-) มาเจอกับ เหงา (-) กลายเป็น หายเหงา (+)

แต่จากที่อ่านมาแค่นี้ ยังรู้สึกว่าอยากให้คริษฐ์กับเชกลับมาเป็นคนรักกันอีกล่ะ หุหุ
ยังติดตามอยู่นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๓.๑ (๒๓/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 23-05-2010 15:19:18
คริษฐ์กับติลาเจอกันแล้วอาจจะมีอะไรให้ทำแก้เหงา ^^
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๓.๑ (๒๓/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 23-05-2010 16:50:49
+1 ค่ะ
ชอบโครงเรื่องจังคุณเมศ

อ่านแล้วถึงจะเสียดายนิทเช
แต่รู้สึกว่า ... คงรีเทิร์นไม่ได้

ชอบนิทเชนะ
แต่ก็นะ เรื่องของความรัก
มีแค่คนสองคนที่รู้ ^^

ยังมี "พรุ่งนี้"  สินะคะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๓.๑ (๒๓/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 23-05-2010 21:37:21
คุณเมศมาต่อแล้วววววววว
เสียงดังก๊อกแก๊กในห้องของติใช่เสียงคุณดิสรึเปล่าคะ (คิดถึงคุณดิสมาก...อยากให้เจอกันเร็ว ๆ  แต่.....ต้องรอต่อไปใช่ป๊ะคะ55555)
แล้วจะกลับบ้านพร้อมกันรึเปล่าคะสองหนุ่ม
นั่งรอตอนต่อไปค่ะ
+1ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๓.๑ (๒๓/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 23-05-2010 23:28:35
 :z2: :z2: :z2:
พบเจอแรกเริ่ม เรียนรู้ และสานสัมพันธ์
อ่านแล้วยังคงยิ้มๆ มิตรภาพที่สานตัวขึ้นมาจะเป็นเช่นคงต้องลองอ่านดูต่อไป อิอิ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 24-05-2010 10:27:34
นิทเช ไตติลา โอ้ยยย  เพราะทั้งสองชื่อ เลือกไม่ถูกคนไหนดีหนอ  :man1:

ปล.รำเซไปทางนิชเช
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๓.๑ (๒๓/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: sakuu ที่ 24-05-2010 20:05:47
น่ารักค่า ดูเรื่อยๆดี...(อ่านแล้วเย็นใจ)
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๓.๒ (๒๕/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 25-05-2010 00:37:12
ตอน ๓.๒

ราวๆห้าทุ่มครึ่งไตติลาต้องเชิญลูกค้าคนสุดท้ายกลับ ก่อนจะเริ่มเก็บร้าน ปัดกวาดเช็ดถูให้เรียบร้อย ก่อนจะรับเงินค่าแรงสำหรับวันนี้พกใส่กระเป๋าแล้วขอตัวกลับก่อนมื้ออาหารที่มักทำทานกันก่อนแยกย้าย พร้อมกับคำไสส่งอย่างคนขี้เล่นของเจ้าของร้าน  ไตติลาสวมแจ๊คเก็ตไว้กับตัว ก่อนจะก้าวยาวๆไปยังรถของตัวเอง  อยากกลับบ้านอาบน้ำนอนจะแย่ ทว่าไอ้ขาวลูกรักก็สตาร์ทไม่ติดเสียนี่

“ไม่เอาน่าไอ้ขาว อยากกลับบ้านแล้ว ไม่เล่นแบบนี้นะ” แม้จะพยายามสตาร์ทอย่างไรก็สตาร์ทไม่ติด ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเคาะกระจกข้างคนขับ

“คุณคริษฐ์!” ไตติลานึกแปลกใจ ชายหนุ่มออกจากร้านไปพักใหญ่แล้วทำไมยังอยู่แถวนี้อีก

“รถเสียหรอ เปิดกระโปรงหน้ารถหน่อยได้ไหม?” ชายหนุ่มอายุอ่อนกว่าเลือกไม่ได้ เขาไม่มีความรู้เรื่องเครื่องยนต์กลไกแม้แต่น้อย

“อือฮือ”คริษฐ์ถึงกับอุทานเมื่อเห็นสภาพรถชัดๆ รอบตัวถังมีรอยแผลจากการชน จากความทรุดโทรมจากการใช้งานมากมาย

“เอาไปขับที่ไหนมา” ไตติลายิ้มเหย

“ไว้มีตังค์ก็จะซ่อมอยู่หรอกครับ”

“ตอนคุณลงไปเปิดไฟทิ้งไว้หรือเปล่า รถไฟหมดนะ มีสายจัมป์ไหม?”ไตติลาส่ายศีรษะ คริษฐ์นึกขัน ไม่มีหรือไม่รู้กันล่ะ

“คุณเห็นรถอัลติมาตรงนั้นไหม? นั่นรถผมช่วยเลื่อนมาใกล้ๆที….” คริษฐ์ยื่นกุญแจรถให้ ไตติลายิ่งนึกแปลกใจขึ้นไปอีก ว่าทำไมถึงไว้ใจคนที่เพิ่งรู้จักกันนัก

“อะ..เดี๋ยว อย่าชนนะครับ”  คนพูดพูดยิ้มๆ คนฟังได้แต่เม้มปากแล้วหลุบตาลงเล็กน้อยคล้ายกับจะซ่อนอารมณ์ไว้ ก่อนจะรับกุญแจไป

“เอาไอ้นี่ใส่รถให้ด้วยได้ไหมครับ?” คริษฐ์พูดพลางชี้ที่ปลายเท้าตัวเอง เป็นเบียร์แพคหนึ่งที่ทำหูหิ้วไว้พร้อม ไตติลามองหน้าคนไหว้วานด้วยดวงตาเป็นประกายวาว ทว่ายังทำสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะยอมหิ้วไปด้วยจนได้ 

“ไหนคุณว่าไม่มีสายจัมป์” คริษฐ์ว่าพลางลากสายออกมาจากกระโปรงหลัง เมื่อไตติลาเคลื่อนรถมาใกล้แล้ว

“ผมไม่ได้บอกว่าไม่มี”

“ก็คุณส่ายหัว”

“ผมบอกว่าไม่ได้เปิดไฟอะไรทิ้งไว้เฉยๆ” คนฟังหัวเราะเอ็นดู

“เอ้า ถือ!” มือใหญ่ยื่นขั้วสายจั๊มป์แบตส่งให้

“หนีบขั้วลบก่อน”ไตติลาลอบทำหน้าแหยงๆ ก่อนจะง้างหนีบเข้ากับขั้วแบตอย่างหวาดๆ

“เวลาหนีบก็หนีบขั้วลบก่อน เอาออกก็เหมือนกัน หัดไว้จะได้ทำเป็น” น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างผู้ใหญ่ใจเย็นทำให้ไตติลายอมฟัง

“เห็นไหม สตาร์ทติดแล้ว” ไตติลาถอนใจโล่งอก

“ขอบคุณครับ”คริษฐ์รับไหว้พลางอมยิ้ม

“กลับบ้านเถอะ ดึกแล้ว เดี๋ยวพี่ขับตามหลัง”


   ไตติลากลับเข้าอพาร์ทเม้นต์เจโดนสวัสดิภาพ เช่นเดียวกับเจ้าของอพาร์ทเม้นต์พี ไฟในห้องลอเรนยังสว่าง ไตติลาเกือบลืมไปแล้วว่าต้องคุยกับรูมเมทสาว เขาตัดสินใจแล้วว่าจะจัดการอย่างไรกับเรื่องนี้ รูมเมทสาวไม่ใช่คนไม่ดีอะไร ยกเว้นเรื่องกินไม่ล้าง  จัดว่าเป็นคนค่อนข้างสนิทเสียด้วยซ้ำ ทว่าไตติลาก็จำใจต้องตัดสินใจแบบนี้

“ลอเรน ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม?” ไตติลาพูดพลางเคาะประตู จนรูมเมทสาวเปิดประตูออกมา แม้จะค่อนข้างสนิทกันแต่ไตติลาก็ไม่เคยย่างเท้าเข้าไปในห้องเพื่อนหญิงคนไหนๆ  หรือต่อให้เกาะกรอบประตูคุยก็ไม่เอา เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นผู้หญิง แม้จะเป็นเลสเบี้ยนก็ตาม

“มาเถอะไปคุยกันที่ห้องนั่งเล่น”

“ติลาฉันขอโทษนะที่จ่ายค่าห้องไม่ครบมาหลายครั้ง แต่ว่าฉันไม่มีจริงๆ เลยไปขอยืมแม่ แม่ก็ไม่มีให้อีก  ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน” ไตติลารับฟังเงียบๆ สังคมอเมริกันก็แบบนี้ เมื่อโตเป็นหนุ่มสาวก็แยกบ้านออกมาอยู่คนเดียว

“ก็เศรษฐกิจย่ำแย่ขนาดนี้ จะทำอย่างไรได้”

“ไม่รู้จะโดนเลย์ออฟกันอีกเมื่อไหร่”

“ลอเรนลองมองหาที่อยู่ที่อื่นดูดีไหม? ฉันไม่เร่งรัดลอเรนนะ ฉันจะลงประกาศหาเมทใหม่ ระหว่างที่ยังไม่มีใครติดต่อเข้ามา ลอเรนก็อยู่ไปก่อน เอาอย่างนี้ดีไหม?” ไตติลามองเข้าไปในรูมเมทสาว ทำไมเขาจะไม่เข้าใจหัวอก แต่เขาก็ต้องดำรงชีวิตอยู่เช่นกัน

“อืม  หรือถ้าไร้หนทางแล้วจริงๆ คงจะกลับไปอยู่กลับแม่สักพัก”  ลอเรนพูดเสียงแผ่วเบา ไตติลาไม่ได้อยากใจร้าย แต่เขายอมได้เท่านี้จริงๆเช่นกัน

“ขอบคุณนะ”

“อืม ลอเรนไปนอนเถอะ ดึกแล้ว”

   
   รูมเมทสาวกลับเข้าห้องนอนไปแล้ว อพาร์ทเม้นต์เจตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง  ไตติลาคลานขึ้นเตียงเมื่อเวลาตีสองกว่า  ลืมตามองเพดานอยู่นานช้าจึงยอมหลับตาลงได้  ในสมองกำลังปั่นป่วนครุ่นคิด จนข่มตาไม่หลับ จึงต้องพยายามทำให้สงบลงด้วยการสวดมนต์ซ้ำไปซ้ำมาทั้งที่ไม่ใช่คนเคร่งศาสนาอะไร แต่ในเวลานี้บทสวดง่ายๆที่แม่บังคับให้ท่องมาแต่เล็ก เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ช่วยให้จิตใจสงบลงได้บ้าง ขณะที่เขากำลังจะหลับ เขาได้ยินเสียงคนเดินไปมาที่โถงทางเดิน ได้ยินเสียงเปิดปิดประตู ได้ยินเสียงเพลงแจ๊สแผ่วเบา

Sometimes I wonder why I spend
The lonely nights dreaming of a song
The melody haunts my reverie
And I am once again with you
 
Though I dream in vain
In my heart it always will remain
My stardust melody
The memory of love's refrain

บางคราวตัวฉันเฝ้าสงสัย เหตุใดจึงเดียวดาย
ใช้ค่ำคืนโดดเดี่ยวพาฝันผ่านบทเพลง
ท่วงทำนองหลอนห้วงจินตกาล
ดังได้หวนคืนเคียงกาย

แม้ตัวฉันจักเฝ้าฝัน
ในดวงใจกลับเฝ้าเตือน
ด้วยท่วงทำนองชวนฝัน
นั้นคือเสี้ยวทรงจำแห่งรักไม่หวนคืน
Nat king cole
‘stardust’


TBC


มาต่อเร็ว เพราะว่าของสัปดาห์นี้เขียนเสร็จเเล้ว เย้เย~ ( เขียนนำอยู่สักสี่ตอนได้ค่ะ) อาทิตย์นึงเขียนประมาณตอนนึงได้ค่ะ

สำหรับเพลงประกอบ เเปลย๊ากกกกยาก ค่ะเลยเอาเท่าที่เข้าเค้าเเล้วกันนะคะ เหอๆๆๆ เวอร์ชั่น Nat king cole อาจจะเก่าไปสักหน่อยนะคะ มีนักร้องหนุ่มๆรุ่นใหม่มาร้องไว้เหมือนกัน เช่น พ่อปูเป้ (ไมเคิล บูเบล่) ลองฟังได้ตามลิ้งค์นี้เลยค่ะ

Stardust (http://www.youtube.com/watch?v=cINpA4sSzu0)
ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นนะคะ
เจ้าของเสียงก๊อกเเก๊กในห้องไตติลาจะเป็นใคร  คุณคริษฐ์จะเริ่มออกตัวกับไตติลาไหม โปรติดตามตอนต่อไป (ชวนเชื่อสุดฤทธิ์ o18)
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๓.๒ (๒๕/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 25-05-2010 01:56:22
 :z2: :z2: :z2:
อ่านแล้วชอบไตติลาจังตอนนี้ เหมือนเด็กเล็กๆที่ต้องการใครสักคนมาดูแล
แต่ขณะเดียวกันก็มีความเด็ดเดี่ยวเพื่อเอาตัวรอดไปด้วย
ที่ชอบที่สุด คือ ที่ส่ายหน้า อยากเข้าไปเห็นในเหตุการณ์ด้วยจัง อิอิ
แล้วจะรออ่านต่อนะเออ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๓.๒ (๒๕/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 25-05-2010 07:01:03
ไตติลาน่ารัก
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๓.๒ (๒๕/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 25-05-2010 08:20:50
ความหมายดีจังครับ เห็นด้วยอ่านแล้วรู้สบายๆเย็นๆ เรื่อยๆ
เป็นกำลังใจให้ครับ :man1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๓.๒ (๒๕/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 25-05-2010 09:21:12
ไตติลา...เหงามั๊ยคะ?
คริษฐ์...เหงาเหมือนกันใช่ป่่ะคะ  หึ!!หาเอาใหม่เหอะเพ่..ติน่ะ..เราจองไว้ให้คุณดิสแล้ว  :laugh:
ชอบวิธีการเล่าเรื่องของคุณเมศจังค่ะ มันสื่ออารมณ์แบบต่าง ๆ ได้ชัดเจนดี  แล้วก็เข้าถึงความเหงาได้ดีมากด้วยค่ะ  สงสัยจะเหงาทุกวัน  มาค่ะ  กอดกันแน่น ๆ จะได้ไม่เหงา(แต่จะเปลี่ยนมาเขินกันแทน 555+)
+1 ขอบคุณค่ะคุณเมศ  :pig4:
ยังหวังว่าเสียงในห้องของติจะเป็นคุณดิสค่ะ  :-[
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๓.๒ (๒๕/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 25-05-2010 14:45:37
ไตติลา  ><
ดูเป็นคนน่าทะนุถนอมนะ ...
คุณคริษฐ์ ก็ดูเป็นผู้ใหญ่ดีอ่ะ

อยากได้แฟนแบบนี้ !!!!!

หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๓.๒ (๒๕/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 25-05-2010 17:57:42
อืม... คริษฐ์กับไตติลาเข้าใกล้กันอีกนิดแล้ว
แต่แบบว่า.. ไม่เชียร์ได้ป่ะ ฮ่าๆๆ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๓.๒ (๒๕/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ryze ที่ 25-05-2010 19:39:51
 :-[

แอบอ่านสับสนระหว่างไตติลากับ คริษฐ์ (เขียนยากจัง) ล่ะ

เขินจัง

แต่ชอบบ อิอิ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๔ (๒๘/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 28-05-2010 12:09:34
ตอน ๔.๑

คริษฐ์จอดรถที่หน้าร้านอาหารร้านเดิมเพราะเป็นทางผ่านจากที่ทำงานไปที่พัก รสชาติอาหารก็จัดว่าอร่อยในราคาย่อมเยาว์ อาจเพราะเขามาบ่อยเสียจนพนักงานร้านจำได้ จึงทักทายคุยเล่นกันเป็นปรกติ ดวงตาคมกวาดมองพนักงานในเครื่องแบบเหมือนๆกัน ทว่าไม่เห็นไตติลา บางทีอาจจะมีเรียน เขายิ้มก่อนจะรับเมนูอาหารมาเปิดพลิกดู

“แหม คุณคริษฐ์มาบ่อยดีจังค่ะ ติดใจอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะเนี่ย?” เจ๊เจ้าของร้านวันนี้ออกมารับออเดอร์เองทัก คนฟังหัวเราะ

“ก็อาหารที่นี่อร่อยดีนี่ครับ”คริษฐ์สั่งอาหารแล้วนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างร้าน สักครู่อาหารร้อนๆก็มาถึงโต๊ะ

“อาหารที่สั่งได้แล้วครับ ขอทบทวนรายการอาหารนะครับ” คนพูดยกถาดอาหารวาง ทบทวนรายการอาหารด้วยภาษาอังกฤษเร็วปรื๋อโดยไม่สนใจจะมองหน้าลูกค้าแม้แต่น้อย คริษฐ์เท้าคางมองแล้วอมยิ้ม

“ไง ลืมปิดไฟในรถหรือเปล่าวันนี้” ดวงตาวาววับที่วันนี้ถูกแว่นสายตากรอบหนาบังทอประกายคมปลาบแวบหนึ่งก่อนจะหลุบตาลงอึดใจ แล้วจ้องมองคนถามกลับไปบ้าง

“เปล่าครับ รายการอาหารครบแล้วนะครับ ขาดเหลืออะไรเรียกได้เลยนะครับ” ไตติลาพูดแล้วยิ้มมุมปากนิดหนึ่งเหมือนไม่ค่อยเต็มใจ ก่อนจะเดินกลับไปทำงานอื่นๆอีก

“เดี๋ยวสิ วันนี้เอาสมูธตี้สตรอเบอร์รี่นะ ขอท๊อปปิ้งเยอะๆ”ลูกค้าทำท่าใส่ท๊อปปิ้งประกอบ

“แหมน่ารักจริงๆเลย คุณคริษฐ์เนี่ย” เจ๊เจ้าของร้านเปรยอย่างปลื้มๆ

“น่ารักตรงที่เป็นลูกค้าประจำใช่ไหมเจ๊”

“แน่สิยะ”

“ฉันว่าเขาเป็นแน่เลยว่ะแก” เพื่อนสาวคนสนิทที่วันนี้มาทำงานด้วยกันรีบเสนอหน้าออกมาจากหน้าต่างห้องครัว

“เป็นอะไร Swine Flu หรอวะ”

“เป็นเก้งหนุ่มหรือกวางหนุ่มนะสิแก” เพื่อนสาวทำมือเป็นเขาบนศีรษะตัวเอง

“นั่นมันควาย” ไตติลาหัวเราะขัน ก่อนจะทำเมนูของหวานตามที่ลูกค้าสั่ง

“ตาถั่ว!”

“ยกไปเสิร์ฟเลยปะ” ไตติลาปัดให้เพื่อนสาวทำแทน

“แกนั่นแหล่ะไป” ไตติลายักไหล่ ก่อนจะยกออกไป แต่ยันไม่ทันพ้นเคาท์เตอร์เพื่อนสาวก็ดึงตัวไว้

“ระวังเก้งกวางกระโดดตัดหน้าเอานา”

“เพิ่งโดนชนมา ยังเสียหายอยู่เลย”

“แกยังทำใจไม่ได้อีกหรอวะ?” เพื่อนสาวลดเสียงเหลือเพียงกระซิบ

“เปล่า” ไตติลาตอบโดยไม่สบตา ก่อนจะเดินออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง



คริษฐ์ละเลียดชิมของหวานพลางอ่านเอกสารงานของเขา การได้เปลี่ยนบรรยากาศออกมานั่งตามร้านอาหารไม่อุดอู้อยู่ที่ทำงาน หรืออยู่แต่ในห้องตัวเองทำให้หัวสมองแจ่มใสดีทีเดียว เขาจึงเลือกมานั่งที่นี้บ่อยๆ คราวละนานๆ อาจเพราะวันนี้ร้านคนไม่มากออกจะเงียบเหงาเสียด้วยซ้ำ จึงเห็นพนักงานร่างโปร่งลากเท็กซ์บุ๊คเล่มหนามานั่งเปิดอ่านข้างๆโทรศัพท์ด้วยท่าทางตั้งอกตั้งใจ รับโทรศัพท์จดออเดอร์ด้วยภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงที่ใครหลายคนน่าจะแอบอิจฉา อะไรก็ดีหรอก...เสียอย่างเดียวไม่ยอมยิ้ม

“อ้าว จะไปแล้วหรือคะ?” เจ๊เจ้าของร้านรีบถามทันทีที่คริษฐ์มาชำระเงิน ไตติลาเงยหน้าขึ้นมองครู่หนึ่งก็ก้มลงอ่านหนังสือต่อ

“ครับ วันนี้เหนื่อยๆ”

“แหม สุดสัปดาห์แล้วค่ะพรุ่งนี้พักผ่อน ชาร์จแบตไว้ทำงานต่อสัปดาห์หน้า” ไตติลาฟังๆแล้วนึกอยากมีสุดสัปดาห์กับเขาบ้าง

“วันเสาร์นี้คุณทำอะไรหรือเปล่า?”ไตติลาได้ยินเสียงคริษฐ์ แ ต่ไม่ยักมีใครตอบ จึงเงยหน้าขึ้นมอง ทุกคนจ้องเขาเป็นตาเดียวราวกับรอคอยคำตอบ

“เอ่อ....ทำงาน....มั้งครับ”

“แย่จัง ผมกำลังหาคนไปช่วยเลือกของฝากส่งกลับเมืองไทย สงสัยต้องไปคนเดียวเสียแล้ว”

“แหม ถ้าเจ๊ว่าง เจ๊ช่วยก็ได้ค่ะ”

“ถามสามีเจ๊ก่อนดีกว่าม๊างง” เสียงใครแว่วๆมาจากในครัว เรียกเสียงฮากันครืน

“เอาเถอะ ไม่เป็นไรหรอกครับ สมูธตี้อร่อยมากแล้วจะแวะมาทานอีกบ่อยๆ”


๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔

คริษฐ์จอดรถหน้าอพาร์ทเม้นต์ของตัวเอง ไขเปิดตู้ไปรษณีย์อพาร์ทเม้นต์พีตามปรกติ ห่อพัสดุระบุถึงตัวเขา ที่มาจากเมืองไทย ทำให้เขายิ้มกว้างขวาง เขารีบแกะมันออกทันทีที่ปิดประตูห้องลง นิตยสารฉบับหนึ่งที่ภายในมีโพสต์อิทแปะไว้ เขียนด้วยลายมือคุ้นเขียนข้อความสั้นๆ ‘ได้พิมพ์แล้ว แต่ยังไม่ใช่กระทิง’คนอ่านข้อความหัวเราะ ภาพภูเขาที่สลับซับซ้อนที่สีแสงแห่งธรรมชาติแต่งแต้มราวกับภาพวาด ภาพสัตว์ใหญ่น้อย และภาพต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาอย่างมั่นคงบนลำต้นตรงสูงตระหง่านกว่าต้นอื่นใด เพียงหลับตาลงจินตนาการ คริษฐ์ก็เห็นเจ้าของภาพ แหงนเงยมองต้นไม้สูงใหญ่นั้นจนคอตั้งบ่า ยกกล้องตัวเก่งขึ้นเก็บภาพ

“คิดถึง” เขารำพันออกมาแผ่วเบาราวฝากถ้อยความแขวนลอยไปในอากาศ

เขารีบตอบอีเมลล์นิทเชด้วยหัวใจเบิกบาน ทั้งที่รู้ ระยะนี้นิทเชคงจะไม่ได้เช็คอีเมลล์บ่อยนัก เพราะเจ้าตัวคงเดินท่อมๆเข้าไปในป่า ตามหาตัวโจทย์ที่ได้รับมอบหมาย ความรู้สึกพองฟูในอกมันอัดแน่นจนยากเกินกว่าจะเก็บไว้คนเดียว เขาจึงเลือกโทรหาเพื่อนสนิทที่สุดคนหนึ่ง

“เขาส่งนิตยาสารมาให้ดูว่ะ ว่างานเขาได้พิมพ์แล้ว เขาคงดีใจน่าดู”

“ก็เลยดีใจกับเขาด้วยสิ”ปลายสายหัวเราะ

“แน่สิ เขารอโอกาสนี้มาตั้งกี่ปี” คำตอบคือเท่ากับจำนวนปีที่คริษฐ์คบกันนิทเชนั่นเอง

“ช่วงนี้ได้คุยกับเชเขามั่งหรือเปล่า?”

“ไม่ค่อยหรอก เรางานยุ่ง เชก็คงจะยุ่งเหมือนกัน”

“กูขอเดาว่ามึงยังรักเขาอยู่”

“แน่สิวะ”

“ไอ้คริษฐ์ มึงตัดใจได้แล้ว”ปลายสายทำเสียงอ่อนใจ

“ทำไมวะ?” คริษฐ์ถามทั้งที่ร่องรอยของความสุขยังอ้อยอิ่งอยู่ในหัวใจ

“กูว่า เขามีคนใหม่แล้วว่ะ มึงตัดใจเหอะ”

“ว่าไงนะ?” คริษฐ์ถามอย่างไม่เชื่อหู หัวใจที่เคยพองคับอกกลับแปบพับลงโดยพลัน

“กูเห็นช่วงสิ้นเดือนเขาเข้ากทม. ไปกินข้าวกับไอ้หนุ่มที่ไหนไม่รู้ หน้าตารกๆ พอดีกูไปเจอเขาพอดีเลยทักกัน”

“เพื่อนเขาหรือเปล่า?”

“เขาก็บอกว่าเป็นเพื่อนที่ทำงานน่ะแหล่ะ แต่กูดูแววตาเพื่อนเขามองเขาแล้วกูว่ามันไม่ใช่ว่ะ” คริษฐ์พูดอะไรไม่ออก ถ้อยคำเหล่านั้นเหมือนระเหยหายไปสิ้น

“มึงเป็นไรไหมวะไอ้คริษฐ์” ปลายสายเงียบไปอึดใจหนึ่ง

“หรอ....ก็ดีนะ อย่างน้อยนิทเชจะได้มีคนดูแล ไม่เหงา”

“อืมดูๆแล้วไอ้หนุ่มคนนั้น เขาคงไม่ใช่คนเลวร้ายหรอก”

คริษฐ์วางสายไปเมื่อไหร่เขาจำไม่ได้ ความรักของคนอยู่ไกลเป็นเช่นนี้เอง เหมือนเป็นแต่เพียงดาวเทียมที่หมุนรอบวงโคจร เฝ้ามองมาจากที่ไกลๆ ทำได้เพียงรับส่งสัญญาณแห่งความรักและคิดถึงเป็นบางครั้งคราว โดยไม่รู้ว่าผู้รับได้รับหรือไม่ หรือรับแล้วจะรู้สึกตอบสนองอย่างไร และไม่รู้ว่าตัวเองหลงทางในห้วงความรู้สึกของตัวเองไปถึงไหน ใกล้...เท่ากับระยะความรัก ทว่าไกล...ราวระยะของความรู้สึก

ชายหนุ่มบอกตัวเอง เขายังไม่ปักใจเชื่อเสียทั้งหมด นิทเชยังไม่เคยบอกเขา หรือส่งสัญญาณใดๆ ต่างยังพูดคุยกันปรกติ ชายหนุ่มคิด อยากได้ยินเสียจากปากนิทเชด้วยหูของตนเอง มันอาจเป็นเพียงเรื่องไร้สาระให้ฟังหูไว้หูเสียก็เป็นได้ คริษฐ์พยายามทำใจให้สงบ ทำราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทั้งที่ในหัวใจกลับหาความสงบไม่ได้ เขาอยากจะคว้าโทรศัพท์โทรหานิทเชเสียให้รู้เรื่องแต่อีกใจก็ไม่กล้า เพราะอะไรนะหรือ....เพราะ ‘เรา’ ไม่ใช่เราสองคน แต่เป็น ‘ตัวเรา’ จนเมื่อเวลาล่วงเลยเกือบเข้าวันใหม่ โทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มจึงมีสายเรียกเขา เจ้าของเครื่องชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับ

“ครับ?”

“ดีกแล้วนะ ยังไม่นอนอีกหรือ?” เจ้าของเสียงสดใสยังเรียกรอยยิ้มให้เขาได้เสมอ ทว่าวันนี้ไม่เหมือนวันก่อนๆ หัวใจมันหวังและสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก

“ถ้านอนแล้วจะรับโทรศัพท์ได้ยังไง?”

“ละเมอละมั้ง”

“ภาพสวยดีนะ”

“ได้รับ เร็วจริง”

“ได้แล้ว ไปถ่ายคนเดียวหรอ?” ปลายสายเงียบไป ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเบาแทบเป็นกระซิบ

“มีใครบอกอะไรหรอ?” คริษฐ์ฟังแล้วหัวเราะ ทว่าเสียงหัวเราะของตัวเองฟังดูแห้งแล้งกว่าทุกคราว

“ใครจะบอกอะไรมันสำคัญที่ไหน แค่ถามเฉยๆ เพราะเรา....ไม่ใช่ ‘เรา’ อย่างเมื่อก่อนแล้ว....จริงไหม?” คนที่ปลายสายเงียบไปได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจแผ่วเบา

“เชไปกับเพื่อน” คริษฐ์พลิกนิตสารเล่มในมือแผ่วเบา สายตาของเขาจับจ้องภาพๆนึง สัตว์ป่าสองตัวคล้ายกวางยืนเคล้าเคลียกันในหนองน้ำนิ่งๆ ท่ามกลางขุนเขาโอบล้อม ภาพดูสงบ และเป็นสุขยิ่ง

“เขารักเชหรือเปล่า?” คริษฐ์หลุดปากถามออกไป นิทเชทำเสียงราวกับคนจมน้ำ

“รัก”

“แล้วเชรักเขาหรือเปล่า?” อีกครั้งที่ปลายสายเงียบไป หัวใจคนถามเต้นอย่างคาดหวัง ทั้งที่เจ้าของหัวใจดวงนั้นเองก็ไม่แน่ใจ ว่าคาดหวังสิ่งใด

“ก็....รัก” คริษฐ์หลับตาลง ฟังน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับขาดความมั่นใจนั้น ชายหนุ่มพยายามอย่างยิ่ง ให้หัวใจตนเองไม่รู้สึกรู้สา

“หรอ ก็ดีแล้ว”


หากคริษฐ์คิดว่าการหลอกตัวเองให้หัวใจไม่เจ็บปวดนั้นสามารถทำได้ง่ายดายละก็ ชายหนุ่มคิดผิดถนัด เพราะหัวใจเขายังคงเต้นอยู่ในอกนี้ส่งผ่านพิษร้ายของความร้าวระบมไปตามร่างกายอย่างช้าๆ ทว่าน่าแปลกใจตรงที่ คริษฐ์ไม่มีน้ำตาให้หลั่งไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว

TBC ๔.๒
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๔.๑ (๒๘/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 28-05-2010 21:07:38
เงียบเหงา วังเวง โหลงเหลง โบ๋เบ๋
 :t3:


ตอนที่เเล้วมี stardust เป็นเพลง "ปลากรอบ" ไปเเล้ว

ตอนนี้มีเหมือนกันค่ะ  คิดว่า นักเขียนบางท่าน น่าจะมีอาการเดียวกันกับเมศเวลาขีดเขียน คือมันต้องฟังเพลง 55+

เพลงประจำตอน ๔ นี้คือ Give me strength : Snow patrol (http://www.youtube.com/watch?v=Njg3JDOE610) ลองฟังดูนะคะ

ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นเช่นเดิมค่ะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๔.๑ (๒๘/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 28-05-2010 21:57:07
เรื่องนี้เหมือนเคยเป็นเรื่องสั้นที่ คุณภาณุเมศ เคยเอามาลงให้อ่านหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๔.๑ (๒๘/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 28-05-2010 21:59:32
^
^
^
จิ้มพร้อมตอบว่า ใช่ค่ะ เป็นการเอาเรื่องสั้นสองเรื่องมาขยายเป็นเรื่องยาวค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๔.๑ (๒๘/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 28-05-2010 22:06:19
อ๋อ เข้าใจแล้วค่ะ กำลังตามอ่านอยู่นะ ชอบชื่อไตติลา แปลกดี
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๔.๑ (๒๘/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 28-05-2010 22:24:55
อ่านตอนนี้แล้วเจ็บปวดเลย ก่อนหน้านี้สงสารนิทเชเพราะรู้สึกรับรู้ถึงความเจ็บปวดของนิทเชมากกว่าคริษฐ์
แต่มาวันนี้รู้สึกสงสารคริษฐ์มากๆเลยค่ะ อ่านจบแล้วใจหายวูบเลยแหละ  :monkeysad:

เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๔.๑ (๒๘/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 29-05-2010 02:31:35
น้ำตาตกเลยอะ ความรักมันช่างทำร้ายกันได้ลงคอ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๔.๑ (๒๘/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 29-05-2010 20:19:20
 :monkeysad: เหงาๆ เศร้าๆมากเลย...
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๔.๒ (๓๐/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 30-05-2010 00:08:35
ตอน ๔.๒


ไตติลายกกองหนังสือพิมพ์ภาษาไทยมัดใหญ่ลงจากรถตู้หลังจากยกของหนักขึ้นๆลงมาตลอดทั้งเช้า หลังไหล่ของเขากำลังร้องอุทธรณ์อย่างเงียบๆ ขณะที่ไตติลาบอกตัวเองว่าที่นี่เป็นแหล่งสุดท้ายแล้วสำหรับวันนี้ เขายกมัดหนังสือเดินตัวเอียงเข้าไปในร้านอาหารไทยร้านหนึ่ง ทักทายกันพอเป็นพิธีก่อนจะกลับออกมาขึ้นรถตู้คันเดิม

“หมดแล้ว เหนื่อยไหม?” เพื่อนร่วมงานหญิงของเขาพูดขึ้น ต่างไม่ได้สนิทอะไรกัน เพียงแต่ทำงานด้วยกันไตติลาเป็นคนขนของ อีกคนเป็นคนขับอย่างเดียว

“ก็เหนื่อยครับ ก้มๆเงยๆ”

“เดี๋ยวพี่ปล่อยเราลงก่อนสองสามบลอคนะ” ไตติลามองหน้าคนขับแวบหนึ่ง

“ทำไมหรือครับ?”

“พี่จะแวะเอารถไปเติมน้ำมันก่อน” ไตติลาหลุบสายตาลงครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลง

คำว่าสองสามบลอคของคนขับ อาจจะเป็นสองสามบลอคจากในความฝันของเจ้าตัว ทั้งที่เป็นฤดูหนาวไตติลาเดินจนเหงื่อซึม หลังจากถูกปล่อยลงเดินแล้ว ไตติลาโทรแจ้งนายจ้างว่าเพื่อนร่วมงานกำลังเอารถไปเติมน้ำมัน ส่วนเขากำลังเดินกลับไปเพื่อรับเงินค่าแรงตามปรกติ แถมขันอาสารับฝากซื้อแซนวิชเจ้าอร่อยที่คุยกันไว้ก่อนเขาจะขึ้นรถมาทำงานให้ด้วย ไตติลาทำเพราะท้องมันร้องหิวๆขณะเดินผ่าน และเป็นการป้องกันปัญหา เพื่อนร่วมงานของเขาไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน มันออกจะผิดปรกติสักหน่อย ไตติลาจึงเลือกที่จะไม่เสี่ยง เพราะจากประสบการณ์การ การโดนใครสักคนหักหลัง ทั้งตั้งใจหรือไม่ตั้งใจมันเจ็บทั้งนั้น ...ใช่แล้ว ไตติลาบอกตัวเอง...เขาก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไร

“จะหอบแซนวิชไปกินที่ไหน?”ไตติลาที่กำลังผลักประตูร้านออกไปสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงใครสักคนถามขึ้นจากข้างหลัง

“ช่วงนี้เจอกันบ่อยจริง คุณคริษฐ์”

“นั่นสิ ไม่เห็นสวัสดีพี่สักคำ” คริษฐ์ถามยิ้มๆ เขามักรู้สึกสนุกเล็กๆที่เห็นแวบตาคู่นั้นเปลี่ยนไปตามความคิดในหัวของไตติลา

“สวัสดีครับ วันนี้หน้าตาคุณดูไม่สบายเลย” คริษฐ์รีบยกมือลูบหน้า จะไม่เหนื่อยได้อย่างเรา เขานอนไม่หลับเลยมาตลอดทั้งคืน จนสุดท้ายก็ทนอุดอู้ไม่ไหว ขับรถเรื่อยไปจนแวะหาอะไรกินพออิ่ม แล้วบังเอิญเจอคนหน้าตาคุ้นเคยเขาในร้านนี้

“เดี๋ยวไปไหนต่อหรือเปล่า?”

“อ้อ เดินกลับไปที่ทำงานก่อนครับ แล้วก็เอารถขับกลับบ้านแล้ว”

“ไปรถพี่ก็ได้ จะได้ไม่ต้องเดิน” คริษฐ์สังเกตุเห็นไตติลาเม้มปากน้อยๆ คล้ายกำลังตัดสินใจ

“แต่ได้เดินๆเสียบ้าง หายใจสะดวกดี”

“พูดจาเหมือนคนแก่ ไปเร็วเข้า เดี๋ยวโดนทิกเก็ตต้องช่วยหารนา” คริษฐ์พูดพลางดันหลังไตติลาจนยอมขึ้นรถจนได้

ไตติลาแวะที่ทำงานครู่หนึ่งก็กลับมา คริษฐ์มองไตติลาในรถของตนเอง คริษฐ์ให้นิยามไตติลาว่าหนุ่มน้อยเพราะร่างโปร่ง และนัยน์ตาเข้มแข็งของเจ้าตัวที่ทอประกายกล้า ไตติลากำลังกัดแซนวิชในมือขณะรอข้ามถนน พลางมองปึกเงินตัวเองเหมือนนับคร่าวๆ ก่อนจะยัดใส่กระเป๋ากางเกงยีนส์ให้ลึกที่สุด ร่างโปร่งนั้นก้าวขายาวๆไปที่รถของตนเอง ที่จอดข้างๆกันนี้

“ไม่รีบไม่ใช่หรือ? ไปเที่ยวด้วยกันหน่อยสิ” คริษฐ์รีบลดกระจกฝั่งตนเองลง

“ทำอย่างกับจะอ๊อฟเด็ก”ไตติลาพึมพำลอบยกยิ้มขัน

“ว่าไงนะ?”

“คุณคริษฐ์จะไปไหนล่ะครับ?” ไตติลาเงยหน้าขึ้นถาม คนตอบกลับนิ่งนานก่อนจะตอบ

“ไม่รู้สิ” ดวงตาที่เคยมีประกายแจ่มใสวันนี้โรยราอ่อนแสงกว่าปรกติเช่นเดียวกับสีหน้า ที่เผือดกว่าทุกครั้งที่เห็น ไตติลาบอกตัวเองเข้าข่ายกลุ่มอาการ คนอกหัก

“จะไปกับพี่ไหม?”

“ไปไหนล่ะครับ”

“ถ้าบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน จะยังยอมไปด้วยหรือเปล่าละครับ?” น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลนั้นติดจะอ้อนอยู่ ในที

“ไปก็ได้ครับ” คนตอบทำเสียงอ่อนล้อเลียน ก่อนจะยอมสะพายกระเป๋าย่ามใบเล็กของตัวเองไปขึ้นรถ

ชายหาดในฤดูหนาวเงียบสงบด้วยเพราะลมเย็นเฉียบที่พัดสู่ฝั่งตลอดเวลา หาดทรายที่มักคับคั่งในฤดูหนาวจึงเงียบเชียบ ชายหนุ่มสองคนเดินไปตามหาดทรายอย่างเงียบๆ ไตติลาสวมฮู้ดดี้ตัวเก่งยกหมวกขึ้นสวมกันลมเย็นๆ แล้วก้มลงถอดรองเท้าออกมาตบๆเคาะเม็ดทรายออกจากรองเท้า คริษฐ์เดินไปบนผืนทรายล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อตัวนอก ดวงตาคู่นั้นกำลังเหม่อมองออกยังทะเลกว้างปล่อยหัวใจล่องลอยไม่สนใจกับสิ่งใด รอบกายสงบมีเพียงเสียงลมและคลื่น ท้องฟ้ายามบ่ายคล้อยกลับไม่เป็นสีฟ้าสดใส มีเมฆขาวเบาบางลอยปะปน

“แหม เห็นแล้วอยากกินไอติม” ไตติลาเปรย

“หา?”

“เมฆ เหมือนไอติมละลาย เห็นแล้วอยากกิน”

“ หนาวอย่างนี้นะหรอ?” คนฟังยิ้ม กอดอกตัวเองมองเส้นขอบฟ้าไกลลิบๆ

“คุณคริษฐ์เชื่อไหม หน้าร้อนนะวันพีซ ทูพีซ เดินกันให้ขวัก”

“มาดูบ่อยหรือไง?”

“ไม่ได้ตั้งใจมาดูหรอก แค่ตื่นมาแล้วมันเห็นเอง” คนพูดหันมองคอนโดหรูด้านหลังแว๊บหนึ่ง

“อ้อ แปลว่ามาค้างแถวนี้บ่อย”

“คงไม่ได้มาบ่อยๆแล้วล่ะครับ”ทั้งคู่เงียบฟังเสียงคลื่นลมรอบกาย

“แต่พี่ว่าทะเลที่ไหนก็ไม่สวยเท่าทะเลบ้านเรา” คนพูดเอ่ยด้วยเสียงระโหย

“อืม แต่สิ่งที่ทะเลมีเหมือนๆกันคือคลื่นลม มันพัดเข้ามาเสมอแรงบ้างเบาบ้างไปตามเรื่องตามราว แต่สุดท้ายแล้วมันก็จะผ่านไป” ไตติลาพูดด้วยน้ำเสียงฟังดูเป็นการเป็นงาน ก่อนจะต่อ

“แต่ถ้าแรงมากๆเขาเรียกทสึนามิ” คริษฐ์ขมวดคิ้วหันมามองคนพูดอย่างคนขัดอารมณ์ ก่อนจะนั่งลงกับผืนทราย

“กลับเข้าเรื่องแล้วว่าต่อไปสิ”คริษฐ์สั่ง

“หัวใจคนเหงาก็เหมือนทะเลหน้าหนาว เวิ้งว้างเงียบเหงา บางคนว่ามันไม่สวย ไม่ครื้นเครงเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกของหน้าร้อน แต่ผมว่ามันเงียบสงบดี เงียบพอที่จะได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง คุณคริษฐ์ลองฟังดูสิ ดูสิว่าคุณได้ยินมันไหม?เอ้า! หลับตาด้วย จะได้ไม่เห็นอะไรให้วอกแวก”

“แวะมาปลงตกแถวนี้บ่อยๆล่ะสิ” คริษฐ์พูด ก่อนจะหลับตา ปลายจมูกเริ่มเป็นสีแดงจากอากาศเย็น เขานิ่งฟังเสียงคลื่นลมทั้งที่อากาศหนาวจับใจ ทว่ามันสงบจริงอย่างที่ไตติลาว่า เมื่อลองได้พิจารณาเรื่องราวของตนเองดูอย่างมีสติแล้ว ความหม่นหมองเจ็บร้าวใดๆกลับละลาย ไม่ใช่หายไปในชั่วกระพริบตา แต่เบาบางลงจนหัวใจที่เคยหนักอึ้งกลับเบาลง

คริษฐ์ลืมตาขึ้น แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันแตะแต้มที่ขอบฟ้า วันเวลาดูเหมือนจะผ่านไปเร็วกว่าที่เขาคิดไว้ ชายหนุ่มหันไปมองคนที่นั่งข้างกัน ไตติลานั่งขัดสมาธิบนหาดทราย ดวงตาคู่สวยเป็นประกายด้วยแสงของดวงตะวันยามลาลับมองจับจ้องที่เส้นขอบฟ้า คริษฐ์นึกอยากรู้ความคิดเบื้องหลังสายตาคู่นั้น ทว่าไม่กล้าถาม

“เย็นแล้ว กลับเถอะครับ ผมอยากอาบน้ำอุ่นๆจะแย่แล้ว” คนพูดๆพลางผุดลุกขึ้นยืน

“ถ้าวันนี้ เป็นวันที่คุณรู้สึกว่ามันเลวร้ายละก็ ผมว่า กลับบ้านอาบน้ำอุ่นๆแล้วเข้านอนเร็วสักหน่อย ให้เวลาของวันที่เลวร้ายผ่านไปเร็วขึ้นอีกนิด ก็ดีเหมือนกันนะครับ”ไตติลาหันมาสบตาก่อนจะยิ้มกว้างขวาง รอยยิ้มนั้นทำให้คนมองรู้สึกเต็มตื้นได้อย่างน่าประหลาด

“อืม”

คริษฐ์พูดสิ่งใดไม่ได้มากไปกว่านี้ อาจเพราะคลื่นลมทะเลได้หอบพัดความขุ่นมัวให้เจือจาง เปลี่ยนให้มิตรภาพบางๆทักทอสายใยปกคลุมหัวใจ



TBC

ใกล้จะเปิดเทอมเเล้ว เค้าดองเริ่มจะมา
 :serius2:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๔.๒ (๓๐/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 30-05-2010 01:25:08
เพิ่งจะเห็นมุมอบอุ่นของไตติลา เหงาแต่ก้อเข้มแข็งได้  o13
เอาใจช่วยคุณคริษฐ์ให้หายเจ็บไวๆ แต่... ก้อยังไม่เชียร์ให้คู่กับไตติลาอยู่ดี 555+
 :เฮ้อ: นิทเช

เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๔.๒ (๓๐/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 30-05-2010 10:21:31
อย่าเพิ่งดองได้ไหม กำลังติดเลยอ่า
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๔.๒ (๓๐/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: heavenly**yaoi ที่ 30-05-2010 12:00:27
พึ่งอ่านจบหน้าสองค่ะ แล้วกำลังอินอย่างสุดๆ  น่าเสียดายมากนะคะ ถ้าเรื่องนี้ปล่อยให้ถูกค้างนานๆ
ไรท์เตอร์อย่าเงียบหายไปหลายวันนะ
อยากให้คริสต์กับไตติลา รักกันเร็วๆ
แต่คงต้องเจอกับความเจ็บปวดใช่มั้ยล่ะ

ดูท่าแล้วจะดราม่านะ ทุกตัวละครเลย

รีบมาต่อนะ

รออยู่จ้า^^
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๔.๒ (๓๐/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 31-05-2010 16:36:51
อ่านทันทุกตัวอักษรแล้ว คุณเมศ ยังเขียนได้ดีเหมือนเรื่องที่ผ่านๆ มาเลย บางประโยคโดนใจอ่านแล้วนั่งคิดตามเลยด้วยซ้ำ
รออ่านตอนต่อไปนะคะ

ปล. เรื่องมันจะเศร้าสลดมั้ยอะ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๔.๒ (๓๐/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 01-06-2010 02:06:08
ไตติลา พูดไรแบบนี้ทีเล่นทำต้างไป พักเลยทีเดียว
คิดแล้วอยากไปทะเลลลลลลลลลลลลลลล ไปลองบ้าง
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๔.๒ (๓๐/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 01-06-2010 10:23:51
อ่านสองตอนรวด  ขยันมากค่ะคุณเมศ
ขอเมนท์ตอนที่แล้วหน่อยนะคะ
คริษฐ์...บอกแล้วว่าไม่ต้องรอนิทเช  ถ้าลองบอกให้มองใครซักคนดูบ้าง  ร้อยทั้งร้อย  มันไม่รู้สึกรักแล้วชัวร์(ประสบการณ์ตรง...เคยมาแล้ว55+)
เจ็บ...แต่ไม่มีน้ำตา  ทรมานนะคะคริษฐ์...หาใหม่เถอะค่ะ  การรักใครซักคนมันทำให้เราลืมความเจ็บได้ชะงักเลยนะคะ
แต่...อย่า  มา  หลี  ไตติลาของคุณดิสเด็ดขาด!!!! รายนั้นเค้ารอติจนลมหายใจสุดท้ายเลยนะคะ  อย่ามาแย่งนะ  :beat:
ตอนนี้..ไตติลาน่ารัก เข้าใจเปรียบเทียบนะคะ  ชอบสำนวนการเขียนฉากแสดงอารมณ์ของคุณเมศจังค่ะ  มันเหงาได้ถึงก้นบึ้งดี
ส่วนประโยคนี้...
คริษฐ์พูดสิ่งใดไม่ได้มากไปกว่านี้ อาจเพราะคลื่นลมทะเลได้หอบพัดความขุ่นมัวให้เจือจาง เปลี่ยนให้มิตรภาพบางๆทักทอสายใยปกคลุมหัวใจ
ถักไปคนเดียวเถอะย่ะ  :angry2:
+1ขอบคุณคุณเมศและเป็นกำลังใจ(ในการดอง กร๊ากกกกก)ค่ะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๔.๒ (๓๐/๐๕/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 01-06-2010 12:27:37
นิทเช ทำไม่ทำกับคริษฐ์แบบนั้นล่ะครับ ไม่น่ารักเลยยยย ฮือ ๆ :o12: :sad4:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๕.๑ (๐๒/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 02-06-2010 10:09:11
ตอน ๕.๑
   
   เกือบหนึ่งเดือนแล้ว ที่รูมเมตคนใหม่ย้ายเข้ามา  เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยใกล้ๆนี้ ไตติลายังไม่คุ้นเคยด้วยมากนัก  วันนี้อพาร์ทเม้นต์เจเงียบเหงา เพราะรู้เมตคนหนึ่งคงไม่ได้กลับมาที่นี่อีกพักใหญ่  ส่วนอีกคน เขาไม่แน่ใจนักว่าอยู่เหรือเปล่า เพราะมักเข้านอนเร็ว ไตติลารินผสมน้ำอุ่นใส่แก้วใบใหญ่ของตนเอง วางไว้บนเคาท์เตอร์ในครัว ก่อนจะกลับเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง หยิบสมุดหนังสือออกมา เขามองไปที่เคาท์เตอร์ แก้วน้ำของเขาหายไปแล้ว มันวางอยู่บนโต๊ะกินข้าวแทน ไตติลาเอียงคออย่างสงสัย บางทีเขาอาจจะเบลอๆ  จนนึกว่าเอาแก้ววางไว้บนเคาท์เตอร์ก็เป็นได้

“ติลา ติลา” เสียงทุ้มที่ไตติลาเริ่มเคยคุ้น เคาะประตูอพาร์ทเม้นต์เจ ก่อนจะโผล่หน้าทางกระจกบานเกล็ดหน้าประตู

“พรุ่งนี้ว่างไหม?” คริษฐ์รีบถามทันทีที่เจ้าของห้องเปิดประตูต้อนรับ

“ทำไมหรือครับ?”

“จะชวนไปดูหนัง”

“ไม่ได้หรอกครับ พรุ่งนี้ผมไม่ว่างจนถึงร้านปิดก็เที่ยงคืน”

“แย่จริง” คริษฐ์ทำหน้าเศร้า ไตติลาเห็นแล้วก็อมยิ้ม ผู้ชายตัวโตๆบทจะทำใจน้อยก็น่าเอ็นดูไปอีกแบบ

“ช่วงนี้ ไม่ค่อยว่างเลยหรือ?”

“ผมเพิ่งได้ทำงานอาสาที่โรงพยาบาล กำลังวุ่นๆเลย ไหนจะงานอาสาสมัคร ไหนจะโรงเรียน ไหนจะงานจับฉ่ายหลายอย่างอีก ทำไมคุณคริษฐ์ไม่ลองชวนเพื่อนที่ทำงานสักคนไปเที่ยวกันล่ะครับ”

“ก็คงดีกว่าถ้าจะไปเที่ยวกับคนที่รู้ใจ จริงไหม?” คนพูดมองมาด้วยสายตาที่ทำให้ไตติลากลัว....ไตติลากลัว ว่าบาดแผลในอกที่เริ่มจะเยียวยา จะถูกซ้ำรอยเดิมเข้าอีก

“นี่ดึกแล้วนะครับ คุณคริษฐ์ยังไม่นอนอีกหรอครับ?”

“อยากมาคุยกับติลาก่อน” ไตติลามองคนพูดอย่างรอคอย มาคุยก็แปลว่าต้องมีเรื่องคุย

“ครับ?”

“ติลาได้พักบ้างหรือเปล่า ดูเหนื่อยมากเลย”  ไตติลาลอบคิดในหัว ว่าไม่ใช่แค่ดูเหนื่อย แต่เข้าข่ายทรุดโทรมเลยก็ว่าได้

“ช่วงนี้อ่านหนังสือเตรียมสอบครับ แล้วยังสารพัดกิจกรรมอีกเลยเหนื่อยๆ” คริษฐ์เอื้อมมือมาแตะข้อศอกเพียงแผ่วเบา

“พักเสียบ้างนะ ไม่สบายไปจะแย่เอา ร่างกายน่ะ ไม่ได้เป็นเหล็กไหล มีอะไรก็บอกพี่ได้ พี่พร้อมจะช่วย” น้ำเสียงทุ้ม ดวงตาอ่อนโยนนั้นยามทอดทอมาสบทำให้หัวใจไตติลาหวั่นไหว 

“ครับ”

“เอาล่ะ งั้นพี่ไม่กวนแล้ว อ้อ จริงสิ พรุ่งนี้กลับมาแล้วแวะห้องพี่แป๊บสิ”

“ทำไมหรือครับ?”

“ความลับ มาเถอะ ไม่ได้เสียหายอะไรหรอก” เมื่อเห็นไตติลายังไม่ยอมตอบรับ จึงรบเร้า

“น๊ะ?” ไตติลาคลี่ยิ้มบางก่อนจะตอบรับ

“ก็ได้ครับ”

   คริษฐ์กลับไปแล้ว ไตติลาอ่านหนังสือที่โต๊ะกินข้าวในครัวเงียบๆ เวลาค่อยๆเคลื่อนผ่านไป  แว่วเสียงกีต้าครวญเพลงแผ่วเบา เสียงต่ำสูงของท่วงทำนอง ทำให้ไตติลาอดเงี่ยหูฟังไม่ได้ เสียงเพลงชวนให้เขาผ่อนคลาย  ร่างโปร่งพิงหลังกับพนักเก้าอี้ ประสานมือทั้งสองไว้บนหน้าท้อง หลับตา ถอนหายใจ  เสียงเพลงเบาๆของอพาร์ทเม้นต์นี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นอพาร์ทเม้นต์แบบเปิดโล่ง เสียงจากห้องอื่นมาถึงได้ บางคราวห้องชาวฟิลิปปินส์ชั้นล่างก็จะชวนกันมาร้องเพลงในช่วงสุดสัปดาห์บ้าง ไตติลาไม่เคยนึกรำคาญหากเป็นเพลงที่ไม่บาดหูนักและไม่ผิดเวลาจนเกินไป ความเหนื่อยล้า ค่อยทำให้ไตติลาเริ่มเข้าสู่ห้วงนิทรา

“อย่ามานอนแถวนี้” ในความฝัน ไตติลาได้ยินเสียงทุ้มติดจะห้าว พูดเพียงกระซิบที่ริมหู  รู้สึกถึงปลายนิ้วที่เกี่ยวพันเส้นผม  ความรู้สึกนั้น เหมือนจริงเกินกว่าจะเป็นฝัน ไตติลาสะดุ้งตื่นขึ้น ยกนาฬิกาขึ้นดู เวลา...เดินไปอย่างช้าๆ จนล่วงเข้าสู่วันใหม่เสียแล้ว

“บ้าชิบ” ร่างโปร่งรีบหยิบเก็บของกลับเข้าห้องตน เพื่อเข้านอนทั้งที่ในหัวใจ มันวิบโหวงอย่างบอกไม่ถูก


   ยามเช้ามาเยือนแล้ว ทว่าไตติลากลับนอนทรมานอยู่บนเตียง ร่างโปร่งบางนั้นขดกลมอยู่ภายใต้ผ้าห่ม ด้วยเพราะอาการปวดท้องที่นับวันจะรุนแรงขึ้น ไตติลาไม่ค่อยชอบพบหมอ แต่ทว่าครั้งนี้รุนแรงจนเกือบสุดจะทน ไตติลามองนาฬิกาบอกเวลายามเช้าที่เช้าเกินไปสักหน่อยสำหรับวันสุดสัปดาห์ เขาพยายามข่มตาหลับลงอีกครั้งพลางคิดไปถึงนัดหมายพบหมอครั้งต่อไป ไตติลาพบแพทย์ที่คลินิกของโรงเรียนแล้ว ทว่าผลการตรวจร้ายแรงเกินกว่าคลินิกจะรักษาได้ จึงถูกส่งต่อให้โรงพยาบาลในเครือเดียวกัน

“อดทน...อดทน” ไตติลา ทำได้แต่เพียงท่องเอาไว้จนหลับไปอีกครั้ง พร้อมกับสัมผัสอุ่นๆราวกับมีมืออันอบอุ่นลูบไล้หลังไหล่ด้วยหวังจะประโลมหัวใจ

๕๕๕๕TBC๕๕๕๕๕๕


เริ่มจะกลิ่นเปรี้ยวๆเเล้ว ทำไงดี เหอๆๆๆๆ

ปล.อ่านครึ่งหลับเตรียมยาดมไว้ด้วยนะคะ เหอๆ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๕.๑ (๐๒/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 02-06-2010 11:16:21
ว้ายยยย :z13: ทะลวงแทงคุณเมศอย่างรุนแรงอ่ะ555+
คุณคริษฐ์...พยายามมากไปมั้ย?  หืม...เรียก 'ติลา' เลยเหรอเนี่ย  ติน่ะเค้าจองให้คุณดิสนะ!!!!
คนที่ย้ายแก้วน้ำต้องเป็นคุณดิสแน่เลย...โผล่มาซะทีสิคะ  มันล่วงเลยถึงบทที่  5 ไปแล้วนะคะ
เดี๋ยวก็ตามไม่ทันคริสตี้  เทอร์ลิงตัน(ขอโทษนะคะคุณคริษฐ์...กลายเป็นนางแบบไปเรย555+)หรอกค่ะ  รายนั้นเค้าเทียวไล้เทียวขื่อติลาอยู่นะคะ
ติเป็นโรคกระเพาะรึเปล่าคะ?  ปวดรุนแรงขนาดนั้นมันต้องพบแพทย์แล้วนะ
ค้นกระเป๋าหายาดมก่อนจะได้อ่านครึ่งหลัง 
...เจอแต่กระดาษทิชชู่ใช้แล้วอ่ะ  :laugh:
+1 เป็นกำลังใจในการเขียนค่ะ
 :pig4:

ปล.คุณเมศขู่เฉย ๆ ใช่มั้ยคะ  ไม่ดองจริง ๆ ใช่มั้ยคะ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๕.๑ (๐๒/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 02-06-2010 13:29:49
คริษฐ์เต็มตัวแล้วมั้งเนี่ย เฮ้อ จริงๆมันก้อดีเนอะกับการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ว่าแต่ ตาคนที่ผลุบๆโผล่ๆนี่เป็นใครเนี่ย ออกมาแสดงตัวด่วนค่ะ

ขอไปเตรียมยาดมก่อนนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๕.๑ (๐๒/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 02-06-2010 15:12:46
ว้ายยยย :z13: ทะลวงแทงคุณเมศอย่างรุนแรงอ่ะ555+
ปล.คุณเมศขู่เฉย ๆ ใช่มั้ยคะ  ไม่ดองจริง ๆ ใช่มั้ยคะ  :monkeysad:


อย่าจิ้มเเรง สะเทือนนนใจ ฮ่าๆๆ
ไม่ได้ขู่ค่ะ ฮ่าๆๆๆ หมดสตอคเมื่อไหร่ก็ดองเมื่อนั้นล่ะค่ะ เเหะๆ

คนผลุบโผล่ มาเมื่อไหร่จำไม่ได้เหมือนกันเเฮะ  Coming soonเเล้วกันค่ะ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๕.๑ (๐๒/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 02-06-2010 19:35:49
^
^
จิ้มบวกซ้ำระยะประชิด และขอไปหายาดมก่อนนะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๕.๑ (๐๒/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 02-06-2010 21:43:42
บางครั้ง ความอดทน ก็ต้องมีจุด peak สุดของมัน
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๕.๑ (๐๒/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 02-06-2010 22:21:57
รูมเมตคนใหม่ใครเอ่ย ใช่คนๆ นั้นหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๕.๒ (๐๔/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 04-06-2010 21:20:24
ตอน ๕.๒


โลกของไตติลาหลังตื่นนอนเป็นอีกเรื่องหนึ่งไปเลยทุกอย่างกลับเข้าสู่ความปรกติราวกับฝันร้ายได้ผ่านไปแล้ว ไตติลาไปทำงานตามกำหนดเดิม เมื่อใกล้เวลาเลิกงาน กลับเห็นชายหน้าตาคุ้นเคยคนหนึ่งยืนยิ้มเผล่อยู่ที่หน้าเคาท์เตอร์

“ ครับ รับอะไรดีครับคุณคริษฐ์”

“รับไตติลา” คนตอบ ตอบยิ้มๆ ไตติลาเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะตอบ

“ผมมีขา ไปไหนมาไหนเองได้นะครับ”

“พี่รู้ แต่สุดสัปดาห์ทั้งที พาคนแก่ไปเปิดหูเปิดตาหน่อยไม่ได้หรือ?”

“ผมนึกว่าคุณคริษฐ์จะอยากให้ผมแวะไปเฉยๆเสียอีก”

“พี่อยากรู้ว่าเรายังรุ่นๆเดียวกันหรือเปล่า น่า...พาคนแก่ไปเปิดหูเปิดตาเสียหน่อยจะเป็นไร”

“ไหนคุณคริษฐ์บอกว่าอยากรู้ว่าเรายังรุ่นเดียวกันไหม แต่ทำไมถึงเรียกตัวเองว่าคนแก่” ไตติลาทำท่าคิด เมื่อเห็นคริษฐ์ทำท่ารบเร้ามากๆเข้า

“แต่ช่วงนี้ผม.....”

“พี่จะออกให้”

“จริงหรือคะ” เพื่อนสาวพอได้ยินถึงอะไรเข้าทำนองของฟรีละจะหูดีขึ้นมาทันที

“ไปเลยติลาไปเลย ไปเที่ยวเสียมั่ง เดี๋ยวเราบอกเจ๊ให้” เพื่อนสาวรีบคะยั้นคะยอ

“ไอ้แหม่ม” ไตติลาหันไปทำเสียงหนักกับเพื่อน

“ไปกับพี่หน่อยไม่ได้หรือ?” คริษฐ์ถามด้วยเสียงนุ่มนวลที่ติดจะเว้าวอนนั้น ไตติลาเม้มปากอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอก

“ก็ได้ครับ แต่ต้องรอเก็บร้านก่อนนะครับ” ใบหน้าของคริษฐ์ยิ้มกว้างขวาง แต่คงไม่เท่าหน้าของแหม่มที่ยิ้มหน้าบานกว่าใครเพื่อน


ไตติลานึกต่อว่าความใจอ่อนของตัวเอง ขณะนั่งรถไปตามทางสายยาวผ่านตัวเมืองที่แข่งกันสูงเสียดท้องฟ้า แสงสีแห่งความคึกคักของเมืองค่อยผ่านสายตาไตติลาไป ขณะที่เจ้าของรถยนต์คันนี้กำลังฮัมเพลงหงุงหงิงในคออย่างอารมณ์ดีนัก

“นี่ ไปไหนกันดีล่ะ?”

“คุณคริษฐ์ชอบแบบไหนล่ะครับ?” คนถามจงใจถาม

“แบบไหน แล้วแต่ติลาแล้วกัน เอาที่ติลาไปบ่อยๆก็ได้ พี่อยากเห็น” คนพูด หันมามอง ดวงตาหลังกรอบแว่นเป็นประกายขบขัน อย่างที่ไตติลาเห็นแล้วนึกหมั่นไส้นัก

“ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นไปที่นี่” ไตติลาหยิบ GPS ที่สู้อุตส่าห์เก็บหอบรอบริบมาหลายเดือนกว่าจะได้มา กดที่หมายปลายทางก่อนจะจัดการติดเครื่องที่กระจกแสดงเส้นทางให้ดูไว้ตรงหน้าคนขับให้มองสะดวก

คริษฐ์และไตติลามาถึงบริเวณอีกฟากหนึ่งของเมือง ส่วนที่อาจเรียกได้ว่ามีสีสันที่สุด แสงไฟจากริมทางไม่ใช่แค่ไฟถนนสีเหลืองส้ม แต่เป็นแสงไฟจากป้ายนีออนต่างๆ เสียงเพลงอึกทึกดังลอดเข้ามาให้ได้ยินแผ่วเบา สองข้างทางมีหนุ่มสาวแต่งกายกันเต็มที่เพื่อแสวงหาความสำราญยามค่ำคืน เมื่อหาที่จอดรถแล้วเรียบร้อย ไตติลาเดินนำไปเงียบๆ เดินไปตามบาทวิถีที่คลาคล่ำด้วยผู้คน ตามร้านรวงต่างๆปักธงสีรุ้งแทบจะทุกร้าน คลับที่ไตติลาพาไปนั้นก็เช่นกัน เป็นคลับขนาดกลางที่มีระเบียงยื่นออกมาด้านนอก หนุ่มสาวออกมายืนคุยกัน บ้างก็สูบบุหรี่ การ์ดของคลับเป็นชายตัวใหญ่ยักษ์ เมื่อทั้งคู่แสดงใบขับขี่ให้ดูจึงติดสายรัดข้อมือเข้าไปชำระเงิน

“ผมชอบแบบนี้คุณคริษฐ์ละชอบแบบไหน?”ไตติลาพูดพลางยิ้มร้ายๆ อย่างที่คริษฐ์เห็นแล้วรู้สึกเอ็นดู

“พี่ชอบตามติลา” คริษฐ์ยิ้มหยิบโหย่งอย่างหนุ่มเจ้าชู้ ก่อนจะสั่งเครื่องดื่มสำหรับสองคน

เสียงเพลงดังอึกทึก บนฟลอเต้นรำมีผู้คนมากมายกำลังเต้นไปตามจังหวะเสียงเพลงอันเร้าใจ ไตติลาพาเดินไปที่มุมหนึ่งของร้าน ถอดฮู้ดดี้ตัวโปรดออกพาดกันฉากกั้นทางเดิน ก่อนจะช่วยจับเสื้อตัวนอกของคริษฐ์ให้ชายหนุ่มถอดมันออก เพราะถึงข้างนอกจะหนาว แต่พอเข้าไม่แคล้วจะเต้นระบำกันจนเหงื่อตก ที่มุมหนึ่งของร้าน ชายหนุ่มร่างกายงดงามด้วยกล้ามเนื้อสมบูรณ์กำลังดี เต้นอยู่บนยกพื้นด้วยเครื่องแต่งกายที่ค่อยๆน้อยชิ้นลงเรื่อยๆ ตามเวลา ไตติลาสะกิดให้คริษฐ์มองตาม ชายหนุ่มหัวเราะก่อนจะบอกที่ริมหู

“สู้พี่ไม่ได้หรอก”

“ทะลึ่ง”

“อ้าวก็เราทะลึ่งก่อน โอ๊ะ ระวัง!!” มือแข็งแรงนั้นรีบคว้าแขนไตติลาไว้ ไม่ให้ล้มไปเพราะ ชายคนหนึ่งท่าทางเมามายเดินมาชนเข้าอย่างแรง

“เจ็บหรือเปล่า?” แม้เสียงจะดังจนหูอื้อ แต่ไตติลาจับกระแสความอาทรได้ เขาส่ายหน้าเบาๆ

“มาเถอะ ไปเต้นกัน” ไตติลายอมให้ มือแข็งแรงคู่นั้น จับจูงไปที่ฟลอร์

“มาที่นี้บ่อยหรือ?” คริษฐ์ตะโกนถามขณะขยับไปตามจังหวะเสียงเพลง คนที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาและไตติลาอยู่ใกล้กันมาก มากเสียงจนสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อน

“สองสามเดือนมาสักหนครับ ต้องว่างก่อนถึงจะมา” ไตติลาตอบ ขณะชายหนุ่มหน้าตาดีสองคนกำลังพยายามจะเดินฝ่าฝูงชนผ่านหน้าไตติลาออกไป มือนวลบางของไตติลา ยกขึ้นลูบแผ่นหลังชายหนุ่มสองคนนั้นที่เดินผ่านไปอย่างฉาบฉวย

“แน๊ เป็นเด็กเป็นเล็ก” คริษฐ์ส่งเสียคล้ายจะดุ

“ก็ไม่เด็กไม่เล็กแล้วล่ะครับ” ไตติลาตอบหน้าตาเฉย

ความสนุกผ่านไปรวดเร็ว เมื่อถึงเวลาคลับปิด แสงไฟที่เคยมีเพียงสลัวกลับสว่างจ้า บางคนที่ปาร์ตี้หนักไปหน่อย ก็เดินซวนเซแทบล้มทั้งยืนเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ไตติลาออกมายืนรอคริษฐ์ที่เดินไปหยิบเสื้อมาให้ที่หน้าประตูด้วยอารมณ์ครื้นเครงที่ยังตกค้างเช่นเดียวกันแอลกอฮอล์ที่เขาดื่มเข้าไป พลันสายตาเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งที่เคยคุ้นใจอย่างยิ่ง ร่างสูงใหญ่ใบหน้าหล่อเหลานั้นไตติลายังจำได้แม่นนัก ครั้งนี้เขามากับคนใหม่ อย่างที่เรียกได้ว่าไม่เคยซ้ำหน้า ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นจากคู่ใหม่ของเขา หลังจากแสดงความรักกันพอแล้ว มองมาที่ไตติลาเพียงครู่เดียวราวกับเขาไม่ได้มีตัวตนอยู่ที่ตรงนั้น ไตติลาอดไม่ได้ ที่จะรู้สึกเจ็บปวดกับความรู้สึกของคนโดนทิ้งอย่างไร้ค่าที่สุด

“ติลา” เสียงเรียกนั้นช่วยให้ไตติลาหลุดจากห้วงภวังค์นั้น ไตติลาละสายตาจากร่างนั้นโดยทันที

“ผู้ชายคนนั้น ทำไมหรือ?” อีกครั้งที่ไตติลาส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคริษฐ์ โดยไม่รู้ว่าดวงตาของตนแดงก่ำอย่างคนร้องไห้ แต่กลับไม่มีน้ำตาเลยสักหยด คริษฐ์คลี่เสื้อตัวเก่งให้ไตติลาสวม ก่อนจะกอดร่างนั้นไว้นิ่งๆ ริมฝีปากอุ่นๆ สัมผัสลงแถมขมับ แผ่วผิวจนไตติลาแทบไม่รู้สึก

“ ติลา พี่อยู่ตรงนี้” อ้อมกอดนั้นกระชับแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย ราวกับจะยืนยันเป็นดั่งคำมั่น ไตติลาแหงนมองท้องฟ้าที่ไร้ดาว แสงไฟจากเครื่องบินกระพริบอยู่ไกลๆ ก่อนจะหายไป น่าเสียดาย...ไตติลาคิด เสียดาย ที่แสงไฟเครื่องบินไม่ใช่ดาวตก แม้จะหลอกตนเองก็ยังไม่ใช่ หัวใจไตติลาจึงไม่อาจอธิษฐาน

“ติลาเคยมีแฟนไหม?” คริษฐ์ถามขึ้นเมื่อเดินทางกลับถึงบ้านหลังจากคนทั้งคู่ต่างเงียบงัน จมอยู่ในคิดตนเองอยู่พักใหญ่ คนถามพลางมองตรงไปข้างหน้า ทว่าคนตอบเงียบอยู่นาน

“หือม์ ว่ายังไง?”

“ถ้าคนรักแปลว่าทั้งสองคนต้องรักกัน ผมคงจะไม่เคยหรอกครับคุณคริษฐ์”

“ทำไมล่ะ?”

“บางทีผมอาจอาภัพ พอมีคนมารัก ผมกลับไม่เคยนึกรักเขา พอผมเกิดรักใครขึ้นมา เขาก็ไม่เคยรักผมตอบ” คนพูดพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“พี่เคยมีคนที่รัก รักมากจนต่างสูญเสียตัวตน แล้วสุดท้ายก็เลยต้องจบ ทั้งที่ยังรัก” คริษฐ์พูดขึ้นแล้วหัวเราะ ทว่าไม่ใช่เสียงหัวเราะอย่างตลกขบขัน หากเป็นหัวเราะ ราวกับเย้ยหยัน

“ตลกดีว่าไหม ไอ้ความรักเนี่ย”

คนฟังไม่ได้ตอบความ ไตติลาเพียงแต่รับฟังเงียบๆ ยกน้ำเกลือแร่กลิ่นบลูเบอร์รี่ขึ้นจิบ กลิ่นบลูเบอร์รี่นั้นจึงลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ คริษฐ์มองริมฝีปากบางนั้น ที่มักเม้มเข้าเสมอทั้งในยามใช้ความคิด หรือขัดใจ อาจเพราะฤทธิ์ความเมามายของแอลกอฮอล์ยังคงตกค้าง ชายหนุ่มร่างสูงชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ ก่อนจะลองลิ้มชิมรสนั้น คริษฐ์รับรสบลูเบอร์รี่อ่อนจางนั้นได้ถนัดเมื่อเจ้าของริมฝีปากบางยอมให้เขาชิมรสหวานบนริมฝีปากคู่นั้น คริษฐ์ค่อนข้างแน่ใจด้วยสัญชาติญาณ....กลิ่นของมันช่างคล้าย ….คล้ายกับ ‘เซ็กส์’






ไตติลาได้ยินเสียง เสียงหอบหายใจของคนสองคน เสียงโอดครวญจากความรัญจวนใจของความต้องการทางกายที่กำลังได้รับการตอบสนอง ไตติลารู้สึกได้ ถึงความรุ่มร้อนทางผิวเนื้อที่มากมายมหาศาล รู้สึกได้ถึงความรู้สึกวาบหวามเร่าร้อนของร่างกายที่ตอบสนองกัน เช่นเดียวกับที่คริษฐ์เห็น เขาเห็นเรือนกายโปร่งบาง ที่กระดูกสันหลังบนแผ่นหลังเนียนสะอาดบิดโค้งเมื่อมาถึงจุดที่ร่างกายเริ่มจะทนไม่ไหวจากการกระทำของเขา คริษฐ์สัมผัสได้ถึงความเรียบลื่นของผิวกายที่อาบไล้ด้วยเหงื่อทั้งที่ข้างนอกอากาศหนาวเย็น และแน่นอนที่สุด เขาพอใจอย่างยิ่งกับสัมผัสอุ่นร้อนที่โอบล้อมเขาไว้พร้อมกับการบีบแน่นผ่อนคลายสลับกันนั้นที่พากระแสไฟฟ้าอ่อนๆวิ่งผ่านร่างเขาไป

“นั่น...ใครหรือ?” ไตติลาถามถึงรูปที่หัวเตียงของใครคนหนึ่งที่ไม่ใช่เจ้าของห้อง ข้างๆกันนั้นเป็นของขวัญที่คริษฐ์มอบให้เขา เป็นเพียงปากกาหลากสีที่ขณะนี้ไม่มีใครสนใจ ดวงตาคู่สวยนั้นปรือปรอยด้วยเงาของแรงปรารถนาบดบัง

“นิทเช..” เสียงแหบพร่านั้นตอบ นับแต่นี้ไร้บทสนทนาอีกสืบไป



๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕



หวังว่าจะยังไม่เบื่อกันนะคะ 

จริง NCกะเมศเนี่ยไปกันไม่ค่อยได้ รู้สึกมันเขียนย๊ากยาก  ได้เท่านี้ล่ะค่ะ  ฮือๆๆ

ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๕.๒ (๐๔/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 04-06-2010 21:52:34
และแล้ว...

ทั้งๆที่ทุกอย่างก้อดูดี.. แต่เรากลับปวดใจ

ไม่เคยเบื่อเรื่องนี้เลยค่ะ ถึงแม้ว่าอ่านทีไรจะรู้สึกเศร้าๆ(เกือบทุกครั้ง) ก็ตาม  o7

เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๕.๒ (๐๔/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 05-06-2010 02:57:33
ตอนนี้โดยรวมค่อนข้างโอเค มีติดๆประโยคนึงอ่านแล้วมันแปลกๆในความรู้สึก
“พี่เคยมีคนที่รัก รักมากจนต่างสูญเสียตัวตน แล้วสุดท้ายก็เลยต้องจบ ทั้งที่ยังรัก”
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๕.๒ (๐๔/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: K2KARN ที่ 05-06-2010 05:42:42
เฮ้อ อ่านแล้วสงสารทั้งคู่เลยนะเนี่ย
แล้วคริษฐ์จะบิกตาลิเรื่องรูปว่ายังไงถ้าติลาถามต่ออ่ะนะ

NC ใสๆแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะคุณเมศ
เหมาะกับเรื่องดี อิิอิ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๕.๒ (๐๔/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 06-06-2010 11:27:48
ไปผับกันอยู่ดีดี...ทำไมมาจบที่เตียงได้ล่ะคะติ  :serius2: เพราะรู้สึกแย่กับผู้ชายหน้าผับคนนั้น...เลยมีอะไรกับคริษฐ์เหรอ
คุณเมศไม่ต้องเขียน nc คู่นี้บ่อย ๆ ก็ได้ค่ะ 
มันปวดตับ!!!!!
คุณดิสอยู่ไหนเนี่ย...ติลาติดบ่วงคุณคริษฐ์ไปแล้วนะ  :m15:
ภาวนาให้นิชเชรู้แล้วก็กลับมาหาคริษฐ์เหมือนเดิม  สาธุ๊...
+1ขอบคุณค่ะคุณเมศ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๕.๒ (๐๔/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 06-06-2010 17:46:41
แต่งได้ประมาณนี้ก็โอเคนะคะ อ่านแล้วแอบหยิวๆๆ  :-[
ว่าแต่เพราะบรรยากาศผสมกับอารมณ์เป็นตัวพาไปจนเกินเลยใช่ปะเนี่ยติลา  :sad4:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๕.๒ (๐๔/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 08-06-2010 01:09:21
สยิววววววววววววววววววว

จะจบแบบไหนอีกเนี่ย

ทำไมมีปวดท้องด้วย
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๖.๑ (๑๐/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 10-06-2010 21:42:36
ตอน ๖.๑
   
   ไตติลามองนาฬิกาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเผ่นขึ้นห้องเรียนอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้  เพราะเผลองีบหลับไปตอนรุ่งเช้า หลังจากทำรายงานมาทั้งคืน เขายกโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นส่องดูเงาสะท้อนเพียงสลัวๆนั้น พลางจัดแต่งทรงผมให้ดูเป็นเสียบ้าง ก่อนแทรกกายเข้าไปในห้องเรียน เลือกเก้าอี้ที่ใกล้ที่สุด ฉิวเฉียดกับที่อาจารย์เดินเข้ามาในห้อง  ไตติลายกมือถือขึ้นแอบส่องอีกครั้ง ใต้กรอบแว่นหนา มีรอยเคล้าใต้ดวงตาเด่นชัด  ชายหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะปิดเสียงโทรศัพท์มือถือนั้น หย่อนลงไปนอนนิ่งที่ก้นกระเป๋า กางสมุดเตรียมตัวเรียน

“เฮ้ นาย ชื่ออะไรน่ะ” ไตติลาไม่ได้สนใจเสียงถามนั้น สมาธิทั้งหมด มุ่งตรงไปที่ริมฝีปากอาจารย์ ราวกับจะจดจำทุกคำ  จนคนถามต้องถามใหม่พลางสะกิด

“ขอโทษนะ นายช่วยเงียบก่อนได้ไหม” ไตติลาพูดโดยไม่มองหน้าใครนอกจากอาจารย์ จดบันทึกข้อความต่างๆลงไปในสมุดด้วยปากกาหลากสี ด้วยตัวอักษรเล็กจิ๋ว

“นายชื่ออะไรหรือ?” เพื่อร่วมชั้นขี้สงสัยยังคงเซ้าซี้ต่อไป ไตติลาหันขวับไปมองหน้า ดวงตารั้นๆนั้น มองไปที่คนถามอย่างชักไม่สบอารมณ์

“ผมชื่อ สมิท ไทสัน” ดวงหน้ามีเค้าเอเชีย กระซิบกระซาบพร้อมรอยยิ้ม ไตติลามองจ้องนิ่งๆอยู่อึดใจ ก่อนจะเมินเสียเฉยๆ   เช้านี้นอกจากตื่นสายจนรีบร้อนลนลานไปหมดแบบนี้แล้ว ยังต้องเจอเพื่อนร่วมชั้นขี้สงสัยอีก ช่างเป็นเช้าที่ไม่น่าสบอารมณ์เอาเสียเลย

“อ้าว เมินเสียแล้ว” ไตติลาไม่สนใจ จนใกล้เวลาเลิกชั้นเรียน อาจารย์แบ่งกลุ่มสั่งงาน ไตติลาจับพลัดจับผลูมาอยู่กลุ่มเดียวกันกับ ‘มนุษย์ขี้สงสัย’ เข้าจนได้

“คุณจะไม่บอกชื่อผมจริงๆหรือ?”

“ไตติลา คุณจะเรียกอะไรก็ตามใจคุณ มิสเตอร์ไทสัน”  กริ่งหมดชั่วโมงเรียนดังขึ้น ทุกคนต่างเก็บของเตรียมแยกย้าย  ไตติลาก็เช่นกัน เขาก้มลงหยิบกระเป๋าที่วางไว้กับพื้นขึ้นสะพาย

“เดี๋ยวสิ ขอผมถามการบ้านหน่อย เมื่อครู่อาจารย์สั่งการบ้านตรงไหนบ้างนะ”  ไตติลาที่กำลังพยายามยัดสมุดของตนใส่กระเป๋าจึงชะงัก  สูดหายใจเข้าลึกอย่างพยายามข่มใจ ก่อนจะหยิบสมุดออกมาอีกครั้ง แล้วบอกการบ้านตามที่จดไว้

“ขอบใจ.....ไตติลา” ทว่าคำขอบใจไปไม่ถึงเจ้าของชื่อที่เดินหายไปท่ามกลางกลุ่มนักเรียนที่คุยกันจ๊อกแจ๊กไปทั่วทั้งทางเดิน

๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖

   ไตติลาคลานขึ้นนอนบนเตียง พลางดูสมุดเล่มเล็กบางในมือ สมุดคู่ชีพที่จดว่า วันไหนเมื่อไหร่เขาจะต้องไปทำอะไรที่ไหนบ้าง  ก่อนจะหยิบสมุดเลคเชอร์ของเมื่อเช้าขึ้นมาพลิกๆดูอย่างเกียจคล้าน  พลางขยับตัวไปมาอยู่บนที่นอนนุ่ม เพื่อหยิบเท็กบุกซ์เล่มหนาที่นอนทับอยู่ออกมา มือนวลๆนั้นพลิกหน้ากระดาษ พลางเท้าคาง พยายามเพ่งมองตัวหนังสืออย่างตั้งใจ ดูเหมือนว่าคืนนี้หัวสมองของไตติลาจะไม่รับอะไรเข้าหัวหัวอีกต่อไปแล้ว เจ้าของตัวจึงเปลี่ยนเป็นกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงแทน ก่อนจะตกตุ๊บลงมาข้างเตียง  ทำให้เขานึกบางอย่างขึ้นมาได้

“แย่ล่ะ” ไตติลารีบคว้าหนังสือเรียนกับสมุดมาเทียบกัน

“บอกหน้าผิด” ไตติลาคลำหาโทรศัพท์มือถือของตนบนเตียง ก่อนจะโทรหาเพื่อนสาว

“ไอ้แหม่ม แกรู้จักคนชื่อ สมิท ๆมั่งไหม ที่โรงเรียนอ่ะ”

“บอกมาแค่นี้จะรู้ไหมเนี่ย”ปลายสายหัวเราะเสียงใส เพื่อนสาวเรียนโรงเรียนเดียวกัน เพียงแต่คนละสาขากันเท่านั้น บางวิชาจึงเรียนด้วยกัน

“ชื่อ สมิทๆ ไทสันอะไรไม่รู้ คือบอกการบ้านไปผิดหน้าอ่ะ ไม่สนิทด้วยไม่มีเบอร์อีก การบ้านจะส่งอยู่วันมะรืนแล้ว”

“เฮ้ยเอาจริง!” เพื่อนสาวทำเสียงสูง

“จริง”ไตติลาทำเสียงล้อเลียน

“แกรู้ไหมคนนี้นะ...”

“หยุดเลย ไม่เอาไม่ฟัง  แค่นี้ก็ปวดหัวจะแย่แล้ว”

“ไม่ ฉันจะเล่า”

“อะเล่าไป เดี๋ยวอาบน้ำ เล่าเสร็จแล้วค่อยโทรกลับมาใหม่” เพื่อนสาวโวยวายมาตามสายจนไตติลาต้องรีบดึงโทรศัพท์ออกจากหู

“แกรู้ไหมคนนี้เขาฮอตจะตาย เห็นเขาลือกันว่าเป็นพวกเด็กอัจฉริยะไรเงี้ย  แต่ไม่ยอมเรียนพาสชั้น  หน้าตาก็ดี หัวก็ดีอีก”

“แล้วไง” ไตติลาทำเสียงปลงๆ

“ไม่สนใจจะเลี้ยงเด็กหรอ  หรือว่าเลี้ยงผู้ใหญ่ดีกว่า” ไตติลาขำที่เพื่อนสาวแซว เพราะรู้เจตนา

“อยากรู้อะไร ว่ามาเลยดีกว่า?”

“กะคุณคริษฐ์ ไปถึงไหนแล้ว ไปเที่ยวด้วยกันแล้ว ต่อไปจะถึงไหนอีก” มือนวลนั้นยกแตะใบหูตนเองอย่างเขินๆโดยไม่รู้ตัว

“ก็ไม่ถึงไหน” ไตติลาตอบรวมๆ เพราะอันที่จริงแล้ว ได้ข้ามบางขั้นไปแล้ว 

“ตกลงจะไม่ยอมบอกใช่ไหมว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว”

“อย่าเซ้าซี้เลยไอ้แหม่ม” เพื่อนสาวตัดพ้ออีกเล็กน้อยก่อนจะวางสาย   ไตติลาปีนกลับขึ้นไปบนเตียงพลางนอนหงายมองเพดานอย่างครุ่นคิด   แล้วไตติลาคนนี้ เป็นอะไรกับคุณคริษฐ์??


๖๖๖๖ TBC๖๖๖๖

ลืมมาอัพ ไม่มีใครตามเลย ฮ่าๆๆ

ปล.คนที่คุณก็รู้ว่าใคร กำลังจะมามามามามา~ (/*เเอคโค่ด้วย)
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๖.๑ (๑๐/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 10-06-2010 21:45:36
^
^
จิ้มค่า
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๖.๑ (๑๐/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 10-06-2010 21:53:41
มีคนมาเพิ่มอีกคนแล้ว น่าลุ้น~~

เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๖.๑ (๑๐/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 11-06-2010 11:47:50
ก็กำลังตามอยู่นี่ไง แต่ช่วงนี้ก็งานยุ่งนิดหน่อย 2 - 3 วันถึงได้เข้ามาอ่านที

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๖.๑ (๑๐/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 11-06-2010 12:57:00
แค่คุณคริษฐ์ดิชั้นก็ปวดตับพออยู่แล้ว...คุณเมศจะเอา สมิท  ไทสัน มาเพิ่มอีกทำไมคะ  :z3:
คุณดิสของดิชั้นกำลังจะมา...แต่ติถูกคุณคริษฐ์งาบไปแล้ว   ทำใจไม่ได้กันเลยทีเดียว :m15:
จะรอการมาของคุณดิสในตอนที่  6.2  ค่ะคุณเมศศศศ (แอ็คโค่ตาม555+)
 :o12:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๖.๑ (๑๐/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 11-06-2010 14:07:56
สงสัยดวงความรักติลา กำลังพุ่งหรืออย่างไง แบบดาวศุกร์ทับราหูหรือเปล่า  :laugh:
แต่อย่างไงเราก็ยังรอ "เขาคนนั้น"
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๖.๑ (๑๐/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 12-06-2010 00:47:32
เบาบางดุจอากาศธาตุ คิดถึงผู้ชายนายคริษฐ์ จัง
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๖.๒ (๑๓/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 13-06-2010 01:43:45
ตอบ ๖.๒


ไตติลาเผลอหลับไปจนสะดุ้งตื่นอีกทีตอนนาฬิกาบอกเวลาดึกสงัด  ไม่มีเสียงรบกวนใดๆจากภายนอก แต่จะให้กลับไปนอนอีกที ก็คงจะไม่หลับแล้ว ไตติลาจึงตัดสินใจลุกขึ้นอ่านหนังสือทำการบ้านอย่างจริงจัง เขาเอื้อมมือไปหรี่ฮีตเตอร์ที่ปลายเตียงลงอีกนิด  ก่อนจะคว้าแก้วน้ำใบโปรด เดินไปตามทางเดินในบ้านที่ปูด้วยพรมหยาบๆด้วยเท้าเปล่า ห้องติดๆกันนี้รูมเมตของเขาน่าจะหลับไปแล้ว หรืออาจจะยังไม่กลับจากการท่องราตรี  แต่ไตติลาคิดว่าเป็นอย่างหลังมากกว่า  เจ้าของห้องเดินฝ่าความมืดตรงทางเดินออกไป ครัวที่เปิดโล่งติดกับห้องนั่งเล่น กลับมีแสงไฟสลัว  เขานึกแปลกใจพลางรินน้ำใส่แก้ว ก่อนจะสะดุ้งสุดตัว เพราะสายตาเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งเป็นเพียงเงาตะคุ่มที่ยืนอยู่ข้างเคาท์เตอร์ครัว พลางดึงกระดาษเช็ดมืดออกจากม้วน

“โอ้ย ตกใจหมด!” ไตติลาที่ตกใจจนกระโดดเหยง แก้วน้ำไปทางหนึ่ง เจ้าของไปเสียอีกทางหนึ่ง ยกมือลูบอกตะครุบสร้อยพระแทบไม่ทัน

“คุณ เป็นคนไทยหรือ?” ร่างในเงามืดนั้นถาม ไตติลาพอเริ่มได้สติจึงถามบ้าง

“คุณนั่นแหล่ะ คนหรือผี?”  หรือโจร...?  สายตาเริ่มกวาดหาอาวุธใกล้มือ  แก้วน้ำ? กา? กล่องคอนเฟลค  อะไรก็ได้ใกล้ๆมือ

“ตอบคำถามผมก่อนสิครับ?” น้ำเสียงน้ำ กล่าวอย่างขบขันโดยไม่ปิดบัง

“คุณนั่นแหล่ะ ตอบผมก่อน” ไตติลายังทำเสียงแข็ง

“แต่ผมถามก่อน”

“เอางี้ งั้นเราจะเริ่มจากที่ผมเปิดไฟก่อน” ไตติลาพยายามหาทางหนีทีไล่  ที่ใต้สวิทช์ไฟมีถังใส่ข้าวสาร  ยกทั้งถังเห็นจะไม่ไหว เอาฝาก็ยังดี

“ตกลง”ร่างเงานั้นตอบ น้ำเสียงยังเจือแววขบขันเช่นเคย  มือนวลนั้นคลำเจอสวิทช์ไฟ เช่นเดียวกับที่อีกมือคลำเจอฝาถังข้าวสาร

   แสงไฟจากหลอดนีออนกระพริบอยู่สองสามครั้งก่อนจะส่องสว่าง  ร่างนั้นไม่เป็นเพียงเงาอีกต่อไป กลับกลายเป็นชายหนุ่มหน้าตารกรุงรังด้วยหนวดเครา  ที่กำลังยิ้มยิงฟันผ่านเหล่าหนวดเครายุ่งเหยิงนั้น จมูกโด่งเป็นสัน รับกับคิ้วเข้ม  และดวงตายาวที่มีขนตายาวรายล้อม แต่ที่ไตติลาเห็นแล้วขัดตาที่สุด เห็นจะเป็นประกายตายิบๆที่มองตรงมาอย่างมีเค้าล้อเลียน

“ผมเป็นคนไทยแล้วยังไง? คุณต้องการอะไร?” ไตติลาถามด้วยใจระทึก พลางจับของในมือไว้แน่น

“ก่อนอื่น ผมต้องบอกก่อนว่า ผมไม่ใช่ขโมย เพราะฉะนั้นช่วยวาง อะไรก็ตามที่คุณถืออยู่ลงก่อนเถอะครับ” เจ้าของห้องมองของในมือตัวเองที่จับยึดไว้แน่น

“คุณเป็นเพื่อนรูมเมตผมหรอ?”คนโดนถามทำท่าคิด

“ว่าไงล่ะ ฮวนหรือวิตโตลิโอ้”

“วิตโตลิโอ้ก็ได้เอา”

“เขาคงกลับดึก” ไตติลายอมวางของในมือกลับคืนที่ ก่อนจะเดินมาดึงกระดาษเช็ดมือ ใกล้ๆกับที่ชายหนุ่มผู้มีหนวดเครายืนอยู่   ดวงตาคม มองใบหน้าคมสันนั้นครู่หนึ่ง อดนึกชังริมฝีปากหยักสวยที่กำลังยิ้มขันไม่ได้

“ยิ้มอะไร!” ไตติลาดึงกระดาษเช็ดมือออกจากม้วนอย่างแค้นๆ ก่อนจะเช็ดน้ำที่หกบนพื้นแล้วโยนทิ้งไป

“เปล่าครับ เอ้า” คนตอบยังคงยิ้มกว้างขวาง ทั้งที่บอกว่าเปล่า   ก่อนจะช่วยส่งทิชชูอีกชิ้นให้   คนรับมองหน้าก่อนทีหนึ่ง จึงรับไป

“นี่คุณ ชื่ออะไรหรือ?” ไตติลาเงยหน้าขึ้นมองคนถาม เมื่อสบดวงตายิบๆนั้นแล้วมันรู้สึกคันๆอย่างบอกไม่ถูก เจ้าของห้องเม้มปากอย่างที่มักทำโดยไม่รู้ตัว

“นี่คุณ   ไม่ใช่พวกแขกอาหรับมาหลอกจับตัวเรียกค่าไถ่แน่นะ” คนฟังระเบิดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ไหว

“นี่คุณเบาหน่อย เดี๋ยวห้องอื่นด่า!”

“ทำไมหรือ? ผมพูดภาษาไทยไม่ชัดอย่างนั้นเชียว  หรือว่าหน้าตาผมมันน่ากลัวนัก”  ไตติลาหลุบสายตาลงต่ำ

“ก็ทำนองนั้นละ”

“ตกลง คุณจะไม่ยอมบอกจริงๆหรือว่าคุณชื่ออะไร”

“ทำไมผมต้องบอก เราไม่เคยรู้จักกันสักหน่อย”

“ก็ผมกำลังพยายามรู้จักอยู่นี่ไง  เอาน่า เร็วเข้า คุณชื่ออะไร?” คนอยากรู้พยายามทั้งปลุกทั้งปลอบ

“แล้วทำไมคุณไม่ยอมบอกชื่อตัวเองก่อน” คนโดนต้อนยังไม่ยอมจนมุม

“เอาเถอะๆ ผมชื่อกษิดิส คราวนี้จะบอกชื่อคุณได้หรือยัง?” ไตติลาเม้มปาก ดวงตาคมนั้นมองอย่างขัดใจ

“ไตติลา” เจ้าของชื่อบอกเสียงเบา

“เอาใหม่อีกทีสิ?”

“ไตติลา”  คราวนี้เจ้าของชื่อแทบจะตะโกน

“คนอะไรชื่อไต” ไตติลามองตาเขียว

“ครับๆ” กษิดิสรีบหุบยิ้ม

“ไตติลา แปลว่าเทพเจ้า แม่เรียกติลา เพราะไม่อยากเรียกไต” ทั้งคู่เงียบเสียงลงต่างไม่รู้จะพูดสิ่งใดต่อไป

“คุณอยู่ที่นี่หรือ?” คนโดนถามกรอกตาเบาๆ

“แน่สิ” ไตติลาตอบก่อนจะรินน้ำใส่แก้ว แล้วดื่ม แสร้งทำเป็นไม่รับรู้ กับสายตากระยิบๆ ที่จับจ้องตลอดเวลานั้น

“คุณก็รอไปแล้วกัน” ไตติลารินน้ำใส่แก้วอีกครั้ง ก่อนจะเดินถือแก้วนั้นออกจากห้องครัวกลับไปที่ห้องตน โดยตบสวิทช์ไฟในครัวให้มืดลงอย่างนึกอยากเอาคืน 

“เดี๋ยวคุณ!…” ไตติลาไม่ฟัง เดินกลับเข้าห้องตัวเอง แถมล๊อคประตูอีกต่างหาก

“ราตรีสวัสดิ์ครับ ไตติลา” น้ำเสียงในความมืดนั้นกล่าว แผ่วเบาราวกับจะฝากฝังราตรีกาล

   ไตติลาวางแก้วน้ำลงที่พรมข้างเตียง ก่อนจะกระโดดลงไปนอนคุลมโปงแทน ทั้งที่ความตั้งใจเดิมจะทำการบ้านอ่านหนังสือ   เวลาค่อยล่วงเลยผ่านไปช้าๆ อย่างไม่ทันรู้ตัว และไม่มีใครห้ามได้   ไม่นาน ไตติลาผู้มีแผนจะขยัน ก็กลับสู่ห้วงนิททราโดยไม่รู้ตัว

๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖

   เช้าวันนี้ ไตติลาต้องวิ่งไปทำงานอาสาสมัครที่โรงพยาบาลก่อนจะบึ่งรถกลับมาเรียนในชั้นเรียนตอนเย็น แล้วเลิกเรียนตอนค่ำๆ แค่นี้ก็หมดเรี่ยวแรงเรียบร้อยแล้ว  ไตติลาขับรถกลับมาบ้านหาววอดใหญ่ ก่อนจะล๊อครถตัวเองให้เรียบร้อย  ข้อความถูกส่งเข้ามาที่มือถือ  เมื่อไตติลาอ่านจบก็อดยิ้มไม่ได้ กับคำเชิญชวนให้ไปทานอาหารเย็นที่อพาร์ทเม้นต์พี

“มาแล้วหรือ? นึกว่าจะใช้เวลากว่านี้อีกสักหน่อย” คริษฐ์เปิดประตูรับหนุ่มน้อยไตติลาเข้าไปภายในห้อง

“ไข่เจียวหมูสับ” กลิ่นมันหอมยวนยั่วเสียขนาดนี้ ไตติลาจึงไม่พลาด

“ทานเลยสิ  หิวใช่ไหมล่ะ” ไตติลายิ้มรับ คริษฐ์จัดแจงตักข้าวใส่จานให้

“น้ำท่วมหรือครับ?”

“หือม์”

“แฉะมาเลย” คนถามเอาส้อมเขี่ยข้าวในจาน

“เอาน่า มือใหม่หัดทำ” ไตติลาตัดชิมกับข้าวสองสามอย่างดู

“ปรกติซื้อเค้ากินตลอด ก็อย่างนี้” ไตติลาว่า พลางหัวเราะ

“แน่ะ แซวพี่”

“แล้วเป็นยังไงบ้าง งานอาสาสมัครวันนี้?”

“ก็เหนื่อยครับ แต่ก็สนุกดี”

“อืม ดีแล้ว” 

   ไตติลารวบรวมจานชามต่างๆไปล้างที่อ่างหลังจัดการอาหารของกุ๊กมือใหม่แล้วเรียบร้อย  ทั้งที่เจ้าของห้องตอนแรกอิดออดไม่ยอมให้ทำ แต่สุดท้าย ไตติลาก็ได้ล้างจานจนได้  เพราะบ้านไตติลานั้น คนทำไม่ต้องเก็บ คนเก็บคือคนช่วยกิน จะได้แบ่งกันรับผิดชอบ  ไตติลาล้างขัดถูจานชามต่างๆไป แขนแข็งแรงคู่หนึ่งเข้ามาโอบเอวจากด้านหลัง  แผ่นหลังไตติลาอิงซบกับอก

“ล้างจานลำบากนะครับ” ไตติลาเงยหน้าขึ้นถามเจ้าของวงแขน

“ล้างเร็วๆสิ”

“ทำไมหรือครับ?” คริษฐ์ไม่ตอบ วงแขนนั้นคลายออก ก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของร่างที่เคยอยู่ในวงแขนแทน

“คุณคริษฐ์! ห....หาอะไรครับ!” ไตติลาแทบจะทิ้งจาน ดวงหน้าซับสีเรื่อๆชวนมอง

“แล้วติลาว่าพี่หาอะไร”  ลมหายใจอุ่นๆนั้นเป่ารดที่ริวหูจนไตติลาต้องย่นคอ

“ไม่รู้สิครับ”

“ไม่อยากเดาหรือ?”

“คงไม่ต้องมั้งครับ” ไตติลาตอน ก่อนจะเผยอริมฝีปากรับจุมพิตดื่มด่ำรุ่มร้อนจากใครอีกคนอย่างลืมตน


TBC


มาเเว้วววว  :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๖.๒ (๑๓/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: heavenly**yaoi ที่ 13-06-2010 10:25:10
มาแล้วๆ รีบมาต่อนะคะ^^
รูมเมทคนใหม่ ทำไมดูน่ากลัว ชอบติลาแน่ๆเลย
ติลา กับ คริษฐ์ หวานกันจัง
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๖.๒ (๑๓/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 13-06-2010 10:55:04
รูมเมทใหม่มาแรงอีกแล้วสิ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๖.๒ (๑๓/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 13-06-2010 16:38:51
โคตรน่ากลัว!!
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๖.๒ (๑๓/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 13-06-2010 18:45:24
ในที่สุด คนที่รออยู่เขาก็ปรากฎตัวออกมาแล้ว  เกือบโดนฝาถังข้าวสารแล้วนะนั่น  :laugh:
แต่ว่า ติลา อะ ไงงั้นอะ ไปกินข้าวแล้วแถมขนมหวานด้วยเหรอ  :z3:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๖.๒ (๑๓/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 14-06-2010 09:37:44
รับข้าวเหนียวถั่วดำเพิ่ม ไหมคะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๖.๒ (๑๓/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 14-06-2010 10:21:44
คุณดิส...ประหนึ่งพระเอกจากแดนภารตะ  คุณเมศทำไมให้คุณดิสของดิชั้นโทรมแบบนี้ล่ะคะ
แล้วเมื่อไหร่จะเลิกอยู่ในช่วงข้าวใหม่  ปลามัน  ดิชั้นเครียดดดดดด
+1ขอบคุณค่ะคุณเมศ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๖.๒ (๑๓/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 14-06-2010 23:51:12
อืม... หวานกันน่าดู คุณคริษฐ์ก็อ้อนซะ  :z1:
คุณดิสนี่ ใช่คนเดียวกับคนที่แอบๆซุ่มในห้องในหลายๆตอนก่อนหน้านี้รึป่าว
รอลุ้นต่อไปค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
 
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๗.๑ (๑๕/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 15-06-2010 21:13:19
ตอน ๗.๑

   ไตติลาอ่านสูตรอาหารไทยที่อยากกินสำหรับอาทิตย์นี้  เป็นสูตรที่ดัดแปลงมาแล้ว พอให้สามารถหาวัตถุดิบให้สามารถหาได้ง่ายและไม่แพงนัก  ไตติลาปริ้นท์สูตรออกมาแปะสก๊อตเทปใส วันนี้พอมีเวลาอยู่บ้าง วัตถุดิบต่างๆก็พร้อมแล้ว ไตติลาเดินเท้าเปล่าไปตามพื้นพรมในอพาร์ทเม้นต์  เขาชอบความรู้สึกของผืนพรมใต้ฝ่าเท้าจนบางที เขายังหยุดยืนจิกเล็บลงไป ไตติลาแอบหัวเราะกับความชอบส่วนตัวของตัวเองที่ออกจะเพี้ยนๆสักหน่อย  ไตติลา ติดแผ่นสูตรไว้กับตู้เก็บจานในครัว ก่อนจะเปิดตู้หาอุปกรณ์ เมื่อปิดประตูตู้อีกครั้ง  ชายหนุ่มหนวดเครารุงรังยืนยิ้มรออยู่แล้ว

“คุณนี่ชอบทำให้ผมตกใจ” ไตติลามองค้อน ก่อนจะอ่านทวนสูตรที่แปะไว้อีกครั้ง

“นี่คุณยังไม่เจอเพื่อนคุณอีกหรือ?”

“ยังเลย ผมยังติดต่อเขาไม่ได้”คนตอบว่า พลางอ่านกระดาษที่ไตติลาติดไว้บ้าง

“หือม์ แกงส้ม ชะอมไข่”กษิดิสพูดพลางใช้มือจับปลายเคราของตัวเองเล่น

“ช่วยหยิบกระทะให้หน่อยครับ ตู้ใต้ซิงค์”  กษิดิสดูมือนวลที่ตีไข่หั่นผักคล่องแคล่ว อย่างนึกชม เมื่อไข่ข้างนึงสุกแล้ว  ไตติลาก็ใช้ตาหลิวพลิกกลับด้าน พร้อมกับส่งเสียง ‘ฮึบ’ เบาๆ  กษิดิสหัวเราะ หนุ่มน้อยไตติลา ช่างน่ารักเสียจริง

“ขำอีก ไม่เคยเห็นคนทอดไข่หรือ?”

“คุณกับวิตโตลิโอ้เป็นแฟนกันหรอ? ผมไม่ได้อยากจะซอกแซกอะไรหรอก เพียงแต่อยากรู้ว่าเขาให้กุญแจคุณไว้หรือยังไง?” จากสิ่งที่ไตติลารู้และ พอจะรู้คือ รูมเมตคนใหม่นี้เป็นนักศึกษาเหมือนกัน แต่เรียนกันคนละที่ และไตติลามองออกว่า เป็นคนประเภทขั้วเดียวกัน

“ก็ประมาณนั้นละครับ แต่ผมไม่ได้เป็นแฟนเขา”กษิดิสรีบออกตัว

“มาผมช่วย” ชายหนุ่มผู้มีหนวดเครารุงรัง รับไข่ชะอมชุบไข่วางบนเขียง หันอย่างประณีต ก่อนจะอดใจไม่ไหว ใช้นิ้วคีบชิ้นหนึ่งเตรียมจะใส่ปาก จึงถูกมือนวลตีเข้าให้

“รอหน่อยสิคุณ” ไตติลาหันกลับไปง่วนอยู่กับหม้ออีกครั้ง กษิดิสทึ่งกับเหล่าพริกแกง มะขามที่บรรจุใส่กระปุกมาแล้วเรียบร้อย ลดขั้นตอนยุ่งยากมากมายไปได้

“คุณทานเปรี้ยวมากไหม?” ไตติลาถาม

“คุณจะทำเผื่อผมหรือ?”

“แน่สิ”ไตติลาใส่เครื่องปรุง ต่างๆก่อนจะชิมรส ก่อนจะขมวดคิ้วเอียงศีรษะ 

“ไหนชิมหน่อย” ไตติลาตักส่งให้ ด้วยความสูงที่ต่างกันมือแข็งแรงนั้นจึงต้องกุมมือนวลไว้ให้นิ่ง ก่อนจะชิมรสชาติน้ำแกง  ตอนนี้น้ำแกงรสชาติคล้ายยาถ่ายหน่อยๆ

“เติมน้ำมะขามเปียกอีกหน่อยสิ  อ้าว...ขอโทษทีเถอะครับ”มือนั้นรีบปล่อยออกทว่าดวงตาคมนั้นเป็นประกายระยับจนไตติลาเผลอเม้มปากโดยไม่รู้ตัว

“ไม่เป็นไรครับ” ไตติลาบอกเบาๆ ก่อนจะพยายามปรุงรสต่อไป แต่ก็ยังไม่เข้าท่า

“คุณหุงข้าวได้ไหม?”

“ไหนหม้อ?” ไตติลาหันไปมองคนถาม ก่อนจะชี้ไปที่โถแก้วทนความร้อน ที่ใส่ข้าวสารรอไว้แล้ว

“ซาวข้าวแล้วเอาเข้าไมโครเวฟได้เลยครับ”

“เอาเข้าอะไรนะ?” ไตติลาถอนหายใจ

“ผมว่าเราเปลี่ยนกันดีกว่า” กษิดิสหัวเราะ ก่อนจะรับหน้าที่ปรุงรสเอง ไม่นานเขาก็ยื่นปลายช้อนให้ไตติลา

“ผมจับเองดีกว่า”

“ชิมเถอะน่าว่าใช้ได้หรือยัง คุณจะได้เริ่มเก็บครัว” หนุ่มน้อยถอนหายใจทีหนึ่งแล้วชิมรส ก่อนจะอุทาน

“คุณนี่เก่งเหมือนกันนะเนี่ย”

“แน่ซี..ผมทำได้ยิ่งกว่านี้อีก” คนพูดยักคิ้วให้เสียทีหนึ่ง ก่อนจะหันไปแอบทึ่งกับตู้เล็กๆที่มีไฟ เห็นโถแก้วหมุนอยู่ข้างใน



   ในที่สุดไตติลาก็ได้กินอาหารจานโปรด โดยไม่ลืมแบ่งไว้ให้คริษฐ์ส่วนหนึ่ง  แถมวันนี้มีเพื่อนร่วมมื้ออาหาร  แม้หนวดเคราจะรกตาไปบ้าง แต่ช่วยให้มื้ออาหารนี้ลุล่วงลงได้ โดยไม่เงียบเหงาเท่าใดนัก  ไตติลาลอบมองนิ้วเรียวยาว เล็บตัดสั้นดูมีระเบียบจับช้อนส้อม ชายหนุ่มยอมรับว่า เป็นมือที่สวยดี ไม่ได้อ่อนบางอย่างมือของผู้หญิง แต่เป็นมือที่แลดูแข็งแรง สมส่วน  ไตติลาย้อนกลับมามองหน้าพลางจินตนาการไปว่า ถ้าหน้าตาไร้หนวดเคราเสียแล้วจะเป็นอย่างไรหนอ

“เวลาคุณกินอะไร ไม่ลำบากหรอครับ” ไตติลาทำมือวนๆรอบริมฝีปาก

“ก็ไม่นะ”

“คุณเชื่อไหม ตอนผมเด็กๆ ผมอยากมีหนวดมีเคราอย่างนี้บ้างผมว่ามันเท่ห์ดี   แต่รอแล้วรอเล่ามันก็ไม่มี   พอโตมาเลยถูกลงโทษ กลายเป็นว่า หนวดไม่ค่อยยอมจะขึ้น” คนฟังหัวเราะ

“ผมต้องโกนทุกเช้า จนชักขี้เกียจเลยไว้มันเสียยาวๆ นานๆจะโกนหนวดสักที”

“นานนี่เมื่อไหร่ครับ” ไตติลาถามอย่างชักตื่นเต้น

“เอ....ไม่รู้เหมือนกัน”

“เปล่า ผมหมายถึงว่า เมื่อไหร่คุณจะโกนออก” คนถูกถามเกาหนวด ทำหน้ายุ่งยากใจ

“อืม ไม่รู้สิ”   


๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗

   ไตติลาออกจากอพาร์ทเม้นต์ของตัวเองเมื่อบ่ายคล้อย โดยทิ้งชายหนุ่มผู้มีหนวดเครารุงรังไว้ในห้อง ก่อนจะออกไปทำงานและกลับอีกทีเมื่อฟ้ามืดไปนานแล้ว คริษฐ์ยังคงต้อนรับเขาอย่างดีด้วยอ้อมกอดอุ่นๆนั้นเช่นเคย อากาศภายนอก ไม่ได้หนาวเย็นเยือกอีกต่อไปแล้ว ด้วยเพราะฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือนอย่างเงียบเชียบแล้ว  หลังพายุแห่งห้วงอารมณ์ร้อนแรงของคนทั้งคู่ได้ผ่านไปแล้ว  ไตติลากลับมาพร้อมกลิ่นสบูทรุดกายลงนั่งกับพื้นพรมข้างเตียง  บนเตียงนั้นร่างสูงใหญ่นอนคว่ำหน้าเกยกับหมอน  แผ่นหลังที่พ้นจากผ้าห่มนั้นมีมัดกล้ามเนื้อสมส่วน  มันสะท้อนขึ้นลงตามจังหวะการหายใจของเจ้าตัว

“คุณคริษฐ์” ไตติลายื่นหน้าเข้าไปเรียกเบาๆ เจ้าของชื่อครางรับเบาๆ

“คุณคริษฐ์จำห้องสมุดที่ถนน N ที่ผมเล่าให้ฟังได้ไหม? พรุ่งนี้ผมจะไปยืมคืนหนังสือ เห็นบ่นว่าอยากหาหนังสือเล่มหนึ่งไม่ใช่หรือครับ?”

“เอาสิ พรุ่งนี้ติลาว่างกี่โมงล่ะ” คริษฐ์ตอบด้วยเสียงอู้อี้

“สักเที่ยงๆนะครับ” ไตติลาไล้ปลายนิ้วไปตามกรอบรูปต่างๆที่วางเรียงรายไว้ตรงหน้า

“รูปนี้ใครถ่ายให้หรือครับ สวยดีจัง” เจ้าของภาพลืมตาขึ้นมา  นานช้าจึงจะตอบ

“นิทเช” คำตอบที่ได้รับ ทำให้ไตติลานึกถึงภาพอีกใบที่เขาเคยเห็น  บัดนี้ มันกลับถูกคว่ำหน้าไว้กับโต๊ะหัวเตียง ไตติลาจำได้เลือนลางว่าคนในภาพมีเค้าโครงหน้าและประกายจากดวงตาที่ดูอ่อนโยนนัก

“เขาเป็นช่างภาพหรือครับ?”

“ใช่”

“แล้วภาพสิงห์สาลาสัตว์ในห้องทั้งหมดนี่เขาถ่ายหรือครับ?” คริษฐ์พลิกกายนอนตะแคงพลางเท้าแขนกับศีรษะ

“ทำไมวันนี้ช่างสงสัยจัง”

“ถ้าคุณคริษฐ์ไม่อยากตอบ ก็ได้ครับ ผมจะได้ไม่ถาม” ไตติลาไล่มองภาพต่างๆใหญ่น้อยที่วางบนโต๊ะหัวเตียง

“ถามเถอะ” ไตติลายิ้ม เขาเห็นรูปในกรอบเหล็กลวดลายอ่อนช้อย เป็นรูปขนาดเล็กมากหากเทียบกับกรอบอื่นๆ วางอยู่หลังรูปอื่นๆ เหมือนจงใจจะซ่อน  ภาพของคู่รักโดยแท้

“คุณคริษฐ์เคยเป็นคนรักกับคุณนิทเชสินะครับ” ไตติลาหัวเราะเบาๆ   เสียงหัวเราะนั้นแผ่วเบาจนหากฟังไม่ดีอาจนึกว่าเป็นเสียงของการเย้ยหยันตนเอง

“ใช่”คนตอบ ตอบด้วยเสียงเบาราวกระซิบ

“แล้วคุณคริษฐ์ยังรักเขาอยู่ไหม?” เจ้าของคำถามถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแห้งแล้ง ดวงตาที่คริษฐ์นึกชมคู่นั้น มองสบตาเขาแดงก่ำ ทว่าไม่มีน้ำตาเอ่อล้น คริษฐ์รู้ ว่าดวงตาคู่นั้นกำลังค้นหาบางอย่างจากจิตใจเขา จึงเลือกจะหลบตาเสีย ไตติลาห่อไหล่ตัวเองเล็กน้อยพลางสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วหันกลับมายิ้มอ่อนจาง

“คุณคริษฐ์นอนเถอะครับ ผมจะกลับแล้ว พรุ่งนี้ผมจะรอที่ห้องสมุดนะครับ”

   ไตติลาแต่งกายเรียบร้อย เขาไม่เคยค้างคืนในห้องนี้  ไม่เคยแม้แต่หนเดียว ด้วยเพราะบางอย่างมันรบกวนจิตใจ ให้ไตติลารู้ตัวว่า ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ของเขาเช่นเดียวกับคืนนี้ ที่ความรู้สึกนั้นรุนแรงกว่าครั้งไหนๆ ไตติลากวาดสายตามองภาพเล็กภาพน้อย ที่ตกแต่งในห้องรับแขกอพาร์ทเม้นต์พีอีกครั้ง  ก่อนจะเปิดประตู  หน้าประตูนั้น มีชายร่างเตี้ยกว่าไตติลาเล็กน้อย ดวงหน้านั้นเงยขึ้นย้ำเตือนความจำของไตติลาอีกครั้ง

“คุณนิทเช....”


๗๗๗๗ โปรติดตามตอนต่อไป ๗๗๗๗๗๗


อยากกินเเกงส้มชะอมไข่ :z3:

ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นนะคะ :L1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๗.๑ (๑๕/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 15-06-2010 21:31:02
อรั้ยยยย นิทเชมาจนได้ สงสารติลาอ่าาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๗.๑ (๑๕/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 16-06-2010 08:56:37
กรี๊ดดดดดดดดดดด
ฉากกุ๊กกิ๊กเล็ก ๆ ของพระเอกแดนภารตะของดิชั้นกับติลา
ทำแกงส้มเผื่อด้วยสิคะคุณดิส  ดิชั้นอยากชิมน้ำแกงจากช้อนในมือคุณบ้าง  :-[
นิทเช...มาเอาผู้ชายของคุณไปเดี๋ยวนี้ค่ะ
คุณคริษฐ์เองก็เลิกห่วงติลาเถอะนะคะ  คุณดิสเค้ามาแล้ว  :laugh:
ขอบคุณค่ะคุณเมศ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๗.๑ (๑๕/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 16-06-2010 14:02:04
อะ นิทเช มาจริงอะ  :a5:
ไม่เป็นไรนะ ติลา เดี๋ยวเพื่อนคนใหม่คนนั้น ก็ทำให้อบอุ่นใจขึ้น  :m1:

ปล. อยากกินแกงส้มชะอมไข่กะปลาสลิดทอดอะ หิวววววววว
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๗.๑ (๑๕/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: heavenly**yaoi ที่ 16-06-2010 19:27:57
โอ๊ะโอ 3...เศร้า
เริ่มมาถึงคิวดราม่าแล้ว ฮือ
รอเชียร์อยู่ข้างสนาม
เอิ่ม เม้นนี้อาจเพี้ยนๆ ไปและ ฟิ้ว- ฉึบ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๗.๒ (๑๘/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 18-06-2010 12:05:48
ตอน ๗.๒


ใครเคยมีปมในวัยเด็กบ้าง?....ไตติลาคนหนึ่งละที่มีปมเล็กๆปมหนึ่งฝังอยู่ในใจ  เมื่อสมัยไตติลายังเป็นเด็กเล็กๆ เมื่อเวลาเลิกเรียนมักต้องรอพ่อให้มารับทุกวัน เด็กทุกคนนั่งเรียงแถวกันจนกว่าผู้ปกครองของตนเองจะมา  เด็กน้อยไตติลาในเวลานั้น มักมีความสุขเสมอที่เมื่อต่อแถวออกจากห้องเรียนแล้วพบพ่อยิ้มกว้างขวางรอรับ  จนวันหนึ่งที่ไตติลารอแล้วรอเล่า  แต่ละนาทีล้วนผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวชั่วโมง  การรอคอยที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดนั้นทรมานหัวใจอย่างยิ่ง  จนเมื่อเห็นใบหน้าคุ้นตาของพ่อ ก็ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว  ความรู้สึกในเวลานั้นมักแผดเผาหัวใจไตติลาเสมอมา เมื่อโตขึ้นมา เขาจึงเกลียดชังต่อการรออย่างไม่มีที่สิ้นสุดนัก  เช่นเดียวกับในยามนี้ ไตติลามาถึงห้องสมุดเล็กๆแห่งหนึ่งในเวลาก่อนเที่ยง นั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งที่ใกล้กับประตูทางเข้า เพื่อให้แน่ใจว่า ไม่ว่าใครจะผ่านเข้าออกจะเห็นเขาแน่นอน

   เข็มนาฬิกายังทำหน้าที่ของมันอย่างเที่ยงตรงเสมอ เลยเวลาเที่ยงมาพักใหญ่แล้ว ไตติลาเงยหน้าขึ้นมองทุกครั้งที่ประตูเปิด ทว่าไม่ใช่คนที่รอคอย ในหัวสมองกำลังปั่นป่วนไปด้วยเหตุผลต่างๆที่อาจเป็นไปได้ ของการที่คริษฐ์ยังมาไม่ถึง รถติด รถเสีย ไม่สบาย อะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่ ....นิทเช  ไตติลารวบรวมความอดทนให้ตัวเองอีกครั้งอย่างเงียบๆ  ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ความอดทนของไตติลายิ่งน้อยลงเรื่อยๆ จนเกือบจะหมดสิ้น  มือนวลนั้นคว้าโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้นเตรียมจะโทรออก  แต่บางอย่างในหัวใจกลับร้องห้าม

‘ถ้าเขาจะมา เขาก็มาเองแหล่ะ’ ทว่าอีกใจกลับขัดแย้ง

‘เขาไม่มาหรอกติลา  ไม่เห็นหรือว่า หลักฐาน เต็มห้องออกอย่างนั้น’

‘เขาต้องมาสิ คุณคริษฐ์ ต้องมา เพราะว่า ติลา...ยังคอย’

‘แน่ใจได้อย่างนั้นเชียว ไตติลาสำคัญอะไรนักกับคุณคริษฐ์หรือ?’ ไตติลานิ่งคิด ให้ความกระวนกระวายเผาผลาญหัวใจต่อไปอย่างเงียบเชียบ

   ใกล้จะตกเย็นไตติลานั่งอ่านหนังสือต่อไป ทั้งที่ตัวหนังสือนั้น เป็นเพียงภาพเงาเลื่อนลอยอันห่างไกล มือข้างหนึ่งกำโทรศัพท์มือถือของตัวเองไว้แน่นโดยไม่กล้าแม้แต่จะปล่อยวาง  ห้องสมุดที่เคยมีคนทุกเพศทุกวัยในยามนี้เริ่มว่างเปล่าและเงียบงัน ริมฝีปากบางนั้นเม้มแน่นเข้าราวกับจะรีดเค้นเอาความอดทนออกมาจากทุกอณูกาย  ยิ่งนานเข้า ความอึดอัดในอกนั้นยิ่งสุมทวี  กระบอกตานั้นร้อนผ่าวราวกับจะเผาไหม้ทว่าน้ำตายังไม่ยอมหยาดหยด 

   พอแล้ว!! พอกันที!! ร่างโปร่งนั้นลุกพรวดขึ้น กวาดมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาแดงจัด ความอัดอั้นที่แน่นอยู่ในอกจนยากแม้แต่จะหายใจนี้ ทำให้ไตติลานึกอยากจะทำลายล้างอะไรก็ตามตรงหน้าเสียให้สิ้น ร่างนั้นหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนจะก้าวยาวๆแทบเป็นวิ่งออกไปนอกห้องสมุดเล็กๆแห่งนั้น  ที่เคยนึกชอบใจบรรยากาศสบายๆน่านั่ง  ท้องฟ้าขุ่นมัวด้วยอากาศที่แปรปรวนนั้น กำลังครวญคำราม ก่อนฝนเม็ดใหญ่ จะลงเม็ด   เม็ดฝนเย็นเฉียบตกกระทบร่างที่เดินฝ่าสายฝนอย่างไม่กริ่งเกรงต่อสิ่งใดนั้นไม่อาจทำให้ไฟที่สุมในอกบรรเทาลงได้  ไตติลาที่ตัวสั่นไปหมด ด้วยเพราะอะไรก็ตามแต่ หัวเสียหนักขึ้นอีก เมื่อไม่สามารถไขเปิดรถตัวเองได้ตามที่ตั้งใจ   จนเผลอระบายอารมณ์กับสิ่งไม่มีชีวิตอย่างรถยนต์เข้าความรู้สึกเจ็บแล่นปราดขึ้นมาทันที ทำให้ร่างนั้นหยุดนิ่งลงในที่สุด  ก่อนเจ้าของรถจะไขกุญแจอีกครั้งอย่างเบามือ ก่อนจะนั่งประจำที่ด้วยหัวใจที่ไม่ได้ร้อนดั่งไฟสุมเช่นเมื่อครู่  หากคล้ายจะเย็นชา ด้วยเพราะความเจ็บปวดได้แผ่ซ่านจนหัวใจไตติลาไร้ความรู้สึกใดๆ   ในวินาทีนั้นเอง ไตติลาระลึกได้แล้วว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคริษฐ์คืออะไร มันสามารถบรรยายได้ด้วยคำเพียงสามคำ ‘ Friend with benefit’

๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗



   ท่ามกลางบรรยากาศเงียบเชียบของอพาร์ทเม้นต์พีที่เงียบราวร้างผู้คนด้วยเพราะเวลาดึกสงัด  นิทเชนั่งมองผู้ชายคนหนึ่ง ที่คุ้นหน้าคุ้นใจเขามานานปี ชายคนนั้นกำลังชงกาแฟในห้องครัว  ความสูงนั้นยังคงเจนตานิทเช พอๆกับโครงหน้าที่รับกับแว่นสายตาของเจ้าตัว  นิทเชยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนใจก่อนจะรับกาแฟที่เจ้าของห้องชงให้  รสชาติของมันไม่ผิดเพี้ยนไปจากเก่าก่อนแม้แต่น้อย รสชาตินุ่มนวลและหวานติดปลายลิ้น  ขณะที่หากนิทเชเดาไม่ผิด ในแก้วของคนชง รสชาติของมันจะเข้มจัดอย่างกาแฟที่ไม่เคยเต็มสิ่งใดเลย

“มาฉุกละหุกอย่างนี้ มีอะไรหรือ?” แม้น้ำเสียงจะราบเรียบคุ้นหู ทว่านิทเชรู้สึกได้ถึงความเย็นชา

“เชแวะมาเยี่ยม”

“มาทำอะไรหรือ?” นิทเชจิบกาแฟในแก้วอีกครั้ง รสชาติของมันยังเหมือนเดิมไม่มีผิด

“มาทำงานน่ะ  คริษฐ์ดู....แปลกไปนะ” สายตาเบื้องหลังกรอบแว่นนั้นจับจ้องราวกับจะทะลุทะลวงคนตรงหน้า

“อย่างนั้นหรือ?  แล้วเช คาดหวังว่าจะเห็นอะไรล่ะ?” นิทเชหลุบตามองต่ำ ยกกาแฟอุ่นๆในแก้วขึ้นจิบอีกอึก คราวนี้ รสชาติของมันกลับแผกไป ความนุ่มนวลและรสหวานที่เคยติดปลายลิ้นหายสิ้น เหลือเพียงความข่มจางๆ

“เปล่า  เชเพียงแต่รู้สึก” ความรู้สึก อึดอัดบางอย่างกลับมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้คนทั้งคู่เงียบงัน

“เด็กคนที่เชเจอ ใครหรือ?”

“อยากรู้ไปทำไม?”

“เช แค่อยากจะรู้” นิทเชมองสบสายตาที่มองตรงมาแน่วนิ่ง คราวนี้เขาแน่ใจแล้ว ว่าความรู้สึกแปลกนั้น เป็นของจริง  ชายตรงหน้านี้ ไม่ใช่คริษฐ์คนเก่าที่เขารู้จัก

“แค่เด็กขี้เหงาคนหนึ่งเท่านั้น”

“คริษฐ์!”

“ทำไมหรือนิทเช เธอมีปัญหาอะไรกับธุระของฉัน!?” คริษฐ์มองดวงหน้าคุ้นใจนั้น เค้าความอ่อนโยนในดวงตาคู่นั้น จางหาย

“เช เธอย้ำฉันเองนะ ว่า ‘เรา’ ไม่ใช่ ‘เรา’ อย่างเมื่อก่อน”    

“นั่นสินะ ผมนี่ช่างโชคดีเหลือเกิน”

“เธอจะพูดอะไร?”

“โชคดีของผมเหลือเกินแล้ว ที่ไม่ต้องอยู่กับคนไร้หัวใจอย่างคุณ” ในอดีตคริษฐ์เคยกลัวเหลือเกินว่า สักวันหนึ่ง ดวงตาที่เคยฉ่ำชื้นด้วยหยาดน้ำ จะเอ่อคลอด้วยน้ำตา   น้ำตาของความผิดหวังอย่างที่สุด   อย่างที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้   นิทเชลุกขึ้นยืนอย่างไม่มั่นคงนัก ก่อนจะสะพายกระเป๋าของตนขึ้นบ่า แล้วพุ่งตรงไปที่ประตู

“จะไปไหนนิทเช”

“ขอบคุณสำหรับกาแฟ ผมคิดผิดเหลือเกิน ที่คิดถึงคุณ”  นิทเชกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาทว่าร้าวกับเค้นมาจากหัวใจ  มือแข็งแรงที่เคยสัมผัสอย่างอ่อนโยนทะนุถนอม กลับบีบแน่นราวปลอกเหล็กเข้าจับที่ต้นแขน

“จะอยู่ถึงเมื่อไหร่?” คริษฐ์ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างคนสิ้นไร้เรี่ยวแรง

“ไม่นานจนทำให้คุณรำคาญใจหรอก ผมคงจะพอหาทางไปเองได้โดยไม่รบกวนคุณอีก” นิทเชผู้เคยมีแววตาอ่อนโยน กลับมองมาที่เขาอย่างเกรี้ยวกราด ในสายตานั้น อัดแน่นไปด้วยความผิดหวังอย่างร้ายกาจเช่นกัน

“ผม....” คริษฐ์พูดได้เพียงเท่านั้น ก่อนจะกัดริมฝีปากอย่าสะกดกลั้น  มือที่บีบอีกฝ่ายแน่นคลายออก เปลี่ยนสัมผัสนุ่มนวลสุภาพอย่างครั้งเก่าก่อน ฝากรอยความรักและคิดถึงทั้งหมดผ่านริมฝีปาก ประทับลงแผ่วเบาบนหน้าผากนั้น  ก่อนจะปล่อยนิทเชไป ...ทั้งที่รู้ การปล่อยมือในคราวนี้ อาจหมายถึง  ‘กาลนิรันดร์’







โปรดติดตามตอนต่อไป

อ่าห์...ดราม่า

ปล.ติดเกมส์ขนาดหนัก ถ้าหายไปนาน ส่งคนมาตามที่หลังสวนยายเมี้ยนด้วยนะคะ 555+

หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๗.๒ (๑๘/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 18-06-2010 15:09:39
  :z13:  :laugh:
ดราม่าแบบนี้ชอบค่ะ
ติลาจะได้เลิฟเลิฟกับพระเอกจากแดนภารตะของดิชั้นคนเดียว  :jul3:
คุณคริษฐ์ไม่ไปง้อนิทเชล่ะคะ...เค้าโกรธคุณไม่นานหรอกค่ะ  เชื่อเถอะ
บวกขอบคุณค่ะคุณเมศ
 :pig4: 
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๗.๒ (๑๘/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: heavenly**yaoi ที่ 18-06-2010 18:13:46
อยากรู้อดีตของติลามากกว่านี้จัง

แล้วนิทเชจะกลับมาทำไม

ทำไมคริษฐ์พูดไปแบบนั้น

คนไร้หัวใจ

เห็นแก่ตัว!
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๗.๒ (๑๘/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 18-06-2010 19:08:57
คริษฐ์ ไม่ได้ไร้หัวใจ แต่ใจร๊ายยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๗.๒ (๑๘/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 18-06-2010 21:30:49
I'm so sad.
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๗.๒ (๑๘/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 18-06-2010 22:20:45
กลายเป็นรักสามเศร้าแล้วเหรอ อย่าเพิ่งสิ ยังมี กษิดิษฐ์ อีกคน อาจเป็นตัวแปรที่ดี (หรือเปล่า) ก็ได้นะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๗.๒ (๑๘/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 18-06-2010 22:59:04
ฮี่ๆๆๆ ค่อยๆเดากันไป กระดึ๊บบบ กระดึ๊บบบ

เดาว่า คงจะมีคนอยากจะตุ๊บตั๊บคริษฐ์ อิอิ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๗.๒ (๑๘/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 21-06-2010 09:28:02
ใครก็ได้บอกทางไปสวนยายเมี้ยนหน่อยครับ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๗.๒ (๑๘/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 23-06-2010 10:30:04
สวนยายเมี้ยน...ไม่รู้จักอ่ะค่ะ
แต่...ไปแจ้งความคนหายง่ายกว่าอ่ะ
 :jul3:
แอบ  :กอด1: คุณดิส55+
คุณเมศศศศศศศศ  ชั้นคิดถึงคู๊ณณณณณณณณณณณณ (ใส่แอ็คโค่ตามใจชอบค่ะ555)
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๗.๒ (๑๘/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 23-06-2010 19:17:12
คิดถึงงติลาแล้ว
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๘.๑ (๒๖/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 26-06-2010 01:49:53
ตอน ๘.๑

   ไตติลากลับถึงอพาร์ทเม้นต์ ด้วยหัวใจหนาวเยือกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  ร่างนั้นทิ้งกายลงนั่งปลายเตียงอย่างหมดแรง  ความรู้สึกบางอย่างยังอึดอัดอยู่ในอก อย่างที่เจ้าตัว ก็ไม่รู้จะระบายออกมาอย่างไร   เขาจึงทำได้เพียง ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่จิตใจเหนื่อยล้าอย่างบอกไม่ถูก  ไตติลาเดินกลับไปตามทางเดิน คัดแยกจดหมายสอดไว้ใต้ประตูของรูมเมตแต่ละคน ก่อนจะเข้าห้องครัว หาน้ำดื่มสักแก้ว เพราะในยามนี้ ไตติลากินอะไรไม่ลงทั้งนั้น

“กลับมาแล้วหรือ?” น้ำเสียงคุ้นหูนั้นทำให้ไตติลารีบก้มหน้างุด

“เป็นอะไร?” เงาที่เริ่มคุ้นตาไตติลาเลื่อนเข้ามาใกล้ ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนนัก

“เปล่าครับ” คนตอบ ว่าเปล่านั้นเสียงสั่นจนแทบควบคุมไม่ได้

“ทำตาแดงๆอย่างนี้นะหรือ ว่าเปล่า” ไตติลาหันไปสบตากษิดิส เพราะจากน้ำเสียงคล้ายจะล้อเลียนนั้น   ทว่าดวงตาที่ไตติลาเห็น ไม่ได้มีเค้าล้อเลียน แต่เป็นแววตาอาทรที่ทอดมา

“ผมไม่ได้ทำตาแดงๆ” ไตติลาว่า พลางพยายามขับไล่ไอน้ำอุ่นร้อนที่จับกระบอกตา

“แน้ อย่ามาหลอก   ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรหรอก   เพราะใครๆก็ต้องมีความลับของตัวเองทั้งนั้น   เพียงแต่มันอึดอัด ไม่มีที่ระบาย” กษิดิสพูด พลางยิ้มเห็นฟันขาวใต้หนวดเครา ไม่ใช้ยิ้มอย่างเยาะเย้ย แต่เป็นยิ้มอย่างปลอบใจ

“ระบายออกมาเถอะ จะได้หายอึดอัดเสียที” ไตติลายืนนิ่งขึง จิกเล็บเข้ากับขอบอ่างล้างจานแน่น  กษิดิสจึงถอยออกมา บางทีไตติลาอาจจะอยากอยู่เงียบๆคนเดียวก็เป็นได้  ทว่าเมื่อเขาถอยออกมาได้แค่ครึ่งก้าว ไตติลาที่พยายามอดทนจนไหล่ทั้งสองข้างนั้นสั่นสะท้าน กลับสะอื้นออกมาอย่างสิ้นอาย

“ทำไมคนที่ผ่านมาในชีวิตผมทุกคนถึงได้เฮงซวยแบบนี้หมด”  กษิดิสรีบหยิบทิชชูสำหรับเช็ดครัวส่งให้ แม้เนื้อกระดาษจะหนาสักหน่อย แต่คงพอจะซับน้ำตาได้  กลายเป็นว่าไตติลากลับหันมาซุกบนอกเขาแทน  กษิดิสที่เอาเข้าจริงแล้วไม่รู้จะปลอบอย่างไร ทำได้แค่ลูบหลังลูบไหล่เท่านั้น

“ผมไม่ดีตรงไหนหรือคุณดิส ทำไมทุกคนทำเหมือนผมไร้ค่า พอเบื่อแล้วก็ทิ้งไป วันนี้...เขาปล่อยให้ผมรอ...รอโดยไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ อย่างนี้มันยุติธรรมกับผมหรือ?” กษิดิสรับรู้ได้ถึงความอุ่นชื้นบนอก ที่แผ่ขยายวงไปทั่ว

“หึ!...friend with benefit สินะ แค่เพื่อน ที่สนุกกันชั่วครั้งชั่วคราว ช่างน่าสมเพทจริงๆไตติลา” ไตติลาพูดแล้วหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนั้นกรีดลึกหัวใจคนได้ยิน

“ไม่หรอก   อย่าดูถูกหรือเวทนาตัวเองเลย   คุณค่าของคนเราอยู่ที่ตัวเรานะ ไตติลาที่พี่รู้จัก ออกจะเข้มแข็ง ใช่ไหม? ” เจ้าของอกอุ่นๆที่ซับน้ำตาให้ ก้มลงมองคนในอ้อมแขน   ขณะที่ ไตติลาเงยหน้ามองทั้งน้ำตาเปื้อนหน้า

“คุณดิส......หนวดคุณจิ้มผม  ผมเจ็บ” คนฟังหัวเราะเบาๆ ขณะคนเจ็บตัวเอามือถูหน้าผากตัวเองเบาๆ


   ไตติลาที่ร้องไห้เสียจนหมดแรง นอนขดบนโซฟาแข็งๆในห้องนั่งเล่นของตนเอง โดยใช้ขากษิดิสต่างหมอนหนุน  เจ้าของศีรษะที่มีเส้นผมอ่อนนุ่มนั้นขยับบนหน้าขาตึงแน่นอีกสองสามครั้ง ก่อนจะเริ่มนิ่ง โดยยังมีมือแข็งแรงของกษิดิส คอยลูบศีรษะนั้นอย่างปลอบขวัญ  ก่อนที่มือนวลของคนนอนตักนั้นจะคว้าจับไว้

“หือม์ อ้าว มือเป็นอะไร?” คนนอนตักส่ายศีรษะเบาๆ

“เดี๋ยวใส่ยาเสียนะ” มืออุ่นๆนั้น กอบกุมมือของอีกคนไว้นุ่มนวล

“คุณดิสอยู่กับติลาก่อนนะ” น้ำเสียงแผ่วเบาอย่างคนไม่มั่นใจนั้น ทำให้กษิดิสยิ้มเอ็นดู

“ได้ซี สัญญาเลย”


๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘


   ไตติลาที่ร้องไห้จนเพลียหลับนั้น ทำให้ชายหนุ่มอมยิ้ม  เขาลูบสัมผัสเส้นผมนั้นเบามือ พลางคิดไปว่า ใครหนอ...ช่างใจร้ายกับไตติลาได้อย่างนั้น  แม้อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้วต้อนรับฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาถึง แต่คนนอนตักยังขดตัวกลมพลางกอดตัวเอง  กษิดิสจึงตัดสินใจหาผ้าห่มให้สักผืน  เขาวางศีรษะไตติลาไว้บนกองหนังสือที่คว้าได้ใกล้ๆมืออย่างนุ่มนวล  เดินผ่านครัวเปิดโล่งสู่ห้องนั่งเล่นนี้เข้าไปยังห้องที่สุดทางเดิน ห้องของเขาเอง คว้าผ้าห่มและหมอนออกมา ให้ไตติลาได้นอนอุ่น และหนุนนอน   เมื่อมั่นใจว่าหนุ่มน้อยนอนสบายขึ้นแล้ว จึงแวะหาอุปกรณ์ทำแผล แต่แล้วเขาก็ชะงักกับภาพตัวเองในกระจก 

“อืม....” ไตติลาพลิกนอนหงาย ดวงตาปวดร้าวระบมไปหมด   จนเขาต้องรีบหลับตาลงอีกครั้ง   หูได้ยินเสียงทุ้มๆของใครบางคน พูดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันชัด ด้วยถ้อยภาษาที่เหมือนในหนังย้อนยุค อาจจะเป็นทีวี....ไตติลายกมือกุมศีรษะ ก่อนจะพยายามลุกขึ้นนั่ง มือของเขาข้างที่เจ็บ ได้รับการทำแผลแล้ว ผ้าพันแผลพันไว้เรียบร้อยจนเขานึกชม

“ตื่นแล้วหรือ? ทานข้าวสักหน่อยไหม?”ไตติลาปรือตามองคนพูด   เอ...เสียงคุ้น หน้าไม่คุ้น   กษิดิสเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะคุกเข่าลงข้างโซฟานั้น

“ทานสักหน่อยนะ จะได้มีอะไรรองท้อง”

“ว่าไงครับ ผมทำอร่อยนะ” กษิดิสเอ่ยชวนเชื่อ เมื่อเห็นไตติลานิ่งไปนาน

   ไตติลากำลังสังเกตว่าอะไรแปลกไป  คุณดิสล่ะคงใช่ แต่ทำไมหน้าแปลก หนวดเคราหายไป เหลือเพียงรอยเขียวครึ้ม และริมฝีปากหยักสวยเป็นสีแดง ที่กำลังยิ้มจางๆ ผมสีดำจัดนั้นใส่น้ำมันเสยไปด้านหลัง ดวงตาคมยาวที่มีแพขนตายาวล้อมกรอบเข้ม กำลังมองมาที่เขา พร้อมกับคิ้วที่รับกับจมูกโด่งเป็นสันนั้นเลิกขึ้นอย่างสงสัย ผิวหน้าเป็นสองสีจางๆ จากส่วนที่ถูกแดดบ่อย และส่วนที่ขาวกว่าที่เคยอยู่ใต้หนวดเครา ทว่าไม่อาจทำให้โครงหน้าอย่างไทยแท้นั้นหมองมัวลงได้เลย

“หน้าไม่คุ้นเลย” ไตติลาพูดแล้วอดยิ้มจางไม่ได้

“ดูไม่ได้เลยหรือ? หรือว่าหน้าจะด่างมาก”

“ไม่หรอกครับ แค่แปลกตาไปเท่านั้น”

“มาเถอะ ทานอะไรสักหน่อย”


   อาจเพราะน้ำเสียงทุ้มต่ำนุ่มนวลนั้นพูดชักชวน จนไตติลายอมตามแต่โดยดี  ไตติลาลอบมองดวงหน้าคมสันของอีกคนที่อยู่อีกด้านของโต๊ะอย่างสนใจ สมองของเขายังคงมึนชาจากหลายๆเรื่อง  มือนวลตักอาหารเข้าปาก อย่างว่าง่าย ท่ามกลางสายตาคาดหวังของคนปรุง  ดวงตานั้นมองคล้ายจะถาม ไตติลาจึงพยักหน้าให้เบาๆทีหนึ่ง เพราะรสชาติอาหารจัดว่าดีกว่าไตติลาทำเองเสียอีก  เมื่อเห็นคนชิมยอมรับ ดวงตานั้นก็ทอดกลับมาอย่างพึงพอใจ

“มองแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบนี้ มีอะไรหรือ?”

“ผมกำลังคิดว่า กลับเมืองไทยไป คุณดิสน่าจะเป็นดารา”คนฟังหัวเราะแก้ขวย

“อย่างนั้นเชียว”

“เสียอย่างเดียว ว่าออกจะเชยไปหน่อย ปรับลุคอีกสักนิด คุณดิสเป็นดารานายแบบได้สบาย”

“ฉันเชยฟุฟะอย่างนั้นเชียว”  กษิดิสพูดคล้ายพึมพำบอกตนเอง แต่คนได้ยินทำหน้าแปลกใจ

“วิธีพูดก็เชยด้วย”ไตติลาสำทับ

“เห็นทีผมจะไม่สมัยใหม่เท่าติลา” มือแข็งแรงที่ติลาชมว่าได้รูปสวย เกาไรเขียวเหนือริมฝีปากอย่างลืมตัว

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมว่าน่ารักดี” ไตติลาอดยิ้มไม่ได้ เมื่อเหนือไรหนวดเขียวนั้น ซับสีเรื่อน่าดู

“ไตติลาชอบทำอะไรบ้างเวลาว่าง?” กษิดิสรีบเปลี่ยนเรื่องแก้เขิน

“เอ หลายอย่างนะครับ ถ้าว่างจริงๆผมชอบฟังเพลง  หรือไปนั่งตามหาด ฟังเพลงที่เขาเล่นจากร้านอาหารแถวนั้น ฟังฟรี บรรยากาศดีด้วย แล้วคุณดิสล่ะ?”

“ผมชอบทำอาหารนะ เพราะผมกินจุ  ทำเองกินเองเสีย จะได้ไม่มีใครบ่นว่ากินเปลือง เพราะแต่ก่อนผมยังแชร์บ้านกับนักเรียนไทยคนอื่นๆ ทุกอย่างเราลงขันกันเสียหมด  ถ้าอย่างติลาไปลงขันกับเขา คุณละขาดทุน”

“ผมคงไม่ลงขันกับใครดีกว่า เพราะทีแรก ผมเกือบเป็นมังสาวิรัตอยู่แล้ว เพราะว่าระบบทางเดินอาหารไม่ค่อยเหมือนคนอื่นเขา   เลยกินแต่พวกผักหรือเต้าหู้เป็นหลัก  ถ้าเกิดหารอะไรกับใครเขา คงจะขาดทุนน่าดู”

“ไม่เป็นไรหรอก แล้วผมจะทำให้ทานหลายๆอย่าง ไม่ให้ติลาขาดทุน  ดีไหม?” คนถามส่งสายตาอย่างที่ไตติลามันรู้สึกว่ามันกระยิบกระยิบ ให้คันยุบยิบในหัวใจ  จนเขายิ้มตอบ

“ส่วนดนตรีผมก็เล่น เล่นจนจะเลิกเรียนไปเล่นดนตรีอยู่แล้ว”

“อ้าว  คุณดิสเรียนปีอะไรแล้ว?”

“ปีสุดท้ายแล้ว แต่ไม่ค่อยขยันไปเรียน เพราะต้องหาเงินเอง  จนศาสตราจารย์แกคงปลง  แกเลยว่า ถ้ายูอยากกลับมาเรียนเมื่อไหร่ค่อยมาแล้วกัน เห็นจะเพราะเข็นเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยอยากจะขึ้นเสียแล้ว”

“น่าเสียดายออกคุณดิส อีกนิดเดียวก็สำเร็จเตรียมกลับบ้านแล้ว แต่ของติลา ยังเพิ่งจะเตรียมแพทย์ สงสัยจะต้องเรียนกันจนแก่  แล้วคุณมาเรียนอยู่นี่กี่ปีแล้วครับ?” ไตติลาถามพลางจ้องมองใบหน้าคมสันนั้นอย่างรอคอยคำตอบ คนตอบจึงคลี่ยิ้มเอ็นดูให้เสียทีหนี่ง

“ ผมมาอยู่นี่ตั้งแต่อายุสิบหก  เก๊อะ...สิบปีพอดี” ไตติลาทำตาโต

“ผมเพิ่งมาได้สองสามปีเอง มิน่าล่ะคุณเรียนจะจบแล้ว ผมเพิ่งจะเริ่ม” เสียงเพลงที่ไม่รู้ที่มาดังขึ้น กษิดิสเหลียวหา ไตติลากลับสะดุ้งสุดตัวก่อนจะรีบหยิบ ‘กล่องสี่เหลี่ยม’ ขนาดกระทัดรัดออกมา

“อะไรน่ะ?” กษิดิสชะโงกหน้ามาจากอีกฟากของโต๊ะ

“โทรศัพท์มือถือ คุณไม่มีหรือ?” คนฟังส่ายหัว ไตติลากระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะขอตัวพูดธุระสักครู่ ร่างโปร่งบางนั้น ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร เดินไปตามทางเดิน กลับเข้าไปในห้องนอนของตน โดยก่อนไปกำชับใครอีกคนไว้

“คุณทิ้งจานไว้นะ เดี๋ยวผมล้างเก็บเอง” ไตติลาหันหลังเดินจากไป พร้อมกับสายตาใครอีกคน  ที่จ้องมองจนลับหายจากสายตา



๘๘๘๘๘โปรดติดตามตอนต่อไป๘๘๘๘๘

ฮา...ต้นอาทิตย์ติดเกมส์ กลางอาทิตย์ติดงาน ปลายอาทิตย์ติดบอล
จนดองนิยายยยยย
 :a5:

ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค๊า


หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๘.๑ (๒๖/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 26-06-2010 17:20:40
กรี๊ดดดดด คุณดิส น่ารัก เจ้าเงาะถอดรูปแล้ว
แต่ว่า โทรศัพท์ที่เรียกเข้ามาเนี่ย มาจากปลายสายที่ชื่อ คริษฐ์ ปะ  :sad4:

ปล. ติดเกม กะ ติดบอลเหมือนกันเลย  :z3:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๘.๑ (๒๖/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 26-06-2010 20:34:29
หึหึ ไม่แน่ว่านายดิสอาจจะเป็นคนที่ใช่ก็ได้ หรือ เป็นแค่เพื่อนแก้เหงา...
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๘.๑ (๒๖/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 26-06-2010 21:13:35
ความดราม่าเริ่มมาเยือน  :sad4:
แต่... คุณดิสน่ารักเนอะ ช่วงเวลาที่ติลาอยู่กับคุณดิสดูน่าสบายใจดี อยากลุ้นคู่นี้จัง  :impress2:
นิทเช  :monkeysad:

เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๘.๑ (๒๖/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 27-06-2010 09:06:19
คุณดิสชอบติลารึเป่าอ่ะ เดี๋ยว sad อีกรอบ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๘.๑ (๒๖/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 29-06-2010 12:38:15
ขอบคุณครับ

ติดอะไรก็ติดไป

แต่ อย่าให้รอนานนะครับ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๘.๑ (๒๖/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 29-06-2010 16:31:07
พระเอกแดนภารตะของดิชั้นหายไป...เหลือเพียงชายหนุ่มหน้าตาคมคายเป็นพระเอกหนังไทยคนเดียวเท่านั้น
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
คุณดิสของดิชั้น..ให้น้องใช้ขาแทนหมอนเหรอคะคุณดิส
ให้น้องใช้อกซับน้ำตาด้วยอีกต่างหาก..
ชนะเลิศศศศศ  อบอุ่นที่สุดดดดดด
ขอคู่นี้อีกนะคะคุณเมศ
บวกขอบคุณค่ะ
 :pig4:


ปล.คุณเมศเชียร์ใครคะ...ดิชั้นเชียร์พี่กาก้าค่ะ555
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๘.๑ (๒๖/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 29-06-2010 18:06:48
พี่เมศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศ

คิดถึงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๘.๒ (๒๙/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 29-06-2010 19:36:04
ตอน ๘.๒

คริษฐ์ยังคงรอฟังเสียงจากปลายสายให้รับโทรศัพท์อย่างอดทน หัวใจของเขาบีบตัวหนักๆด้วยความรู้สึกผิดจางๆที่แล่นปราดไปตามร่างกายนี้ ปลายสายนั้นรับสายแล้ว ทว่าไม่พูดอะไรกลับมา ทั้งคู่ต่างนิ่งงันปล่อยวินาทีเคลื่อนผ่านไปอย่างเงียบเชียบ คริษฐ์กำลังจินตนาการเจ้าของดวงหน้าของคนที่ปลายสาย ว่าอยู่ในอารมณ์ใด

“มีอะไรหรือครับคุณคริษฐ์” ในที่สุดน้ำเสียงราบเรียบของไตติลา ก็ดังมาตายสัญญาณโทรศัพท์จนได้ ทว่าคริษฐ์ยังคงเงียบงัน

“คุณนิทเชคงกลับไปแล้วสินะครับ” คริษฐ์ได้ยินเสียงที่ปลายสายหัวเราะเบาๆ ด้วยเสียงหัวเราะ ที่ฟังแล้วชาปราดไปทั้งร่าง

“กลับไปแล้ว ติลา...พี่”

“ครับ?”

“ติลาลงมาที่ห้องพี่หน่อยได้ไหม?”น้ำเสียงนั้นแผ่วเบา ที่ปรายเสียงนั้นคลับคล้ายจะเป็นคำวิงวอน ทว่าไตติลาไม่ได้ยิน

“มีอะไรหรือครับ? หรือว่าเกิดคิดถึงของเล่นเก่าอย่างไตติลาขึ้นมา คุณคริษฐ์...” เสียงเรียกนั้นฟังดูเฉียบขาดกว่าครั้งไหนๆที่เขาเคยได้ยินมา

“ผมคงสู้คุณนิทเชไม่ได้หรอกนะครับ” ถ้อยความนั้น ค่อยกรีดหัวใจคนฟังช้าๆ ส่งผ่านความเจ็บร้าวราวพิษร้าย

“ติลา!”

“ว่าอย่างไรครับ คุณคริษฐ์ ต้องการอะไรจากไตติลาคนนี้?” คริษฐ์กำมือถือของตัวเองไว้แน่น

“ขอพี่เจอติลาหน่อยได้ไหม?”

“ในฐานะอะไรครับ? เพื่อนที่สนุกกันให้สมอารมณ์อยากแล้วก็แยกย้าย หรือว่าอะไร?”

“พี่...”

“คุณคริษฐ์ ผมไม่ใช่ตัวแทนคุณนิทเช คนที่คุณไม่เคยตัดใจจากเขาได้ หรือเป็นของเล่นแก้เหงา เพราะผมก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน มนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ มีหัวใจเหมือนกัน ผมจะไม่พลาดพลั้ง ให้ความรู้สึกดีๆกับคุณอีก เพราะไตติลาคนนี้จะรักตัวเองมากกว่าใครๆ”

“ติลา...เราจะคุยกันดีๆไม่ได้เชียวหรือ? พี่รู้ว่าเราโกรธ...แต่”

“แล้วคุณคริษฐ์ตอบผมได้หรือยัง ว่าต้องการอะไรจากผม” คริษฐ์อึ้งงันไป ในหัวของเขากำลังปั่นป่วนไปด้วยความสับสน ที่หนักหนากว่าใครใดๆ

“พี่ไม่รู้!” เสียงนั้นกระซิบด้วยความสับสนอลหม่านในหัวใจ ทุกสิ่งดูเคว้งคว้างเกินกว่าคริษฐ์จะจับยึดสิ่งใดไว้เป็นหลักได้

“คุณคริษฐ์ อย่าทำให้เรื่องระหว่างผมกับคุณ เลวร้ายไปกว่านี้เลย” ไตติลาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ก่อนจะตัดสายไป


๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘


ไตติลายืนคว้างอยู่ในห้องนอนของตัวเอง รู้สึกเหน็ดเหนื่อยหัวใจ จนถึงกับต้องถอนหายใจหนักๆ ไตติลาเกลียดนัก กับความรู้สึกเหมือนโดนหักหลังกันแบบนี้ ริมฝีปากบางนั้นเม้มเข้าจนแน่น ในอกยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่กดทับราวกับมีน้ำหนักมหาศาล ไตติลารวบรวมกำลังให้ตัวเองอีกรั้ง ก่อนจะทิ้งโทรศัพท์ไว้ในห้อง ณ นาที เขาไม่ต้องรับรู้อะไรอีก นอกจากเรื่องที่อยู่ตรงหน้าเขา อย่างน้อย มันก็ช่วยเจือจางความผิดหวัง และหลอมละลายความเจ็บปวดได้ แม้จะไม่ได้ในทันใดราวเวทมนต์

“ติลา” เสียงทุ้มนุ่มนวลที่เรียกชื่อแผ่วเบานั้น ชโลมหัวใจไตติลาให้ทุเลาจากเพลิงเผาใจ

“ไม่เป็นไรนะครับ?” ไตติลายิ้มตอบประกายตาที่ทอดทอมาอย่างอาทรนั้น ทั้งที่ในดวงตาของไตติลารู้สึกร้อนผ่าว ด้วยหยาดน้ำจางๆ

“คุณยังอยากล้างจานอยู่หรือเปล่า? ผมเหลือให้คุณใบหนึ่ง อ้อ...กับแก้วอีกหนึ่ง”

“แหมใจดีจัง” ไตติลาพยายามทำให้บรรยากาศดีขึ้น ทั้งที่เสียงของตัวเองยังเครือราวคนจะร้องไห้ ไตติลารับช่วงล้างจานต่อ เงาสูงใหญ่นั้นเคลื่อนไป ยืนเช็ดมืออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

“ติลา อย่าเกลียดใครเลยนะ การเกลียดใครสักคนมันเหนื่อยมากนะ เหนื่อยกายเราพักผ่อนได้ แต่เหนื่อยใจ มันติดตามเราไปทุกเวลา จนบังตาเราว่าครั้งหนึ่ง ใครบางคนได้ทำอะไรดีๆให้เราไว้บ้าง”

“อืม” ไตติลาครางรับในคอเบาๆ

“อืมได้ยังไง ต้องตอบว่า ขอรับครับผม”

“เอาจริงน่ะ”

“เอาจริงสิ เร็วเข้า” กษิดิสคะยั้นคะยอ

“ แหม ทำไมต้องตอบยาวๆด้วย” ไตติลาต่อรอง ก่อนจะหัวเราะออกมา ในวันนี้กษิดิสสมปรารถนาแล้ว ที่ได้ขอรอยยิ้มกว้างขวางคืนให้หนุ่มน้อยไตติลา




โปรดติดตามตอนต่อไป


ลืมมาต่อ ขอโทษค่ะ เหอๆๆๆๆ  :call: เเถมเเบ่งหนึ่งสองเเปลกๆอีกตะหาก โอ้วโน้วววว...

คริษฐ์นี่ ได้รับการโหวตจากผู้อ่านส่วนใหญ่ให้เเค่เห็นก็อยากจะหนุมานถวายเเหวน น่าสงสารจริงๆ

ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นนะคะ


นอกเรื่องไปเรื่องบอลมั่ง จริงๆเชียร์หลายทีมค่ะ  บางทีมร่วงบางทีมรอดส่วนใหญ่จะเเล้วเเต่เเมชไหนใครเเข่งกะใครก็ชอบข้างไหนก็เชียร์ข้างนั้น  หรือไมเลยทั้งคู่ก็ไม่ดู  เเต่ตอนนี้เริ่มเอาใจช่วยญี่ปุ่น เพราะว่า วันก่อนเตะดีมว๊ากกกก  เเบบว่าสวยงามเเทบร้องกรี๊ดๆอยู่หน้าทีวี(เสียสติ)  สเปนเชียร์บ้างดูนักเตะบ้าง พอหอมปากหอมคอ ฮ่าๆ

ส่วนใครคิดถึงกัน...คิดถึงด้วย เเวะมาเยี่ยมบ่อยๆนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๘.๒ (๒๙/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 29-06-2010 19:51:40
^
จิ้ม +

ลึกๆ ยังอยากเชียร์คริษอยู่นะ แต่พฤติกรรมติดลบมากกกก :m16:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๘.๒ (๒๙/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 29-06-2010 21:00:53
 :L1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๘.๒ (๒๙/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 30-06-2010 00:29:18
หุหุ นายดิสพูดจาน่ารักจริง
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๘.๒ (๒๙/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 30-06-2010 12:28:09
โห ไรเนี้ย อิคุณคริษฐ์  :m16: ติลาอย่าได้ใส่ใจเชิดใส่ไปเลย คนอะไร้


ปล. เมื่อคืนเสียดายญี่ปุ่น ไม่น่าเลย
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๘.๒ (๒๙/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 30-06-2010 15:25:18
ติลาชนะเลิศศศศ..ให้เค้ารู้ไปค่ะ ว่าเราไม่ใช่อะไรที่จะมาทำเล่น ๆ ได้55+
หมดเวลาของคุณแล้วค่ะคริษฐ์...ตอนนี้มันเป็นเวลาโรแม้นซ์ของคุณดิส..(ของดิชั้น  :o8: )
ถึงแม้ว่าจะต้องโรแม้นซ์กันผ่านประตูเวลาก็ตาม  :m15:
ขอบคุณค่ะคุณเมศ
 :pig4:


ปล.ถ้าอยากอ่านตอนต่อไป..จะให้ไปตามคุณเมศได้ที่ไหนคะ?  :jul3: เค้าล้อเล่นน้าาาาา
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๘.๒ (๒๙/๐๖/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 30-06-2010 16:43:21
ง่ะ สั้นไปป่าว

รออยู่นะครับ มาต่อเร็วๆ ล่ะ


ไม่เลือกใครทั้งนั้น แบบว่าจะเหมาหมด
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๙.๑ (๐๗/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 07-07-2010 10:43:59
ตอน ๙.๑

   ไตติลาก้มลงมองสมุดบันทึกของตัวเองที่มีนัดหมายต่างๆเขียนไว้แน่นแทบทุกวัน เพื่อดูห้องเรียนที่ต้องไป  หลังจากวนรถหาที่จอดอยู่เกือบยี่สิบนาทีเต็ม  ไตติลาถึงห้องเรียนก่อนเวลาเรียนเล็กน้อย เขาเลือกนั่งที่ประจำ แถวติดทางเดินกลาง ไม่หน้าไม่หลังจนเกินไป   เพื่อนร่วมชั้นมาพร้อมส่งเสียงพูดคุยกันครึกครื้น ไตติลาทักตอบเพื่อนบางคนบ้าง ก่อนจะเริ่มหยิบอุปกรณ์การเรียนของตนออกมา  ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากรู้สึกว่ามีคนมานั่งใกล้ๆ

“คุณบอกการบ้านผมผิด โปรเฟสเซอร์คอมเม้นต์การบ้านผมใหญ่เลย” สมิท ไทสัน พูด ดวงหน้าคมสันเค้าเอเชียยิ้มจริงใจ

“ขอโทษ เพิ่งจะเห็นตอนกลับมาแล้ว แต่ไม่รู้จะติดต่อยังไง”

“เดี๋ยวเทอมนี้ผมไม่ได้ที่หนึ่งจะทำไงล่ะทีนี้” คนพูดพูดอย่างขบขัน ไตติลาฟังแล้วหน้าบูด

“ล้อเล่นหรอก ถ้าผมไม่ได้ที่หนึ่ง คุณจะได้เป็นแทนไง แล้วผมสลับไปเป็นที่สองแทน ดีไหม?”

“ผมไม่ได้อยากจะแกล้งคุณนะ” ไตติลายืนยันหนักแน่น ไตติลาที่ต้องเรียนแข่งกับเพื่อนคนอื่นๆ จนได้ผลการเรียนดีๆนั้น ด้วยกำลังตัวเองทั้งนั้น ไม่เคยคิดอิจฉากลั่นแกล้งใคร

“ผมรู้ คุณขยันออกขนาดนี้” อาจารย์เดินเข้ามาในห้อง ก่อนจะเริ่มการสอน

“ ผมรู้ว่าคุณนอกจากเรียนแล้ว ยังต้องรับผิดชอบค่าเรียนของตัวเองด้วย  ครึ่งหนึ่งใช่ไหม?”  ไตติลาหันมามองคู่สนทนาอย่างประเมิน  ดวงตาของไตติลาหลังกรอบแว่นหรี่ลงซ่อนบางอย่างไว้โดยไม่ยอมปริปาก  สมิท ไทสัน ยิ้มด้วยดวงตาเป็นประกายวาววับ

“ผมรู้เกี่ยวกับคุณอีกตั้งหลายอย่าง ถ้าคุณสงสัย” ชายหนุ่มยิ้มยั่วเย้า

“สงสัยสิ”

“เรียนก่อนเถอะ”  ไตติลาหน้าตึง ก่อนจะหันกลับไปตั้งใจเรียน คนนั่งข้างๆจึงลอบยิ้มขัน จนไตติลาชักหงุดหงิดพึมพำกับตัวเองตามภาษาตน

“ยังมายิ้มอีก” คนนั่งข้างๆเปลี่ยนจากแอบยิ้มเป็นหัวเราะเบาๆ

“นี่ ยืมปากกาสักแท่งสิ” ไตติลาลอบสูดหายใจเข้าลึกอย่างพยายามใจเย็น ก่อนจะหยิบกระเป๋าดินสอเปิดออก ดวงตาหลังกรอบแว่น มองปากกาหลากสีอยู่อึดใจ ก่อนจะหยิบสุ่มๆออกมาหนึ่งแท่ง แล้วส่งให้ ก่อนทั้งคู่จะไม่ปริปากพูดคุยกันอีกจนจบชั่วโมงเรียน

“ขอบใจสำหรับปากกา” ไตติลาเอื้อมมือไปรับ แต่คนถือไม่ยอมปล่อย

“เราเป็นเพื่อนกันนะ” สมิท ไทสัน ยิ้มกว้างขวาง ด้วยท่าทางจริงใจ ไตติลาเผลอยิ้มร้ายๆโดยไม่รู้ตัว

“ขอคิดดูก่อน....คงจะนานหน่อย” ก่อนจะฉวยปากกาของตนคืนมา   เก็บของใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย

“ เอาน่า ถึงคุณจะไม่ยอมเป็นเพื่อนผม แต่ผมแน่ใจว่า รู้จักคุณนานแล้วก็แล้วกัน”  คนพูดๆด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจเสียเหลือเกิน จนไตติลาอดคันปากไม่ได้

“ผมว่าคุณไป ทำความรู้จัก ตัวเองก่อนดีกว่า”  ไตติลาพูดทิ้งท้าย ก่อนจะสะพายกระเป๋าออกไป

๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙


   กว่าไตติลาจะกลับเข้าอพาร์ทเม้นต์เจก็ค่ำแล้ว หลังจากไปเสิร์ฟมา โดยมีคำถามคะยั้นคะยอของเพื่อนสาว มาเลียบๆเคียงๆถามว่าระหว่างเขากับคริษฐ์ไปถึงไหนกันแล้ว  จนพอเริ่มได้คำตอบก็ถามอีกว่า ทะเลาะกันหรืออย่างไรและอีกมากมาย จนไตติลาไม่อยากจะตอบ  จึงเปลี่ยนไปไหว้วานธุระแทน

“ไอ้แหม่ม พฤหัสหน้าว่างไหม?”

“ทำไมหรือจะชวนไปไหน?”

“ไปโรงพยาบาล”

“ไปทำไมอ่ะ?” เพื่อนสาวทำเอียงคอสงสัย จนไตติลายื่นมือไปตีหน้าผากเพื่อนให้หายคันมือเสียทีหนึ่ง

“ไอ้ติลา อย่านะวันนี้เปิดเถิกเอาฤกษ์เอาชัย”

“หมอนัดผ่าตัดว่ะ”

“เอาจริงดิ” ไตติลาหัวเราะกะท่าทางของเพื่อนสาว

“จริ๊ง” หนุ่มน้อยไตติลาทำเสียงสูงเลียนแบบเพื่อนบ้าง

“วันนี้คลินิกโรงเรียนนัด ฟังผล หมอบอกว่าเป็นเนื้องอก แต่ไม่ได้อันตรายอะไร ผ่าตัดเล็ก ไม่ต้องนอนค้างโรงพยาบาล  แต่ไม่ยักกะให้ขับรถกลับเองได้” ไตติลาพูดติดตลก เมื่อเห็นเพื่อนเริ่มหน้าเสีย

“ที่แกบ่นว่าปวดท้องนะหรอ?” ไตติลาพยักหน้า

“ว่าไงล่ะ ว่างหรือเปล่า?”

“ไม่แน่ใจว่ะ อาจารย์นัดสอนเพิ่มหรือเปล่า ไว้จะบอกอีกทีนะ แต่จะพยายามให้ว่างไว้”



“คิดอะไรอยู่?” เสียงทุ้มนุ่มๆที่บัดนี้คุ้นใจไตติลาถามเบาๆ กษิดิสยืนส่งยิ้มให้อยู่ที่โถงทางเดิน

“แหม มาบ่อยจัง  วิตโตลิโอ้ดีใจแย่”

“เปล่า ผมมาหาแต่ติลา  ไม่ได้หรือ?”  ปลายเสียงนั้น ติดจะเว้าวอน จนไตติลาเผลอเม้มริมฝีปาก

“ก็แล้วแต่คุณสิ”

“ผมเข้าไปได้หรือเปล่า?”

“อ้อ เชิญครับ แต่มีงูหรือเปล่าก็ไม่ทราบ”  กษิดิสหัวเราะ มองไตติลาด้วยดวงตาเป็นประกาย  ดวงตาแบบที่ไตติลานึกรักอย่างบอกไม่ถูก

“แหม เหมือนห้องผมเลย” กษิดิสออกปากเมื่อมองไปรอบๆ

“เหมือนตรงที่รกสินะครับ” ไตติลาพูดอย่างขบขัน พลางพยายามจัดโต๊ะเขียนหนังสือของตนให้เป็นระเบียบ พอให้ผู้มาเยือนนั่งได้

“เรียนเก่งจริง” กษิดิสออกปากชม เมื่อเห็นใบผลการเรียนที่ไตติลาปักไว้บนบอร์ดเล็กของตน  ไตติลานิ่งคิดบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งจึงถามขึ้น

“คุณกษิดิสว่างไหมครับ? วันพฤหัสนี้ พอดี ผมมีธุระ ขับรถกลับเองไม่ได้”

“มีอะไรหรือ?”

“ไปโรงพยาบาลน่ะครับ คุณหมอไม่ให้ขับรถกลับเอง” กษิดิสถึงกับตกใจ

“ไปโรงพยาบาลเป็นอะไร?”

“ผ่าตัดนิดหน่อยนะครับ เป็นผ่าตัดเล็กเองครับ ไม่ต้องนอนค้าง เพียงแต่ยาสลบทำให้มึนๆหน่อย เลยไม่สะดวกจะขับกลับมาเอง”

“ติลา ผมขอโทษนะ เห็นจะช่วยไม่ได้”  กษิดิสพูดพร้อมกับดวงตาคมนั้น ทอประกายของความเสียใจ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมจะลองถามเพื่อนคนอื่นๆดูก่อน คงจะมีว่างสักคนล่ะน่า” ไตติลาพูดพลางยิ้มจางๆ เขาไม่ชอบเลย ที่เห็นดวงตาคู่นั้นแสดงว่าเจ้าตัวกำลังกังวลใจ


   ไตติลามักใช้เวลาในช่วงค่ำ ทำอาหารทานกับกษิดิสอย่างง่ายๆบ่อยครั้ง  ล้างจานแล้วค่อยอ่านหนังสือทบทวนบทเรียน ที่โต๊ะกินข้าว  ขณะที่ร่างสูงใหญ่นั้น จะนั่งอยู่ไม่ใกล้ไกล ขีดเขียนอะไรใส่กระดาษไปเรื่อยเปื่อย  ไตติลาชอบบรรยากาศแบบนี้  เพราะทำให้รู้สึกเป็นสุขกว่าครั้งไหนๆ ทั้งที่กิจกรรมที่ทำร่วมกันนั้น ไม่ได้พิเศษอะไรมากมายเลย

“วาดอะไรครับ?”  ไตติลาถามขึ้นหลังจาก เท้าคางมองมือคู่สวยนั้น ขีดเขียนลงบนเศษกระดาษที่ไตติลาใช้แล้วหน้าหนึ่ง  ลายเส้นสวยเป็นระเบียบ สมกันวิชาที่ร่ำเรียนอยู่

“บ้านครับ  ผมอยากมีบ้านแบบนี้”

“สวยดีนะครับ ท่าทางน่าอยู่”  คนฟังยกริมฝีปากหยักสวยนั้นยิ้ม พลางแต่งเติมรายละเอียดลงบนภาพต่อไป

“ผมมีที่อยู่แปลงหนึ่ง เป็นมรดกจากคุณปู่ ท่านยกให้ พร้อมกับเงินจำนวนหนึ่ง ผมเลยมาเรียนที่นี่พร้อมกับเงินก้อนนั้น แต่ว่าที่แปลงนี้ก็ยังไม่ได้ทำอะไร  เลยตั้งใจว่า ถ้าได้กลับไป จะสร้างบ้านของตัวสักหลัง”

“แถวไหนหรือครับ?” กษิดิสตอบไตติลาเห็นว่าไม่ได้ไกลจากบ้านตนสักเท่าใดเลย

“รอบๆยังเป็นทุ่งนาอยู่เลย ถัดเข้าไปหน่อยเป็นคลองน้ำใสแจ๋ว  คนยังอยู่กันไม่มาก  ก็บ้านนอกดีๆนี่เอง” กษิดิสพูดถึงสิ่งเหล่านี้ด้วยดวงตาเป็นประกายอย่างมีความหวัง
 
“เอ  คุณคงจะมาอยู่ที่นานแล้ว  ผมเองก็อยู่ไม่ไกลจากแถวที่คุณว่าเท่าไหร่  แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้วนะครับ”

“หรือ?  เปลี่ยนไปมากไหม?”

“มากครับ แถวนั้นไม่มีนาแล้ว ถนนใหญ่ตัดผ่าน ถ้าจะไปหานา ต้องเข้าไปลึกๆ  เกือบสุดเขตกรุงเทพฯโน่น คลองนั่นก็โดนถมขยายถนนจนบางช่วงไม่มีคลองแล้วล่ะครับ   แถมคนก็ย้ายมาอยู่กันมากจนเรียกได้ว่าเจริญแล้วล่ะครับ”

“เห็นทีผมจะจากบ้านมานานมากแล้วจริงๆ”

“กลับไปคราวนี้ คุณดิสจะถึงกับงงเชียวล่ะ” ไตติลาหัวเราะเมื่อลองนึกภาพตาม เป็นคุณดิสแต่งตัวเชยๆ ยืนงงตาแตกอยู่ที่สุวรรณภูมิ

“นั่นสิ เวลาเป็นสิบๆปี เปลี่ยนอะไรไปเสียหมดนะ ว่าไหม? เปลี่ยนเอาความเจริญเข้ามา บางทีก็ทำลายของเก่าดีๆที่เคยมี โดยลืมไปว่า แต่ก่อนเราเคยอยู่อย่างสงบอย่างไร” กษิดิสพูด แล้วก้มลงดูนาฬิกาข้อมือตน ก่อนจะอุทาน

“ดึกมากแล้ว ติลาไม่รีบนอนหรือ?”

“แหม เผลอแป๊บเดียว  พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนเสียด้วย”

“ต้องไปโรงเรียนเหมือนเด็กๆเลยหรือเปล่า ต้องมีใครจูงมือไปไหม?” กษิดิสล้อเลียน

“แหม ก็บอกว่าไปโรงเรียนมันดูเป็นเด็กๆดีจะตาย”

“แหม พูดถึงโรงเรียนแล้วนึกได้ แต่ก่อนผมเป็นนักกีฬาโรงเรียนด้วย”

“กีฬาอะไรครับ?”

“กระโดดรั้ว   รั้วโรงเรียนนะ ไม่ใช่รั้วในสนาม” ร่างสูงใหญ่นั้นหัวเราะจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้างแกมก่อนจะ ลุกยืนเต็มความสูงส่งไตติลาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มกว้างขวางอย่างที่มักทำเสมอ จนไตติลาค่อนในใจว่าจะสุภาพบุรุษไปถึงขนาดไหน

“ไปเถอะ  ราตรีสวัสดิ์ครับ ดูแลร่างกายกับหัวใจด้วยนะครับ”

“ราตรีสวัสดิ์ครับ” ไตติลาตอบอุบอิบ ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องตัวเองไป โดยไม่รู้ว่าตนเอง มีใบหน้านวลซับสีเรื่อยชวนมองอย่างไร
๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙

เเหมไม่มีใครไปตามที่สวนยายเมี้ยนเลย  ดองลืม
ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นเช่นเคยนะคะ

ปล. (หมึกน้องพอลทายว่าสเปนใช่ป่ะคะจะได้โขกน้ำพริกทำน้ำจิ้มรอน้องพอลลลล เคี๊ยะๆ) o18
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๙.๑ (๐๗/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 07-07-2010 14:44:16
ไปตามแล้วไง แต่แท็กซี่ไม่รู้จัก

ไม่รู้สวยยายเมี้ยนอยู่ตรงไหน
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๙.๑ (๐๗/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 07-07-2010 16:25:57
ติลาน่าร๊ากกกกก
คุณดิสก็อบอุ๊นอบอุ่นนนนนนน
แต่..สมิท  ไทสัน  ยังมีบทบาทกับติลาอยู่เหรอคะคุณเมศ ?
ถ้าอยากอ่านตอนต่อไป...คงต้องรอให้บอลโลกจบไปก่อนละมั้ง?
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๙.๑ (๐๗/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 07-07-2010 20:09:43
แอบเหงาๆ แทนติลา สักคนเหอะนะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๙.๑ (๐๗/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 07-07-2010 23:27:52
น่าเสียดายที่คุณดิส ไปเป็นเพื่อนติลาไม่ได้

ปล. ว่าจะยำปลาหมึกกินนะ ถ้าคืนนี้ .......  เหอๆๆ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๙.๑ (๐๗/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 08-07-2010 01:42:08
คนอ่านก็ลืมตาม อิอิ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๙.๑ (๐๗/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 09-07-2010 11:15:01
 :m15: :monkeysad: :sad11:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๙.๒ (๑๒/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 12-07-2010 02:49:54
ตอน ๙.๒


   วันก่อนผ่าตัดของไตติลาผ่านไปแบบค่อนข้างทรมานเนื่องจากยาและการเตรียมตัวต่างๆ  จนหัวค่ำ ไตติลานั่งดูโทรทัศน์ในห้องตัวเองอย่างเบื่อหน่าย และไม่มีแก่ใจจะอ่านหนังสือมากนัก  จวบจนปิดโทรทัศน์แล้วทิ้งกายลงนอนบนเตียง พลางคิดถึงคนที่มักแวะเวียนมาเยี่ยมหากันบ่อยครั้ง รอยยิ้มจางๆของไตติลาก็ปรากฏขึ้น มันน่าแปลกที่ไตติลาถูกคอกับกษิดิสอย่างน่าประหลาด จนเริ่มจะคล้อยๆเป็นถูกใจ  ภายในเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้  หนุ่มน้อยตะแคงศีรษะฟัง เพื่อนได้ยินเยงการเคลื่อนไหมจากภายนอก ตามด้วยเสียงเคาะประตู

“ไตติลานอนแล้วหรือยังครับ?” เสียงนุ่มนวลนั้นพูดที่หน้าประตู ที่ไตติลาจำจนขึ้นใจนั้นพูดเบาๆหน้าประตู ไตติลายิ้มกว้าง ก่อนจะเริ่มตอบรับ

“ยังครับคุณดิส” ไตติลาเปิดประตูห้อง ทว่าคนที่ยืนหน้าประตูไม่ยอมก้าวเข้ามา

“ผมเกรงว่าคุณจะหลับไปแล้ว”

“ยังหรอกครับ ยังเร็วไปหน่อยสำหรับเวลานอนของผม” ไตติลาพูดยิ้มๆ ก่อนจะเดินออกมาจากห้องส่วนตัว ไปตามทางเดินสู่ห้องครัว เพราะไตติลาพอเดาได้ กษิดิสคงไม่อยากเข้าไปยุ่มย่ามในห้องในยามวิการเช่นนี้ เช่นเดียวกับที่เขาจะไม่ทำเช่นกัน

“คุณดิสหิวหรือเปล่าครับ? แต่ผมทานด้วยไม่ได้นะ คุณหมอสั่งห้าม เพราะพรุ่งนี้จะต้องผ่าตัดแล้ว”

“ไม่หิวหรอก” น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นกล่าวพร้อมกับดวงตาคู่พราวนั้น ทอประกายอ่อนหวานอย่างเปิดเผย  ไตติลาอดใจเต้นระส่ำไม่ได้

“คุณดิสหันทางนี้หน่อย” หนุ่มน้อยไตติลาเบียดกายเข้ามาใกล้ร่างสูงใหญ่ ที่ทำท่าจะผงะถอยออกไป แต่ถูกมือนวลยึดแขนไว้  ให้ชิดใกล้มากกว่าครั้งไหนๆที่ผ่านมา ก่อนจะได้ยินเสียงถ่ายภาพและแสงไฟดวงเล็กๆสว่างวาบขึ้น

“อะไรน่ะ?”

“มือถือสิครับ ผมอยากถ่ายรูปเก็บไว้บ้าง”

“อะไรนะ?”

“โทรศัพท์มือถือครับ กล้องไม่ค่อยละเอียดเท่าไหร่ แต่ก็ดีกว่าไม่มี คุณดิสก็แปลกจริง ไม่ยักมีใช้เหมือนคนอื่นๆ แบบนี้จะติดต่อกับคนอื่นๆยังไงละครับ”

“โทรศัพท์บ้านหรือสาธารณะสิ”

“คุณดิสล้อผมเล่นหรือเปล่า”   กษิดิสว่าเปล่า ก่อนทั้งคู่จะนั่งที่โต๊ะกินข้าวเหมือนทุกวัน

“คุณดิสนี่ โบราณสุดๆเลย” ไตติลาหยอก

“โทรศัพท์มือถือเดี๋ยวนี้แทบจะยกคอมพิวเตอร์มาย่อส่วนใส่ไว้แล้วล่ะครับ นึกไปแวก็น่าขำนะครับ แต่ก่อน คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งใหญ่เท่าห้องๆนึง แต่เดียวนี้ แทบจะแค่ฝ่ามือเดียว”

“เอ...บางที เราอาจจะมาจากคนละยุคกันเลยก็ได้” กษิดิสพูดแล้วหัวเราะ ดวงตาที่มีขนตาดกหนาล้อมกรอบ เป็นประกายอย่างอารมณ์ดี มือที่ไตติลาชอบ หยิบแผ่นโปรชัวร์ที่ใช้แล้วหน้าเดียวจากกลางโต๊ะมาเริ่มขีดเขียนอะไรเรื่อยเปื่อยอย่างทุกวัน

“วันนี้วาดอะไรครับ?”  ไตติลาถามอย่างกระตือรือร้น เขาชอบดูกษิดิสวาดรูป  เป็นกิจกรรมที่เพียงมองก็มีความสุข

“อะไรดีล่ะ?”  ดวงตาเข้มจัดคู่นั้นสบตรงกับดวงตาของไตติลา เพียงเท่านี้ ความรู้สึกจากอีกฝ่ายก็ถ่ายทอดมาสู่หัวใจไตติลาง่ายดายนัก ทั้งความรู้สึกพึงใจ และหวาดหวั่น    เมื่อสายตาของทั้งคู่คลาดออก มือคู่สวยนั้นก็วาดบางอย่างลงบนกระดาษ

“เลขแปด ?”  ไตติลาเอียงคอมองคนวาดอย่างสงสัย กษิดิสอดหัวเราะไปกับความน่าเอ็นดูไม่ได้

“อนันต์ต่างหาก” คนพูดยกนิ้วขึ้นตีปลายจมูกไตติลาเบาๆ จนเจ้าตัวทำหยีตา กษิดิสหัวเราะดังขึ้นอีก

“อ้อ  แบบในเลข  อินฟินิตี้” ไตติลาตอบอ้อมแอ้ม เมื่อรู้สึกถึงปลายนิ้วอุ่นๆของอีกฝ่าย แตะปลายนิ้วตน

“ผมว่าเป็นเครื่องหมายที่มีความหมายดีนะ ผมเคยใช้เป็นแรงบันดาลใจทำงานส่งไปครั้งหนึ่ง โปรเฟสเซอร์ชอบมาก” การพูดคุยหยุดลงเท่านี้ เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น และเสียง เรียกจากคนที่ไตติลาเริ่มลืมเลือน

“ติลา ออกมาคุยกันหน่อยได้ไหม?” เจ้าของเสียงที่ไตติลา ‘ทำเป็น’ ลืมเลือนไปนี้ พูดผ่านหน้าต่างครัวที่ติดกับประตูหน้าเข้ามา พร้อมกับเสียงทุบประตูโครมๆ

“ใครหรือ?”  ไตติลาหลบสายตา เพราะเขาเองก็ไม่รู้จะนิยามคุณคริษฐ์ว่าเป็นอะไรสำหรับตน

“คนรู้จักน่ะครับ  คุณดิสรอเดี๋ยวนะ” ไตติลาลุกเดินไปเปิดประตู ทว่าไม่ยอมให้ผู้มาเยือนเข้ามา


   ไตติลาเป็นฝ่ายออกจากห้องมาเผชิญหน้ากับคริษฐ์ ที่เวิ้งระเบียงเล็กๆ ที่หน้าห้องนั้น  ถนนสายเล็กหน้าอพาร์ทเม้นต์ค่อนข้างเงียบสงบ  ลมเย็นๆพัดมาจนไตติลาต้องยกมือขึ้นกอดอกไว้ แล้วนิ่งรอ ไตติลาพิจารณาชายตรงหน้าเงียบๆ คุณคริษฐ์ที่เห็นในวันนี้ ต่างจากครั้งก่อนๆ ไร้ร่องรอยแห่งความสดใส ไร้ร่องรอยของความเป็นหนุ่มเจ้าสำราญอย่างในคืนนั้นโดยสิ้นเชิง

“ติลามีแขกหรือ? พี่ได้ยินเสียงคุย”

“คุณคริษฐ์จะสนใจไปทำไมหรือครับ?  คุณเข้าเรื่องเลยดีกว่าว่าจะเอายังไง”

“ติลา  อย่าตั้งแง่กับพี่เลย  พี่รู้ว่าผิด  ผิดมาก” ไตติลามองลึกเข้าไปในดวงตาของคริษฐ์  ผู้ชายคนตรงหน้านี้ เปราะบางกว่าตาเห็นมากนัก เพราะหัวใจนั้นสับสนจนทำให้ขาดความหนักแน่นไปจนน่าใจหาย

“มานึกเสียใจทีหลัง ตอนที่คุณนิทเชไปแล้ว ผมว่ามันไร้ค่าสิ้นดี”  ไตติลาเลือกที่จะพูดแทงใจดำอีกฝ่าย เพราะเขาเองไม่ใช่คนดีอะไร อาจเพราะยังเจ็บใจอยู่ลึกๆก็เป็นได้

“ติลา  พี่กับนิทเช คบกันมากว่าเจ็ดปี  มันนานพอให้ผูกพัน  นานพอให้ทำให้อีกฝ่ายต่างเป็นส่วนหนึ่งของอีกคน  ติลาอาจจะนึกไม่ออกว่า การอยู่อย่างคนหัวใจหายไปครึ่งดวงนั้นมันทรมานยังไง  เพราะมันไม่มีอะไรลบล้างเขาออกไปได้ เพราะเขาอยู่กับเราทุกที่  อยู่ในความคิด  อยู่ในหัวใจ  มันทรมานมากนะ ที่เราโหยหา ทั้งที่รู้ ว่าจะไม่ได้รับอะไรตอบสนองนอกจากความทรมานที่ไม่สิ้นสุด” ไตติลาทำได้เพียงฟังเงียบๆ สิ่งที่คริษฐ์กำลังบอกนั้น ยากเกินกว่าไตติลาคนนี้จะเข้าใจได้

“สักวัน ถ้าติลามีคนที่รักสุดหัวใจสักคน ติลาจะเข้าใจ”  ทั้งคู่เงียบเสียงไปนาน ให้ความสงบเงียบโอบล้อมความคิดของแต่ละคน

“วันนี้ พี่ไม่ได้อยากจะเรียกร้องอะไร นอกจากเพื่อพูดกันให้เข้าใจ   และ  เพื่อขอโทษ ในสิ่งที่พี่ทำ ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ”

“คุณคริษฐ์ ถ้าจะให้ติลาพูดตรงๆละก็ ผมเกลียดคนที่ไม่เห็นค่าของหัวใจคนอื่นอย่างคุณมากๆ” คนฟังฟังด้วยความรู้สึกผิดที่มากขึ้นกว่าเก่า   

“แต่มีคนๆหนึ่งบอกผมว่า การเกลียดใครสักคน มันเป็นเรื่องที่เหนื่อยมากๆ   ซึ่งผมเองก็เห็นด้วย เพราะผมรู้สึกเหนื่อยกับคุณมามากเกินไปแล้ว   คุณน่าจะขอบใจคนๆนั้นนะ”

“ติลา พี่ไม่อยากให้เรื่องของเราจบ ให้กลายเป็นคนที่ต่างไม่รู้จักกัน  จะได้ไหม?”

“ถ้าคุณคริษฐ์คิดจะคบผมไว้เป็นตัวแทนใครอีกละก็  ผมไม่เอาด้วย” ไตติลาตอบอย่างหนักแน่นโดยไม่ต้องคิด  ทว่าความรู้สึกดีๆบางอย่างยังตกค้างให้ได้ระลึกได้ว่าใครหนึ่งมีใครเคยทำอะไรดีๆให้ตนไว้บ้าง

“ พี่ยังเอ็นดูติลาเหมือนน้อง  รับพี่ไว้สักคนไม่ได้หรือ?” คริษฐ์มองดวงหน้าน่าเอ็นดูของไตติลาอย่างรอคอยคำตอบ

“-ขอคิดดูดีๆก่อนแล้วกันครับ พี่คริษฐ์” ไตติลาตอบ ขณะที่เห็นดวงตาแห้งแล้งคู่ตรงหน้านั้น มีร่อยรอยของความฉ่ำชื้นขึ้นมาแทนที่พร้อมกับรอยยิ้มยินดีที่กลับคนสู่ชายหนุ่มตรงหน้านี้อีกครั้ง

๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙

   เมื่อไตติลากลับเข้าอพาร์ทเม้นต์เจอีกครั้ง ห้องทั้งห้องว่างเปล่า ไร้เงาของกษิดิสบนโต๊ะกินข้าว ก็ไม่เหลือร่องรอยของการเคยมาเยือนของใครอีกคน   ไฟจากห้องของรูมเมตทั้งสองห้องก็ยังคงมืดมิด  แม้ไตติลาจะประหลาดใจ แต่กลับพยายามมองในแง่ดีว่าบางที ชายหนุ่มอาจมีธุระอะไรต้องไปเสียก่อน เพราะกษิดิสเองก็ไปมาไร้ร่องรอย จนเขาเองนึกค่อนว่าอย่างกับนินจาเสมออยู่แล้ว  ไตติลาปิดไฟห้องครัวก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องตัวเองอีกครั้ง  ถ่ายข้อมูลจากในมือถือปริ้นท์ไฟล์บางอย่างออกมา เป็นภาพไตติลากับใครอีกคนหนึ่งที่แม้รู้หน้าจะคมสันให้ความรู้สึกเข้มแข็ง ทว่าดวงตากลับมีเค้าอ่อนโยน หนุ่มน้อยไตติลามองเครื่องหน้าคมสันนั้นอย่างพิจารณา ก่อนจะหยุดที่ริมฝีปากหยักสวยสีจัดนั้น

“ตกหลุมรักเสียแล้วหรือนี่ไอ้ติลา”

   ไตติลาล้อเลียนตัวเอง ก่อนจะเอาภาพนั้นปักไว้บนกระดานไม้ค๊อกด้วยหมุด  แต่เมื่อยึดภาพนั้นไว้ กลับรู้สึกผิดที่ผิดทางอย่างบอกไม่ถูก จึงเอากระดาษอื่นๆ มาปักบังรูปไว้จนมิด  ไตติลาพยายามทำใจให้สงบ แต่เมื่อเดินเข้าไปในห้องน้ำเห็นเงาสะท้อนตนในกระจก ที่มีสีเรื่อๆที่พวงแก้มจางๆ ไตติลาก็ทำได้เพียงแก้ขวยให้ตัวเอง

“เพ้อได้อีก ติลาเอ้ย”  แล้วไตติลาก็หัวเราะให้ตัวเอง ที่ทำเพ้อฝันเป็นเด็กสาวๆไป

โปรดติดตามตอนต่อไป



ไหนๆก็ดูบอลเเล้ว อัพซะเลย55+

เชื่อหมึกพอลเลยนะเนี่ยเเมชเนี้ย

ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค๊า
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๙.๒ (๑๒/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 12-07-2010 10:59:40
 :z13: จิ้ม  และจิ้ม555+
คุณดิสน่ารักที่สุดในสามโลกกกกกกก
ติลาตกหลุมรักแล้วใช่มั้ยคะ?  อย่าได้ปีนขึ้นจากหลุมมาเชียวนะคะ555+
คุณคริษฐ์คะ  ทำถูกแล้วค่ะ  เป็นพี่ชายไปเหอะ555
ตั้งตารอว่าจะผ่านอุปสรรคที่ชื่อ 'ประตูเวลา' ไปได้ยังไง
+1 ขอบคุณค่ะคุณเมศ
 :pig4:


ดิชั้นรักหมึกพอลค่ะ  :o8:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๙.๒ (๑๒/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 12-07-2010 13:40:35
บอลจบแล้ว ดูสิว่า คราวนี้จะอ้างว่าอะไรอีก
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๙.๒ (๑๒/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 12-07-2010 21:51:20
เป็นห่วงติลาเด็กขี้เหงา ตกหลุมรักบ่อยๆ >.<
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๙.๒ (๑๒/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 13-07-2010 01:04:20
บอลจบแล้ว ดูสิว่า คราวนี้จะอ้างว่าอะไรอีก


กร๊ากกก

ไม่อาทิตย์หน้าก็อาทิตย์นี้ หรืออาทิตย์หน้าหน้าล่ะค่ะ จะไม่มาต่อหนึ่งสัปดาห์  เพราะว่ามีสอบ  เเต่ก็ยังไม่เเน่ค่ะ ฮ่าๆๆ ช่วงสอบอาจจะฟิตตัวก็ได้

ปล. หมึกพร(พอล)เมพขริงๆ  o13
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๙.๒ (๑๒/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 13-07-2010 17:27:03
โหย สอบอีกละ  :m15: :monkeysad: :sad11:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๙.๒ (๑๒/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 13-07-2010 22:49:51
ดิสน่ารักจัง หรือว่าเค้าจะไม่มีตัวตนในยุคนี้จริงๆนะ กลัวจัง
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๙.๒ (๑๒/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 16-07-2010 11:57:39

ไม่อาทิตย์หน้าก็อาทิตย์นี้ หรืออาทิตย์หน้าหน้าล่ะค่ะ จะไม่มาต่อหนึ่งสัปดาห์  เพราะว่ามีสอบ  เเต่ก็ยังไม่เเน่ค่ะ ฮ่าๆๆ ช่วงสอบอาจจะฟิตตัวก็ได้

ปล. หมึกพร(พอล)เมพขริงๆ  o13


แล้วมันอาทิตย์ไหนอ่ะคะคุณเมศ?
นอนเกาพุงรอคุณดิสกับติลาเลิฟ ๆ กันต่อไป  :เฮ้อ:
ตั้งใจอ่านและตั้งใจทำข้อสอบนะคะคุณเมศ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๐ (๑๖/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 16-07-2010 18:40:20
http://www.youtube.com/v/ekQQgq8lhic&amp;hl=en_US&amp;fs=1




ตอน ๑๐

   ไตติลาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากถูกวางยาสลบ โลกทั้งโลกของไตติลาช่างไร้สมดุล  หัวสมองมึนชา ดวงตาของไตติลากวาดมองไปรอบอย่างคนไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ไตติลาหลับตาลงอีกครั้ง สดับฟังเสียงใบปัดน้ำฝนหน้ารถทำงานของมันอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับเสียงเม็ดฝนตกพรำลงบนกระจกหน้า  ก่อนจะลืมตาขึ้นใหม่ คราวนี้ภาพต่างๆชัดขึ้นกว่าก่อน เช่นเดียวกับสติของไตติลาที่กลับคืนมาอย่างช้าๆ จึงระลึกได้ว่ากำลังจะกลับไปพักฟื้นที่บ้านตน


“เข้าใจแล้วว่าทำไมหมอถึงไม่ให้ขับรถกลับเอง?” ไตติลายกมือกุมศีรษะตัวเอง


“มึนมากไหม  เวียนหัวคลื่นไส้อะไรบ้างหรือเปล่า?”   เพื่อนสาวถามด้วยความเป็นห่วง


“แน่ใจนะว่า อยู่คนเดียวได้แน่น่ะ?”


“ได้สิ  เดี๋ยวก็หายมึนแล้ว”


“ถ้าแกไม่ไหวต้องบอกชั้นนะ โทรศัพท์น่ะพกไว้กับตัวเลย มีอะไรให้รีบโทรมา”


“ไม่มีอะไรหรอก แกอย่าห่วงเลย สัญญาเลย ถ้าไม่ไหวจะโทรบอกแกคนแรก”


“พี่คริษฐ์รู้หรือเปล่าว่าแกผ่าตัด”  คนขับรถหันมามองผู้โดยสารครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับไปมองถนนเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนสี


“ไม่ต้องบอกหรอกน่า”  ทั้งคู่เงียบไปนาน ไตติลาใช้ความคิดกับตัวเองเงียบๆ ค่าใช้จ่ายต่างๆเพิ่มขึ้นอีกเท่าทวี เมื่อเจ็บป่วยเช่นนี้ แม้จะมีประกันสุขภาพ ในหัวไตติลากำลังวางแผนว่าจะทำอย่างไรดีกับเรื่องเหล่านี้


“ช่วงนี้ แกดูเงียบๆไปนะ  คือ เหมือนแกเอาแต่เก็บตัวในห้อง” ไตติลาหันมองคนพูด  ดวงหน้านั้นมีเค้าจริงจังเด่นชัด

“แกคิดไปเองหรือเปล่า เรียน ทำงาน เหนื่อยก็กลับบ้าน ไม่ได้ต่างจากเดิมที่ตรงไหน”


“ ไม่รู้สิ ฉันแค่รู้สึก” ไตติลายิ้มปลอบโยน


“ไม่มีอะไรหรอก เชื่อสิ”  เพื่อนสาวพยักหน้ารับรู้เบาๆ




   ไตติลากลับเข้าพาร์ทเม้นต์เจได้สำเร็จ จากการช่วยเหลือของเพื่อนสาว แม้จะไม่มีแผลเปิดภายนอกเนื่องจากเป็นวิธีการผ่าตัดใหม่ ที่ทำให้คนไข้บอบช้ำน้อยลง แต่ก็ปฎิเสธว่ามันคือการตัดเนื้อบางส่วนออกไปความเจ็บปวดจึงแล่นปราดมาขึ้นมาทุกครั้งที่ขยับกาย  แม้ว่าไตติลาจะแค่ต้องการหยิบเสื้อกันหนาวจากตู้เสื้อผ้าสูงจรดเพดาลของตน  ตู้เสื้อผ้าที่พับผ้าเรียบร้อยแบ่งประเภทเป็นระเบียบนั้นยังคงเป็นอย่างที่มันจะเป็น  ทว่ากลิ่นค่อนข้างอับทำให้ สายตาของไตติลาสอดส่ายหาจนไปสะดุดเข้ากับบางสิ่งที่มุมตู้ ด้านที่ใช้เป็นตู้เก็บของ  ฝั่งที่เขาไม่ได้เปิดบ่อยนัก  ใต้ที่นอนเก่าเก็บนั้น ฝั่งชิดกับผนังตู้ด้านใน พรมกลับปูดโปนออกมา



“น้ำรั่ว? เสียตังค์อีกสิ” ไตติลาอุทานอ่อนใจ




    หากเป็นในยามที่ร่างกายไตติลายังสมบูรณ์ดี คงไม่ยากเย็นที่จะยกที่นอนเก่านั้นออก เพื่อตรวจดูว่าอะไรทำให้พรมเปิดขึ้นอย่างนั้น ทว่าในขณะนี้ร่างกายของเขายังอุทธรณ์ต่อความเจ็บปวดไม่ขาด เขาจึงทำได้เพียง  เขย่งปลายเท้า  ใช้มืออีกข้างดันตัวไว้กับกำแพง ส่วนมือที่เหลือจับพรมที่เปียกชื้น  ไตติลาลองคลำดูพบว่าไม้ที่ปูบริเวณดังกล่าวบวมน้ำจนปริออกจนสามารถใช้มือดึงออกมาได้  ทว่าใต้ไม้ชิ้นนั้น กลับไม่ใช่พื้นปูนแข็งๆ แต่เป็นช่องว่างเล็กๆ กระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกพับไว้  ไตติลาใช้ปลายนิ้วคีบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา


“แผ่นพับ?”  ไตติลามองสภาพโดยรวมอย่างสงสัย แผ่นพับโฆษณาร้านซักรีด เก่าจนเหลืองกรอบนั้น พิมพ์ข้อความรายละเอียดร้านเอาไว้ พร้อมเบอร์โทรศัพท์ ไตติลาอ่านคร่าวๆ  ก่อนจะคลี่กระดาษนั้นออกอย่างเบามือ  ทว่ากระดาษที่เก่าจนกรอบนี้กลับไม่อาจทานทน และขาดออกเป็นสองซีก



“เส้นโค้ง?” ไตติลาอุทานอย่างแปลกใจ   เมื่อหงายกระดาษซีกหนึ่งในมือขึ้นเป็นเส้นโค้งต่อกันสองเส้น   มือนวลนั้นหงายอีกซีกขึ้นเป็นเส้นโค้งแบบเดียวกัน   ไตติลาเอาทั้งสองซีกมาต่อกันใหม่


“เลขแปด...ไม่ใช่สิ อินฟินิตี้” ไตติลากระซิบบอกตนเองด้วยเสียงอันเบาหวิว


๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐




   ลายเส้นบนกระดาษคุ้นตาคุ้นใจไตติลาเกินกว่าจะไม่สงสัย เพราะเขาเพิ่งเห็นกษิดิสเขียนเครื่องหมายแบบนี้ด้วยปรกกาแบบเมจิกอยู่เมื่อเร็วๆนี้ ความสงสัยต่างๆผุดพรายขึ้นในใจอย่างห้ามไม่อยู่  มือนวลคว้าโทรศัพท์มือถือของตนกดหมายเลขตามใบปลิวแล้วโทรออก  เขาได้ยินเสียงสัญญาณ รอสายอยู่อึดใจ ก่อนจะมีเสียงที่ปลายสายรับ  ทว่าไตติลาไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่กดตัดสายไปอย่างเงียบเชียบ ในหัวไตติลากำลังปั่นป่วนคิดหาเหตุผลมากมาย


“เพิ่งผ่าตัดมาไม่ใช่หรือ?ทำไมไม่นอนพัก?” ไตติลาสะดุ้งกับเสียงทุ้มนุ่มซึ่งดังมาจากประตูห้องตน ที่เปิดอ้าไว้


“ครับ!?”  ร่างสูงใหญ่ของกษิดิสยืนอยู่ที่หน้าประตู คิ้วเข้มนั้นขมวดเข้าหากันน้อยๆ เมื่อจับความรู้สึกผิดแปลกบางอย่างที่แขวนลอยในอากาศได้


 “มีอะไรหรือเปล่าติลา?” แม้น้ำเสียงนั้นจะทอดอ่อน ทว่าดวงตาเข้มจัดนั้นกลับมีเค้ากังวลใจอันซ่อนไว้ไม่มิด


“เปล่าครับ ผมแค่หาเสื้อกันหนาว”ไตติลาหันกลับไปหยิบเสื้อกันหนาวบนชั้นวางมอย่างสุ่มๆ พร้อมกับที่ซ่อนกระดาษเก่าแผ่นนั้นไว้ในกองผ้า


“ขอเข้าไปนะครับ?”  กษิดิสพูดอย่างสุภาพก่อนจะก้าวเข้ามาในห้อง วันนี้กษิดิสแ ต่งกายด้วยชุดธรรมดาเหมือนอยู่บ้านมากกว่าเป็นการออกไปนอกบ้าน ไตติลามัวแต่ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของร่างสูงใหญ่นั้น มืออุ่นคลี่เสื้อกันหนาวที่เคยอยู่ในมือไตติลาออก ก่อนจะกางให้สวม พร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่นดังเดิม


“หมอว่าอย่างไรบ้าง?  เจ็บหรือเปล่า?” ไตติลามองดวงหน้าคมสันนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ขณะที่มือแข็งแรงคู่สวย ช่วยกลัดกระดุมให้ และผูกสายคาดเอวให้เรียบร้อย


“คุณหมอว่าไม่ได้เป็นอะไรหนักหนา  แต่ก็ปวดนิดหน่อยครับ”


“เอนหลังหน่อยดีกว่านะ  หน้าซีดเหลือเกิน เดินไหวไหม?”  แม้จะเคลือบแคลงในใจอย่างไร ทว่าน้ำเสียงอ่อนโยน  สัมผัสสุภาพอบอุ่น  และดวงตาที่พราวระยับด้วยความอาทรนั้น เป็นสิ่งที่ไตติลานึกรักอย่างปฎิเสธไม่ได้


“เดินไหวครับ  แต่ต้องขอเกาะแขนหน่อย”  ไตติลายิ้มจางกับตัวเอง เมื่อครู่ยังกายกรรมเอากระดาษแผ่นนั้นออกมาได้ กับแค่เดินกลับไปที่เตียงเองทำไมจะทำไม่ได้ เพราะยายังไม่หมดฤทธิ์ดี  แต่การได้เกาะแขนกษิดิสเดินสักหน่อยจะกระไรหนักหนา


“ระวังนะ”  ไตติลาเกาะแขนแข็งแรงนั้นจนเอนหลังลงพิงกองหมอน  กษิดิสคลี่ผ้าห่ม ห่มให้เรียบร้อยอีกชั้นหนึ่ง


“มียาอะไรต้องทานหรือเปล่า?”ไตติลาตอบว่าพี่ กษิดิสจึงเป็นธุระหาน้ำมาให้ก่อนจะนั่งลงที่ข้างเตียง  ไม่พูดอะไรอีกเพียงแต่จ้องมองมาเงียบๆ จนไตติลากินยาเรียบร้อย


“มองอะไรครับ?” ไตติลาถามแผ่วเบา คนถูกถามยกริมฝีปากหยักสวยที่มีไรหนวดเขียวครึ้มขึ้นเล็กน้อย


“ติลา....มองไตติลา” เจ้าของชื่อ เม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง  ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาสูงอีกนิดจนเหลือแต่ลูกตา


“ขอมองหน่อย ติลาไม่สึกหรอก ใช่ไหม?”  ไตติลามุดหายไปในผ้าห่ม เมื่อดวงตาเข้มจัดคู่นั้นพราวระยับจนคนมองสบทนสะเทิ้นอายไม่ไหว


“มองไว้ จะได้จำแม่นๆ” มือนวลค่อนข้างเย็นนั้น โผล่พ้นชายผ้าห่มหนาออกมา จับข้อมือแข็งแรงไว้ ฝ่ามืออบอุ่นคู่นั้นกุมมือนวลนั้นไว้ ถ่ายเทความอุ่นจากเลือดเนื้อสู่อีกคน


“หือม์”  กษิดิสเอียงคอมองคนที่ยอมโผล่หน้าพ้นผ้าห่มจนได้ นิ้วเรียวยาวเกลี่ยวเส้นผมที่อยู่ใกล้ตาให้แผ่นเบา


“คุณดิสมีอะไรปิดบังติลาหรือเปล่า?”  กษิดิสชะงักงันไปเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มจาง ทว่าไม่อาจรอดพ้นสายตาไตติลาไปได้


“ทำไมหรือครับ? ติลาอยากรู้อะไร?”


“ผมแค่รู้สึกว่า เรารู้ข้อมูลพื้นฐานของกันและกันน้อยไปหน่อย” ไตติลาอาจบอกเล่าเกี่ยวกับตนเองมากมาย แต่กษิดิสพูดถึงตนเองน้อยครั้งจะแทบไม่เคย


“กระผมชื่อ นายกษิดิส ไทสรรค์ เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย ติลาอย่างรู้แบบนี้หรือ?”  คนพูดทำซุ่มเสียงราวกับทหารมารายงานตัว จนไตติลาหัวเราะ บ่นว่าสะเทือนแผลผ่าตัด แต่ก็ยังคะยั้นคะยอให้คนพูดพูดต่อไป


“  เอ...บอกอะไรอีกดี อ้อ..ความสามารถพิเศษ ทำอาหารเป็น หลายอย่างเอาไว้ขุนคนตัวผอมๆให้อ้วนใหญ่ ทำได้สารพัดประโยชน์ ปัดกวาดเช็ดถู ตัดหญ้า แบกหาม  แม้แต่งานบ้านงานเรือนถักไหมพรมก็ยังไหว” คนฟังหูผึ่งทำตาโต


“จริงน่ะ?”


“ผมให้ยายเจ้าของห้องเช่าเขาสอน ตอนนี้ถักลายง่ายๆได้ อุปกรณ์ขอยืมมิสแก เสียสตางค์แค่ค่าไหมพรม ไปเลือกๆเอาว่าชอบสีไหน ใส่แล้วไม่ซักคนดูไม่ออก”


“ซ๊กม๊ก” ไตติลาล้อพลางทำท่าผงะออกห่างจนลุกขึ้นนั่ง  แต่คนถูกล้องง


“แปลว่าอะไร?”


“สกปรกน่ะสิครับ แล้วยังไงอีกครับ”


“ติลาอยากรู้อะไรอีกล่ะ”  ไตติลาคิดอยู่อึดใจ


“ปีเกิดครับ”  ดวงตาที่มองสบกันนั้น แน่วแน่จนกษิดิสต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาเสียเอง


“มันสำคัญนักหรือ?” เป็นครั้งแรก ที่เสียงทุ้มนุ่มนวลนั้นแผ่วเบาและไม่มั่นคง ราวกับมีความน้อยเนื้อต่ำใจปนอยู่อ่อนจาง


“ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นหรอกครับ คุณดิสออกจะตัวใหญ่ อย่าใจน้อยเลย เดี๋ยวหัวล้านนะครับ”


“แน่ะ ล้อพี่” กษิดิสเอานิ้วเคาะปลายจมูกไตติลาเบาๆ เจ้าตัวทำหยีตาเหมือนทุกครั้ง  กษิดิสอดใจไม่ไหวที่จะยื่นหน้าเข้าไปใกล้เสียงจนปลายจมูกแตะกัน  ไตติลามองสบดวงตาเข้มจัดที่ล้อมด้วยแพขนตายาวนั้นอยู่ห่างไปเพียงชั่วระยะหายใจ


“ติลารอหน่อยนะ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง” เสียงนั้นกระซิบแผ่วเบา ฝากร่องรอยความหนักแน่นผ่านน้ำเสียงและแววตา


“ครับ”  กษิดิสหัวเราะในคอ แตะหน้าผากตนลงบนหน้าผากนวลนั้น โดยมือแข็งแรงนั้นแตะต้นคอนวลแผ่วเบา ก่อนจะลดมือลงและทำท่าจะถอยห่างออกไป


“คุณดิสอยู่นิ่งๆก่อน” กษิดิสครางสงสัยในคอ กว่าจะรู้ตัว  ริมฝีปากนุ่มๆนั้นก็ฝากรอยหวานไว้บนริมฝีปากของตนเสียแล้ว  ไม่ได้รุ่มร้อนเสียจนแทบหลอมละลาย หากหวานล้ำตราตรึงกว่าครั้งใด  ดวงตาคู่สวยที่กษิดิสมักนึกชมเคลิ้มฝันอย่างไม่ปิดบัง


“นอนเถอะ จะได้หายเร็วๆ… นะครับ?”  ไตติลาคลี่ยิ้มหวาน ก่อนจะยอมนอนให้ใครอีกคนห่มผ้าให้ความอบอุ่น  


“หลับตาเสีย” ไตติลาทำตามอย่างว่าง่าย   เพียงไม่นานก็ผ่อนลมหายใจยาว เข้าสู่ห้วงนิทรา  



Softly
I will leave you
Softly
For my heart would break
If you should wake
And see me go
 แผ่วเบา
ฉันจำจากจร
นุ่มนวล
เพราะหัวใจฉันจะแตกสลาย
หากเธอฟื้นคืนจากนิทรา
และเห็นฉันลาลับ
So I leave you
Softly
Long before you miss me
Long before your arms can beg me stay
For one more hour
For one more day
ด้วยเหตุนั้นฉันจึงจากลา
อย่างอ่อนเบา
ก่อนที่เธอจะระลึกถึงฉัน
ก่อนที่อ้อมแขนของเธอจะอ้อนวอนให้ฉันอยู่ต่อ
เพียงอีกชั่วโมง
เพียงอีกชั่ววัน





“ฝันดีนะครับ...ติลาคนดี” กษิดิสทำได้เพียงฝากเสียงกระซิบผ่านห้วงฝัน ด้วยหวังว่า ‘หัวใจรัก’ จะหลับอุ่นสบาย   ทว่าเพียงชั่วกระพริบตาเดียวกลับเหลือเพียงร่างที่ทอดลมหายใจสม่ำเสมอไปในห้วงฝันอยู่เพียงเดียวดาย ภายในห้องนั้น





โปรดติดตามตอนต่อไป

ตอนนี้เป็นตอนที่สั้นที่สุดนะคะ เลยอัพทีเดียวหมดไปเลยดีกว่า  หวานเเหววให้ตายใจ อิอิ

เพลงก็โบร๊าณโบราณ เห็นครั้งเเรกนึกว่าอาหนิงนิรุตม์ 55+

เมศมีเรื่องรบกวนคุณผู้อ่านกันหน่อยนะคะ (ไม่ได้จะยืมตังค์นะคะสบายใจได้ เคี๊ยกกก)


ขอความคิดเห็นเกี่ยวกับ การเคาะบรรทัด ว่าเคาะห่างกันเเบบนี้ อ่านเเล้วรู้สึกเป็นยังไงมั่งคะ?



สำหรับอาทิตย์หน้าคาดว่าจะไม่ได้อัพนะคะ แต่เมศเเวะเวียนมาชมทุกคอมเมนต์ทุกวันอยู่เเล้วค่ะ(กิจวัตรประจำวัน เปิดคอมเมื่อไหร่ต้องเข้ามาดูๆเเลๆ) เเวะเวียนมาคุยกันได้ค๊า

ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค่ะ

โดยส่วนตัวคิดว่าการจัดหน้ากระดาษให้ดูดีในเเต่ละที่ที่นำเรื่องไปลง มันย๊ากกกกกยากค่ะ 55+

ปล..วั๊ยย~ แปะยูตู๊ปได้เเล้ว เย้ๆ
ปล.2 ไปตามได้ที่สนามสอบ เเต่อาจจะเหลือเป็นซากเนื่องจากโดนข้อสอบ "ฟาดฟัน"  :sad4:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๐ (๑๖/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 16-07-2010 19:23:46
เพิ่งเข้ามาอ่านครับ ขอสารภาพว่าตกหลุมรักทันทีอ่านรวดเดียวจบเลยครับ ขอเป็นFC ด้วยคนนะครับ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๐ (๑๖/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 16-07-2010 20:42:33
บวกขอบคุณค่า
ติลาหายไวๆ นะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๐ (๑๖/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: หอยทาก ที่ 16-07-2010 20:45:20
เริ่มจับเค้าลางอะไรได้บางอย่าง
คุณกษิดิสที่เป็นวิญญาณใช่ม้ายยยย
อร๊ากกกกกกก !!!! รักไร้กาลจริงๆ
แอบหลอนง่า
แต่คุณดิสเป็นวิญญาณน่ารักนะ งุงุ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๐ (๑๖/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 16-07-2010 22:02:19
จูบนุ่มนิ่ม...อ่อนโยนแบบของคุณดิส  :-[
ติลาอยากได้กว่าจูบมั้ยคะ?555
ยังคงหวัง..ว่าประตูเวลาจะไม่สามารถแยกติลาออกจากคุณดิสของดิชั้นได้
ขอบคุณค่ะคุณเมศ


ปล.เคาะเว้นเถอะค่ะ...มันอ่านง่ายดีอ่ะ
ปล.2 อาทิตย์หน้าไม่อัพใช่มั้ยคะ?..เดี๋ยวมาเฝ้าทู้ให้  :laugh:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๐ (๑๖/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 16-07-2010 22:17:40
เคาะห่างแบบนี้ก็อ่านง่ายดี สบายตาดีค่ะ

ว่าแต่ ติลา เริ่มรู้อะไรเกี่ยวกับคุณดิสบ้างแล้วใช่มั้ย แล้วติลาโทรไปไหนอะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๐ (๑๖/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 17-07-2010 01:50:23
ค่อยๆเดากันไปนะคะ เเต่เมศจะสนุกมากถ้าคนอ่านเดาผิด  กร๊ากก
 
เมศว่าเคาะเเบบนี้ก็ดีนะคะ  ดูโล่งๆ ไม่เบียดกัน สบายตาดี  เเถมเเลดูเนื้อเรื่องยาวขึ้นด้วย อุวะฮ่าๆ ได้การละ!

ปล.เเวะมาเพ้อ เเทนที่จะอ่านหนังสือ เเป่ว.... :serius2:

หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๐ (๑๖/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 17-07-2010 03:17:09
อ่านแล้วเคลิ้มเลย ชอบจัง บรรยากาศอุ่นๆระหว่างคุณดิสกับติลาเนี่ย
รู้สึกดีกว่าตอนอยู่กับคุณคริษฐ์มากกกกกกกก
สารภาพตามตรง เวลาอ่านเจอชื่อคุณคริษฐ์ทีไร แอบเครียดนิดๆทุกทีเลยค่ะ แหะๆ

เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๐ (๑๖/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 17-07-2010 14:41:52
เย้ๆๆๆ มาต่อแล้ว
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๐ (๑๖/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 17-07-2010 15:46:53
วี่แววแห่งความหลอนเริ่มมาแล้ว  กษิดิสคงไม่มีตัวตนแน่เลย
แอบอยากให้สมิทมีบทบาทมากขึ้นนะ 
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๐ (๑๖/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 17-07-2010 17:12:43
อิอิ และแล้วก็มีเรื่องให้ต้องแปลกใจ
รู้สึกว่าเคาะเว้นบรรทัดมากไป อันนี้จริงๆนะแบบทำให้รุ้สึกอ่านแล้วขาดตอน
แล้วจะรออ่านต่อ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๐ (๑๖/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 17-07-2010 20:39:07
เเวะมาบอกว่า

กลัวผีมาก.....
(บอกทำไม บอกทำไม5+)


 :jul3:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๐ (๑๖/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 17-07-2010 20:41:58
แต่เรากลัว คนแต่งมากกว่า อะ  o18
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๐ (๑๖/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 19-07-2010 20:08:37
ขนลุก บรื๋ออออออออออออ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๐ (๑๖/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 21-07-2010 16:11:35
ผีอะไร..ที่ไหนคะคุณเมศ? 
ฟิคนี้ไม่มีผีนะคะคุณเมศ (หวังไว้ว่าจะไม่มี555)
แอบเข้ามากอดติลา
 :jul3:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๐ (๑๖/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 21-07-2010 19:28:23
ฮี่ๆๆๆ


เมศกลัวผีค่ะ   :jul3:






สปอยยยยย(ไม่อยากเจอให้หลับตาวิ่งออกไปเลยค่ะ ระวังชนประตูนะคะ)





หึหึหึหึหึหึ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๐ (๑๖/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 21-07-2010 20:39:28
สรุปว่าผีจริงๆ เหรอ กลัวด้วยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๐ (๑๖/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 23-07-2010 17:09:19
เข้ามากอดคุณเมศ..
เข้ามาหอมติลา..
เข้ามาจุ๊บติ่งหูคุณดิส..






เอาวะ!! ผีก็ผี
 :jul3:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๐ (๑๖/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 24-07-2010 21:23:46
ไว้สอบ ฟายฟ้า~ผ่านไปก่อนเเล้วจะมาต่อนะคะ  :o12:

หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๐ (๑๖/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 25-07-2010 17:26:47
รับทราบค่ะ เห็นชื่อวิชาแล้วน่ากลัวจัง  :a5:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๐ (๑๖/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 26-07-2010 11:59:06
รอไปอีก
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๑.๑ (๒๘/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 28-07-2010 18:30:02

ตอน ๑๑.๑
   
   ไตติลาเท้าคางลงบนโต๊ะกินข้าว ขณะมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เดินหมุนไปหมุนมาอยู่ในห้องครัวเล็กๆของตนเอง  วันนี้กษิดิสสวมเสื้อเชิ้ตสีครีมแขนสั้น กับกางเกงแสลคสีน้ำตาลเข้ม ไตติลาเดาว่าอาจเป็นเพราะเริ่มเข้าฤดูร้อน อากาศจะไม่หนาวเย็นให้ต้องซุกกายใต้เสื้อตัวหนาอย่างเช่นฤดูอื่น  มือแข็งแรงคู่สวย วางแก้วนมสดลงตรงหน้าไตติลา ก่อนจะหันไปง่วนกับหน้าเตา  ทำให้ไตติลาเห็นผ้ากันเปื้อนสีเขียวลายทางสลับขาว ที่ร่างสูงใหญ่นั้นสวมอยู่กับตัว

“แน่ะ ยิ้มอะไรคนเดียวครับ?”

“ผ้ากันเปื้อนน่ารักดีนะครับ” ไตติลาชม เจ้าของผ้ากันเปื้อนยิ้มรับจนสองแก้มบุ๋มเห็นลักยิ้มชัด

“ติลาชอบหรือ?” คนถาม ถามแก้ขวย พลางยกจานอาหารมาที่โต๊ะกินข้าว

“ติลาชอบคนใส่”  ดวงตาคู่สวยที่กษิดิสนึกชม มองตรงมาอย่างสื่อความหมายตามปากพูดโดยแท้   ดวงหน้าคมสันที่ถึงแม้จะมีไรหนวดจางๆ หากผิวแก้มนั้นกลับซับสีเรื่อ ไตติลายิ้มพึงใจกับตนเอง

“วันนี้มีเรียนใช่ไหม?”

“ครับสายๆหน่อย”

“ไปไหวแน่หรือ?” กษิดิสที่นั่งลงตรงหัวโต๊ะ  ยื่นมือซ้ายมาแตะปลายนิ้วลงบนปลายนิ้วไตติลาที่นั่งอยู่เยื้องกัน ราวกับจะส่งผ่านความห่วงหาถึงกัน

“ไปเรียนไหวครับ แต่ไปทำงาน เดินเยอะๆ คงไม่ไหว”ไตติลามองสำรวจเครื่องหน้าคมคายนั้น  ลอบเห็นร่องรอยความอิดโรย  ทว่าวันนี้คุณดิสออกจะแต่งกายสดใสกว่าวันอื่น ร่องรอยนั้นจึงแทบเลือนหาย  ผมสีดำสนิทลงน้ำมันแล้วเสยขึ้น  ไตติลาเอื้อมมือไปดึงปอยผมข้างหน้าลงมาเสียหนึ่งปอย ก่อนจะยิ้มกับผลงานตัวเอง

“หล่อเหมือนแซค เอฟร่อนในแฮร์สเปรย์”  ไตติลาว่าพลางยิ้มพอใจกับตนเอง ทว่าคนได้ยินกลับฟังแล้วขมวดคิ้วสงสัย

“เหมือนใครนะ?”

“แซค เอฟร่อนไง ดาราวัยรุ่นที่หล่อๆหน่อย” เมื่อเห็นกษิดิสส่ายหน้าอย่างจนปัญญา จึงหัวเราะ

“ผมรู้จักแต่ Louis Armstrong  Nat King Cole  หรือFrank  Sinatra ”  ไตติลาฟังคนสารภาพแล้วหัวเราะ ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ

“สงสัยเราจะคนละยุคกันจริงๆ”

“ทานกันเถอะ ผมหิวแล้ว” พ่อครัวจำเป็นที่ท้องเริ่มโอดครวญรีบเชื้อเชิญ ก่อนใช้มีดตัดอาหารในจาน แต่แล้วก็ชะงัก

“ติลาว่า..ถ้าผมบอกว่าเรามาจากคนละยุคกันล่ะ จะเชื่อไหม?”  ไตติลาที่กำลังฉีกขนมปังปิ้งเป็นชิ้นเล็กกำลังจะจิ้มลงไปตรงกลางไข่แดงที่เป็นน้ำน่ากินเป็นฝ่ายชะงักกึกบ้าง

“ยังจะล้อเล่นอีกหรือครับ?” กษิดิสมองสบตาคู่โตที่มีประกายแจ่มใส ก่อนทั้งคู่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ไตติลาก้มหน้าทานอาหารเช้าต่อไป ขณะที่กษิดิสลอบส่ายหน้ากับความไม่เอาไหนของตนเอง

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

   คริษฐ์ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของตนเอง  ในหัวเต้นตุบจากความเครียด ชายหนุ่มถอนหายใจยาวเหยียดปิดโน้ตบุ๊คยัดใส่กระเป๋าอย่างไม่สนใจ  ก่อนจะลุกจากโต๊ะอาหารร้านประจำที่ไตติลาเคยมาทำงาน  ชายหนุ่มเดินไปชำระเงิน ก่อนจะออกไปสูบบุหรี่ที่หน้าร้าน เขาเกล็ดบุหรี่เสียบที่มุมปาก ก่อนจะจุดไฟ อัดควันเข้าปอด ดวงตาหรี่มองผ่านม่านควันสู่ภาพพลาซ่าเล็กๆที่มีรถขับเข้าออกแทบตลอดทั้งวัน ก่อนมือนั้นจะดึงมวนบุหรี่ออกจากมุมปาก คีบไว้ด้วยสองนิ้ว ก่อนจะคลึงเบาๆพลางใช้ความคิด

“ไม่รู้สิ ไม่ได้ข่าวนิทเชเลย” นั่นคือคำตอบของเพื่อนเขา เมื่อคริษฐ์ตัดสินใจถามความเป็นไปของใครบางคน

“ไอ้คริษฐ์กูเตือนแล้วนะ ว่าตัดใจเสียเถอะ” ชายหนุ่มได้แค่ฟัง ทั้งที่รู้ว่าเพื่อนเตือนด้วยเพราะเป็นห่วง

“ถ้าตัดได้เหมือนสายโทรศัพท์ก็ดีสิ”  ถ้าหากการตัดใจจากใครสักคนง่ายดายเพียงกดปุ่ม  คงจะดีไม่น้อย   อย่างน้อยที่สุด ความทรมานในอกนี้จะได้หายไปบ้าง  คริษฐ์หยิบมือถือของตนขึ้นมาดู  ไม่มีหมายเลขใดๆโทรเข้า  ไม่มีข้อความใดๆ  ไม่มี...แม้แต่จากไตติลา

“หึ...”  หลังจากเรื่องในคราวนั้น ไตติลาเงียบหายไปเสียอีกคน ทำให้เขาตระหนักว่า ตัวเขาเดียวดายอย่างที่สุด  แม้ใครๆต่างอิจฉาที่คริษฐ์มีทุกอย่าง ทรัพย์สิน เงินทอง หน้าที่การงาน ทว่าโดดเดี่ยว

“โชคดีของผมเหลือเกินแล้ว ที่ไม่ต้องอยู่กับคนไร้หัวใจอย่างคุณ” คริษฐ์ยังจำเสียงของคนที่พูดประโยคนี้ได้  แค่เพียงหลับตา ยังจดจำดวงตาที่มองมาอย่างผิดหวังที่สุดได้  มันยังคงหลอกหลอนเขามาจนถึงทุกวันนี้

‘ผมจะไร้หัวใจเพราะใครได้อีก  เชเองไม่ใช่หรือ ที่พกเอาหัวใจผมไว้กับตัวมาตลอด’ คริษฐ์ทำได้เพียงตัดพ้ออยู่ในใจ

“คิดอะไรอยู่คะ?” คริษฐ์สะดุ้งกับเสียงสดใสที่ดังขึ้น

“อ้าวแหม่ม” หญิงสาว เพื่อนรักของไตติลายิ้มจางๆให้

“วันนี้พี่คริษฐ์ไม่ทำงานหรือคะ? มาเสียแต่กลางวันเลย”

“ทำครับ เดี๋ยวพี่จะกลับเข้าที่ทำงาน พอดีลืมของไว้เลยแวะทานเสียเลย” คริษฐ์ตอบ ก่อนจะมองหญิงสาวอย่างสงสัย

“แหม่มพักค่ะ” เพื่อนรักไตติลารีบออกตัว  ดวงหน้าน่าเอ็นดู ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกปากถาม

“พี่คริษฐ์ ช่วงนี้เจอติลาบ้างหรือเปล่าคะ?” คริษฐ์หัวเราะเบาๆกับตนเอง พลางก้มลงมองมวนบุหรี่ในมือ ที่หดสั้นเข้าทุกที

“ไม่ค่อยหรอก ติลายุ่งๆนี่  ใช่ไหม?”

“ติลาไม่ได้บอกบ้างหรือคะ  ว่าเขาเพิ่งผ่าตัดมา” คริษฐ์ฟังแล้วขมวดคิ้ว พยายามนึกย้อนไปว่าไตติลาได้เคยบอกอะไรตนไว้หรือเปล่า

“ไม่นี่ พี่ไม่รู้เลย”

“ติลาก็อย่างนี้ไม่ค่อยยอมบอกอะไรใคร....คือ  แหม่ม..เป็นห่วงติลาน่ะค่ะ  ช่วงนี้ นอกจากเรียนยุ่งๆแล้ว ยังมีหลายเรื่องด้วย  แหม่ม ถามติลาก็ไม่ค่อยบอกอะไรมากมาย”

“พี่คริษฐ์คะ แหม่มฝากติลาด้วยนะคะ  ติลาเป็นคนไม่พูดเรื่องปัญหาตัวเอง  ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ติลาน่าจะเกรงใจพี่คริษฐ์”  คริษฐ์อึกอัก  แต่เมื่อสบตาของหญิงสาวที่มาขอร้องนั้น ก็ไม่อาจปฏิเสธได้

“แล้วพี่จะลองถามๆให้นะ”

   ช่างน่าสงสาร คริษฐ์คิด เพื่อนของไตติลาคนนี้ ไม่ได้รู้เลยว่า  คนที่ทำร้ายเพื่อนรักของหล่อนมากที่สุด เห็นจะเป็นเขานี่เอง  นอกจากมักไม่พูดเรื่องตนเองแล้ว ไตติลายังเป็นคนขี้เหงาอย่างร้ายกาจ  และเขานี่ล่ะ ฉวยโอกาสนั้น  แม้ไตติลาจะอ่อนบ้างแล้ว แต่คริษฐ์แน่ใจ ในความผิดของตน แม้ไตติลาจะให้อภัย แต่จะไม่ลืม  และจะไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิมด้วย

“เธอก็อีกคนสินะ...นิทเช” คริษฐ์หยิบมือถือของตนกดปิดเสียง ก่อนจะโยนส่งๆไปที่เบาะข้างคนขับ ไม่คิดกระตือรือร้นจะรับโทรศัพท์สายใดๆ จนกว่าจะประชุมบ่ายเสร็จสิ้น  แล้วคริษฐ์ก็ขับเคลื่อน กลับเข้าสู่ความวุ่นวายบนเส้นทางของตนเองอีกครั้ง

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑



สอบผ่านไปเเล้วค่ะ  :เฮ้อ:

เเทบอยากจะถอน ฮือๆ


ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค่ะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๑.๑ (๒๘/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 28-07-2010 19:22:41
บวกส่งกำลังใจให้ค่า ^^
อยากรู้จะแย่แล้วว่าคุณดิษเป็นใครรรรรรรรร
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๑.๑ (๒๘/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 28-07-2010 20:49:02
กษิดิสคงไม่ได้เป็นแค่คนหลงยุคแน่  ... น่าจะเป็นกุ๊ก ๆ กู๋นะ
คริส  ชั้นไม่ชอบคุณที่สุด  สิ่งที่คุณทำกับติลามันเห็นแก่ตัวมากไป
คุณฉวยโอกาสกับคนที่ต้องการที่พึ่งทางใจ
แล้วทิ้งเค้าไปอย่างเย็นชา  แล้วมาหาเค้าเมื่อคุณไม่มีใคร
คุณมันห่วย
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๑.๑ (๒๘/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 28-07-2010 21:34:31
ตกหลุมรักคุณดิสเข้าแล้ว..
อิจฉาติลาซะแล้วสิ..
ไม่เข้าใจคุณคริษฐ์..
อยากอ่านตอนต่อไป..มากมาย
จิ้มบวกเป็นกำลังใจค่ะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๑.๑ (๒๘/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 28-07-2010 22:08:51
ติลากับคุณดิสนี่บรรยากาศดีจริงๆเลย อ่านแล้วรู้สึกสบายใจไปด้วย
ส่วนคุณคริษฐ์ เจอทีไรอึดอัดทุกที :เฮ้อ:

เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๑.๑ (๒๘/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ryze ที่ 28-07-2010 23:34:05
กลั๊วกลัว คริษฐ์จะเป็นพระเอก.. >.<
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๑.๑ (๒๘/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 29-07-2010 01:06:32
เจิมไว้ก่อน เดี๋ยวมาอ่าน
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๑.๑ (๒๘/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 29-07-2010 13:15:58
อ่านจบ แล้วครับ มาต่ออีกนะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๑.๑ (๒๘/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 29-07-2010 14:28:18
เรื่องเดาทางยากจังครับ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๑.๑ (๒๘/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 29-07-2010 20:50:33
ช่วงเวลาที่ทับซ้อนกันหรือเปล่า  :sad4:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๑.๑ (๒๘/๐๗/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 01-08-2010 00:37:05
เข้ามากอดชายหนุ่มผู้มีแต่ความอบอุ่น..คุณดิสของดิชั้น
เข้ามาลูบหัวเพราะเอ็นดูหนุ่มน้อยขี้เหงา..ไตติลา
เข้ามาค้นใจที่มีแต่ความวุ่นวายและความดิบของมนุษย์เพศผู้..คุณคริษฐ์ที่ถูก(คุณเมศ)ตราหน้าว่าไร้หัวใจ
และท้ายที่สุด..

เข้ามาดันนิยายเรื่องนี้ไม่ให้คุณเมศลืม..จะมาต่อเมื่อไหร่คะ?
ดิชั้นคิดถึงคุณดิสใจจะขาดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
 :call: :z3: :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๑.๒ (๐๑/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 01-08-2010 02:00:06
ตอน ๑๑.๒



แม้จะเลิกเรียนแล้ว ไตติลาก็ยังกลับบ้านไม่ได้ ทั้งที่ใจแล่นกลับไปอยู่ที่อพาร์ทเม้นต์เจเสียนานแล้ว   แต่ว่ารายงานคู่ที่ต้องทำใกล้จะถึงกำหนดส่ง เพราะนับจากนี้แค่สามสัปดาห์ ก็สอบไฟนอลสำหรับภาคเรียนใบไม้ผลิดแล้ว  จึงผลัดไม่ได้ที่จะต้องไปค้นข้อมูลจากห้องสมุด   แม้ไตติลาจะส่งสาตาอ้อนวอนคู่ทำรายงานของตน  ทว่าไม่เป็นผล เพราะคู่ทำรายงานคนนี้คือ สมิท ไทสัน


“งานจะส่งแล้ว ผมไม่อยากเสี่ยงไม่มีงานส่งนะ”  สมิท ไทสันพูดด้วยดวงหน้าเคร่งเครียด


“แต่ผมลองค้นในห้องสมุดเราแล้ว มันไม่มี”  ไตติลาพยายามหาทางต่อรอง เพราะตั้งใจไว้แล้วว่า วันนี้จะค้นช่องที่ใต้พรมให้ทั่ว ว่ามีอะไรซ่อนอยู่กันแน่  แต่เพราะเมื่อเช้ากษิดิสมาเสียตั้งแต่ก่อนเขาจะตื่น จนเป็นอันต้องพักแผนการนี้ไว้ก่อน  รวมถึงกระดาษใบที่เขาซุกไว้ ในกองผ้า ด้วยความเก่าจนกรอบนั้น กระดาษจากเดิมเป็นสองซีกจึงป่นกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเสียแล้ว


“ถ้าอย่างนั้นเราไปที่อื่น” สมิท  ไทสัน เสนอหอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยเก่าแก่แห่งหนึ่ง


“ทำไมหรือ   หรือว่าวันนี้มีนัด?”


“เปล่าๆ ไม่มี” ไตติลาตอบไปแล้วนึกอยากจะทุบตัวเอง อย่างน้อย ถ้าตอบว่ามีนัดก็น่าจะพอเป็นข้ออ้างให้ได้กลับบ้าน


“งั้น ไปกันเถอะ”  สมิท ไทสันเดินนำไป ที้งไตติลายกมือขึ้นทึ้งผมตัวเอง





   หอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ให้บรรยากาศเก่าแก่โดยแท้  ตกแต่งด้วยศิลปะโบราณ ประณีต สวยจนไตติลานึกอิจฉาที่โรงเรียนตนไม่มีห้องสมุดแบบนี้บ้าง  โถงกลางมีบันไดหินอ่อนซ้ายขวานำขึ้นไปสู่ชั้นสอง โคมระย้ากลางโถงที่ให้แสงนวลอบอุ่นเป็นประกายระยับ ไตติลาแหงนหน้ามองจนคอตั้งบ่า  โดยมี สมิท ไทสัน ยืนรออย่างใจเย็น


“ขอเดินดูรอบๆก่อนได้หรือเปล่า?” ไตติลาถามคู่ทำรายงานของตน  ชายหนุ่มยิ้มจางๆให้  รอยยิ้มนั้นชวนให้นึกถึงใครอีกคนขึ้นมา


“เอาสิ  ผมรอในห้องนั้นนะ”  สมิท  ไทสัน ชี้เข้าไปในห้องโถงขนาดย่อยลงมาเล็กน้อย ที่นี่เหมือนจะจัดแบ่งหนังสือประเภทสาขาต่างๆแยกไว้เป็นห้องโถงไป  ไตติลาเดินดูโน่นนี่อย่างเพลิดเพลิน ก่อนจะขึ้นไปชั้นสอง


“จริงสิ  ถ้าจำไม่ผิด คุณดิสบอกว่าเรียนอยู่ที่นี่นี่นา” เพียงแค่คิดถึงไตติลาก็มีความสุขแล้ว


“จะโชคดีได้เจอที่นี้หรือเปล่านะ”  ไตติลาเริ่มภาวนาในใจ ในทุกขั้นบันไดหินอ่อนอันนำไปสู่ชั้นสอง   เขาเดินตามป้ายบอกทางไปตามห้องโถงขนาดย่อมๆพื้นหินอ่อน ได้กลิ่นหนังสือเก่าลอยเข้าจมูก  กลิ่นที่ไตติลาแอบให้นิยามว่า ‘กลิ่นของความรู้’





   ร่างโปร่งนั้น เดินไปตามชั้นวางหนังสือที่สูงท้วมหัว หยุดพิจารณารูปปั้นใหญ่น้อยรายทาง หมุนลูกโลกเก่าคร่ำ เพื่อหาประเทศไทย หรือแม้แต่หยุดหยิบจับหนังสือบางเล่มขึ้นดูทั้งที่เป็นสาขาวิชาที่ตนไม่เข้าใจเลยสักนิด  จนถึงด้านในสุด เคาท์เตอร์ไม้เล็กๆที่มีหนังสือเรียงรายอยู่บนนั้นมากมายนับไม่ถ้วน ที่ไตติลาเดาว่า น่าจะรอการจัดเก็บ  บรรณารักษ์สูงวัย ที่ผิวกายเหี่ยวย่น และเส้นผมสีเทา  เงยหน้าขึ้นมองไตติลาลอดแว่นสายตา  ขณะที่คิ้วที่กลายเป็นสีขาวย่นเข้าหากัน  ไตติลายิ้มตอบจางๆ ก่อนชายชราผู้นั้นจะคลี่ยิ้มตอนรับ


“ไม่ใช่เด็กที่นี้ใช่ไหม?” เมื่อเสียงแหบแห้งนั้นถาม ไตติลาเกาแก้มเขินๆเหมือนถูกจับได้


“ครับ”


“หาอะไรอยู่หรือ?”


“ผมมาหาข้อมูลทำรายงานครับ แต่ว่าอยากขอชมให้ทั่วก่อน”


“ชอบห้องสมุดหรือ?”  ไตติลายิ้มรับ  ชายชรา บรรณนารักษ์หัวเราะในคอเบาๆ


“เอาเถอะตามสบาย”  บรรณารักษ์ชราขยับแว่นให้เข้าที่อีกครั้ง ก่อนจะลุกยืนหันหลังให้ไตติลา  ไตติลาจึงเตรียมจะพละจากไป  แต่แล้วก็ชะงัก


“เอาเล่มนี้ไปดูสิ เผื่อจะสนใจศิลปะบ้าง” ไตติลาเอียงคอมอง  ก่อนจะรับหนังสือมาถือไว้


“แต่ผมยืมออกไม่ได้” ชายชรายิ้มเอ็นดู


“อ่านเสียที่นี่สิ” ไตติลารับคำ ก่อนจะขอตัวเดินกลับไปหาเพื่อน





   ไตติลาพลิกหนังสือในมือ  ดูเหมือนจะเห็นหนังสือผลงานนักศึกษา   ที่บางภาพไตติลาก็ดูไม่ออกว่ามันคืออะไร  หรือบางภาพก็เป็นออกแบบบ้าน หรือห้อง   ไตติลาลอบเห็นว่าสมิท ไทสันเดินกลับไปกลับมาตามชั้นหนังสือ ก่อนจะยกกลับมาด้วยหลายเล่ม  ทว่ายังไม่อยากสนใจจะทำงานตอนนี้


“อ่านอะไรอยู่” สมิท ไทสัน กระซิบข้ามโต๊ะ  ไตติลาที่หยิบแว่นสายตาขึ้นมาใส่ มองลอดแว่น ก่อนจะตอบ


“หนังสือ” มือนวลบางค่อยพลิกหน้าต่อไปอย่างใจเย็น


“รู้แล้วว่าหนังสือ” มือของคนนั่งตรงข้าม เอื้อมมาดึงออกจากมือไตติลา 


“เฮ้ ผมอ่านอยู่นะ” สมิท ไทสัน ยิ้มยียวน เมื่อเห็นคนตรงหน้าทำท่าแยกเขี้ยวใส่ ก่อนจะส่งหนังสือเล่มหนาให้ไตติลาแทน


“ถึงคุณจะเด็กกว่าผม แต่ทำแบบนี้ไม่ดีเลย”


“ใครว่าผมเด็กกว่า ผมก็อายุเท่าคุณ” ไตติลาแอบร้องอ้าว ชักอยากคาดโทษเพื่อนสาว ผู้เอาข่าวลวงมาขยาย


“ไหนใครว่า คุณเป็นพวกเด็กไอคิวสูง พาสชั้นมา” เจ้าตัวเลิกคิ้วอย่างเหลือเชื่อ


“อย่างนั้นเชียว แล้วเขาว่าไงอีก?”


“ไม่รู้!” ไตติลาชะโงกหน้ามาตอบเสียงแข็ง


“แล้ว ‘ใครคนนั้น’ เขาบอกหรือเปล่าว่าคุณอีคิวต่ำ”  ไตติลากรอกตาเบาๆ อย่างขัดใจ ถึงกับอดพูดกับตัวเองไม่ได้


“ปากอย่างนี้นี่มันน่า”


“ผมว่าคุณควรจะเริ่มทำงานได้แล้ว”  สมิท ไทสันให้ไตติลายังแอบบ่นหงุงหงิงแต่ก็ยอมทำงานแต่โดยดี  เขาจะพลิกหนังสือที่ยึดมาจากไตติลาเล่น  ดูผ่านๆ อย่างไม่ค่อยสนใจนัก แต่แล้วก็ต้องจับจ้องนิ่งอยู่ที่ภาพผลงานหนึ่ง


“แล้วคุณจะไม่ทำหรือไง?” ไตติลาขมวดคิ้ว สมิท ไทสัน จึงวางหนังสือเล่มนั้นลงอย่างช้าๆ  และเริ่มลงมือทำงาน





   หลังสามชั่วโมงผ่านไป รายงานเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมากแล้ว ไตติลาถอดแว่นออก พักสายตา  มือนวลบางดันหนังสือเล่มหนาออกราวกับไม่อยากจะเห็นมันอีกแล้ว   สมิท ไทสันเริ่มเก็บเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของตน พลางรวบรวมหนังสือที่พวกตนได้ค้นคว้า เตรียมนำกลับไปวางบนโต๊ะสำหรับหนังสือที่ถูกหยิบมาอ่านแล้ว  ไตติลาเปิดหนังสือที่ได้มาจากชั้นบนออกดูอีกครั้ง  เขาพลิกหน้าถัดไปเรื่อยๆ จนเกือบท้ายเล่ม  ลายเส้นคุ้นตาคุ้นใจถูกพิมพ์เป็นภาพในหนังสือนั้น  ภาพบ้านกึ่งทรงไทยกึ่งโมเดิลแปลกตาทำให้ไตติลาชะงักงัน  สายตาเหลือบมองชื่อเจ้าของผลงานทันที





‘ Mr.Kasidit Thaison’ หัวใจไตติลาเต้นแรงกว่าปรกติ เมื่อเหลือบมองกรอบเล็กๆข้างๆกันนั้น แม้ดวงหน้าจะมีหนวดเครารกครึ้มอย่างไร แต่ดวงตาคู่นี้ ไตติลาไม่เคยลืม ไตติลากวาดสายตาอ่านรายละเอียดประกอบผลงานอย่างรวดเร็ว  ก่อนจะสะดุดเข้ากับปีผลงาน ‘1958’




ไตติลาบวกลบเลขในใจ  ช่องว่าง ‘52ปี’ กว้างเกินกว่าจะจินตนาการ


โปรติดตามตอนต่อไป






เย้ยยยยยย รู้ได้ไงว่าเมศลืม เเหะๆ

จริงๆก็ไม่เชิงลืมนะคะ เพราะเมศก็ไม่ได้ไปไหนหรอกค่ะ เขียนตอนต่อไปเสร็จเเล้วค่อยมาเเปะต่อ

อ้อ ถ้าไม่นับไปทำบุญให้ชีวิตมีสิริมงคลบ้างอะไรบ้าง อิอิ

เดาว่าอ่านตอนนี้กันเเล้วจะเกิดอาการบางอย่างเเบบว่า

 :a5:

กันบ้างเล็กน้อยถึงปานกลาง



ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค่ะ :-[
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๑.๒ (๐๑/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 01-08-2010 02:09:22
สมิท  ไทสัน..เป็นอะไรกับคุณดิสของดิชั้นคะ?
แล้วทำไมคุณดิสของดิชั้นถึงได้แก่หงำเหงือกเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดแบบนั้นไปได้ (เดาเอาล้วน ๆ ..เพิ่มความตู่เอาเองอีกต่างหาก555)
ติลายังคงความน่ารักไม่เปลี่ยนแปลง..
ยังรออ่านตอนต่อไปนะคะคุณเมศ
จิ้มตรู๊ดและจิ้มบวกค่ะ555
 :z3: :เฮ้อ: :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๑.๒ (๐๑/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 01-08-2010 03:01:37
จากการปรากฏตัวแบบไร้ร่องรอยของคุณดิสหลายครั้ง
เราว่าไม่ใช่เวลามันเหลื่อม  มิติมาทับซ้อนอ่ะ
เราว่ากุ๊ก ๆ กู๋นะ  เราแอบชอบสมิทด้วยนะ  เราว่าสมิทต้องมี something กับติลาแน่เลย
...
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๑.๒ (๐๑/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 01-08-2010 07:51:18
กรี๊ดดด ปมเลยมาแล้ววววววววววววว แถมนามสกุลนั่นนนนนนนนนนนน อรั้ย
บวกให้ค่า
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๑.๒ (๐๑/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 01-08-2010 13:33:16
เรื่องเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆนะครับ รักข้ามภพ?
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๑.๒ (๐๑/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 01-08-2010 21:56:03
52 ปี คุณดิสคงจะไม่แก่แบบคุณตาบรรณารักษ์คนนี้นะ หรือว่า ....... คุงตา คือ  :a5:  :a5:  :a5:
แล้วสมิทเป็นไรกะคุณดิสอะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๑.๒ (๐๑/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 03-08-2010 11:28:58
52 ปีที่รอคอย

แต่เรื่องนี้เค้าทะลุมิติยังไงอ่ะ ใช้กระจก หรือนอนบนเตียง
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๑.๒ (๐๑/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 06-08-2010 23:03:03
ยังไม่มาต่ออีก อย่างน้องก็มีหนึ่งแรงใจ นะครับ

อย่าพึ่งท้อนะครับ ยังรอติดตามอ่านเสมอ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๒.๑ (๐๗/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 07-08-2010 20:05:48
ตอน ๑๒.๑

   กษิดิสนอนหลับไม่สนิทนักในคืนนี้  ทั้งที่เป็นคนนอนง่าย อาจเพราะ หลายอย่างรบกวนหัวใจเขาให้ปั่นป่วน ชายหนุ่มพลิกกายนอนตะแคงอย่างคนหลับไม่สนิท และติดจะกระสับกระส่าย พลางเหยียดแขนข้างหนึ่งออกไป วางลงบนหมอนข้าง  ทว่าหมอนข้างกลับอุ่นนุ่มและหยุ่นอย่างน่าประหลาด  ในที่สุดกษิดิสก็ลืมตาขึ้นจนได้ เมื่อรู้สึกตัวว่าตนได้หลุดออกจากห้วงฝันอย่างไม่เต็มใจ  ภาพที่เลือนลางในความมืดทำให้เขาต้องใช้เวลาในการพิจารณากด้วยสมองที่ยังไม่ทำงานเต็มที่นัก  สิ่งที่เขาเคยคิดว่าเป็นหมอนข้างขยับเพยิบขึ้นลงน้อยๆ  ก่อนจะหันมาซุกใกล้อกเขา


“เฮ้ย!” ชายหนุ่มเจ้าของเตียงอุทาน พลางพละหนีด้วยความตระหนก ทำให้ร่างสูงใหญ่บนเตียงแคบๆนี้หล่นลงมานอนกับพื้นพรม


“อูย” ชายหนุ่มโอดเบา  ตาจับจ้องเพดานนิ่งๆ พลางใช้ความคิดว่า ตกลงตอนนี้เขาอยู่ในฝันหรืออย่างไร


“เจ็บ...ก็ ไม่ใช่ฝัน” กษิดิส กระซิบบอกตนเอง  เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงรีบผลุดลุก  เคลื่อนกายอย่างเงียบเชียบไปเกาะขอบเตียงของตนเองอย่างกล้าๆกลัวๆ


“ไตติลา!”ใช่แน่แล้ว ร่างที่นอนเตียงของเขาอยู่นี้ เป็นไตติลาแน่แท้







 กษิดิสรีบมองไปรอบตัว ห้องนี้ยังเป็นของเขา ห้องโล่งที่มีเครื่องเรือนนับชิ้นได้ เพียงเตียง โต๊ะสำหรับทำงาน กีต้าร์ตัวโปรดยังวางพิงผนัง กระดาษเขียนแบบที่ใช้ไม่ได้ ถูกขยำโยนใส่ถังขยะ ลงบ้างไม่ลงบ้าง เหมือนเมื่อตอนก่อนเจ้าของห้องจะเข้านอน  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหตุการณ์ไม่ปรกตินี้เกิดขึ้น ที่เพียงเขาไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัวเพียงชั่วกระพริบตาเดียว ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเสียหมด ทั้งที่เป็นห้องของเขาเอง ทว่าเป็นห้องในอีกหลายสิบปีข้างหน้าที่เจ้าของคือไตติลานั่นเอง  แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นโดยที่ไตติลาปรากฏตัวบนเตียงเขาขณะหลับ  ไม่ใช่ นั่งอ่านหนังสือในห้องนั่งเล่น เปิดตู้อยู่ในครัว หรือเดินอยู่ที่โถงทางเดินเหมือนทุกที


“ด...คุณดิส” กษิดิสรีบหันมองต้นเสียงอย่างไม่เชื่อหู ก่อนจะรู้สึกว่าตนเองกำลังเขินอาย ทั้งที่อีกฝ่ายกำลังอยู่ในห้วงนิทรา


“หลับฝันถึงกันบ้างหรือเปล่า?” กษิดิสยื่นหน้าเข้าไปใกล้ พิจารณาดวงหน้าที่ฝังอยู่กับหมอนนุ่มของเขา  มือคู่ที่ไตติลานึกชมเสมอ เอื้อมออกไปอย่างเผลอไผล  แต่แล้วก็ชะงัก


“ถ้าทำให้ตื่น เดี๋ยวจะหาว่าเรารุ่มร่ามก็แย่น่ะสิ” กษิดิสไม่เคยคบใครแล้วประพฤติตนเรียบร้อยเช่นนี้มาก่อน  หากไตติลาเป็นสาวๆฝรั่งอย่าง ‘คนก่อนๆ’เล่า ไม่แคล้วจะเก็บลายไว้ไม่อยู่  แต่นี้ไตติลาตรงข้ามเสียทุกประการ เขาจึงระมัดระวังนัก ทั้งที่รู้ว่า รูปแบบของมันบิดเพี้ยนไปจนน่ากลัว ทว่าบางอย่างในหัวใจ ตัวเขาเองก็ห้ามไม่อยู่  เช่นเดียวกับตอนนี้ ที่เขาอดใจไม่ไหวไล้มือลงบนดวงหน้านวล เจ้าตัวขยับอย่างติดจะรำคาญ ก่อนจะกลับสู่ห้วงนิทราราวไม่รู้หนาวร้อน มือแข็งแรงนั้นจึงยิ่งย่ามใจ ไล้นิ้วมือลงบนริมฝีปาก ที่มักเม้มเสมอ ในยามที่เจ้าตัวใช้ความคิด หรือขัดใจ


“ฮาห์...” ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม


“ผมจะบอกติลายังไงดี  คุณช่วยผมคิดหน่อยสิ” กษิดิสรู้สึกคล้ายจะเป็นบ้า  เหมือนมีความลับที่บอกใครไม่ได้อัดแน่นอยู่ในอก


“ผมไม่รู้จะบอกอย่างไรจริงๆนะ  เพราะมันเหลือเชื่อ แม้แต่กับตัวผมเองก็เถอะ”  กษิดิสผู้เป็นเจ้าของเตียง ได้แต่นั่งกับพื้นข้างเตียง แล้วเอนหลังพิง พลางใช้ความคิดอย่างหนัก  เมื่อระรึกได้ว่า ต่อให้คิดจนหัวแทบแตก เขาก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ จึงลุกไปนั่งที่โต๊ะเขียนแบบแทน โดยเปิดแค่โคมไฟที่โต๊ะ ใช้ปากกาเริ่มร่างเส้นบนกระดาษสะอาดตรงหน้า









   กษิดิสเผลอหลับไปเมื่อไหร่นั้นเจ้าตัวก็ไม่อาจทราบ มารู้สึกตัวอีกหน ก็ตอนที่แสงแดดค่อนข้างจัด สาดส่องเข้ามาในห้องแล้ว  กษิดิสรีบมองไปที่เตียงของตนเองที่เมื่อคืนปล่อยให้ไตติลายึดครอง   เตียงนั้นกลับว่างเปล่าจนน่าใจหาย  มีเพียงร่องรอยยับย่นของผ้าปู เป็นหลักฐานเดียวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริง  ดวงตาคมทอประกายผิดหวังอย่างไม่ปิดบัง กษิดิสรู้อยู่แล้วว่า ความรักของตน ขึ้นกับอะไรบางอย่างที่เอาแน่เอานอนไม่ได้  สักวัน....เขาอาจไม่ได้พบไตติลาอีก  กษิดิสไม่อาจเดาว่าเมื่อใด  ทำได้แต่เพียงภาวนา ให้ ‘วันนั้น’  มาถึงช้าหน่อยเท่านั้น


“มิสครับ  ถ้ามีเพื่อนของผมมาละก็ กรุณาบอกเขาหน่อยเถิดว่า  ผมจะรีบกลับ” กษิดิส ทำได้เพียงฝากถ้อยความไว้กับหญิงชราเจ้าของอพาร์ทเม้นต์ห้องนี้ ที่บัดนี้ อายุมากจนหลงลืม ก่อนจะออกไปเรียน 


“ว่ากระไรนะ?”  กษิดิสทวนย้ำประโยคเดิมกับหญิงชรา ซึ่งต่อมารับคำด้วยท่าทางเลื่อนลอย


“แล้วถ้าเขาไม่มาเล่า?” หญิงชราผู้นั้นถาม ดวงหน้าเหี่ยวย่น มองมาด้วยดวงตาเมตตา 


“ก็เห็นจะไม่เป็นกระไรหรอกครับ” กษิดิสตอบอย่างนอบน้อม  สายตานั้นหรุบต่ำลงมองที่พื้นพรม ซ่อนความในใจเอาไว้เสีย


“เอาเถอะ แล้วจะบอกให้” กษิดิสกล่าวขอบคุณ ก่อนจะเตรียมออกเรียน


“เวลา....เหลือน้อยเต็มทีแล้ว”  ในห้องของหญิงชราที่มีเสียงวิทยุรายงานข่าวดังลอดออกมา  กษิดิสได้ยินเสียงของเจ้าของห้อง  เสียงนั้นแผ่วเบา ทว่าชายหนุ่มแน่ใจ   เมื่อเขาชะโงกหน้าเข้าไปดูหญิงชราอีกครั้ง ร่างผอมเอนกายพิงพนักเก้าอี้โยก จับจ้องไปในอากาศธาตุอย่างเลื่อนลอย









   เมื่อกษิดิสกลับมาที่ที่พักก็ต้องพบกับความผิดหวัง หญิงชราไม่สามารถให้คำตอบอะไรได้ว่าไตติลาได้แวะเวียนมาหรือไม่ด้วยเพราะชรามากจนหลงลืม  ภายในห้องไม่มีร่องรอยการเยี่ยมเยือนของใคร  หัวใจกษิดิสเต้นสม่ำเสมอ ส่งผ่านความผิดหวังไปตลอดร่าง  กษิดิสทำได้เพียงเฝ้ารออย่างอดทน  ไม่อาจข่มตาหลับได้ เนื่องจากเกรงว่าไตติลาอาจ ‘มา’ แล้วไม่เจอ  หรือในกรณีกลับกัน  เขาอาจ ‘ไป’ โดยไม่รู้ตัวได้ทุกขณะ  สี่วันผ่านไปอย่างเงียบเชียบ  กษิดิสรอคอยอย่างอดทนไม่ออกไปไหน  ไม่นอนหลับ  หลีกเลี่ยงกิจกรรมใดๆ ที่อาจทำให้เขาคลาดกับหัวใจรัก 


“ติลา  เธออยู่ที่ไหน?”  กษิดิสยกมือขึ้นลูบหน้าตนเอง  คำถามที่เขารู้คำตอบแต่แสร้งว่าไม่รู้นั้น แปรสภาพเป็นเข็มเล่มเล็กแหลมคม ทิ่มแทงหัวใจเขาอย่างเงียบเชียบ


“คุณพระคุณเจ้า ขอไตติลาคืนให้กระผมด้วยเถิด  อย่าได้พรากเขาไปเลย” ทั้งที่เป็นคนเชื่อในสองมือตนเองเสมอมา แต่เมื่อถึงที่สุด กษิดิสรู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะเป็นบ้า  เหมือนคนจ่อมจมลงในน้ำ อันไม่รู้ฝั่งอยู่ที่ใด  อะไรก็ตามที่พอเป็นความหวังให้เขาได้ เขาล้วนอ้อนวอนทั้งสิ้น


“อย่างน้อย  ให้ได้บอกลาติลาสักคำก็ยังดี”


กษิดิส เพิ่งจะได้เรียนรู้ ว่าความสิ้นหวังนั้น เงียบเชียบและเจ็บปวดเช่นนี้เอง
[/i]




๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒


ที่เงียบหายต๋อมไประหว่างสัปดาห์นี้ก็ไม่ได้ดวงซวยไปตกหลุมส้วมที่ไหนนะคะ(เเบบในข่าว)  เเต่ว่า งานค่อนข้างเร่ง ตอนใหม่เลยเขียนได้ช้า บวกกับช่วงของเรื่องมันสโลซบตับเเตกมาก เลยค่อนข้างเขียนยาก ยิ่งอากาศทะมึนเเบบนี้  (เมศเป็นมนุษย์สภาพอารมณ์ตามสภาพอากาศค่ะ5+) เลยค่อนข้างเฉาๆ เขียนไม่ค่อยออก :เฮ้อ:

ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค่ะ

ทั้งจากเสือซุ่ม เสือไม่ซุ่ม เสือสมิง เสือเบงกอล เสือไบก็เอา 55+ (ไปไกล๊ไกล...เขาจะขำกันไหมเนี่ย เฮ้อ)
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๒.๑ (๐๗/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 07-08-2010 21:08:28
สรุปว่า  เวลามันเหลื่อมกัน  ดีใจที่คุณดิสไม่ใช่กุ๊ก ๆ กู๋
แล้วต้องทำยังงัยล่ะ  ถึงจะได้อยู่ด้วยกัน
ให้ได้อยู่ด้วยกันนะ  สงสารติลา
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๒.๑ (๐๗/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 07-08-2010 22:27:57
 :กอด1: คุณเมศเบา ๆ
อย่างนี้คุณดิสกับติลาก็คงไม่ได้รักกันแบบแฮปปี้นักสินะคะ  :เฮ้อ:
รอตอนต่อไปนะคุณเมศ
จิ้มบวกขอบคุณและเป็นกำลังใจให้นะคะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๒.๑ (๐๗/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 08-08-2010 04:41:38
ได้อ่านพาทของกษิดิสบ้าง รู้สึกดีจัง

เดาเนื้อเรื่องไม่ออกเลยว่าจะเป็นอย่างไร

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๒.๑ (๐๗/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 08-08-2010 08:54:35
หลงรักพลอตเรื่องนี้สุดๆ
รออ่านเสมอนะคะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๒.๑ (๐๗/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 08-08-2010 21:34:48
 :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๒.๑ (๐๗/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: pure_ka ที่ 09-08-2010 20:31:15
 :serius2:

แล้วจู่ๆ ติลาหายไปไหนหล่ะ  ปล่อยให้คนรอตั้งหลายวันแล้ว

สงสารพระเอกจังเลยค่ะ :L3:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๒.๑ (๐๗/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 10-08-2010 13:58:27
เข้ามาซบหน้ากับอกคุณดิส..อบอุ่นมากมาย
เข้ามาแอบหอมติลาตอนหลับ..โรคจิตมากมาย
เข้ามาล่ามโซ่ สมิธ ไทสัน ไม่ให้ออกมาวิ่งเล่นในฟิค..(ถ้าทำได้จะ)มีความสุขมากมาย
และเข้ามาเอาไฟลนก้นคุณเมศ..ให้เขียนตอนต่อไปแบบหวานมากมาย
สุดท้าย..
ดิชั้นก็ได้แต่พร่ำเพ้อเท่านั้น..
คุณเมศศศศศศศ  อยู่ไหนค๊าาาาาาาาาา
ดิชั้นคิดถึงงงงงงงงงงง (คุณดิส)
เป็นกำลังใจให้คุณเมศปั่นตอนใหม่มาเร็ว ๆ นะคะ
 o9  :กอด1:  :z2:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๒.๑ (๐๗/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 10-08-2010 14:43:38
แล้วมันจะสมหวังได้อย่างไร?
ต้องมีใครเสียสละข้ามเวลาไปอยู่กับอีกคนเหรอ?
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๒.๒ (๑๓/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 13-08-2010 00:09:23
ตอน ๑๒.๒


   
   ไตติลาคิดมาตลอด ว่าช่องว่างของเวลาร่วมห้าสิบปีนั้นเกิดขึ้นจากอะไร ทว่ามันเกินกว่าที่เขาจะคาดเดาได้ ด้วยหลักการที่อธิบายได้  อพาร์ทเม้นต์เจในส่วนห้องนั่งเล่น สว่างด้วยแสงไฟ  ทำให้ไตติลารีบก้าวขายาวๆ ไปตามทางเดินที่ทำจากกรวดก้อนเล็กๆ  ด้วยความรีบร้อนนั้น จะลื่นที่บันไดขั้นบนสุดของชั้นหนึ่ง มือทั้งสองข้างที่ยันกับพื้นตามสัญชาติญาณ จึงเป็นแผลถลอก และเลือดซึมน้อยๆ  ทว่าไตติลาไม่สนใจ เขารีบลุกขึ้นราวกับไม่เจ็บ ก่อนจะก้าวยาวๆต่อไปจนถึงประตูหน้าห้อง ตัวหนังสือสีทองบนบานประตู สะท้อนแสงจากไฟถนนด้านนอก ไตติลาไขประตูเปิดด้วยหัวใจระทึก

“กลับมาแล้วหรือ?” ไตติลายิ้มรับกว้างขวางกับเสียงที่มาจากหลังเคาท์เตอร์ครัว

“เช็คของเดือนนี้สอดไว้ใต้ประตูแล้วนะ” รอยยิ้มของไตติลาระเหยไปอย่างรวดเร็ว เพราะคนที่ทักเขานั้นไม่ใช่ใครที่รอคอย แต่เป็นรูมเมตของเขาเอง

“ขอบใจมาก วิทโตลิโอ้”

“เฮ้ เสื้อเลอะแน่ะ”รูมเมตของไตติลาว่าพลางชี้มาที่เสื้อสีอ่อนที่ไตติลาใส่วันนี้  มีรอยสีแดงคล้ำเปรอะ

“อ้อ หกล้มนิดหน่อยน่ะ”  ไตติลาว่า ก่อนจะเดินตรงไปที่ตู้ครัวของตนเอง หยิบแก้วน้ำรองน้ำดื่ม

“ใกล้สอบไฟนอลเหมือนกันสิ?” ไตติลายิ้มรับจางๆ เมื่อรูมเมตขอตัวกลับเข้าห้อง ไตติลาจึงรั้งไว้

“วิทโตลิโอ้รู้จักผู้ชายเอเชี่ยน สูงหน่อยๆที่ชื่อกษิดิสหรือเปล่า?” รูมเมตของไตติลานิ่งคิดอยู่อึดใจ

“ไม่นะ ไม่เคยรู้จักเลย”

“อย่างนั้นหรือ” ไตติลาจ่อมจนลงสู่ห้วงคิดตัวเองอีกครั้ง

   ไตติลาทิ้งกายลงนั่งที่ปลายเตียง อย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาพยายามเรียบเรียงสิ่งที่รับรู้จากสมองที่เหนื่อยล้าของตนเอง เขามีกระดาษเก่าหนึ่งใบที่เก่าจนกรอบเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย  มีพยานคนที่บอกว่า ไม่เคยรู้จักกษิดิส ทั้งที่เจ้าตัวว่าเป็นเพื่อนกัน  ที่สำคัญมีเอกสารระบุภาพ และปีที่เป็นอดีตนับไปจากปัจจุบันร่วมห้าสิบปี ไตติลาไม่เชื่อว่ากษิดิสจะเป็นคนขี้โกหก  ไตติลายืนเต็มความสูง  ตรงดิ่งไปเปิดตู้เสื้อผ้าฝั่งที่ใช้เก็บของ วันนี้เขาต้องรู้ให้ได้ว่าอะไรอยู่ในช่องที่เขาเคยเก็บกระดาษขึ้นมาได้ เขาออกแรงยกที่นอนเก่าขึ้น คลานไปตามผืนพรม ก่อนจะใช้มือถือส่องสว่างด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้าง ล้วงลงไปในซอกเล็กๆนั้น  ไตติลาได้กระดาษปึกบางๆออกมาหนึ่งปึก  ตัวกระดาษมีสภาพเดียวกับใบก่อนหน้า

“แบบบ้าน?” ไตติลาฉงน เมื่อคลี่กระดาษปึกนั้นออกมาทีละแผ่นอย่างเบามือยิ่ง ลายเส้นปากกาดำคุ้นตาคุ้นใจในกระดาษแผ่นไม่ใหญ่นักมีรายละเอียดของแบบ เหมือนอย่างที่ผู้วาดเคยพูดให้ไตติลาฟังพลางขีดเขียนลงในกระดาษ แม้ไตติลาจะอ่านแบบได้ไม่ปรุโปร่งอย่างผู้ชำนาญ แต่ก็พอเข้าใจ 

ไตติลายังจำดวงตาคู่นั้นได้ ในยามพูดถึงสิ่งที่ตัวเองรัก ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายน่าหลงใหลอย่างไร กระดาษแผ่นอื่นๆในปึกก็เป็นภาพลายเส้นของอาคารต่างๆที่มีสถาปัตกรรมโดดเด่น   ทว่าไม่มีแผ่นใดเลยที่พอเป็นเบาะแสได้ ไตติลาถอนหายใจ  ตัดสินใจตรึงภาพแบบบ้านหลังนั้นไว้กับบอร์ดของตนเอง ด้วยเกรงว่าหากพับแล้วคลี่ออกมาอีกครั้ง กระดาษจะขาดไปเสียก่อน   มือนวลนั้น รื้อบอร์ดที่ใช้หมุดยึดกระดาษหลายใบออก  ภาพๆหนึ่งจึงร่วงลงมา  ภาพที่เคยมีไตติลาและกษิดิส ชัดเจน กลายเป็นภาพที่เสียไปเกือบครึ่ง เนื่องจากภาพทางฝั่งกษิดิสเป็นสีขาวมาจากมุมภาพ ลามมาจนถึงดวงหน้าคมสันของกษิดิสทำให้เหลือเพียงเลือนลาง

“คุณดิส...”  ไตติลากำลังรอคอย รอให้กษิดิสเป็นผู้อธิบายให้ฟังว่า ช่องว่างของเวลาที่หายไปนี้ ควรจะเติมเตมอย่างไร



   จนคล้อยดึกแล้ว ไตติลายังคงรอคอยอย่างเงียบเชียบ ใจหนึ่งก็คิดเข้าข้างตนเองว่า ต่อให้ดึกแค่ไหนกษิดิสก็จะมา  ทว่าอีกใจหนึ่งกลับนึกกลัวว่า เมื่อกษิดิสมาแล้ว จะเริ่มพูดกันอย่างไร   ไตติลานอนขดบนเตียง พลางมองรูปภาพที่ครึ่งหนึ่งกลายเป็นสีขาว ด้วยความอับจนหนทางที่จะติดต่อกษิดิส ขบคิดสิ่งต่างที่ได้พบอย่างคนหมกมุ่น  ลางสังหรณ์บางอย่างเต้นเร้าอยู่ในอก ว่ามีเรื่องบางอย่างไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น  ไตติลาสะดุ้ง เมื่อโทรศัพท์มือถือของตน สั่นพลางส่งเสียงเพลง

“ว่าไงแหม่ม?”

“ติลา แหม่มจะชวนไปด้วยกันหน่อยวันพรุ่งนี้” ไตติลาซุกหน้าลงกับหมอน เขาไม่อยากจะออกจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว

“ไปไหน จะสอบแล้วนะแหม่ม ยังจะเที่ยวอีกหรอ?”เพื่อนสาวรีบหาเห ตุผลมาตอบ แต่ในหัวไตติลากลับไม่อยากรับรู้

“แกไปเหอะ พอดีเป็นตาแดงน่ะ” ไตติลาเลือกที่จะโกหก เพื่อนสาวยังซักไซ้ต่อไปอีก จนไตติลาชักเริ่มรำคาญอย่างไม่มีสาเหตุ

“หาหมอไหม?”

“ไม่ล่ะ จะอยู่บ้านจนกว่าจะหาย”  เพื่อนรักทั้งสองเงียบไป ไตติลาอึดอัดอยู่ในอก เหมือนมีความลับมากมายที่อยากจะระบายเพื่อให้คลายลงบ้าง

“แหม่ม แกว่าคนเราจะย้อนเวลาได้หรือเปล่า  แบบเดินทางย้อนเวลา หรือ เดินทางไปอนาคต”

“เฮ้ย ดูหนังมากไปหรือเปล่า?”

“ไม่สิ  เอาจริงๆ”

“มันมีแต่ในนิยายหรือหนังแหล่ะ”

“แล้วถ้าฉันเจอใครบางคนที่เขามาจากอดีตที่เวลาห่างกันห้าสิบปีล่ะ?”

“ติลา....แกเล่นยาหรือเปล่าเนี่ย?” แหม่มถามอย่างไม่แน่ใจ แม้ไตติลาจะเป็นเพื่อนที่ดี เป็นคนดีๆคนหนึ่งที่เธอเจอ แต่ไตติลาก็มีบางด้านที่เธอเองก็เข้าไม่ถึง

“นี่คิดได้แค่นี้หรือไง!” ไตติลาถามเสียงแข็งอย่างโกรธจัด

“ติลา ช่วงนี้เราเหมือนไม่ได้เป็นเพื่อนกันเลย” เพื่อนสาวพูดด้วยเสียงเศร้า  ไตติลาไม่อยากรับรู้  แค่ชีวิตเขาคนเดียวก็วุ่นจนเกินไปแล้ว

“ถ้าเป็นเพื่อนกันหมายถึงต้องตัวติดกันตลอด ถ้างั้น...อย่าดีกว่า” ปลายสายเงียบไปหลายอึดใจ

“ติลา เราเป็นเพื่อนกันนะ ทำไมต้องพูดแบบนี้”

“แหม่ม เราอยากอยู่เงียบๆ “

“เอาเลย! อยู่เงียบๆ ให้กลายเป็นคนไม่มีสังคม  เอาให้เต็มที่ไตติลา จะได้รู้เสียทีว่า ตัวเองไม่มีใครจะคบขนาดไหน!” นี่เป็นครั้งแรกที่แหม่มขึ้นเสียงใส่แบบนี้  ไตติลาเอง ก็โกรธเกินกว่าจะรับฟังและซึมซับอะไรจากใครได้อีก  เพื่อนรักสองคนที่แม้จะทะเลาะกันบ้าง แต่ครั้งนี้ คือรุนแรงที่สุด  จึงหมดเรื่องจะพูดกัน  ไตติลากดวางสายเหมือนคนไร้เยื่อใย ก่อนจะเห็นว่ามือตนเองทั้งสองข้างมีแผลที่ยังสดใหม่

“เจ็บ”




   ไตติลาพยายามรอคอยอย่างอดทน  ทว่าทุกวินาทีที่เวลาเดินผ่านไป เหมือนไฟแผดเผาหัวใจไตติลา  เขาเกลียดการรอคอย ยิ่งการรอคอยอย่างที่ไม่รู้ที่สุดสิ้นแล้วยิ่งเกลียดสุดบรรยาย จากวินาที เป็นนาที จากนาที เป็นชั่วโมง จนเป็นวัน จนสี่วันผ่านไปแล้ว ไตติลากำลังจะเป็นบ้า  โกรธ หงุดหงิดงุ่นง่าน สับสน คิดถึงและซึมเศร้า  ห้องทั้งห้องดูบีบแคบลงทุกขณะ จนไตติลาอึดอัด อยากจะหนีออกไป ทว่าอีกใจกลับเกรงว่าจะคลาดจากกษิดิส...คนที่ไตติลาคิดถึงสุดหัวใจ

“คุณดิส  ติลาจะเป็นบ้าอยู่แล้ว” ไตติลาเดินไปตามผืนพรมอย่างเลื่อนลอย  หลายวันมาแล้ว  ไตติลากวาดสายตาที่หล่อรื้นด้วยน้ำตาไปรอบห้องที่ว่างเปล่า ก่อนน้ำตาหยดแรกจะร่วงริน น้ำตาที่ไม่มีใครมองเห็น

“ติลา ติลาใช่ไหม?” เจ้าของชื่อรีบมองไปที่เงาร่างที่เคลื่อนไหวอยู่ที่หน้าต่างห้องครัว  ด้วยหัวใจหวัง  มือนวลรีบเช็ดน้ำตา ก่อนจะเปิดประตูด้วยความยินดียิ่งที่การรอคอยแสนทรมาน จบลงเสียที

“ติลา  เป็นอะไร? ทำไมถึงเป็นแบบนี้บอกพี่สิ”  รอยยิ้มบนดวงหน้าไตติลาระเหยหายราวหมอกควัน  ด้วยเพราะคนตรงหน้าไม่ใช่คนที่ตั้งตารอ  ไตติลาปิดประตูโดยไม่ฟังเสียงใดๆทั้งสิ้น ไม่สนใจว่าบานประตู หนีบแขนที่ยืนออกมาขวางไว้เต็มแรง 

“เจ็บ!  ไตติลาเธอเป็นบ้าอะไรเนี่ย!” คริษฐ์ตวาดเสียงดังจนไตติลาตกใจแลยอมปล่อยประตู

“ทำไมครับ ผมจะเป็นบ้าแล้วใครจะทำไม”เสียงที่เปร่งออกไปนั้น ราวกับไม่ใช่เสียงของตนเอง มันฟังดูแหบแห้ง และเย็นชา

“กับคนที่คุณทิ้งๆขว้างๆ คุณจะมาสนใจทำไม หรือว่าคุณนิทเช ก็ทิ้งคุณเหมือนขยะมาเหมือนกัน เอ๊ะ หรือคุณนิทเชจะจืดไปเสียแล้วจนถึงเวลาต้องหาใหม่เสียที” ไตติลายิ้มมุมปาก ราวกับได้รับชัยชนะ เมื่อเห็นอีกฝ่ายสีหน้าบิดเบี้ยว

“จะมากไปแล้วนะไตติลา  เธอจะเป็นบ้าอะไรก็เป็นไป  แต่อย่าพูดถึงนิทเชอย่างนั้น  เขาไม่เกี่ยวอะไรด้วย”

“แล้วผมเกี่ยวกับพวกคุณหรือ  คุณคริษฐ์เองไม่ใช่หรือที่เข้ามาทำใจดีกับผม เพียงเพราะต้องการเพื่อนแก้เหงา”
“แต่เธอก็ขี้เหงาพอให้ชั้นเล่นสนุกด้วยไม่ใช่หรือ” คำพูดนั้นทิ่มแทงเข้ากลางอกไตติลา  รสชาติของมันเจ็บแสบนัก

“ยังไม่ตายเสียก็ดีแล้ว เพื่อนเธอโทรมาขอร้องให้มาดูเธอหน่อย รู้ไว้เสียด้วย” คริษย์หุนหันเดินลงส้นเท้าหนักๆออกไปพร้อมกับเหวี่ยงประตูอพาร์ทเม้นต์เจปิดตาเหลังอย่างแรง

“หึหึหึ” ไตติลาหัวเราะออกมา พลางยกมือปิดหน้า น้ำตาที่ไร้ค่าหลั่งออกมาไม่ขาดสาย

ความสับสน และการรอคอยอันไร้ที่สุดสิ้น ทำให้ไตติลาเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ


โปรดติดตามตอนต่อไป


เดาว่าคนอ่านคงจะไม่ปลื้มเเน่ๆ  เมศวางเเผนไว้ว่า จะจบในสิบห้าตอน ปัจจุบันที่ลงบลอคไว้ ซัดไปตอนที่15เเล้วค่ะ ซึ่งอาจจะยืดไปอีกตอน เเล้วขึ้นภาคใหม่(ดีไหมคะ)  ซึ่งก็ เดาว่าคนอ่านไม่ปลื้มเเน่นอน 5555+

เเต่เอาน่า...เดี๋ยวเมศจะหาทางเเก้ให้(เเบบไหน???)นะคะ กร๊ากกกก


ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค๊า
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๒.๒ (๑๓/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 13-08-2010 09:13:42
ค่ะ  ไม่ปลื้มอย่างแรง  โดยเฉพาะคนที่ถูกขอร้องให้มา
มาเพื่อซ้ำเติมเป็นการเฉพาะ  สงสารติลามาก  ไม่ใช่เรื่องที่รอคุณดิสแต่เป็นเรื่องไอ่คุณคริสนี่แหละ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๒.๒ (๑๓/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 13-08-2010 20:14:33
โปรดหาอุปกรณ์เคาะหรือปรบมือประกอบจังหวะ 





รอชั้นรอเธออยู่ เเต่ไม่รู้เธออยู่หนใด
เธอจะมาเธอจะมาเมื่อไร....เธอจะมาเธอจะมาเมื่อไร
อัพนานเเล้วทำไมไม่มา(*ซ้ำ)


 :call:



เมนต์ได้อะไรได้ตามจิตศรัทธานะคะ ฮ่าๆ ไม่ได้บังคับ(เเต่อย่าเผลอหลับนะเดี๋ยวจะ inceptionซะเลย) :m20:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๒.๒ (๑๓/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 13-08-2010 20:49:12
บวกพี่เมศ
สงสารติลากับคุณดิษ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๒.๒ (๑๓/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: heavenly**yaoi ที่ 13-08-2010 23:13:28
เเล้วขึ้นภาคใหม่(ดีไหมคะ) ไรท์เตอร์ค่ะอันนี้ดีเยี่ยมมมมมม 
ซึ่งก็ เดาว่าคนอ่านไม่ปลื้มเเน่นอน 5555+   อันนี้ไม่จริงค่ะ

ตามติดผลงานอยู่นะคะ
ถึงจะเม้นน้อยไป
แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก
ระยะห่างตั้ง 50 แค่ 10 20 ปีก็ว่าไปอย่าง
แต่นี่มันครึ่งศตวรรษ
คริสต์นี่มันเลวจริงๆ
เฮ้อ อ่านตอนนี้แล้วกดดัน
แล้วก็จะดันๆๆๆๆ คนแต่งอย่าหายไป นานนนนนนนน
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๒.๒ (๑๓/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 14-08-2010 01:49:01
ชักจะเริ่มใจเสียแล้วค่ะ รูปคุณดิสขาวๆเลือนๆแบบนี้
สงสารติลาจังเลย

เป็นกำลังใจให้ค่ะ
ปล. แอบเซ็งคุณคริษฐ์เล็กน้อย  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๒.๒ (๑๓/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 14-08-2010 04:20:35
ไม่ได้อ่านมาจะเดือนนึง
มาอ่านต่อแล้วแทบจะร้องไห้สงสารทุกตัวละคร
เศร้าจังเลยไม่รู้จะเป็นยังไงต่อไป
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๒.๒ (๑๓/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 14-08-2010 17:49:49
เห็นใจติลานะ แต่ถ้ายังเป็นแบบนี้ได้ตายโดยไม่มีใครรู้แนๆ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๒.๒ (๑๓/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 14-08-2010 23:30:58
รอแบบหาที่สิ้นสุดไม่เจอนี้มันน่าอึดอัดเนอะ เครียดนะเนี่ย  :เฮ้อ:

ปล. ขอจบในภาคนี้เลยดีกว่าค่ะ ไหนๆ จะเศร้าก็ขอเศร้าภาคนี้ไปเลยแล้วกัน  :o12:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๒.๒ (๑๓/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 16-08-2010 13:23:54
อ่านตอนล่าสุดสงสารติลามากมาย..พี่ก็อยากให้ติลาเจอคุณดิสค่ะ(เพราะพี่หลงรักคุณดิสเหมือนที่ติลากำลังเป็นนี่ล่ะค่ะ  :o8:)
คุณคริษฐ์นี่ก็นะ โดนประตูงับนิดงับหน่อยก็โมโหไปได้555
คุณดิสคะ..ขอให้ได้มีโอกาสบอกติลานะคะ (แอบหอมแก้มเบา ๆ อ๊าาาา จริตเตลิดเปิดเปิง)
กอดดดดดคุณเมศแรง ๆ ดราม่าได้อีกนิดมั้ยคะ..สงสารตัวเอกจังเลยอ่ะ




ปล.  คุณเมศคะ..ปล.ของคุณเมศดิชั้นยอมรับได้ค่ะ  15  ตอนก็  15  ตอนค่ะ..แต่ขอให้คู่นี้เค้าได้เจอกันและมีโอกาสสานต่อความรักผ่านประตูเวลานะคะ
ปล.2 คุณเมศให้ดิชั้นน่ังรอคุณเมศแล้วร้องเพลงนี้จริง ๆ เหรอ?
 :jul3: :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๓.๑ (๒๐/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 20-08-2010 09:52:12
ตอน ๑๓

   ไตติลามองผ่านหน้าต่างในห้องนั่งเล่นออกไปยังโบสถ์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม  เสียงระฆังบอกเวลายามเช้าดังเหง่งหง่างวังวาลใส ปลอบประโลมหัวใจให้เย็นลงได้บ้าง  ไตติลารีดเค้นความอดทนทั้งหมดออกมา เพื่อสะกดความว้าวุ่นในอกนี้ให้สงบนิ่งลง   วันนี้เป็นวันที่ห้าแล้ว วันที่ห้าที่ไตติลาเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในห้องอย่างคนสิ้นไร้หนทาง  ทำได้เพียงเฝ้าสงสัยว่ากษิดิสอยู่ที่ไหน  สุขสบายดีหรือไม่  ไตติลาเดินเท้าเปล่าไปตามผืนพรม ที่เคยชอบ ทว่าหัวใจไตติลาเย็นชาเกินกว่าจะใส่ใจสิ่งใดๆได้อีก  ห้องนอนไตติลายังเหมือนเดิม มีแต่ความว่างเปล่า เปลี่ยวเหงา  และเงียบ เสียจนได้ยินเสียงน้ำหยดเบาๆจากห้องน้ำด้านใน

“ติลา!” ไตติลาตกตะลึงจนตัวแข็งค้าง  ปล่อยให้อ้อมกอดอบอุ่น ที่ไตติลาโหยหามาตอลดโอบล้อมตน

“ผมนึกว่าจะไม่ได้เจอติลา”  ไตติลาแรกคิดว่าเป็นฝัน  ทว่าดวงหน้าคุ้นใจ กับสัมผัสอบอุ่นนี้ ไตติลาแน่ใจว่าเป็นของจริง

“คุณดิส” ไตติลาเงยหน้ามองเจ้าของอ้อมกอดที่โอบล้อมตนด้วยดวงตาแสบร้อน  มือทั้งสองจิกกำเสื้อของอีกฝ่ายไว้แน่น

“คุณดิส เดินออกมาจาก...ห้องน้ำ?!” คนถามนั้นออกจะสับสน  กษิดิสมองด้วยแววตาที่สื่อประกายหลากหลาย ทั้งแสนรัก ทั้งโล่งใจ  พลางหัวเราะเบาๆ

“ใช่ครับ แล้วก็เจอติลายืนรอที่หน้าเตียง”ทั้งสองดื่มด่ำความอบอุ่นของอีกฝ่ายเงียบๆ

“อย่าร้องไห้เลย ในที่สุด เราก็ได้เจอกันแล้วนะ” น้ำเสียงอ่อนโยนนั้น อาบไล้ไปทั่วหัวใจไตติลา  เจ้าตัวจึงไม่อาจควบคุมน้ำตาตัวเองได้  มือแข็งแรงลูบศรีษะอย่างปลอบขวัญ

“คุณดิส นี่มันเกิดอะไรขึ้น เมตของผมบอกว่าไม่เคยรู้จักคุณ  และผมเจอชื่อคุณในหนังสือผลงานนักศึกษา ที่ระบุปี 1958....มันห่างจากปีที่ผมอยู่ตั้ง50กว่าปี คุณดิส ช่วยบอกหน่อยเถอะ นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมทุกอย่างถึงได้ผิดสับสนไปหมด”

“ติลาเชื่อเรื่องมิติเวลาไหม? เชื่อไหมว่า สถานที่บางที่ มิติเวลาเหลื่อมซ้อนบรรจบกัน”

“ในห้องน้ำ?”  กษิดิสหัวเราะเต็มเสียงเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน พลางว่า โธ่...เด็กน้อย

“ทั้งห้องอพาร์ทเม้นต์นี้เลยต่างหาก  ติลา...ลองสังเกตดูรอบๆให้ดีสิ”  ไตติลาสังเกตห้องนอนของตัวเอง ทว่าคราวนี้ห้องนี้กลับเป็นห้องที่คล้ายกับห้องของเขาเท่านั้น ด้วยเครื่องเรือนที่มีนับชิ้นได้

“ห้องคุณดิส?” เจ้าของห้องพยักหน้ารับ

“นี่ต้องเป็นความฝันแน่ๆ” ไตติลาไม่อยากจะเชื่อ  สิ่งที่เกิดขึ้นกับตนจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้

“ต่อให้เป็นความฝัน ก็เป็นฝันที่ดีใช่ไหม?”  ดวงตาที่ไตติลาปักใจรัก ทอดมาอย่างเว้าวอน รอคอยคำตอบ

“ครับ”  กษิดิสยิ้มรับ ก่อนจะจับมือนวลอย่างสุภาพ สัมผัสริมฝีปากลงที่ข้อมือด้านใน ผิวแผ่ว

“ติลาครับ  ติลาอาจไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เกิดกับเรานี้เป็นเรื่องจริง  แต่ผม อยากให้ติลารู้ไว้นะครับว่า” มือแข็งแรงคู่นั้น กอบกุมมือนวลของไตติลาให้แนบฝ่ามือลงกับอกข้างซ้าย นอกจากสัมผัสอุ่นๆแล้ว ยังสัมผัสได้ถึงหัวใจ ที่กำลังเต้นอยู่ในอกนั้น

“ความรู้สึกของผมนี้..เป็นเรื่องจริง” ไตติลามองสบกับแววตาเข้มแข็งคู่นั้น ที่ทอดมองอย่างจงรัก หนักแน่น ไตติลาอาจเคยได้ฟังคำบอกรักมามากมาย แต่นี้เป็นครั้งแรกที่ทำให้ลำคอของไตติลาตีบตันด้วยเพราะตื้นตัน

“ต...ติลาก็รักคุณดิส”

“ติลาสัญญาได้ไหม?ว่าจะ ต้องใช้ชีวิตต่อไปอย่างเข้มแข็ง แม้ว่าเราจะไม่ได้พบกันอีก”

“ไม่เอา ติลาจะอยู่กับคุณดิส” มือแข็งแรงนั้นเช็ดน้ำตาให้อ่อนโยนนัก  จนไตติลาต้องกอบกุมมือนั้นไว้ให้แนวดวงหน้าตน

“ความรักอย่างเดียวทำให้เราอยู่ด้วยกันไปตลอดไม่ได้หรอก....ความผูกพันต่างหาก ที่จะผูกใจเราไว้ด้วยกันเสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน  สัญญานะติลา” เมื่อเห็นกษิดิสเฝ้ารอคำตอบ ไตติลาจึงพยักหน้ารับ

   ริมฝีปากหยักสวยยกยิ้มจาง ไตติลาลอบเห็นร่องรอยแห่งความอาวรณ์ในดวงตาคู่นั้น  ก่อนจะหลับตาลงรับสัมผัสอุ่นหวานลงบนริมฝีปากตน  เนิ่นนาน อ้อยอิ่ง  ราวกับค่อยๆหลอมละลายร่างกายนี้ช้าๆ ไตติลาซวนเซยืนไม่อยู่ จึงทรุดกายลงนั่งปลายเตียง ร่างสูงนั้นจึงทรุดกายลงยืนเข่า  ก่อนจะมอบจุมพิตหวานซ่านนั้นอีกครั้ง  ไตติลาตอบรับอย่างเต็มใจ รอยจูบที่เคยอ่อนหวานจึงลุกโหมด้วยความร้อนเร่า

“แน่ใจหรือ?” กษิดิสถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่ากว่าทุกคราว ไตติลายิ้มที่มุมปากน้อยๆ คล้ายจะยั่วเย้า

“ผมไม่มีอะไรจะเสียหรอกครับ” เมื่อได้ยินดังนั้น กษิดิสจึงกระซิบหยอกล้อที่ข้างหู ทำให้ไตติลาหัวเราะพลางเอียงคอด้วยความจักกระจี้  ก่อนร่างสูงนั้น จะลุกยืนเต็มความสูง  ปลดกระดุมเสื้อที่สวมอยู่อย่างไม่เร่งร้อน  ผิวกายที่สีทองจางๆทำให้ไตติลาเผลอเม้มริมฝีปากโดยไม่รู้ ก่อนร่างนั้นจะก้มลงมอบจุมพิตร้อนแรงให้อีกครั้ง

   ไตติลารู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกแผดเผา ด้วยไฟรักเริงร้อน ผิวกายสัมผัสของเขาตอบสนองทุกความอ่อนโยนที่ๆมือแข็งแรงคู่นั้นไล้ผ่าน ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ เขาได้ยินเสียงตนเองครวญด้วยความรัญจวน  เสียงหอบหายใจของคนสองคนพร้อมกับไอระอุร้อน ไตติลารับรู้ได้ว่าเม็ดเหงื่ออุ่นร้อนหยาดหยดใส่หน้าตน  เห็นกล้ามเนื้อสมส่วนของใครอีกคนเกร็งเขม็งราวกับกำลังอดทน

“เรา...เหลือเวลาอีกเท่าไหร่  เราควบคุมมันไม่ได้เลย”  กษิดิสมองร่างในอ้อมแขน ดวงตาที่แม้จะฉาบไปด้วยแรงปรารถนา แต่กลับฉายประกายรวดร้าวเช่นกัน เขาส่ายหน้าเบาๆด้วยเพราะไม่รู้ ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นเช่นไร   ริมฝีปากหยักสวยคลี่ยิ้มจาง เฝ้าบอกถ้อยความปลอบขวัญผ่านดวงตา  ก่อนกษิดิสจะจูบลงที่ขมับนุ่มนวล ความอ่อนโยนนั้นห่อหุ้มหัวใจไตติลาไว้ให้รู้สึกปลอดภัย

   กษิดิสเฝ้าภาวนาให้เวลาหยุดเดินสักหนึ่งวัน หนึ่งชั่วโมง หรือเพียงหนึ่งนาที  ให้ได้อยู่กับผู้เป็นหัวใจรักนานขึ้นอีกนิด  ทั้งที่รู้สิ่งที่ภาวนาไว้นั้นไม่อาจเป็นจริง  เขาอาจอยากตีอกชกหัวตัวเองนักที่ไม่อาจห้ามใจตนเองให้ตอบสนองความร้อนเร่านี้ได้  ทว่าก็ไม่อาจต้านทานความรัญจวนใจที่อีกฝ่ายเสนอให้ได้อีกเช่นกัน  ภาพที่เขาเห็นตรงหน้านี้ คือภาพแห่งความปรารถนาโดยแท้ เรือนกายนวลสะอาดบิดเร้าตามจังหวะความปรารถนาที่เขาเป็นผู้ควบคุม พร้อมกับมอบสัมผัสบีบรัดผ่อนคลายให้ยิ่งเตลิดไปในห้วงปรารถนา  จวบจนความรุ่มร้อนระเหิดหาย  กษิดิสกอดไตติลาไว้แนบอก ความจริงที่หนีไม่พ้นปรากฏขึ้นในห้วงคิดอีกครั้ง เวลาของคนทั้งสองกำลังหมดลง เหมือนเม็ดทรายเม็ดสุดท้ายในนาฬิกาทรายที่กำลังร่วงสู่พื้นล่าง...การพลัดพรากน่ากลัวเสมอ

“คุณดิส  ติลากลัว”

“อย่ากลัวไปเลย ดิสจะอยู่กับติลาเสมอ ไม่ว่าที่ไหน ไม่ว่าเมื่อไหร่”กษิดิสกระซิบแผ่วเบา เพียงชั่วพริบตา อ้อมแขนที่เคยโอบล้อมราวกับจะปกป้อง ที่ไตติลายึดไว้เป็นหลัก พลันเหลือไว้เพียงความว่างเปล่า....มีเพียงไตติลาให้เดียวดาย


๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๓.๑ (๒๐/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 20-08-2010 12:00:59
อิอิ มาต่อแล้ว อะจึ๊ก อะจึ๊ก
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๓.๑ (๒๐/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 20-08-2010 21:31:59
เข้ามาปรบมือประกอบจังหวะ o18
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๓.๑ (๒๐/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 20-08-2010 21:41:00
เศร้าอ่าาาาาาาาาาาา แล้วมิติมันเหลื่อมกันยังไงอ่า

มีกระจกแบบทวิภพก็ไม่ใช่ >.<
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๓.๑ (๒๐/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 20-08-2010 23:58:41
โห แล้วแบบนี้จะได้เจอกันอีกมั้ย ติลาต้องอยู่คนเดียวตลอดไปจริงๆ เหรอ  :z3:
แค่คิดถึงตอนจบก็เศร้าล่วงหน้าไปเรียบร้อยแล้วเรา  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๓.๑ (๒๐/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 21-08-2010 22:55:02
หึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึ

เมศไม่ใจร้าย(มาก) หรอกคะ หึหึหึหึ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๓.๑ (๒๐/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 21-08-2010 22:57:45
^
จิ้มบวกพี่เมศ
ขอแบบใจดีบ้างได้มั้ยค๊า
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๓.๒ (๒๓/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 23-08-2010 22:50:51
ตอน ๑๓.๒


หากเปรียบไตติลาเป็นเรือน้อยหนึ่งลำละก็ เรือน้อยลำนี้เห็นจะไร้ซึ่งเข็มทิศ ถึงได้หลงทางไปแสนไกล  ไตติลาในยามนี้เป็นเช่นนั้น ชีวิตที่ไร้ซึ่งกษิดิส ช่างหลักลอย ไตติลาไม่ได้ฟูมฟายร้องไห้ดั่งคนเสียสติอย่าเมื่อก่อนหน้า เพราะรับปากสัญญาว่าจะอยู่อย่างเข้มแข็ง การอยู่อย่างเข้มแข็งของกษิดิสคืออะไรหนอ? ไตติลาได้แต่เฝ้าคำนึงคิดหาคำตอบ ทว่าสำหรับเขาแล้ว การอยู่อย่างเข้มแข็ง คือกลับไปใช้ชีวิตปรกติ ทั้งที่ในอกนี้กลวงเปล่า

“เฮ้  อาจารย์เริ่มสอนแล้วนะ”  ไตติลากระพริบตาถี่ๆขับไล่ละอองน้ำในตา  ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามบังคับให้ตนเองยิ้มให้เพื่อนร่วมชั้นเรียน

“เป็นอะไรหรือเปล่า?” สมิท  ไทสัน กระซิบถามทอดสายตามองมาอย่างเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรหรอก”

“ช่วงนี้นายเหม่อๆนะ เหมือนคนอกหัก  ไปถูกสาวที่ไหนหักอกมาล่ะ?”  ไตติลาฝืนยิ้มกับคำถามเชิงหยอกล้อนั้น  ทั้งที่ดวงตาที่เคยมีคนชมว่าสวยนัก ไม่อาจซ่อนร่องรอยแห่งความเศร้าสร้อยไว้ได้

“นิดหน่อยน่ะ”  ไตติลาตอบอย่างขอไปที ก่อนจะบังคับตนเอง ให้ตั้งใจเรียน ระหว่าง สมิท ไทสันและไตติลาจึงไม่ได้พูดกันอีก

“แน่ใจหรือ ว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ  ถ้าไม่ไหวจะกลับไปพักก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวผมหาข้อมูลเพิ่มเอง” ไตติลาที่เงยหน้าขึ้นมองคนถาม สมิท ไทสัน ถามด้วยสีหน้าจริงจัง ไตติลาคิดทบทวน วันนี้หลังเลิกเรียนแต่เดิมนัดไว้ว่าจะไปหาข้อมูลเพิ่มเติมที่ห้องสมุดเก่าแก่นั้น

“แน่ใจสิ” ไตติลาแน่ใจ ต่อให้ต้องคลานไป วันนี้เขาก็จะไปหาข้อมูลของกษิดิสให้ได้  อย่างน้อย ให้ได้ดูหนังสือเล่มนั้นอีกครั้งก็ยังดี

“หน้าตานายดูไม่สบายเลย” ไตติลาลูบหน้าอย่างอ่อนเพลีย สองสัปดาห์มานี้ เขาแทบไม่พักผ่อนหรือนอนหลับ ด้วยเพราะใจหวังลึกๆว่า กษิดิสอาจจะมาหา  ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าช่างยากเย็น

“ไม่ค่อยได้นอนน่ะ”

“ขับรถไหวแน่หรือ ให้ไปส่งบ้านไหม?”

“อย่าเลย...” ไตติลาหลับตาลงรู้สึกราวกับสมองกำลังเผาไหม้อย่างช้าๆ

“ทำงานกันก่อนเถอะ”


   ห้องสมุดที่ไตติลาเคยชื่นชมถึงความสง่างาม ทว่าไตติลาวันนี้กลับเดินผ่านทุกสิ่งไปโดยไม่เหลียวแล มีแต่หัวใจที่มุ่งมั่นที่จะค้นหา  หาสิ่งที่ตนเองก็ไม่แน่ใจว่ามีตัวตนในห้วงเวลาของเขาหรือไม่  ไตติลารู้เพียงเขาต้องการอะไรก็ได้ ที่เป็นหลักฐานว่า กษิดิส ไม่ใช่ ‘ความฝัน’ ให้เห็นกับตาอีกครั้ง  ไตติลาหันไปบอกคนมาด้วยกันเหมือนอย่างคราวก่อน ก่อนจะย่ำเท้ามุ่งตรงไปยังชั้นบนของห้องสมุด   ลองค้นหาจากฐานข้อมูลหอสมุดแห่งนั้นทว่าไม่พบ ลองสอบถามบรรณารักษ์ กลับกลายเป็นว่า  หนังสือที่ไตติลาต้องการไม่เคยปรากฏอยู่ในห้องสมุดนี้

   ไตติลาผิดหวัง ผิดหวังซ้ำๆซากๆอย่างนั้นมาสองสัปดาห์ กษิดิสดูห่างไกลเกินกว่าที่ไตติลาจะเอื้อมมือคว้าถึงอีกต่อไป  หรือกษิดิสจะเป็นเพียงความฝันที่ไตติลาสร้างขึ้น  แต่ทุกอย่างก็ดูแจ่มชัดสมจริงเกินกว่าจะเป็นฝันไตติลานึกค้าน  ความหวังที่เคยมีริบหรี่ลงอีกจนแทบดับมอด    ดวงตาที่กษิดิสกระซิบชมที่ข้างหู  กวาดมองไปรอบโถงห้องสมุดอันเงียบสงบนั้นด้วยหัวใจหนาวเยือก  กษิดิส ไม่อยู่ที่ไหนๆเลย  ความจริงข้อนี้กำลังทิ่มแทงให้เจ็บปวดช้าๆ  น้ำหนักของความผิดหวัง หนักพอที่จะทำให้ไตติลาเจ็บชา เขาแบกร่างที่กลวงเปล่าของตนเอง ลงบันไดมาอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง  ในหูได้ยินเสียงรอบกายดังสะท้อนในหัวทว่าจับศัพท์ใดไม่ได้  เห็นแสงสีต่างๆรอบกายเป็นเพียงเส้นแสงที่ให้ความสว่างไสวใดๆไม่ได้เช่นกัน มือนวลเกาะยืดราวบันไดไว้แน่น  เหมือนโลกทั้งใบกำลังจะถล่มลงมา  ทั้งสั่นคลอนไม่มั่นคง  และกึ่งจริงกึ่งฝันจนยากจะเชื่อ

“ติลา!” ชั่ววินาทีนั้น ไตติลาคิดไปว่า ตนได้ ‘ความฝัน’ มากอดไว้แนบอก

๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓
   

   ไตติลาลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งด้วยสมองที่มึนชา ก่อนที่จะเริ่มระลึกได้ว่า กำลังนอนอยู่บนเตียงของตนเอง  ในห้องของไตติลายังคงเหมือนเดิม ไม่ได้แปลเป็นห้องที่มีเครื่องเรือนน้อยชิ้นอย่างเมื่อครั้งนั้น ความผิดหวังแล่นริ้วขึ้นมาอีกครั้ง กระบอกตาร้อนผ่านทว่ากลับไม่มีน้ำตาหยาดหยด ขาที่กล้ามเนื้ออุทธรณ์ด้วยอาการร้าวระบม ทำให้ไตติลาหย่อนขาลงข้างเตียง ค่อยลุกขึ้นทรงตัว ทั้งที่ผืนใต้เท้าไตติลายังไม่มั่นคงเท่าใดนัก  มือนวลไล้เกาะไปตามกำแพง ที่สุดปลายทางเดินอันแป็นห้องครัวและห้องนั่งเล่น มีแสงไฟสว่าง พร้อมกับเสียงกระทบกันของโลหะ  หัวใจไตติลาเต้นด้วยความหวังที่สว่างวาบขึ้นอีกครั้ง

“เฮ้ย ลุกมาทำไม!?”  ร่างโปร่งบางนั้นละมือกับงานครัวตรงมาพยุงไตติลาให้นั่งลงบนโฟซาเก่าๆในส่วนของห้องนั่งเล่น

“ไอ้แหม่ม”  ไตติลาเรียกเพื่อนรักด้วยเสียงสั่นเครือ พลางจิกเสื้อเพื่อนสาวไว้แน่น

“ปวดหัวหรือเปล่า?  เอายาไหม?” ไตติลาส่ายหน้าเบาๆ  เขามองหน้าเพื่อนสนิทที่สุดของเขา  ใช้สติไตร่ตรองอย่างเงียบเชียบ

“ไอ้แหม่ม ติลาขอโทษ”  แหม่มถอนหายใจแผ่วเบา

“รู้ว่าผิดก็ดีแล้ว ฉันก็ขอโทษที่พูดไม่ดี”    แหม่มอาจจะเคยโกรธไตติลาที่ให้คุณค่ากับมิตรภาพของเธอต่ำไป  อาจจะหัวเสีย ที่ไตติลามีโลกส่วนตัวมากเสียจนเธอคิดว่าไตติลาจะตัดขาดจากเธอ  ทว่า เมื่อเธอได้เห็นไตติลาวันนี้  ที่สมิท ไทสันอุ้มกลับมาด้วย  ติลาเพื่อนรักที่หน้าซีดโทรม และร่างกายผ่ายผอมไปกว่าเดิมทำให้หัวใจเธออ่อนยวบลง

“หิวไหม? วันนี้ทำกับข้าวให้พิเศษเลยนะเนี่ย”

“กินได้แน่หรอ?”  แหม่มมองค้อน ถึงกระนั้นก็ต้องยอมรับว่า ฝีมือการทำอาหารของเธอสู้ไตติลาไม่ได้เลย

“ย่ะ แค่พอยาไส้ไปพลางๆก่อนสิยะ”

   การมีเพื่อนอยู่เคียงข้างทำให้วันเวลาของไตติลาเดินผ่านได้รวดเร็วขึ้น  บรรเทาความเจ็บปวดในอกลงได้บ้าง   เพราะอย่างน้อย ไตติลาก็ไม่ได้ตัวคนเดียว ไม่ได้ถูกทิ้งให้เงียบเหงาเดียวดาย  ไม่ถูกทำให้ทุกข์ทนด้วยหัวใจห่วงหาของตนเอง ที่คอยแต่จะไล่ตามเงาฝัน อย่างเดาสุ่มทิศทาง 

“สมิทอุตส่าห์อุ้มแกมาส่ง โทรตามฉันใหญ่เลยว่าแกเป็นลม”

“แกก็เลยรีบมา?”

“แน่สิยะ ฉันไม่ได้ใจยักษ์ใจมาร จะได้ไม่เหลียวแล”  ไตติลาฟังแล้วจุดยิ้มที่มุมปาก

“ขอบใจนะ”  แหม่มยิ้มรับน้อยๆเช่นกัน

“จริงๆ เขาก็เป็นคนดีนะ  หัวดี หน้าตาดีอีกต่างหาก”

“จีบเขาสิ” ไตติลายุยง

“แหม ก็อยากหรอก  แต่เดี๋ยวตัวจริงจะเอาตาย!” แหม่มพูดถึงแฟนหนุ่มของตัวเอง

“แหมคิดดัง เดี๋ยวมาได้ยินเก๊าะงานเข้า”  ทั้งสองหัวเราะให้กับความคิดนี้

“อย่ายุใครให้เราเลย แหม่ม  เราเหนื่อยแล้ว” ไ ตติลาทอดสายตามอง โต๊ะอาหารของตัวเอง ที่ครั้งหนึ่งเคยมีใครอีกคนร่วมโต๊ะ  ไตติลายังจำรอยยิ้ม และดวงตาคู่นั้นได้  จำรสมืออาหารที่ถูกปาก  เสียงหัวเราะทุ้มต่ำนั้นได้แม่นยำนัก

“กับคุณคริษฐ์ล้มเหลวหรอ?” แหม่มมองมาอย่างใคร่รู้  ไตติลากรอกตาเบาๆ ก่อนจะเน้นเสียง

“มาก”

“สงสัยต้องอยู่เป็นโสดไปตลอดเสียละมั้ง” ไตติลาไม่ได้ตอบกระไร เพียงแต่หัวเราะที่คล้ายกับจะถอนใจ

๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓

   ชีวิตไตติลาเกือบจะกลับเป็นปรกติทุกอย่างแล้ว ไตติลากลับไปเรียนหนังสืออย่างตั้งใจจนสอบปลายภาคเสร็จสิ้น  กลับไปทำงานเก็บเงินส่งตัวเองต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ทว่ายามใดที่เดินเข้าไปในฝูงชน ไตติลาห้ามตัวเองไม่ได้ที่จะเหลียวหา  ‘กษิดิส’ในความคิดไตติลา เริ่มเป็นความฝันมากกว่าความจริง  นี่เองอาจทำให้ไตติลามีนิสัยประหลาดเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง  เพราะไตติลาชอบดูข่าวต่างประเทศเป็นพิเศษ  ด้วยความหวังอย่างเพ้อฝันว่า บางที คนที่หัวใจไตติลาเหลียวหานั้น อาจอยู่ที่มุมใดของโลกใบนี้  อาจมีตัวตนอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน  ไตติลามักหยุดยืนดูแบบบ้านบนกระดาษเก่าคร่ำนั้นครั้งละนานๆก่อนจะเข้านอน  นานพอให้จดจำรายละเอียดในกระดาษแผ่นนั้นได้ถี่ถ้วน



   การสอบปลายภาคผ่านไปแล้ว ไตติลากลับมาจากทำงาน  อาบน้ำค่อนข้างเย็น เนื่องจากอากาศที่นี่ร้อนมากราวกับแดดประเทศไทย ในฤดูร้อน พลางคิดทบทวนกับการเรียนในเทอมต่อๆไป  ซึ่งเขาตัดสินใจจะหยุดเรียนสักหนึ่งภาคเรียน  ด้วยเพราะรู้สึกเหนื่อยล้า  และคิดถึงบ้านที่มากขึ้นทุกที  เสียงออดหน้าประตูอพาร์ทเม้นต์เจดังขึ้น ไตติลาขมวดคิ้วพลางมองนาฬิกา  อีกไม่นานก็จะเข้าสู่วันใหม่



   ไตติลาเปิดประตูห้องด้วยเพราะคิดว่าอาจจะเป็นรูมเมตที่เมาจนไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้จนหากุญแจเข้าห้องไม่เจอ อย่างที่เขาพอจะเคยๆเจอมาบ้างกับรูมเมตคนก่อนๆ แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูนั้น ห่างไกลจากรูมเมตของเขาอยู่มากนัก  ร่างนั้นไม่พูดอะไรกับไตติลา แต่กลับยื่นกระดาษที่ถูกพับทบไว้ให้กระดาษขาวนั้นให้สัมผัสเป็นปึกหนาให้  ไตติลารับมาอย่างงงงัน แล้วคลี่ออกดูด้วยท่าทางลังเล  ไตติลากวาดสายตา มองสิ่งที่อยู่ในกระดาษใหม่ขาวนี้ ด้วยดวงตาที่รื้นน้ำตาขึ้นทุกที  ก่อนจะมองสบตาผู้ที่หยิบยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้


“ไตติลา  คุณจะกลับเมืองไทยกับผมได้หรือเปล่า?” สมิท ไทสัน พูดออกมาอย่างหนักแน่นด้วยภาษาที่คนไทยเข้าใจกันด้วยสำเนียงชัดเจนราวกับเจ้าของภาษา   ไตติลาทำได้เพียงทอดมองเจ้าของคำถามนั้นอย่างสับสนด้วยดวงตารื้นน้ำตา



โปรดติดตามตอนต่อไป


ลืม!

มัวเเต่ไปโยนโบลิ่ง  เเหม....ปวดเเขน :laugh:

ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค๊า
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๓.๒ (๒๓/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 23-08-2010 22:57:47
อาไรกันเนี่ยยยยยยยย อยากอ่านต่อค๊า >.<
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๓.๒ (๒๓/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 24-08-2010 03:37:09
งะ แลดูน่ากลัวมันมีความหมายอะไรแฝงอยู่ในกระดาษปึกนั้นนะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๓.๒ (๒๓/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: aojroonra ที่ 24-08-2010 09:15:31
อ๊ากกกกก เค้าคือใครหนอ เค้ามาจากไหนนนนน..
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๓.๒ (๒๓/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 24-08-2010 10:17:51
เม้นท์ทีเดียวสองตอนรวด!!
ตอนที่แล้ว..ติลาจ๋าาาพี่ทั้งสงสารและอิจฉาในคราวเดียวกัน 
อิจฉาที่ผ่านกระบวนการวมร่างกับคุณดิส (ของพี่)ไปแล้ว 
สงสารที่ยิ่งโหยหาและรอคอยยิ่งกว่าเดิม..แต่คุณดิส(ของพี่)น่าจะเป็นยิ่งกว่าติลาหลายเท่านัก
ตอนล่าสุด..ทุกอย่างกำลังจะถึงจุดไคลแม็กซ์ใช่มั้ยคะคุณเมศ?
ดิชั้นจะเตรียมใจรับมือกับตอนจบในแบบของคุณเมศนะคะ
ดิชั้นชอบงานของคุณจริง ๆ ค่ะ..อ่านแล้วมันเหงาได้ถึงขั้วจริง ๆ
จิ้มบวกขอบคุณและเป็นกำลังใจให้นะคะ..หวังว่าจะเป็น  1  เม้นท์ที่ทำให้คุณเมศมีกำลังใจในการเล่าเรื่องค่ะ
 :pig4: :กอด1:


ปล.ไม่ได้หายไปไหนนะคะ..ติดอบรมและมีงานเข้าน่ะค่ะ  แต่ตอนจบไม่อยากใช้อีโมนี้นะคะ  :m15: (ดิชั้นกดดันคุณเมศรึเปล่าหว่า555)
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๓.๒ (๒๓/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 24-08-2010 10:31:45
สงสารไตติลา
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๓.๒ (๒๓/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 24-08-2010 14:13:57
ีที่ลืมบ่อยๆ ก็ไม่ได้น้อยใจอะไรนะคะ

เเต่ว่าเมศงานเข้าค่ะ ฮ่าๆๆ  ซีเนียร์โปรเจค ค่อนข้างวุ่นๆ

เเต่ก็มาเช็คคอมเม้นต์บ่อยค่ะ


ส่วนตอนต่อไป หรือจะจบเเบบไหน 







หึหึหึหึหึหึหึหึ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๓.๒ (๒๓/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 24-08-2010 14:37:58
แบบบ้านแหงๆ สงสัยสมิทต้องเกี่ยวดองกับดิสแน่ๆ เป็นหลานอะเปล่า
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๓.๒ (๒๓/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: heavenly**yaoi ที่ 24-08-2010 17:36:56
ทำไมชีวิตของไตติลามีแต่คนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป น่าสงสาร
ตกลง ไม่ใช่กษิดิสหรอที่เป็นพระเอก?
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๓.๒ (๒๓/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 27-08-2010 11:45:04
บอกไปสิว่า กลับ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๓.๒ (๒๓/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 28-08-2010 18:46:54
กรี๊ดดดดดดด อยากอ่านต่อแล้วค่ะ สมิท ต้องรู้อะไแน่ๆๆเลย  :z3:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๓.๒ (๒๓/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 30-08-2010 01:19:11
สงสัยตอนนี้กำลังอยู่บนเครื่องบิน เงียบไปเลย
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๔.๑ (๓๐/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 30-08-2010 18:53:37
 ตอน ๑๔.๑

   กว่าสองสัปดาห์หลังจากวันนั้น วันที่สมิท ไทสัน มาพร้อมกับกระดาษแผ่นนั้น  กระดาษขาวสะอาดแทบจะไม่สิ้นกลิ่นใหม่  กลับมีลายเส้นเจนตาขีดวาดอยู่บนนั้น ทุกรายละเอียดใหญ่น้อยในแบบร่าง ถอดมาจากกระดาษเก่าคร่ำที่ไตติลาทำได้แต่เพียงเฝ้าดู ให้คิดถึงเจ้าของผลงานที่ได้ร่างไว้ ณ เวลาหนึ่งในอดีตอันห่างไกล  ทีมุมหนึ่งของกระดาษขาวสะอาดนั้น มีลายมือที่ไตติลาจำได้ขึ้นใจ เขียนข้อความเพียงสั้นๆ  ‘ระลึกถึง...ไตติลา’ พร้อมลงชื่อ ‘กษิดิส’ และวันที่ ย้อนหลังไปสองเดือน ในปีเดียวกันนี้!

“ไตติลา  คุณจะกลับเมืองไทยกับผมได้หรือเปล่า?”  ไตติลาจำได้แม่นนัก ว่าได้ใช้ดวงตารื้นน้ำตามองเจ้าของคำถามอย่างไร

“คุณอาจจะไม่เชื่อ  แต่กษิดิสของคุณ ยังใช้ชีวิตร่วมเวลากับเราอยู่”  ไตติลายกสองมือขึ้นปิดหน้า  รู้สึกเหมือนตนเอง ตกลงสู่ก้นหุบเหวแห่งอารมณ์อ่อนไหว ดั่งเช่นวันนั้น วันที่พบกษิดิสเป็นครั้งสุดท้าย

“อย่ามาล้อเล่นนะ!” อย่าเอาหัวใจใครมาล้อเล่น เพราะมันเจ็บปวดเกินกว่าไตติลาคนนี้จะรับไหว   มือแข็งแรงสองข้าง บีบไหล่ไตติลาจนรู้สึกเจ็บ ราวกับบังคับให้ไตติลาเงยหน้าขึ้นมอง

“ผม...ไม่ได้ล้อเล่น” ดวงตาของคนที่ยืนยันหนักแน่น มีน้ำหนักเหมือนกับน้ำเสียงของเขา  ความหวังเล็กๆของไตติลาถูกเติมเชื้อไฟขึ้นในคราวนี้เอง


   ไตติลามองออกไปทางหน้าต่างเครื่องบิน ลำตัวของเครื่องสั่นสะเทือนตามแรงเสียดทานของอากาศ ขณะเหินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า  เหลือเพียงภาพแสงไฟนับแสน ค่อยๆหรี่เล็กจนลับสายตา  ในหัวไตติลากำลังเค้นหาคำตอบมาให้ล้านคำถามที่เกิดขึ้นในใจ  ทว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่ไตติลาระลึกได้ในเวลานี้คือ ‘กษิดิส ยังคงมีชีวิตอยู่’  อยู่ที่ไหนสักแห่งบนแผ่นดินเกิดของเขาเอง 

“นอนเสียก่อนไหม? ยังอีกเป็นสิบชั่วโมง” สมิท ไทสันกระซิบถามแผ่วเบา ด้วยภาษาไทยที่ชัดเจนเช่นเจ้าของภาษา

“นี่ไม่ใช่เรื่องล้อกันเล่นแน่ๆใช่ไหม?”

“ครับ”  มือแข็งแรงของคนที่ยืนยันแน่นหนัก ยื่นยาแก้แพ้ให้ไตติลาหนึ่งแผง

“ทานเสีย จะได้หลับ” ไตติลา รับมาแกะพร้อมกับที่คนนั่งข้างกายขอน้ำเปล่ามาให้  ไตติลากินยาอย่างว่าง่าย เอนหลังหลับตา

“คุณชื่อไทยว่าอะไรนะ?”  ไตติลาถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงชัดว่า ยาเริ่มออกฤทธิ์ของมันอย่างเงียบเชียบแล้ว  คนฟังจึงยิ้มบางกับตนเอง

“สมิทธิ์ ที่แปลว่าสมบูรณ์พร้อมครับ สมิทธิ์   ไทสรรค์  เหมือนกับ กษิดิส ไทสรรค์”  ไตติลาพยักหน้ารับเงียบๆ ก่อนเข้าสู่ห้วงนิทรา

   สมิทธิ์มองเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งข้างกายอย่างพิจารณาเงียบๆ   ก่อนจะใช้มือค่อยๆเอนศรีษะอันปกคลุมด้วยเส้นผมดกหนา ให้เอนพิงไหล่แกร่งของตนอย่างนุ่มนวล ด้วยเกรงว่าจะทำให้เจ้าตัวหลุดจากห้วงฝัน ก่อนที่ชายหนุ่มจะถอนหายใจแผ่วเบา

‘ ใครจะเชื่อ ว่าอยู่ๆ คนที่เคยรู้จักแต่ในนิทานก่อนนอนที่ปู่เคยเล่าสมัยเด็ก จะมีตัวตนอยู่จริงๆ’ สมิทธิ์ยิ้มขันกับตนเอง  ไตติลาเคยเป็นแต่เพียงชื่อของคนในนิทานมานานนับเป็นสิบๆปี จวบจนวันหนึ่ง ที่เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขาเองมีชื่อเดียวกัน  ทำให้เขากลับไปคิดทบทวนความทรงจำดูเสียใหม่

“ปู่จำได้ไหม? เรื่องนิทานที่ปู่เคยเล่า เกี่ยวกับคนชื่อไตติลา?”  ครั้งหนึ่ง เมื่อเขาอดรนทนไม่ไหว จึงต้องเอ่ยปากกับคนที่เป็นผู้เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง

“จำได้สิ” เสียงที่ปลายสาย แม้จะแหบแห้งไปตามวัย ทว่ามีเค้ารื่นรมย์

“ผมว่า  ผมเจอตัวเขาแล้วล่ะ”  สมิทธิ์ยิ้มกับตนเองอีกครั้ง  ไตติลาที่เขาพบเห็น มีลักษณะท่าทางถอดแบบมาจากที่ปู่ของเขาเล่า ไม่มีผิดเพี้ยน ดวงตาได้รูปเป็นประกาย  จมูกรั้นๆ และริมฝีปากชวนมอง สมิทธิ์ยังจำสิ่งที่ปู่ของเขาสำทับได้แม่นยำ

“ไตติลา น่าเอ็นดูมากเลยใช่ไหม?” แค่เพียงนึกถึงคำตอบ สมิทธิ์ก็ไม่อาจซ่อนรอยยิ้มไว้ได้

๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔


   เมื่อไตติลาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ห้องโดยสารดับไฟสลัว  และเงียบเชียบมีเพียงเสียงจากภายนอกเท่านั้น  ไตติลามองคนที่นั่งข้างกันที่ศีรษะเอนพิงพนัก พร้อมกับดวงตาหลับสนิท พลางพิจารณาดวงหน้านั้น ไตติลาไม่อยากจะเชื่อ จากปากคำของสมิทธิ์ ว่าชายหนุ่มเป็นหลานชายแท้ๆของคุณดิส  รูปร่าง โครงหน้าดูอย่างไรก็ไม่คล้ายเลยสักนิด อาจเป็นเพราะสายเลือดตะวันตก กลบบังความคมสันอย่างไทยแท้เช่นคุณดิสไปเสียมิดชิด

“มองนานๆ ผมจะคิดค่ามองนะครับ” ไตติลารีบเบือนสายตาหนี

“ผมแค่กำลังคิดว่า ทำไมถึงไม่นึกเอะใจเลย ทั้งที่เราทำงานกลุ่มส่งด้วยกันมาก็หลายหน” สมิทธิ์หัวเราะเบาๆ  เขาหันมองคนข้างกายที่ทำเมินมองออกไปนอกหน้าต่าง  ผิวละเอียดนวลบริเวณต้นคอที่โผล่พ้นฮู้ดดี้ตัวเก่งที่ไตติลาสวม เห็นรำไรอยู่ในความสลัว

“เพราะคุณไม่ยอมพิมพ์ปกรายงานส่งน่ะสิ” สมิทธิ์พูดพลางหัวเราะเบาๆ   ไตติลาไม่ชอบงานจัดหน้ากระดาษ เพราะเป็นงานละเอียด ไตติลาซึ่งเป็นคนค่อนข้างใจร้อนคิดเร็วทำเร็ว ไม่ใคร่ชอบใจนัก งานจึงตกมาอยู่ที่เขา

“นี่...ที่คุณบอกว่ารู้จักผมมานาน มันนานแค่ไหน?”

“ตั้งแต่ผมสักหกเจ็ดขวบได้ละมั้ง” ไตติลาหันมามองคนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบนั้นอย่างเหลือเชื่อ

“ผมรู้ ว่ามันฟังดูเหลือเชื่อ แต่เรื่องของคุณมันก็เหลือจะเชื่อเหมือนกันล่ะน่า” ไตติลาฟังแล้วขมวดคิ้วริมฝีปากนั้นเม้มแน่นเป็นเส้นตรง

“ปู่เล่าให้ฟังเป็นนิทานก่อนนอน  เกี่ยวกับชายคนหนึ่งกับคนรัก ที่เวลาบิดเบือนให้พวกเขามาพบกัน....และคนรักคนนั้น มีชื่อว่า ‘ไตติลา’”  ดวงตาที่มองสบกับไตติลานั้นทำให้เขานึกกลัว

“อย่ามองด้วยสายตาอย่างนั้นได้ไหม”  สมิทธิ์เหมือนคนหลุดจากภวังค์  ชายหนุ่มก้มหน้าลง ทั้งคู่ต่างเงียบงันด้วยเพราะความรู้สึกกระอักกระอ่วนเจือจางแขวนลอยในอากาศ

“แล้วคุณรู้ได้ยังไง ว่าคนในนิทานคนนั้น คือผมกับปู่ของคุณ”

“ทีแรกท่านไม่ได้บอก แต่พอโตขึ้นมาอีกหน่อย ผมก็รับรู้ได้ว่า ทุกรายละเอียดที่ท่านเล่า ชี้มาที่ตัวท่านทั้งนั้น  ส่วนรายละเอียดของคนที่ชื่อไตติลา ท่านเล่าไว้ละเอียดยิบจนผมยิ่งกว่าตาเห็น ทั้งท่วงท่าการเดิน วิธีพูด หรือแม้แต่นิสัยติดตัว...” ไตติลาเม้มริมฝีปากอีกครั้ง ทำให้ดวงหน้าดูกึ่งยิ้มกึ่งบึ้งในความมืดสลัว

“ชอบเม้มปาก เวลาใช้ความคิด ขัดใจ หรือแม้แต่ซ่อนรอยยิ้ม” ดวงตาของคนพูดเป็นประกายจรัส ชวนให้นึกถึงใครอีกคน ทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบจ่อมจมลงสู่ความคิดของตนเอง

“แล้วคุณดิสได้เล่าตอนจบหรือเปล่า?” ไตติลาถามด้วยเสียงเพียงกระซิบ  หัวใจไตติลากำลังเต้นหนักๆ ด้วยความคาดหวัง ระคนหวาดกลัว

“ในนิทานเรื่องนั้น  สุดท้าย ทั้งสองคนพลัดพรากตลอดกาล...” คำตอบนั้น เหมือนตอกย้ำหัวใจไตติลาให้เจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ไตติลาหลับตา ถอนลมหายใจนานช้า หวังให้ความปวดร้าวที่พุ่งริ้วนี้จางหายไปโดยเร็ว

“แต่ผม กำลังจะเปลี่ยนมัน” เสียงที่เกือบเป็นกระซิบนั้น แน่นหนักจนไตติลาละสายตาจากคนพูดไม่ได้

“ผมกำลังเปลี่ยนมัน และมันเกือบจะสำเร็จแล้ว”  สัมผัสอุ่นจากปลายนิ้วแข็งแรง แตะหลังมือไตติลาที่เกร็งจับพนักพักแขนจนขึ้นข้อขาวเพียงแผ่วเบา คล้ายจะเตือนให้ไตติลาผ่อนคลายลงบ้าง

“ผมมีสิ่งเดียวที่อยากจะเตือนคุณไว้....”

“กษิดิสที่คุณกำลังจะได้พบ เขาจะไม่เหมือนกษิดิสคนที่คุณเคยรู้จัก”

โปรดติดตามตอนต่อไป




มาเเล้ว!คาดว่าคนอ่านต้องค้าง...ไม่เป็นหมอดูก็บอกได้(เพราะเราเป็นคนเขียน กร๊าสสสส)  ถ้าจบไม่ดี คนอ่านก็อย่างเพิ่งเผาพริกเผาเกลือเเช่งนะคะ ฮือๆๆๆ เเต่เปลี่ยนใจเมศไม่ได้เเล้วจริงๆ อุวะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า



หัวเราะทำไม หัวเราะทำไม

ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค๊า :call:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๔.๑ (๓๐/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 30-08-2010 19:06:47
แม้ความตายก็มิอาจพราก หรือเปล่านะ
ไม่เป็นไร ติลามาแก้ตัวกับสมิทก็ได้ 5555
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๔.๑ (๓๐/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: heavenly**yaoi ที่ 30-08-2010 22:56:09
เปลี่ยนสมิท ให้กลายเป็น กษิดิส แต่หน้าฝรั่ง หัวใจไม่ใช่ดวงเดียวกัน ไตติลายังจะรักได้อีกมั้ย?
สงสารอ่า TT^TT
ไรท์เตอร์ใจร้าย
ชอบทำร้ายไตติลา
ให้เค้ามีความสุขกับคนที่เค้ารักเถอะไรท์เตอร์
TT^TT
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๔.๑ (๓๐/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: aojroonra ที่ 31-08-2010 09:30:30
เย้ กำลังจะได้เจอกันสักทีน้าาาา
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๔.๑ (๓๐/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: koraorni ที่ 31-08-2010 11:27:05
ถึงแม้ว่าจะได้เจอในแบบที่ต่างออกไปแต่ก้อคงดีกว่าจากกันไปตลอดกาล
ตอนหน้าต้องเตรียมน้ำตาไว้หรือเปล่านะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๔.๑ (๓๐/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 31-08-2010 11:44:31
คนอ่านเกร็งจนตัวแข็งค้างไปหมดแล้ว  อาจไม่เกินจากที่คาดไว้
แต่จะทำยังงัยที่จะให้ไตติลาได้มีความสุขที่แท้จริงกับเขาบ้าง
คนแต่งอย่าใจร้ายเกินไปนะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๔.๑ (๓๐/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 31-08-2010 14:42:27
สงสัยจะแก่เกินแกง อิอิ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๔.๑ (๓๐/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 31-08-2010 16:33:30
อ๊าาาา คุณดิส(ของดิชั้น)ในเวอร์ชั่นคุณปู่อบอุ่น(แน่ ๆ เลยอ่ะ)
ติลาก็นอนเกาคางดึงเหนียงคุณดิสเล่นไงคะ..น่ารักจะตายอ่ะ
บทนี้ สมิท แอบน่ารักนะคะ(เมื่อไม่กี่บทที่แล้วมาดิชั้นยังเกลียดมันอยู่เลยอ่ะ55+)
ยังไงก็จะได้เจอกันแล้วนี่เนอะ..ไม่ว่ายังไง  สุดท้ายเราก็ได้เจอกันในมิติเดียวกัน  แค่นี้มันก็ดีแล้วอ่ะเนอะติลา
กอดเด็กขี้เหงาและผู้ชายอบอุ่นให้เต็มสองแขน
จิ้มบวกขอบคุณคุณเมศค่ะ
 :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๔.๑ (๓๐/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 31-08-2010 17:47:55
อ่านมาเรื่อยๆ แบบเพลินๆ ซึมๆ  แต่เจอประโยคสุดท้ายเข้าไป เล่นเอาหวิวๆๆ เหมือนตกหลุมอากาศ โธ คุณดิส  :z3:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๔.๑ (๓๐/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 01-09-2010 00:28:18
ลุ้นๆๆ ดิสตอนแก่จะยังคงไปได้กับไตติลาไหมน๊า
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๔.๑ (๓๐/๐๘/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 02-09-2010 15:20:40
เข้ามารอคุณดิสกับติลา..สมิท ด้วยก็ได้55+
 :o8: :z2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๔.๒ (๐๒/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 02-09-2010 16:21:45
รอใช่ไหม รอใช่ไหม....เอาไปเลยย~






ตอน ๑๔.๒



   หลังการเดินทางนานนับสิบชั่วโมงสิ้นสุด  นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ไตติลาได้กลับบ้าน เขาต่อแถวตรวจคนเข้าเมือง  ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ดีใจและตื่นเต้นที่ได้กลับบ้าน  หากก็หวั่นกลัวกับเรื่องที่ไตติลาไม่อาจคาดเดา  หวาดหวั่นไปกับความคาดหวังที่สมิทธิ์เป็นผู้หยิบยื่นใส่มือไตติลา  สมิทธิ์ยืนรออยู่แล้วที่หลังด่านตรวจคนเข้าเมือง  เพื่อไปรอรับกระเป๋าเดินทางของตัวเอง สมิทธิ์ยืนกอดอกเมื่อทั้งคู่ผ่านพ้นขั้นตอนการตรวจสอบไปแล้ว สายตาคู่นั้นทอดมองสายพานเปล่าอย่างคนใช้ความคิด  ไตติลานั่งลงบนรถเข็นที่เข็นมาสำหรับขนกระเป๋า สายตากวาดมองรอบกายอย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก

“เดี๋ยวคุณคงมีคนมารับใช่ไหม?”  สมิทธิ์ถามขึ้น พลางเบี่ยงกายมายังคู้สนทนา

“อืม ผมให้ที่บ้านมารับ” ไตติลาติดต่อทางบ้าน เพียงไม่กี่วันก่อนหน้า ด้วยเพราะเจตนาให้แปลกใจ  สมิทธิ์จึงถามต่อไปถึงบ้านของไตติลา

“ถ้าเป็นที่ๆคุณดิสเคยบอกว่าได้เป็นมรดกมา แล้วจะสร้างบ้านของตัวเองละก็  รู้สึกว่าบ้านเราจะอยู่ใกล้กันมาก” สมิทธิ์เพียงแต่ทอดสายตามองคนพูดนิ่ง  จนไตติลาลอบคิดในใจว่า หากเป็นคนอื่น  คงจะมองเขาแปลกๆ ในเมื่อคนที่ถูกกล่าวถึงนั้น ไตติลาพบเจอเช่นไรยังยากจะบอก 

“น่าแปลกนะ ผมอยู่บ้านนั้นมาตั้งแต่เล็กจนโต  ไม่เห็นจะเคยเจอคุณสักหน” สมิทธิ์พูดพลางก้มลงยกกระเป๋าตนเองจากสายพาน

“เอาไว้แถวนั้นมีบ้านผมกับบ้านคุณแค่สองหลังแล้วค่อยแปลกใจ”คนฟังหัวเราะเบาๆ  ดวงตาที่ทอดมองมานั้น เพียงแค่ไตติลามองสบ ก็รู้สึกได้ถึงความนึกคิดของเจ้าตัวได้แล้ว ไตติลาลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นกระเป๋าของตนไหลเลื่อนมาตามสายพาน แต่เมื่อเอื้อมมือเตรียมจะคว้า กลับถูกแขนแข็งแรงของใครอีกคนช่วยยกใส่รถเข็นให้อย่างง่ายดาย

“ถ้าอย่างนั้น ไว้อีกสองสามวัน ผมจะไปรับคุณมาที่บ้านผม” สมิทธิ์พูดด้วยน้ำเสียงมั่นคงราวกับคำสัญญา 

“คุณดิส?” ไตติลาถามด้วยความหวังอัดแน่นเต็มหัวใจ  สมิทธิ์ เพียงแต่พยักหน้าเบาๆ

“ทำไมถึงไม่เป็นเดี๋ยวนี้!”   ริมฝีปากของคนพูดถูกขบเม้มจนแน่น ดูคล้ายเด็กเอาแต่ใจ

“ผมรู้ว่าคุณร้อนใจ... แต่คนที่บ้านคงมารอคุณแล้ว พวกเขาคงคิดถึงคุณจะแย่ เหมือนกับที่คุณก็คิดถึงพวกเขา”น้ำเสียงนั้นอ่อนเบา  ทำให้คนฟังนิ่งคิด

“ให้เวลากับตัวเองหน่อยดีกว่า ผมอยากให้คุณเตรียมเผื่อใจไว้บ้าง”

“เผื่อใจ?”

“ใช่” สมิทธิ์ไม่ได้ย้ำเรื่องใดๆอีก เขาเพียงขอให้ไตติลาจดเบอร์โทรศัพท์ที่บ้านใส่หลังมือตน ก่อนจดเบอร์โทรศัพท์ใส่หลังมือไตติลา  มือแข็งแรงข้างนั้นยุดมือนวลไว้ กอบกุมให้ความอุ่นร้อนแผ่ซ่าน  พลางจ้องมองตรงมาด้วยสายตาสื่อความหมายอย่างจงใจ  ไตติลามองสบ...เฉยเมย เสียจนเกือบจะเป็นเย็นชา

“แล้วผมจะโทรไป”

๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔


   ไตติลากลับบ้านท่ามกลางความยินดีของครอบครัว  บรรยากาศอบอุ่นที่ครอบครัวพร้อมหน้าห้อมล้อมไตติลาไว้ได้เฉพาะ ในยามที่อยู่กับสมาชิกครอบครัวเท่านั้น  ไตติลามักใช้ความคิดกับตนเองเสมอว่า กษิดิส ที่ไม่เหมือนกับที่ตนรู้จักจะเป็นอย่างไร  ไตติลาคิดไปต่างๆ นานา อย่างห้ามตนเองไม่ได้  เขานึกอยากจะโทรไปถาม ตามหมายเลขที่สมิทธิ์จดให้ แต่ก็ทำหมายเลขนั้นเลือนไปเสียก่อน จึงทำได้แต่เพียงรอ  จนล่วงเลยมาถึงวันที่สอง ร่างสูงโปร่งนั้นมักสะดุ้งทุกครั้งที่มีโทรศัพท์เข้ามา  แต่แล้วก็ผิดหวังอยู่เรื่อยไป  การรอคอยกำลังทำให้ไตติลายิ่งกระวนกระวายใจไปกับสิ่งที่ตนไม่รู้   

   ถ้าหากพบคุณดิส จะทำอย่างไรดี?  ไตติลาเฝ้าถามตนเองมานับครั้งไม่ถ้วน  อาจเพราะความรักและคิดถึงที่มากล้น ทำให้ไตติลาคิดไปอีกหลายๆอย่าง  ในตอนบ่ายของวันที่สาม  สมิทธิ์โทรศัพท์มาตามสัญญาที่เคยให้ไว้  ทำให้ไตติลาไม่อาจห้ามความตื่นเต้นดีใจไว้ได้เลย  ในอกมันท้วมท้นด้วยความหวัง และความรัก  คุณดิสจะยังจำไตติลาคนนี้ได้แน่ๆใช่หรือไม่?  คุณดิสจะดีใจหรือเปล่า?  ไตติลาได้แต่คิด  คิดและคิด เวียนซ้ำอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

“คุณแน่ใจนะว่าพร้อมแล้ว”  สมิทธิ์ถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อร่างโปร่งนั่งประจำที่ข้างคนขับ  ไตติลาคิดตำหนิสายตานั้นว่า ช่างไม่รู้เลย ว่าไตติลาคนนี้ รอคอยวันนี้มาขนาดไหน


   บ้านของกษิดิส ไม่ได้ไกลจากบ้านของไตติลาเลยแม้แต่น้อย  ใช้เวลาเดินมากะคร่าวๆเพียงไม่เกินสิบนาที  เป็นบ้านเดี่ยวติดถนนใหญ่ที่มองเห็นได้ตั้งแต่สี่แยกไฟแดง  เมื่อคิดถึงตรงนี้ ไตติลาก็นึกขัน ว่าครั้งหนึ่ง เจ้าของบ้าน เคยเปรยไว้ว่า เป็นเขตชนบทของกรุงเทพ ยังไม่เจริญ  หากกษิดิสในวันนั้นได้เห็นภาพความเจริญของทุกวันนี้ คงจะไม่เชื่อสายตาเป็นแน่   รถยนต์ที่ไตติลานั่งเคลื่อนผ่านทิวต้นไม้ใหญ่เข้ามาในบริเวณบ้านครึ้มด้วยต้นไม้ ก่อนจะจอดเรียบร้อยในโรงจอดรถ  ร่างสูงใหญ่ของสมิทธิ์ เดินนำเข้าไปในสวนกว้าง ที่สุดทางเดินนั้น บ้านหลังเล็กสีขาวสะอาดตาทำให้ไตติลาลืมหายใจ  จากรายเส้นที่ต้นทำได้เพียงจ้องมองจนจดจำรายละเอียดได้ขึ้นใจวันนี้มันถูกสร้างขึ้นจริงแล้ว 

“บ้านนี้คุณดิสออกแบบใช่ไหม?”

“ครับ คุณปู่ ออกแบบเองทั้งสามหลังย่อยๆ  แต่บ้านนี้ เป็นบ้านที่คุณปู่รักที่สุด”  ไตติลากวาดสายตามองตัวบ้าน ที่ถอดมาจากแบบร่างทุกอย่างด้วยความรู้สึกหลากหลาย ที่ยากเกินกว่าจะอธิบายได้

“คุณดิสอยู่ที่นี่?” สมิทธิ์พยักหน้ารับเบาๆ  ก่อนจะเดินนำเข้าไปส่วนในของบ้าน  ทางเดินด้านในที่ฝั่งหนึ่งเป็นผนังไม้ แขวนภาพต่างๆ  และอีกด้านหนึ่งเป็นกระจกใส เห็นสวนด้านนอกสบายตา นำไปสู่ห้องๆหนึ่ง ที่สุดทางเดิน อันมีประตูไม้แบบบานพับปิดกั้นไว้อีกชั้นหนึ่ง

“คุณแน่ใจนะ?” สมิทธิ์ ถามพลางมองด้วยสายตาเครียดขึง 

“พร้อมสิ”  ไตติลากระซิบตอบด้วยความตื่นเต้น   มือแข็งแรงนั้นจะเคาะลงบนบานประตูนั้นก่อนจะเปิดออก






   ไตติลาสูงกลิ่นภายในห้องเต็มปอด  ทันทีที่สมิทธิ์เบี่ยงกายให้ไตติลาเข้าไปก่อน  ไตติลองมองเห็นโต๊ะเขียนแบบ ที่จัดวางข้าวของมีระเบียบเรียบร้อยในมุมนั่งทำงานเล็กๆนั้น  พลางคิดไปว่า กลิ่นที่ตนได้รับนั้น เป็นกลิ่นของอะไร มันคุ้นจมูกอย่างน่าประหลาด  หัวใจในอกไตติลากำลังเต้นระส่ำและร่ำร้อง  ไตติลาสาบานกับตนเอง คราวนี้ จะไม่ยอมพรากพลัดเหมือนคราวก่อน   

“คุณดิส”  ไตติลาเรียกอีกฝ่ายด้วยเสียงเพียงกระซิบ เมื่อมองเห็นเจ้าของชื่อนั้น ก่อนจะหันไปสบตาสมิทธิ์ ชายหนุ่มพยักหน้าให้เบาๆ  ไตติลาพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาบังคับขาตนเอง ให้ขยับเข้าไปใกล้  คราวนี้ ไตติลารู้แล้ว ว่ากลิ่นที่ได้รับนั้น คือกลิ่นอะไร  กลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อที่เคยได้กลิ่นจากโรงพยาบาล

“ปู่ครับ  ลืมตาขึ้นหน่อยได้หรือเปล่า?”  สมิทธิ์ คุกเข่าลงข้างเตียงนั้น กระซิบลงที่ข้างหูชายชราที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงนั้น  ไตติลามองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาที่เอ่อล้นน้ำตา 


   ตลอดเวลาแม้สมิทธิ์จะเคยบอกให้ไตติลาเผื่อใจไว้บ้าง  เตือนให้ไตติลารู้ว่า กษิดิสที่ไตติลาจะได้พบนั้น ไม่เหมือนกับที่เคยรู้จัก  ไตติลาเพิ่งได้เข้าใจก็ ณ เวลานี้เอง ว่าเป็นจริงดังที่สมิทธิ์เตือน  ร่างของผู้ที่นอนหลับใหลบนเตียงนี้ ไม่ใช่ร่างสูงใหญ่ของชายผู้มีเค้าโครงหน้าคมสัน  ดวงตาที่มีประกายชวนมองนั้น กลับหลับสนิทราวกับไม่รับรู้....ไตติลาอาจเคยพอทำใจไว้บ้าง ว่ากษิดิสที่ตนเองพบ จะสูงวัยขึ้น  แต่ไม่เคยคิด ว่ากษิดิสคนนั้น.....กำลังจะตาย


“มีคนมาเยี่ยม”  ดวงตาที่เคยทอประกายงดงามนั้น ลืมขึ้นมองฝ้าเพดานนิ่งนาน   

“คุณดิส..” กษิดิส เบือนสายตากลับมามองเจ้าของเสียงเรียก  ใบหน้าที่ล่วงเลยไปตามวัยนั้น จุดยิ้มที่มุมปาก เช่นเดียวกับดวงตา ที่มองมาด้วยสายตาที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้ล่วงเลยมาหลายสิบปี  แววตานั้นยังคง อ่อนโยน...แสนรัก

“อย่าร้องไห้เลย สังขารก็อย่างนี้ ตัวฉันอยู่มานานเสียจนเกือบจะเกินไปแล้ว” กษิดิสพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังไปกว่ากระซิบ ไตติลาทำได้เพียงเฝ้ามองผ่านม่านน้ำตา ที่สุดท้ายก็หยาดหยดลงบนมือของอีกฝ่ายจนได้  ถ้อยความใดๆที่เคยคิดอยากจะบอก กลืนหายไปกับลำคอที่ตีบตัน ทั้งห้องเงียบๆงัน เสียจนไตติลาได้ยินเสียงลมหายใจของตนเอง






“ติลา เธอจะยังรักฉันไหม? ถ้าฉันเป็นตาแก่ใกล้ตายอย่างนี้?”







   ไตติลาไม่อาจเอ่ยถ้อยความใดๆ  ขาทั้งสองข้างราวกับถูกตรึงไว้ด้วยหมุดที่ไม่อาจมองเห็น  ด้วยนึกรู้ ว่ามือทั้งสองข้างของเขาเอง ไม่สามารถฉุดรั้งความตายไว้ได้ นอกเสียจากภาวนา ให้เวลานั้นมาถึงช้าลงแม้สักหนึ่งวัน หนึ่งชั่วโมง หรือแม้แต่หนึ่งนาที     กษิดิสหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า ด้วยเพราะรับรู้ว่าระยะเวลาบนเส้นทางชีวิตที่ยาวไกลของตนเองกำลังจะล่วงผ่านอย่างไม่อาจห้าม   ทว่าทุกครั้งที่เขามองย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกับใครคนหนึ่งในอดีตอันเหนือจินตนาการนั้น งดงาม แจ่มกระจ่างเสมอ กษิดิสเชื่อมาทั้งชีวิต ว่าความรักของเขาไม่เคยไปไหนเขาจะกอดมันไว้จนข้ามผ่านไปสู่ชีวิตใหม่ แม้จะไม่รู้ว่า ผู้เป็นดั่งหัวใจรักอยู่ ณ ที่แห่งหนไหน






   ไตติลาทำได้เพียงก้มกายลง มอบสัมผัสอุ่นร้อนที่แตะลงบนเปลือกตาของกษิดิสทีละข้าง แทนคำตอบที่กลั่นออกมาจากหัวใจ กษิดิสยิ้มจาง ความตายตรงหน้าเขานี้ไม่ได้น่ากลัวแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้มีความรัก ที่ไร้กาลเวลาเช่นนี้แล้ว ไม่มีสิ่งใดให้กลัวอีกต่อไป เพราะความรักนี้ยังส่องสว่างอย่างแรงกล้าในหัวใจ ไม่ว่าเวลาจะหยุดนิ่งหรือเดินต่อไป ไม่ว่าหัวใจรักจะอยู่ที่ไหน เขารับรู้ได้ว่าผู้เป็นที่รักจะอยู่เคียงใจเหนือห้วงกาล





โปรดติดตามตอนต่อไป


รักไร้กาลเมศปิดเรื่องเเล้วเรียบร้อยในบลอค  ตอนจบก็#$%^&*(*()

สรุปคือ คนอ่าน น่าจะอยากดักตีหัวเมศฮ่าๆ

ไม่เอาน่า โอ๋นะโอ๋












หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๔.๒ (๐๒/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 02-09-2010 16:29:51
จิ้มตรู๊ดส์คุณเมศ
อาฮ์  การพบกันอันน่าประทับใจ
เป็นฉากหนึ่งที่ประทับใจมากค่ะ..อย่างน้อยคุณดิสก็ได้รับรู้ว่าติลารักคุณดิสอ่ะเนอะ 
กอดดด มันตื้นในอกชอบกลแฮะ55+
ขอบคุณมากค่ะ
เช็ดน้ำตาและวิ่งออกไปอย่างลั้ลลา
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๔.๒ (๐๒/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 02-09-2010 19:47:06
ถ้าจบแบบไม่ happy จะไม่ดักตีหัว  แต่ขอภาคสองให้ติลาได้มีความสุขได้มั๊ย
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๔.๒ (๐๒/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: heavenly**yaoi ที่ 02-09-2010 20:36:26
และแล้ว ทุกอย่างคือคำตอบ ไรท์เตอร์ใจร้าย TT^TT
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๔.๒ (๐๒/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 02-09-2010 20:46:53
TT ช่างน่ากลัวมากจ้ะ เมศ อ่านแล้วจะเป็นลม
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๔.๒ (๐๒/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 03-09-2010 01:38:03
งุงิ ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๔.๒ (๐๒/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 03-09-2010 15:54:16
มาพบเพื่อพลัดพราก
แต่อย่างน้อย ชีวิตก็ได้เคยพบกับรักแท้
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๔.๒ (๐๒/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: aojroonra ที่ 05-09-2010 20:30:44
ความรักที่มีจะกลายเป็นความทรงจำที่ดีตลอดไป
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๕(ลงทีเดียวหมดทั้งตอน) (๐๖/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 06-09-2010 01:48:46
ตอน ๑๕

   ไตติลากำลังใช้ชีวิตอยู่บนความกลัว  ทุกครั้งที่ไตติลาเข้านอน เขามักหวาดกลัวเสมอ ว่าผู้เป็นดั่งหัวใจรักจะจากไป  ด้วยเพราะร่ายกายนั้น อ่อนล้าสิ้นแรง ราวกับเปลวเทียนที่หดสั้นอ่อนแสง และพร้อมจะดับวูบลงในทุกเวลา   ไตติลามักใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับกษิดิส คอยพูดคุย ดูแลอย่างเอาใจใส่ จวบจนถึงเวลาเข้านอนของกษิดิสจึงกลับ

“วันนี้ก็มาหรือ?” เสียงแหบเบาถามได้ไม่ดังไปกว่ากระซิบ ไตติลานั่งลงข้างเตียง มือนวลบางนั้น ลูบเส้นผมของอีกฝ่ายให้พ้นจากดวงหน้า พลางมองกษิดิสที่นั่งเอนหลังบนเตียงอย่างรักใคร่พร้อมทอดยิ้มอ่อนจาง

“มาสิ ติลาจะมาทุกวัน”

“คุณดิสนอนหลับดีไหม?” มือนวลบางไล้ปลายนิ้วลงหลังมือที่ผิวกายมิได้เต่งตึงด้วยความอ่อนเยาว์อีกสืบไป  ทุกการกระทำ ถูกทอดมองด้วยดวงตาที่ยังคงมีประกายเช่นครั้งอดีต

“หลับดีสิ  ฝันถึงเธอด้วย”  ไตติลายิ้มกว้างขึ้น พลางว่า ดีจัง...

“ติลานานๆทีจะได้กลับบ้าน  ไม่อยากอยู่บ้านให้หายคิดถึงก่อนหรือ?”

“บ้านเมื่อไหร่ก็กลับได้  แต่คุณดิสของติลา มีแค่คนเดียว” ทั้งคู่เงียบงันไปนานหลายอึดใจ ไตติลาได้ยินเสียงถอนหายใจแผ่วเบาของอีกฝ่าย

“อย่ามาอยู่กับคนแก่ใกล้ตายอย่างฉันเลย” คนฟังหลุบสายตาลง ริมฝีปากเม้มเข้าด้วยกัน

“ทำไมล่ะ  คุณดิสของติลายังหนุ่มเสมอ” ไตติลาพูดด้วยน้ำเสียงสดใสเช่นทุกวัน

“ติลา...อย่ายึดติดกับฉันเลย”  เสียงกระซิบนั้นจริงแท้นั้นแผ่วเบา ทว่ากลับสะท้อนก้องอยู่ในหัวใจไตติลา  แม้จะพยายามซ่อนความรู้สึกของตนเองไว้อย่างไร ทว่ากษิดิสมองเห็นว่า ดวงตาคู่ที่มีประกายตากล้าแกร่งเสมอนั้น วูบไหว ด้วยความเจ็บร้าว

“เวลาของฉัน หดสั้นลงทุกทีแล้ว”  น้ำเสียงอ่อนล้านั้นบอกชัด ด้วยโรคภัยรุมเร้า  ไตติลาฝืนยิ้มแห้งแล้ง

“ไม่หรอก เราอุตส่าห์ได้เจอกันแล้ว  คุณดิสจะทิ้งติลาไปได้หรือ?  เอาน้ำไหมครับ?”  คนถูกถามมองไตติลาอยู่หลายอึดใจ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ  มือนวลจึงรินน้ำใส่แก้ว ก่อนจะแตะหลอดลงบนริมฝีปากอีกฝ่าย

“ถ้าสมิทธิ์ไม่บอก ติลาคงไม่รู้ว่าเขาเป็นหลานคุณดิส”  ไตติลาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแจ่มใส

“เขาเหมือนแม่ เขาล่ะ” ผู้เป็นปู่ยิ้มเอ็นดูน้อยๆ พลางทอดมองภาพถ่ายที่โต๊ะหัวเตียง ภาพครอบครัวเรียงราย ภาพเด็กน้อยดวงหน้ามีเค้าลูกครึ่ง แก้มยุ้ยยิงฟันอยู่ในภาพ   ทั้งสองต่างมองภาพเหล่านั้นอย่างเงียบๆ

“คุณดิสแต่งงานตอนอายุเท่าไหร่ครับ?”

“ยี่สิบเก้าย่างสามสิบเห็นจะได้  ผู้ใหญ่จัดการให้ทั้งนั้น” ไตติลารับฟังพลางทอดสายตามองภาพ ชายหนุ่มดวงหน้าคมสันที่คุ้นใจไตติลา  กับหญิงสาวคนหนึ่งท่าทางอ่อนหวานเรียบร้อย

“แปลว่า คุณดิสเรียนจบก็กลับเมืองไทย”

“ใช่  หลังเรียนจบ ก็อยู่ต่ออีกปี แต่สุดท้ายก็รู้สึกเหมือนที่นั่นไม่ใช่บ้านที่จะลงหลักปักฐาน เลยกลับ”

“หนึ่งปี...หรือว่ารอติลา?”  กษิดิสไม่ได้ตอบ  หากดวงตานั้นให้คำตอบชัด…กษิดิสรอ...รอมาทั้งชีวิต

“ติลาละไม่อยากจะเชื่อ  ว่าคุณดิส จะเล่าเรื่องของเราเป็นนิทานก่อนนอน” ไตติลาพูดพลางหัวเราะเบาๆ ดวงตาที่แม้จะเลือนด้วยความชรา กลับทอประกายเหมือนวันวาน

“เพียงแต่หวังว่า สักวัน เราอาจจะได้เจอกันอีก  อาจไม่ใช่กับตัว แต่อย่างน้อย ให้คนรุ่นต่อไปได้รู้ว่าใคร....เป็นคนที่เคยทำให้คนในครอบครัวของเขาเป็นสุขที่สุด ในช่วงชีวิตหนึ่ง”  มือนวลกุมหลังมือกษิดิส ก่อนจะวางลงบนตำแหน่งหัวใจของตนเอง ก่อนจะเอนกายซบอีกฝ่าย ให้หัวใจตนเองเต้นอย่างช้าๆ ทว่าเจ้าของมือที่กุมไว้แนบอกรับรู้

“คุณดิสรู้ไหม  ว่าติลาต้องการอะไรที่สุด” ไตติลาพูดด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนัก

“ติลา ต้องการจะรักคุณดิสไปจนตลอดทั้งชีวิต เหมือนที่คุณดิสทำ” ริมฝีปากอุ่นนั้นมอบจุมพิตอ่อนหวานลงบนเปลือกตาทั้งสองข้างของกษิดิส ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ด้วยหวังว่า ความจงรัก จะพาข้ามผ่านห้วงน้ำอันไม่เห็นฝั่งในใจตนเองไปได้ โดยไม่กลัวอีกต่อไป





   ไตติลาทอดสายตามองชายชราที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ด้วยความรู้สึกหลากหลาย  คำถามมากมายเกิดขึ้นในใจไตติลา  กษิดิสตรงหน้าเขานี้ ไม่ได้เป็นชายหนุ่มดวงหน้าคมสันชวนมองอีกต่อไป  เป็นเพียงชายชราคนหนึ่ง ที่ผิวกายเหี่ยวย่นด้วยกาลเวลา   น้ำเสียงในยามพูดไม่ได้กังวานอย่างแต่ก่อน แต่คนตรงหน้านี้ก็ยังคงเป็นกษิดิส คนที่ไตติลาถูกโชคชะตา หรือความบังเอิญใดๆ ทำให้ได้พานพบ....และได้รัก

“พักบ้างเถอะ เดี๋ยวให้พยาบาลเขาดูแลต่อ” สมิทธิ์แตะมือลงบนบ่าไตติลา

“กลับบ้านตอนเย็นก็ได้พัก” ไตติลาทอดเสียงอ่อนล้า ไม่ใช่ที่กายแต่ที่ใจ

“ แต่ที่บ้านโทรมาตามนะ”

“อ้อ”  ไตติลาลุกขึ้นยืน ทอดสายตามองกษิดิสอีกครั้ง ราวกับจะทวนถามกับตนเองว่า เมื่อกลับมาอีกหนกษิดิสจะยังอยู่กับตนหรือไม่

“คุณดิสตื่นแล้วช่วยโทรบอกหน่อยได้ไหม? ไม่แน่ใจว่าจะนานหรือเปล่า ช่างเขาจะมาซ่อมประตูบ้านน่ะ” สมิทธิ์ มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาครุ่นคิด

“ติลา  ถ้าคุณรู้ว่าผมจะพาคุณมาเจอปู่ที่อยู่ในสภาพแบบนี้ คุณยังจะมาหรือเปล่า?”   ไตติลาสบตาเจ้าของคำถาม  ดวงตาคู่นั้นมีเค้าปวดร้าวปะปน ไตติลาคลี่ยิ้มบ้าง ทั้งที่ดวงตาโศก

“มาสิ” เสียงนั้นแม้จะแผ่วเบา แต่กลับบีบหัวใจคนฟังหนักหนา

“ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ติลาจะไปหา”  

“ติลารักปู่มากสินะ....มันมากแค่ไหนหรอ?” สมิทธิ์ลอบตกใจกับคำถามของตนเองที่หลุดถามออกไปอย่างควบคุมตนเองไม่อยู่ หัวใจในอกนี้เต้นหนักๆด้วยความหวาดหวั่น

“มีหน่วยวัดอะไรวัดความรักได้หรอสมิทธิ์”  ราวกับมีบางสิ่งกดทับคนทั้งคู่เอาไว้ กดให้จ่อมจมลงในความเงียบงัน

“สมิทธิ์เคยบอกติลาใช่ไหม? ว่าจะเปลี่ยนตอนจบของนิทานเรื่องนั้น” สมิทธิ์ครางรับในคอ  ไตติลาจ้องมองกลับมาด้วยดวงตาแห้งแล้ง

“สมิทธิ์เปลี่ยนมันไม่ได้หรอก สุดท้าย ‘เรา’ ก็จะจากกันอยู่ดี เพียงแต่เร็วช้าเท่านั้น”


๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕



   ไตติลากลับไปที่บ้านของตนเองในยามเที่ยง เพื่อรอทำธุระของตน  บ้านทั้งบ้านเงียบเหงาๆ เพราะคนในบ้านต่างออกไปทำภาระหน้าที่ของตน  เหลือเพียงไตติลาลำพัง  เขาพิจารณาบ้านของตนเองเงียบๆ บ้านหลังเล็กกะทัดรัดสำหรับคนสี่คน  อยู่ด้วยกันมานานปี ยังคงทำให้หัวใจไตติลาอบอุ่นเสมอ แม้ในยามตัวไกล มือนวลเปิดประตูตู้ของตนเอง หยิบกล่องไม้ใบเล็กๆออกมา  ภายในมีถุงกำมะหยี่บรรจุแหวนหยกแดงสองวง ที่อาม่าเคยให้ไว้  เมื่อคิดถึงตรงนี้ ไตติลาก็นึกขัน เพราะญาติฝ่ายบิดาเป็นชาวไทยเชื้อสายจีนทั้งหมด แต่ตนกลับมีใบหน้าละม้ายมารดา ผู้มีเชื้อสายเนปาลเจือปน   ไตติลาเก็บแหวนทั้งคู่ใส่ถุงกำมะหยี่ ก่อนจะใส่ในกระเป๋ากางเกงตนเองพร้อมกับความตั้งใจบางอย่าง

๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕



   เมื่อไตติลากลับมาที่บ้านของกษิดิสและสมิทธิ์อีกครั้ง สองคนปู่และหลานกำลังนั่งสนทนากันเบาๆ   สีหน้าสมิทธิ์เคร่งเครียด  เช่นเดียวกับกษิดิส  ที่มีเค้าความอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด   ไตติลาคิดว่าอาจะเป็นธุระในครอบครัวจึงถอยหลบฉากออกมาเสียก่อน   แต่กลับถูกชายหนุ่มเรียกไว้  ไตติลาจึงส่งยิ้มจางๆให้กษิดิส โดยไม่รู้ตัวเลยว่า สายตาที่ตนใช้มองอีกฝ่ายนั้น แสดงถึงเนื้อหัวใจขนาดไหน สมิทธิ์มองก่อนจะทอดสายตาลงต่ำ คล้ายครุ่นคิด

“ที่บ้านเรียบร้อยแล้วหรือ?” กษิดิสถามด้วยเสียงแหบแห้ง  

“เรียบร้อยแล้วครับ” มือนวลวางลงในอุ้มมือกษิดิส จึงกอบกุมกันไว้แผ่นเบา

“ถ้าอย่างนั้น ผมขอไปทำธุระก่อนนะครับปู่ แล้วเจอกันตอนค่ำ” สมิทธิ์ กล่าวขึ้นด้วยเสียงคล้ายพึมพำ

“วันนี้จะทานข้าวเย็นด้วยกันหรือเปล่า?” กษิดิสถามหลานชาย  สมิทธิ์ชะงักงัน ก่อนจะตอบรับ  เมื่อร่างสูงนั้นหายลับออกไป ไตติลาจึงพ้อเบาๆ

“วันนี้คุณดิสงอแง”

“เราต่างหากงอแงทุกวัน”

“ติลาเปล่านะ”  กษิดิสไม่ต่อคำ  กลับนิ่งมองไตติลาเนิ่นนาน จนสุดท้าย ไตติลาเป็นฝ่ายหลบสายตา  และเลือกที่จะซากนอนหนุนตักอีกฝ่าย  

“คุณดิสคิดว่า ทำไมเราถึงมาเจอกันได้  ทำไมเวลามันถึงเหลื่อมซ้อนกัน ไม่ใช่ที่อื่นๆแต่เป็นห้องเรา”  ชายชราทอดสายตาไปไกลอย่างใช้ความคิด มือที่อ่อนแรงลูบเส้นผมนุ่มของอีกฝ่ายอย่างถนอม

“ไม่มีใครรู้หรอกติลา   บางที อาจะเพราะความรักของใครบางคน อาจจะพันผูกห้องนั้นไว้ก็ได้”

“จำมิสเจ้าของห้องที่สอนผมถักไหมพรมได้ไหม  สติแกไม่ค่อยจะครบ เห็นเพื่อนบ้านเขาร่ำลือ ว่าคนรักแกเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุด แต่เสียไปด้วยเหตุอะไรไม่มีใครจำได้มิสแกเลยตรอมใจ  พอติลาหายไปได้สักเกือบเดือนแกก็เสีย ผมเคยคิดเล่นๆ ว่าอาจจะเป็นมิสแก ที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น” กษิดิสยิ้มขันกับตนเอง

“ไม่มีใครรู้หรอกติลา ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไรแน่  เรารู้แต่เพียงว่า เรื่องราวเหมือนในนิยายนี้ มันเกิดขึ้นจริงกับเรา” ไตติลารับฟังเงียบๆ  ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง

“เมื่อกี้ติลากลับไปค้นตู้  เจอแหวนคู่หนึ่ง อาม่าเคยให้ไว้  แต่ติลายังนิ้วเล็กเกินไปที่จะใส่ แต่ตอนนี้ใส่ได้แล้ว” ไตติลาเปิดปากถุงกำมะหยี่ เทลงบนมือ  แหวนหยกแดงสองชิ้นกระทบกันเสียงดังกังวาลใส ทว่าหัวใจกษิดิสกลับขุ่นมัวด้วยความรู้สึกเสียใจ

“ติลาอยากยกให้คุณดิสวงหนึ่ง ส่วนอีกวงติลาจะเก็บไว้”  ไตติลาหลบสายตาของอีกฝ่าย

“อย่าเลย” เสียงปรามนั้นแผ่วเบา ไตติลายังคงไม่ยอมฟัง

“เขาว่าหยกมีเป็นหินจากสวรรค์นะครับ ช่วยปกป้องคุ้มภัยได้  คุณดิสสวมให้ติลาได้หรือเปล่า?”  รอยยิ้มบนดวงหน้าไตติลาระเหิดหาย เมื่อเห็นกษิดิสนิ่งงัน ไตติลาฝืนยิ้ม ก่อนจะสวมแหวนหยกแดงที่นิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง

“คุณดิสไม่ค่อยมีแรงใช้ไหม  มา..ติลาจะสวมให้คุณดิสบ้าง”  มือนวลจับมือกษิดิส ทว่ามือที่เคยอ่อนแรงนี้กลับกำเข้าหากันแน่น ไตติลาเม้นริมฝีปาก รู้สึกได้ถึงหัวใจราวกับถูกบีบ กระบอกตาของตนเองแสบร้อน

“คุณดิส” ไตติลาพูดออกไปด้วยเสียงราวกับสิ้นแรง  ดวงตาฉ่ำชื้น มองสบตากับกษิดิส ความร้าวรานปราดเข้าใจที่ขั้วหัวใจราวกับมืออันอำมหิต ที่บีบหัวใจราวกับหมายจะฆ่า

“คุณดิส!” คราวนี้ไตติลาเรียกด้วยน้ำเสียงราวกับจะกรีดหัวใจคนฟัง   มือคู่นั้นยังคงกำแน่นเข้าด้วยกัน ราวกับจะไม่มีวันคลายออกอีกสืบไป

“อย่าเลยไตติลา  อย่าดิ้นรนอีกเลย”  น้ำเสียงสงบนิ่งนั้นราวกับน้ำเย็นเฉียบราดลงบนศีรษะไตติลา  ร่างโปร่งนั้นหายใจหอบราวกับจะขาดใจก่อนจะรีบผินหน้าหนี เมื่อไม่อาจห้ามน้ำตาหยดใหญ่ไว้ได้แล้วรีบปาดมันออกไปเสีย  ร่างโปร่งนั้นพยายามซ่อนรอยน้ำตาไว้ใต้รอยยิ้มแห้งแล้งของตน

“คุณดิสร้อนหรือเปล่าติลาจะเช็ดตัวให้?”

“ไม่หรอก” กษิดิสทอดสายตาอบอุ่นมองไตติลา ก่อนจะอ้าแขนรออีกฝ่าย  ไตติลาซุกกายลงบนอกนั้นอย่างลังเลใจ

“ไตติลา เธออย่าตีความความรักของฉันผิดเลย....มันไม่ใช่ความร้อนเร่าเหมือนเพลิงรัก  ความรักของฉันเพียงแต่ปรารถนาให้เธออยู่ต่อไปได้ ด้วยกำลังของตัวเอง...ในวันที่ไม่มีฉัน   เข้าใจไหม?  หือม์”  คนในอ้อมเขนนิ่งเงียบ มีเพียงความรู้สึกอุ่นร้อนที่หยาดหยดลงบนอกเสื้อกษิดิส

“ ติลาออกไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะ” กษิดิสลูบศีรษะไตติลาแผ่วเบา   ไตติลาพยักหน้ารับ ก่อนจะผลุนผลันเดินเร็วๆออกไป  กษิดิสนิ่วหน้าด้วยความปวดร้าว ด้วยเพราะเสียงที่ลอดเข้ามาจากทางเดิน  เป็นเสียงร้องไห้ราวกับคนหัวใจสลาย และคนๆนั้นคือ...ไตติลา

๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕


   

  
   ไตติลานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นของตัวเองในอพาร์ทเม้นต์เจ  เขาลูบพรมหยาบหนาบนพื้นเล่นเบาๆ พลางกวาดสายตามองไปรอบห้องนั่งเล่น   จมูกราวกับได้กลิ่นหอมของอาหารจานโปรดจากห้องครัว ไตติลาจึงลุกขึ้นเดินไปยังห้องครัวแบบกึ่งเปิดของตนเอง ที่กลางห้องครัวนั้น มีใครบางคนยืนอยู่ที่นั่น กำลังค้นหาของบางอย่างจากตู้เก็บจานเหนืออ่าง ทำให้ไตติลาไม่อาจมองเห็นใบหน้าของคนๆนั้นที่หลังประตูตู้ได้   จวบจนมือแข็งแรงที่ไตติลานึกชมเมื่อเห็นว่า สวยนั้น จับที่ประตูตู้จึงเห็นแหวนหยกแดง เป็นประกายอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายนั้น ทันใดประตูตู้นั้นก็เหวี่ยงปิด  ใบหน้าหลังบานประตู แย้มรอยยิ้มงดงาม บนดวงหน้าคมสัน จนเห็นลักยิ้มชัดทั้งสองข้างแก้ม

“ตื่นแล้วหรือ?”  

“คุณน่ะ คนหรือผี?”

“ตอบคำถามผมก่อนสิครับ?” น้ำเสียงนั้น กล่าวอย่างขบขันโดยไม่ปิดบัง

“คุณนั่นแหล่ะ ตอบผมก่อน” ไตติลายังทำเสียงแข็ง

“แต่ผมถามก่อน”

“งั้นเอาใหม่ คุณหุงข้าวได้ไหม?”  ไตติลาถามพลางยิ้มกว้าง

“ไหนหม้อ?” ทั้งคู่ประสานเสียงหัวเราะกัน  จนไตติลาทำท่านิ้วชี้แตะริมฝีปาก เมื่อทั้งคู่หยุดหัวเราะได้ในที่สุด  ไตติลาก็เหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้

“เป็นอะไร?” ร่างคุ้นใจไตติลาเลื่อนเข้ามาใกล้ ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนนัก

“เปล่าครับ”

“ทำตาแดงๆอย่างนี้นะหรือว่าเปล่า?”ไตติลาหันไปสบตากษิดิส เพราะจากน้ำเสียงคล้ายจะล้อเลียนนั้น   ทว่าดวงตาที่ไตติลาเห็น ไม่ได้มีเค้าล้อเลียน แต่เป็นแววตาอาทรที่ทอดมา

“ผมไม่ได้ทำตาแดงๆ” กษิดิสรวบเอวอีกฝ่ายให้ร่างนั้น แนบกับอก

“คุณดิสอยู่กับติลาก่อนนะ” น้ำเสียงแผ่วเบาอย่างคนไม่มั่นใจนั้น ทำให้กษิดิสยิ้มเอ็นดู
  
“ได้ซี สัญญาเลย” ไตติลากอดตอบร่างนั้นแน่นเข้า รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองเสี้ยวหน้าของตน

“มองอะไรครับ?” ไตติลาถามแผ่วเบา คนถูกถามยกริมฝีปากหยักสวยที่มีไรหนวดเขียวครึ้มขึ้นเล็กน้อย
  
“ติลา....มองไตติลา” เจ้าของชื่อ เม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง  

“ขอมองหน่อย ติลาไม่สึกหรอก ใช่ไหม?” กษิดิส ยิ้มด้วยดวงตาเป็นประกาย ชวนให้คันๆในหัวใจ มือแข็งแรงนั้นกุมมือนวลขึ้นแตะริมฝีปากลงไปฉาบฉวย ไตติลา ลอบยิ้มเขินกับตนเอง

“แน่ะ ยิ้มอะไรคนเดียวครับ?”
  
“ผ้ากันเปื้อนน่ารักดีนะครับ” ไตติลาชม เจ้าของผ้ากันเปื้อนยิ้มรับจนสองแก้มบุ๋มเห็นลักยิ้มชัด
  
“ติลาชอบหรือ?” คนถาม ถามแก้ขวย พลางยกจานอาหารมาที่โต๊ะกินข้าว
  
“ติลาชอบคนใส่”  ดวงตาคู่สวยที่กษิดิสนึกชม มองตรงมาอย่างสื่อความหมายตามปากพูดโดยแท้   ดวงหน้าคมสันที่ถึงแม้จะมีไรหนวดจางๆ หากผิวแก้มนั้นกลับซับสีเรื่อ ไตติลายิ้มพึงใจกับตนเองไม่นาน รอยยิ้มนั้นก็ระเหยหายเปลี่ยนเป็นพร่าเลือนด้วยม่านน้ำตา

“คุณดิส” ไตติลาเงยหน้ามองเจ้าของอ้อมกอดที่โอบล้อมตนด้วยดวงตาแสบร้อน  มือทั้งสองจิกกำเสื้อของอีกฝ่ายไว้แน่น

“อย่าร้องไห้เลย ในที่สุด เราก็ได้เจอกันแล้วนะ” น้ำเสียงอ่อนโยนนั้น อาบไล้ไปทั่วหัวใจไตติลา  เจ้าตัวจึงไม่อาจควบคุมน้ำตาตัวเองได้  มือแข็งแรงลูบศรีษะอย่างปลอบขวัญ

“คุณดิส นี่มันเกิดอะไรขึ้น เมตของผมบอกว่าไม่เคยรู้จักคุณ  และผมเจอชื่อคุณในหนังสือผลงานนักศึกษา ที่ระบุปี 1958....มันห่างจากปีที่ผมอยู่ตั้ง50กว่าปี คุณดิส ช่วยบอกหน่อยเถอะ นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมทุกอย่างถึงได้ผิดสับสนไปหมด”
  
“ติลาเชื่อเรื่องมิติเวลาไหม? เชื่อไหมว่า สถานที่บางที่ มิติเวลาเหลื่อมซ้อนบรรจบกัน”

“นี่ต้องเป็นความฝันแน่ๆ” ไตติลาไม่อยากจะเชื่อ  สิ่งที่เกิดขึ้นกับตนจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้
  
“ต่อให้เป็นความฝัน ก็เป็นฝันที่ดีใช่ไหม?”  ดวงตาที่ไตติลาปักใจรัก ทอดมาอย่างเว้าวอน รอคอยคำตอบ
  
“ครับ”  กษิดิสยิ้มรับ ก่อนจะจับมือนวลอย่างสุภาพ สัมผัสริมฝีปากลงที่ข้อมือด้านใน ผิวแผ่ว
  
“ติลาครับ  ติลาอาจไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เกิดกับเรานี้เป็นเรื่องจริง  แต่ผม อยากให้ติลารู้ไว้นะครับว่า”
  
“ความรู้สึกของผมนี้..เป็นเรื่องจริง” ไตติลามองสบกับแววตาเข้มแข็งคู่นั้น ที่ทอดมองอย่างจงรัก หนักแน่น ไตติลาอาจเคยได้ฟังคำบอกรักมามากมาย แต่นี้เป็นครั้งแรกที่ทำให้ลำคอของไตติลาตีบตันด้วยเพราะตื้นตัน

“ติลา เธอจะยังรักฉันไหม? ถ้าวันหนึ่งฉันกลายเป็นตาแก่ใกล้ตาย?”  ไตติลาไม่ได้ตอบความ กลับเขย่งปลายเท้าขึ้นเล็กน้อย มอบจุมพิตลงบนเปลือกตาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน เสียงทุ้มนุ่มนวลกระซิบที่ริมหู

“ไตติลา ความรักของฉันเพียงแต่ปรารถนาให้เธออยู่ต่อไปได้ ด้วยกำลังของตัวเอง...ในวันที่ไม่มีฉัน เข้าใจไหม?  หือม์” ไตติลาส่ายหน้าเบาๆ หัวในข้างในอกนั้นวิบโหวงอย่างน่าประหลาด  ไตติลาขยับริมฝีปากต้องการพูดบางอย่างออกมา แต่สมองกลับไม่อาจกลั่นกรองคำพูดใดออกมาได้มากไปกว่า











“ราตรีสวัสดิ์ครับคุณดิส”  ไตติลากระซิบลงที่ข้างหูอีกฝ่าย ก่อนจะแนบริมฝีปากลงที่สันกราม ด้วยเพราะหมดสิ้นซึ่งถ้อยคำใดจะเอ่ยได้อีกต่อไป ในหูได้ยินเพียงเสียงแหลมสูงของบางสิ่ง กรีดร้องอยู่ในความเงียบ  ทุกวินาทีกลับดังขึ้นเรื่อยๆราวกับจะฉีกทึ้งโสตประสาท













   ไตติลาผวาตื่น  โทรศัพท์มือถือที่ไว้ที่หัวนอนกำลังส่งเสียงเรียก ไตติลารีบคว้ามันไว้ก่อนที่จะตกเตียงไป  ข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์แสดงว่า สมิทธิ์ ไทยสรรค์ โทรมา  มือนวลนั้น ยกขึ้นเช็ดที่หางตาเพราะรู้สึกถึงรอยเปียกชื้นของหยาดน้ำตาตนเอง  ไตติลากดรับสาย ด้วยหัวใจที่บีบตัวหนักราวกับรับรู้ได้  ก่อนจะกรอกเสียงลงไป


“ติลา.....ปู่..สิ้นแล้วนะ เมื่อคืนนี้...” ไตติลาไม่ได้ยินถ้อยคำอื่นใดอีก  หัวคิ้วทั้งสองมุ่นเข้าหากันราวกับข่มความรู้สึกของตนเองไว้  ไตติลากอดตัวเองไว้แน่นราวกับหวังให้ความรู้สึกอันทรมานนี้บรรเทาลงจากความจริงที่ว่า

กษิดิสของไตติลา ได้ก้าวผ่านไปสู่ชีวิตใหม่เสียแล้ว


โปรติดตามตอนต่อไป







ไหนๆจะเเอ๊งค์เเตกเเล้ว ก็เอาให้มันม้วนเดียวจบจะได้ไม่ต้องบิ้วท์กันหลายทีหลากลีลา ฮ่าๆ

สำหรับท่านที่อ่านตอนนี้ในบลอคเเล้ว เวอร์ชั่นที่ลงที่นี่เป็นเวอร์ชั่นปรับปรุงเเล้ว เพราะของเก่าพิมพ์ผิดเยอะเเยะมากมายค่ะ เลยมาตรวจทาน เขียนเพิ่มนิดหน่อย

อ่านตอนนี้จบเเล้วเมศก็ได้เเต่ยิ้มกับตัวเอง





ซาดิสซ์จริงๆเลยไอ้เมศเอ้ยยย :laugh:


ตอนหน้า ตอนที่ ๑๖ หลังจากนั้นจะส่งท้ายเเล้วค่ะ


ยินดีรับฟังความคิดเห็น

ปล.ลืมเตือนให้เตรียมทิชชูไว้  เผื่อว่าต้องใช้....เอ๊ะ หรือเมศซาดิสซ์มากจนต้องใช้ผืนใหญ่กว่านั้น  เอาน่า  โอ๋นะโอ๋  เดี๋ยวก็ไม่มีเเล้วนะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๕(ลงทีเดียวหมดทั้งตอน) (๐๖/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 06-09-2010 12:04:08
ดิชั้นเตรียมผ้าเช็ดตัวมาค่ะคุณเมศ..เกรงกระดาษทิชชู่จะไม่พอซับเมื่ออ่านตอนที่  15 (ที่คุณเมศเคยบอกว่าในบล็อคจบที่  15 ตอนน่ะค่ะ)
ติลา..คุณเป็นคนน่ารักที่สุดเท่าที่ดิชั้นเคยเจอมาค่ะ  คุณรักคุณดิสตราบลมหายใจสุดท้ายของคุณดิส เอาโล่ห์รักมั่นคงไปนอนกอดเลยค่ะคืนนี้
คุณดิส(ของดิชั้น)..คุณรักติลามากเลยนะคะ ดิชั้นอิจฉาน้องจังเลยค่ะ..
คุณเมศคะ..ดิชั้นรักคุณกับงานของคุณมากค่ะ
จิ้มบวก..นั่งรอตอนที่  16  และบทส่งท้ายอย่างเต็มตื้นในหัวใจ
ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ
อาห์..กระซิก  :m15:


ปล.คุณชอบเขียนแบบซาดิสม์..ดิชั้นก็ชอบอ่านแบบซาดิสม์ค่ะ  :o8:
ปล.2 ตายจริง ๆ เหรอคะนี่?(แอร้ยยยยยยยยยย ผู้ชายอบอุ่นตายซะแล้วอ่ะ!!)
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๕(ลงทีเดียวหมดทั้งตอน) (๐๖/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 06-09-2010 12:10:21
ดักตีหัวคนแต่งซะดีมั๊ยน๊ออออ  อ่านไปน้ำตาคลอไปด้วย  เศร้า
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๕(ลงทีเดียวหมดทั้งตอน) (๐๖/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 06-09-2010 15:08:37
อุตส่าห์เตรียมใจไว้ก่อนแล้วนะ  ขอบอกว่า คนแต่งใจร้ายยยยยยยยยยยยยยยจริงๆๆ เลย :z3:
เอาคุณดิส คืนมาได้ไหม  :o12:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๕(ลงทีเดียวหมดทั้งตอน) (๐๖/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 06-09-2010 16:49:26
โอ้ย เศร้า!!!!
แต่ชีวิตยังต้องเดินต่อไป เก็บความทรงจำดีๆเอาไว้เป็นสิ่งเตือนใจดีกว่านะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๕(ลงทีเดียวหมดทั้งตอน) (๐๖/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 06-09-2010 18:22:30
ผ้าเช็ดหน้าคงไม่พอจริงๆค่ะ ต้องใช้ผ้าห่มแล้ว  :monkeysad:
เศร้าค่ะ แต่ก้อประทับใจ แบบว่า.. โอ๊ยยย พูดไม่ออกแล้ว

เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๕(ลงทีเดียวหมดทั้งตอน) (๐๖/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: heavenly**yaoi ที่ 06-09-2010 18:42:18
เฮ้อ อ่านตอนนี้แล้วกระชากใจมาก
คุณเมศใจร้ายTT^TT :o12:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๕(ลงทีเดียวหมดทั้งตอน) (๐๖/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 06-09-2010 20:50:44
โฮววววววววววววววววว
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๕(ลงทีเดียวหมดทั้งตอน) (๐๖/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 06-09-2010 23:57:12
 :o10:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๕(ลงทีเดียวหมดทั้งตอน) (๐๖/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 07-09-2010 00:07:38
โอ้ว มีต่ออีก ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๕(ลงทีเดียวหมดทั้งตอน) (๐๖/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: mama ที่ 07-09-2010 05:14:31
เพิ่งเข้ามาอ่านชอบเรื่องนี้มาก
ค่อยๆเล่าเรื่องอ่านแล้วอินได้ใจ แล้วจะรอตอนจบนะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๕(ลงทีเดียวหมดทั้งตอน) (๐๖/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 08-09-2010 12:18:58
เข้ามาแอบกอดติลากับคุณดิส
คิดถึงคุณเมศจัง  :เฮ้อ:
อยากอ่านตอนที่ 16 แล้วอ่ะ
 :m15: :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๕(ลงทีเดียวหมดทั้งตอน) (๐๖/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: humanculus ที่ 08-09-2010 14:59:02
ไปแอบอ่านมาจากบลอกหมดแล้วงะ  เหอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

รอภาคใหม่  เมื่อรายจะมาน้า

 o22 o22 o22 o22
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๕(ลงทีเดียวหมดทั้งตอน) (๐๖/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: εїзป่วงน้อยεїз™ ที่ 09-09-2010 00:20:28
 ในที่สุดก็ตามอ่านทันค่า อ่านจบสงสารไตติลาขึ้นมาในทันทีเลย (อ่านไปร้องไป แอบปวดตามนิดๆ :sad2:)

เป็นกำลังใจให้ค่า
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๕(ลงทีเดียวหมดทั้งตอน) (๐๖/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: aojroonra ที่ 09-09-2010 08:15:40
 :z13:

รออ่านตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ อย่าช้านะ เด๋วขาดใจก่อน
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๕(ลงทีเดียวหมดทั้งตอน) (๐๖/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Paracetamol ที่ 09-09-2010 21:07:28
เหมือนมีอะไรมาจุกที่คอเลย
เฮ้อ~ เศร้า
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๕(ลงทีเดียวหมดทั้งตอน) (๐๖/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 10-09-2010 20:58:33
ไม่อยากให้จบอ่ะ ทำไงดี



 :try2:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๕(ลงทีเดียวหมดทั้งตอน) (๐๖/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: kenshinkenchu ที่ 10-09-2010 21:07:21
กำลังเข้ามาอ่านค่ะ  กำลังจะเริ่ม แต่อ่านเมนต์แรกๆ แล้วงง เราต้องไปอ่านเรื่องไหนก่อนเรื่องนี้เปล่าคะ

กลัวจะอ่านไม่รู้เรื่อง


รบกวนช่วยตอบด้วยน้า   :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๕(ลงทีเดียวหมดทั้งตอน) (๐๖/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 10-09-2010 21:36:35
ไม่ต้องหรอกค่ะ เริ่มอ่านได้เลย 
เพราะตอนต้นๆน่าจะกล่าวถึง เรื่องสั้นก่อนหน้า เมศเขียนเป็นโครงเรื่องสำหรับเรื่องนี้ค่ะ
เเต่ถ้าอยากจะอ่าน ก็ลองเสิร์ชได้นะคะ "เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง รักไร้กาล" เจอเเน่นอนค่ะ อิอิ


หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๖(ทั้งตอน) (๑๑/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 11-09-2010 00:14:53
ตอน ๑๖

   ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว คริษฐ์คิด เมื่อมองท้องฟ้าผ่านกระจกหน้ารถยนต์ ขณะรถติดอยู่บนถนนในชั่วโมงเร่งด่วนเช่นนี้  ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน พลางขยับคลายเนคไท และกระดุมเสื้อให้สบายขึ้น  หลายเดือนมานี้ เขาเหนื่อยเหลือเกิน  เหนื่อยใจกับสภาพแวดล้อม  เหนื่อยใจกับเรื่องของหัวใจ  เหนื่อยใจกับคนรอบกายที่รายล้อม แต่ไม่มีใครเลยที่จะเข้าใจ หรือเห็นใจเขาจริงสักคน  ราวกับคนเหล่านั้นเสียสติกันไปหมด....หรือไม่ อาจจะตัวเขาเสียเองที่เสียสติ

   คริษฐ์รู้สึกตัวว่า ตนเองกำลังหลงทาง  หลงทางในเขาวงกตของความสัมพันธ์ที่ตัวเองเป็นคนทำเงื่อนปมขึ้นโดยไม่รู้ทางแก้  และพันเกี่ยวเข้ารัดคอตนเองแน่นเข้าทุกที  ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นจากเบาะข้างกาย เมื่อเขาพลิกมือลงวางโทรศัพท์ลงบนอีกมือหนึ่ง จึงได้เห็นแหวนเงินที่นิ้วนางข้างขวาที่ตนสวมไว้  แหวนที่นิทเชทำให้ ด้วยความตั้งใจ ในทุกรายละเอียดอ่อน เอาใจใส่   แหวนทีมีเพียงชิ้นเดียวในโลก  ทำมาด้วยหัวใจรักของใครอีกคน....ทว่ามันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว

   คริษฐ์เริ่มใช้ชีวิตอย่างคนบ้างาน เพราะงานเป็นอย่างเดียวที่ทำให้เขาดับความว้าวุ่นของหัวใจตัวเองได้  เขาจึงทุ่มเทกับมันจนก้าวหน้าเกินกว่าที่คาดหวัง  เขาใช้งานเป็นเกราะซ่อนตัวจากข่าวคราวใดๆจากเมืองไทย เขาไม่อยากรับรู้รับฟังอะไร หากการไม่รับสารใดจะช่วยให้เขาตัดใจจากนิทเชได้เร็วขึ้นอีกนิด  ให้ตัวตนที่เสียศูนย์ของเขาหายลับไปเสียที คริษฐ์เริ่มเช็คสายที่ไม่ได้รับ ก่อนจะเช็คข้อความเสียงที่ถูกฝากไว้  มีเพียงข้อความเดียวเท่านั้นสำหรับวันนี้

“ไอ้คริษฐ์ กูไม่แน่ใจว่าจะบอกมึงดีไหม.....”เสียงเพื่อนสนิทของเขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักใจ  คริษฐ์รอฟังเงียบๆ

“นิทเชรถคว่ำ อาการสาหัส  กูรู้ข่าวนี้เมื่อเย็นนี้เอง....”  คริษฐ์จำไม่ได้ ว่าเพื่อนของเขาฝากข้อความใดๆไว้อีก  ได้ยินเพียงเสียงหัวใจตนเองถูกฉีกกระชากออกจากอกนี้ โดยไม่ทันแม้แต่จะตั้งตัว




   คริษฐ์พยายามติดต่อเพื่อนที่เมืองไทย แต่ด้วยเวลาที่ห่างกันร่วมสิบชั่วโมง จริงไม่ได้ความคืบหน้าอะไร  ชายหนุ่มเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้อง กระวนกระวาย ว้าวุ่น บางคราวก็นึกโทษตนเองทื่ไม่อยู่กับนิทเชในเวลาแบบนี้  แต่แล้วกลับเกิดคำถามอื่นขึ้นกับตนเองอีกเช่นกัน

‘อยู่กับนิทเชในถานะอะไร?’  เพื่อนหรือ? ครั้งสุดท้ายที่เป็นเพื่อนกันเมื่อไหร่หนอ..สิบปีที่แล้ว?

‘คนรักเก่าหรือ?’ แล้วถ้านิทเชพบใครใหม่แล้ว เขายังจะสนใจเราอีกทำไม?   คริษฐ์คิดด้วยความว้าวุ่น เขานั่งลงที่ปลายเตียงของตัวเอง ทอดมองเหล่าภาพใหญ่น้อยที่ตั้งไว้ที่โต๊ะหัวเตียง   

   มือแข็งแรงนั้นเอื้อมไปคว้ากรอบรูปนั้นขึ้นมา  ภาพตัวเขาเองที่ก้มลงผูกเชือกรองเท้า ดวงหน้าก้มเล็กน้อยๆ พร้อมกับดวงตาราวกับคนกำลังครุ่นคิด  คริษฐ์แกะรูปนั้นออกจากกรอบ ไล้มือแผ่วเบาลงรูปนั้นด้วยเพราะคิดถึงคนที่ถ่ายรูปใบนี้ ก่อนจะพลิกดูด้านหลัง คำห้าคำที่เขียนด้วยลายมือคุ้นตา  ทำให้คริษฐ์ยิ้มจางกับตัวเอง  ‘ใช่ว่าไม่รักกัน’   เขาจ้องมองตัวอักษรนั้น คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆอย่างเงียบๆ

‘คริษฐ์ชอบเราตรงไหนกัน?’ นิทเชในความทรงจำ ทำตาโตถาม ในอดีตที่เคยมีร่วมกันมา  ในวันที่เขารวบรวมความกล้าเข้าไปบอกรัก

‘เชน่ารักดี  เป็นคนมองโลกในแง่ดี ใครอยู่ใกล้ก็สบายใจ’

‘ทั้งที่เราหน้าจืดๆเหมือนเต้าหู้ขาวอย่างนี้นะหรือ?’ เจ้าตัวพูดพลางหัวเราะร่า

‘เต้าหู้ขาวใช่ว่าไม่อร่อยนิ  จริงไหม?’ ดวงหน้าขาวๆนั้นซับสีเลือด ตัดกับเสื้อสีขาวสะอาดของชุดนักศึกษาที่อีกฝ่ายสวมใส่

   คริษฐ์ไม่เคยวาดฝัน ว่าอายุขัยความรักของตนจะยืนยาว เขารู้เพียงว่านิทเชยังเป็นที่รักเสมอ  ยิ่งนานวันเข้าความผูกพัน กลับพันผูกให้คนสองคนเหนียวแน่นยึดติดต่อกัน  ความรักที่มีมากเกินไปทำให้ตัวตนของทั้งคริษฐ์และนิทเชกลับจางหาย  และพวกเขาแสร้งเป็นมองไม่เห็นมาหลายปี เก็บกักความอึดอัดเอาไว้กับอก สุดท้าย ความรักที่ต้องจบ ทั้งที่ยังรัก     คริษฐ์ยังจำรอยยิ้มสดใสของนิทเชได้  จำสีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายในยามที่ทำสิ่งที่รัก  จำสัมผัสผิวเนื้อ กลิ่นเฉพาะตัวของอีกฝ่ายได้แม่นยำนัก  ชายหนุ่มหลับตาลง...ขบคิด  และตัดสินใจ

๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖


   นิทเชจำได้ว่าตนเองตื่นขึ้นพร้อมกับแสงสว่างเจิดจ้า  สองตามองเห็นแต่เพียงฝ้าเพดานขาวสะอาดราวกับโลกทั้งใบมีเพียงสีขาวและดำ  ได้ยินเสียงอุทานด้วยความตระหนก  เสียงฝีเท้าเร่งร้อน  ไม่กี่อึดใจต่อมา นิทเชได้ยินเสียงเรียก  เสียงเรียกชื่อของเขาเอง   นิทเชทำได้แต่เพียงเบือนหน้าไปมอง  คนกลุ่มหนึ่งทอดสายตาเป็นห่วงระคนโล่งอก  นิทเชเพียงแต่มองดูเงียบๆ มองหาบางอย่างจากคนกลุ่มนั้น ทว่าไม่เจอ

   ร่วมอาทิตย์ถัดมา นิทเชออกจากโรงพยาบาลได้ อาจเพราะนิทเชยังต้องชดใช้กรรมอีกมากมาย เขาจึงยังมีเวลาบนโลกใบนี้ต่อไปราวกับปาฏิหาริย์  ด้วยดวงหน้าบวมช้ำ เนื้อตัวเป็นจ้ำเขียวเคล็ดทั้งตัว  และกระดูกมือขวาที่แตกแทบละเอียด เพียงเพราะชั่วระยะที่เกิดอุบัติเหตุ เขากลับคว้ากล้องตัวหนึ่งกอดไว้แน่น...นับเป็นโชคดีของนิทเชที่กล้องตัวนี้ปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน นอนนิ่งในกระเป๋าให้เขาลูบคลำเล่น ในขณะที่รถทั้งคันแทบกลายสภาพเป็นเศษเหล็กหลังอุบัติเหตุ    มือบางลูบคลำกล้องในกระเป๋าเล่นเบาๆ  สัมผัสเป็นตามผิวขรุขระของตัวกล้องอย่างถนอมยิ่ง แม้อายุใช้งานของมันจะนานมากแล้วก็ตาม

‘มันแพง!’ นิทเชยังจำเสียงอุทานของตัวเองได้

‘แต่เชชอบมันไม่ใช่หรอ  ผมรู้ว่าเชมาลูบๆคลำๆมันมาหลายทีแล้ว....แทบจะทุกครั้งที่เราแวะมาที่นี่’ นิทเชยังจำได้ว่าอีกคนพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างไร

‘เชจะเก็บเงินซื้อเอง  อีกไม่กี่เดือนก็ได้แล้ว’

‘ถือเสียว่าเป็นของขวัญวันครบรอบปีที่สี่  ให้ผมได้คืนอะไรกลับให้เชบ้าง....ได้ไหม?’  นิทเชคิดแล้วก็อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้  ทุกครั้งที่คริษฐ์ทำสายตาอ้อนวอน ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาจะขัดขืนได้

   แล้วในตอนนี้นิทเชเหลืออะไรบ้าง?....เจ้าตัวพยายามคิดหาคำตอบให้ตัวเอง  งานของนิทเชหยุดชะงักเพราะบาดเจ็บเช่นนี้ ทำงานไม่สะดวกเท่าใดนัก  หากโชคร้าย มือข้างถนัดนี้อาจใช้ได้ไม่เหมือนเดิม นิทเชอาจมีเพื่อนฝูงรายล้อมรอบกาย แต่จะมีใครบ้างเข้าใจเขาอย่างที่ใครคนหนึ่งเคยเข้าใจ  แต่น่าเสียดาย.....ความรักครั้งหนึ่งทำให้ทั้งคู่ต่างสายตามืดบอด  ลบเลือนตัวตนของกันและกันอย่างช้าๆ  จนสุดท้าย จึงจากกันทั้งที่รัก  ทำให้คริษฐ์ที่นิทเชรู้จัก หายลับไปอย่างน่าใจหาย   นิทเชตักอาหารค่ำของตนเข้าปากอย่างทุลักทุเล สำหรับมือข้างที่ไม่ถนัด  พลางทอดสายตามองแมวหลงตัวหนึ่งที่ลักลอบเข้ามาในบ้านเขา ด้วยสภาพผอมโซ  นิทเชจึงใจอ่อนแบ่งอาหารให้ ทั้งที่รู้แมวจร ประเดี๋ยวก็จากไป

   นิทเชเงี่ยหูฟังเสียงรอบกายทั้งบ้านเงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงน้ำที่ไหลจากก๊อก กระทบลงบนจานเซรามิก  เสียงใบไม้เสียดสีกัน ในยามที่สายลมอ่อนเบาของฤดูฝนพัดผ่าน  นิทเชกำลังใช้ความคิดอย่างเงียบๆ ว่าจะจัดการกับจานชามที่เคยสะอาด  แต่บัดนี้มีคราบติดแน่นด้วยมือเพียงข้างเดียวอย่างไร    นิทเชสะดุ้ง เมื่อมือคู่หนึ่งยื่นเข้ามารับหน้าที่ต่อจากเขา มือแข็งแรงนั้น ขัดล้างจานใบนั้นเบาๆ โดยไม่มีเสียงใดดังไปกว่าเสียงของน้ำ  เพียงไม่นาน จานใบนั้นก็กลับไปสะอาดดังเก่า ราวกับไม่เคยถูกใช้งานใดๆ 

“กลับมาทำไม?”  นิทเชถามขึ้น หลังจากคนทั้งสอง ไม่ได้ปริปากแม้แต่ทักทาย

“กลับมาหานิทเช”  สายตาที่มองกลับมายังนิทเชนั้น มองมาด้วยสายตารวดร้าว ห่วงหา ขณะที่มือแข็งแรงนั้น คล้ายจะแตะลงบนรอยบอบช้ำที่ใบหน้า ทว่าไม่มีแม้ปลายก้อยที่สัมผัสลงไป 

“เชอยู่ได้”

“ผมรู้” น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นกล่าวเพียงแผ่วเบา

“ผมรู้ว่าเชอยู่ได้ .....แต่ผมอยู่ไม่ได้”  นิทเชมองตามชายร่างสูงใหญ่ตรงหน้าตนนี้ ก้มกายลงอุ้มเจ้าแมวจรเอาไว้ โดยไม่นึกรักเกียจเนื้อตัวสกปรกของมัน

“เช...ขอโทษที่เคยว่าคริษฐ์ว่าเป็นคนไร้หัวใจ” นิทเชพูดพลางยิ้มเจือจางอยาในหน้า

“เพียงแต่เวลา...ทำให้คริษฐ์เป็นคนแข็งกระด้างต่างหาก”

“ก็อาจจะใช่  เวลาที่ห่างกันของเรา ไม่ใช่แค่ให้เราตามหาตัวตนของเรากลับมาเท่านั้น  แต่กลับทรมานหัวใจเราด้วย จริงไหม?”   

   ทั้งคู่เงียบไปนาน รอบกายพลันเงียบสงัด  มีเพียงเสียงใบไม้ ที่ถูกลมพัด คราวนี้ไม่ใช่เป็นเพียงสายลมอ่อนๆ ทว่าบางคราวกรรโชกพัดบางคราวแผ่วผ่าน 

“งานที่ทำสนุกไหม?”

“สนุก! บางทีวันนี้ถ่ายรูปกรุงเทพ  พรุ่งนี้ถ่ายรูปงานวัด  มะรืนไปถ่ายรูปที่ชายแดนไม่ก็เข้าป่าเป็นเดือนๆ!”

  “ ผมก็สนุก! วันนี้ทำผิด  พรุ่งนี้ทำผิด มะรืนนี้ก็ยังผิด  ทำตัวผิดๆมาเป็นปีๆ!”


 คนกล่าวแย้มรอยยิ้มอ่อนจาง รอยยิ้มที่หัวใจนิทเชโหยหามาแสนนาน  อีกครั้งที่คนทั้งคู่เงียบงัน  ทำเพียงทอดสายตามองเงาของตนเองและอีกฝ่ายโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ จะเอ่ย  ด้วยเพราะความรู้สึกในหัวใจดวงนี้ ซับซ้อนเกินกว่าจะหาคำใดบรรยายออกมาได้  ปล่อยให้เงาของทั้งสองคนที่ตามติดเจ้าตัวไปทุกหนแห่ง  บอกเล่าบางอย่างโดยไร้สุ้มเสียง  เงาร่างสูงใหญ่ที่ทอดยาวกว่าเงาอีกเงาหนึ่งนั้น  เอื้อมมือมาคว้ามือข้างดีของอีกเงากอบกุมไว้เงียบๆ  สัมผัสของมือนั้นเย็นชื้น แค่เพียงมือข้างนั้นสัมผัส ร่างของนิทเชกลับสั่นสะท้าน 

“ความผิดของผม คิดว่าคนอื่นจะยกโทษให้หรือเปล่า?”  เงาของนิทเชกำลังส่ายหน้าเบาๆ

“แล้วความผิดของผม เชจะยกโทษให้หรือเปล่า?”   นิทเชไม่ได้ตอบ  เพียงแต่ทอดมองเงาของมือสองข้างที่กลับมากอบกุมกันไว้อีกครั้ง  ก่อนที่เขาจะบีบกระชับเบาๆ  ปล่อยให้เงาของคนสองคนสื่อสารกันในความเงียบต่อไป

   

   คริษฐ์กำลังคิด  ว่าวันเวลาให้พิสูจน์แล้ว ว่าเขามีความผิด  ผิดที่ตัดสินใจผิดพลาด  ผิดที่ไม่อาจทานทนความเหงา ผิดที่ไม่อาจรักใครได้มากกว่าไปเจ้าของเงาเล็กๆนี้ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ราวกับจะรวบรวมความกล้า  นับแต่นี้ ความผิดใดๆที่เขาได้ก่อไว้ เขายินดีจะรับผลของมันอย่างเต็มใจ...ขอเพียงสิ่งเดียว  อย่างให้มีสิ่งใดพรากพลัด คนที่เป็นดั่งเนื้อหัวใจของเขาไป

“คริษฐ์ชอบเชตรงไหน?”  คนถูกถามหัวเราะกับคำถามนั้น ทั้งที่ใครฟังอาจจะไม่เห็นขัน

“ เต้าหู้ขาวสำหรับผม อร่อยเสมอแหล่ะ”

   นิทเชหัวเราะ มือที่กอบกุมกันไว้ ถ่ายเทความอบอุ่นอ่อนโยนสู่หัวใจอีกฝ่ายดังเก่าก่อน  อาจเพราะอายุขัยความรักของคนทั้งคู่ยังไม่สิ้น  นิทเชนึกสงสัย ว่าอายุขัยความรักของตนเองนั้น จะดำรงอยู่อีกนานเท่าใด  ทว่าคริษฐ์กลับมั่นใจนัก ว่าความรักจะอยู่กับตน ตราบจนสิ้นลมหายใจ

“ผมกำลังคิดว่า จะย้ายกลับมาประจำสาขาเดิม”

“งานก็ก้าวหน้าดีไม่ใช่หรือ?”

“ใช่ ก้าวหน้าดีมากเชียวล่ะ  แต่ผมจะเลือกอยู่ที่นี่” นิทเชมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย  ที่บ่งบอกถึงการตัดสินใจอย่างแน่นหนัก

“แต่เชไม่ออกจากงานง่ายๆหรอกนะ”  น่าแปลก...นิทเชที่เคยเอาแต่โอนอ่อนผ่อนตามกลับยืนกรานหนักแน่นเช่นกัน เพราะนิทเชรู้ ขอบเขตของการรักตนเองก่อนใครๆนั้น ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย เพื่อทำร้ายใคร  แท้จริงแล้วเพื่อตนเองทั้งนั้น

“เอาไว้เชอยากได้คนช่วยหิ้วกระเป๋ากล้องเมื่อไหร่  คริษฐ์ว่างเสมอ  ดีไหม?”

“แหม ค่อยคุยกันง่ายหน่อย”ทั้งคู่หัวเราะ เมื่อนิทเชทำเสียงโล่งใจ

   นิทเชมองดวงหน้าคมสันที่มีเค้าอิดโรยนั้น    เขามองริมฝีปากหยักสวยนั้นที่เคย ยกยิ้ม หรือแม้แต่กล่าววาจาเชือดเฉือนนั้น มองดวงตาที่เหน็ดเหนื่อยนั้น ฉายประกายต่างๆหลากหลาย  รัก หลงใหล หนักแน่น หรือแม้แต่ ‘เป็นสุข’  นอทเชหลับตาลง เมื่อริมฝีปากนั้น สัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อน รู้สึกถึงร่างกายที่สั่นสะท้านของตนเองในอ้อมแขนใครอีกคน 

   เวลาร่วมปีที่ผ่านพ้นไปอย่างยากลำบากนั้น ได้พิสูจน์แล้ว ว่าทุกการกระทำ ทั้งที่สร้างรอยสุข ทั้งที่ทิ้งรอยทุกข์  ล้วนแล้วแต่มาจากสาเหตุเดียว อาจเพราะหัวใจของทั้งคู่ ระลึกได้เสมอ ความรักของพวกเขาจึงยืนหยัดผ่านกาลเวลา ทั้งเป็นสุข  นิ่งเฉย หรือเป็นทุกข์มาได้  ด้วยสองหัวใจนึกรู้ ทำการกระทำนั้น ทำลงไปด้วยเพียงสาเหตุเดียว

‘มิใช่ไม่รักกัน’

โปรดติตามบทส่งท้าย






ไปเถิดทั้งคู่ ไปสู่ประตูสวรรค์~

จากตอนนี้ หลายคนอาจจะอ่านเเล้วไม่อิน อ่านเเล้วนอยด์ๆ ให้กลับไปรับยาเเก้นอยด์ที่ตอนสอง ถ้ายังนอยด์อยู่ให้ตีลังกาอ่าน (ไม่ใช่ละ)

เอาน่า อีกหน่อยเขาก็ไปจากติลาเเล้ว เห็นไหม เมศไม่ใจร้ายน๊า

ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็น

ตอนหน้าส่งท้ายรักไร้การเเน่นอนเเล้วนะคะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๖(ทั้งตอน) (๑๑/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: mama ที่ 11-09-2010 04:02:39
อ่านตอนนี้แล้วแอบยิ้มได้
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๖(ทั้งตอน) (๑๑/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: kenshinkenchu ที่ 11-09-2010 05:28:13
โฮก..................................

ตายแล้ว  เราลองอ่านเรื่องคร่าวๆ ก่อน จะเป็นลม

ไปอ่านตอน 14.2

โฮก..............  ต้องรีบมาเมนต์ก่อน  ตอนนี้น้ำตากำลังหยดติ๋งๆ เลยค่ะ T_T

ไม่ไหวล่ะ  เศร้าขนาด

ทำไมเราเสิร์ชหาเรื่องสั้นไม่เจออ่า  เจอแต่เรื่องสั้น มี ไม่มี

เดี๋ยวไปหาที่บอร์ดปิด น่าจะหาง่ายกว่า ><

edit: อ่ะ  ไปเสิร์ชเจอในนู้นแล้ว  เดี๋ยวตามไปอ่านในบอร์ดโน้นนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๖(ทั้งตอน) (๑๑/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 11-09-2010 06:54:20
ฮืออออ บทส่งท้ายต้องเตรียมผ้าซับน้ำตาผืนโตๆ อีกมั้ยค๊าพี่เมศ >.<
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๖(ทั้งตอน) (๑๑/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 11-09-2010 10:58:27
เรื่องสั้น จริงๆก็อยู่ในทู้เดียวกันกับ มี ไม่มี นั่นเเหล่ะค่ะ  เมศลงเรื่องสั้นรวมๆไว้ในทู้เดียวกัน

ส่วนส่งท้าย คงไม่ต้องเตรียมผ้ามาด้วย  เเต่ระวังอาการ ผงเข้าตาไว้ ก็ดีนะคะ 55+

ปล.ส่วนท่านที่ตามไปอ่านในบลอค ขอย้ำว่า ในบลอคอาจไม่ใช่เวอร์ชั่นล่าสุดนะคะ  เเต่ถ้าเป็นเวอร์ชั่นลงในบอร์ดต่างๆ จะล่าสุดเเล้ว  เเละเมศจะยินดีมาก หากจะฝากความคิดฮอด ประทับรอยจารึกไว้ว่า ผ่านเข้ามาอ่านในบลอคเมศด้วยการเมนต์ นิดหน่อย เเต่ไม่บังคับกันค่ะ

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๖(ทั้งตอน) (๑๑/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: kenshinkenchu ที่ 11-09-2010 19:14:38
โฮก.............  อ่านทันแล้วค่ะ   :-[

แบบว่าน้ำตากำลังไหลเลยอ่ะ   เสียใจนะเนี่ยะ

สะเทือนใจมาก  ไม่รู้จะเมนต์ยังไงเลย   :sad4:

ติลาทั้งโชคดีและโชคร้ายเลย

โชคดีที่คนคนนั้นเป็นคุณดิสที่มีความรักที่มั่นคงอบอุ่นให้   ประทับใจคุณดิสมากค่ะ  แบบว่าเวลาทั้งชีวิตของคุณดิสคือติลาเลย

ในขณะที่ติลาเราก็เห็นอยุ่แล้วล่ะว่าติลารักคุณดิสมาก  และถ้าเทียบกัน  วันข้างหน้าต่อไปเราก็ไม่รุ้ว่าติลาจะเป็นยังไงต่อไป

รักของติลาที่เราเห็นๆ เนี่ยะรุนแรง ลุ่มหลง แต่มันก็อาจเป็นชั่วระยะเวลาหนึ่ง

แต่เราได้เห็นแล้วว่าตลอดชีวิตของคุณดิสเป็นยังไง  ติลาโชคดีมากที่ได้รับความรักนี้จากคุณดิส

เรื่องนี้เราสงสารคุณดิสที่สุดเลยค่ะ  พอมาคิดถึงว่าช่วงเวลาห้าสิบกว่าปีที่จากกันคณดิสใช้ชีวิตทั้งๆ ผูดมัดความรักไว้กับติลา 

โห.......  เจ็บปวด  ช่างยาวนานจนน่ากลัว  เราชอบตอนที่ติลาให้แหวนคุณดิส แล้วคุณดิสบอกว่า ความรักของคุณดิส คือรักที่ต้องการให้ตลาอยู่ได้ต่อไป

โอ้ว.............  น้ำตาร่าวงเผาะๆ  ซึ้งใจมาก  กระซิกๆ  ติลาช่างโชคดีจริงๆ  :monkeysad:

ยิ่งช่วงการบรรยายบทท้ายๆ ตั้งแต่ติล่าได้เจอคุณดิสอีกครั้งนี่สะเทือนใจจนเราร้องไห้เป็นช่วงๆ เลยคะ เขียนดีมากเลย

ไม่รู้ทำไมทั้งๆ ที่ เขียนสะท้อนถึงความรักที่มากจนน่าอิจฉา  แต่ถ้าเป็นเรา เลือกได้เราจะไม่ขอมีความรักแบบนี้เลยนะ

เรารู้สึกว่าความรักและทุกข์  มันมากเกินไป เกาะกินใจเกินไป จนถ้าเลือกได้ขอไม่รุ้จักความรักนี้เสียดีกว่า

ชีวิตที่มีรักแต่พอดี  น่าจะมีความสุขมากกว่า  Y_Y  (มักน้อยอ่ะ)

แต่แหม.... จะบอกตามตรง  ไม่ชอบอีกคู่เลยค่ะ  เป็นเพราะเรามักเป็นแม่ยกนายเอกชัดเจน  

ดังนั้นถ้าตัวละครไหนที่ทำให้นายเอกช้ำใจเนี่ยะ  ไม่ว่าเค้าจะรักกันปานจะกลืนกิน ซาบซึ้งแค่ไหนเราก็ ไม่ชอบอ่ะ  ฮ่าๆ

ยิ่งประโยคนี้   โห...  อยากพุ่งเข้าไปตบหัว   ก๊ากๆ   :m16:
อ้างถึง
“แต่เธอก็ขี้เหงาพอให้ชั้นเล่นสนุกด้วยไม่ใช่หรือ”


อยากรู้จังเลยค่ะว่า ภาคต่อไปจะเป็นเรื่องของคู่ใครจะ  ออกตัวก่อนเลย  ถ้าไปเขียนคู่นิทเชต่อนี่  อ่านไม่ไหวอ่ะค่ะ  อินจัด  ยังเกลียดคู่นั้นอยู่   :laugh:


แหม... แต่ถ้าเขียนถึงคุณสมิทธ์  กับ ติลา ก็โอเค นะคะ    :o8:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๖(ทั้งตอน) (๑๑/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Paracetamol ที่ 11-09-2010 23:51:29
รอบทส่งท้าย
แฮปปี้แล้วสินะคุณคริษฐ์ - -+
ยังหมั่นไส้เฮียแกอยู่นิดๆ ตบเกรียนส่งท้าย  :fcuk:
คราวนี้ก็ตาติลาเรา
ซัมติงกะคุณสมิทธ์ก็ไม่เลวนะ  :laugh:
รอคร้าบ  :L2:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๖(ทั้งตอน) (๑๑/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 12-09-2010 00:19:32
ยินดีด้วยมากค่ะคุณคริษฐ์..กลับไปเลิฟ ๆ กับเชน่ะดีแล้วค่ะ
ไม่มีใคร(ทน)รักคุณได้เท่านิชเชแล้วนะคะ  :laugh:
เตรียมคอตตอนบัดมาสะกิดเอาผงออกค่ะ
ว่าแต่..จะมาเมื่อไหร่อ่ะคะคุณเมศ?
กอด หอม ซุกไซร้คุณเมศหลาย ๆ ที
 :o8: :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๖(ทั้งตอน) (๑๑/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 12-09-2010 00:28:38
เเหม  เห็นคนอ่านเเสดงความรักให้คริษฐ์กันเยอะขนาดนี้

อยากจะให้ปรากฏตัวในภาคต่อจริงๆ

(ซึ่งปัจจุบันยังไม่เริ่มเขียนสักกะตัวเลยค่ะ555+)
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๖(ทั้งตอน) (๑๑/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 12-09-2010 01:29:52
เเหม  เห็นคนอ่านเเสดงความรักให้คริษฐ์กันเยอะขนาดนี้

อยากจะให้ปรากฏตัวในภาคต่อจริงๆ

(ซึ่งปัจจุบันยังไม่เริ่มเขียนสักกะตัวเลยค่ะ555+)

 :กอด1: เป็นกำลังใจในการเขียนภาคต่อ
ขอคุณดิสของดิชั้นกลับมาดี๊ด๊ากับติลาในภาคต่อได้มั้ยคะ?
เรื่องคุณคริษฐ์..ดิชั้นแสดงความรักในแบบของดิชั้นเสมอค่า55+
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ตอน ๑๖(ทั้งตอน) (๑๑/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: pure_ka ที่ 14-09-2010 18:56:02
 :L1:
ชอบจังเลยค่ะ มีความสุขที่ได้อ่าน  แต่งได้ดีจริงๆเลยค่ะ  อ่านแล้วน้ำตาซึม แต่ก็มีอมยิ้มไปด้วย

ขอบคุณนะค่ะ ที่แต่งเรื่องดีดีให้อ่านกัน  จะดีมากถ้าคู่ต่อไป ไม่ใช่ คริช-เช  ไม่ใช่ไม่รักนะ แต่รับการจากลาแบบนั้นไม่ได้จริงๆ

แต่ถ้าจะให้สมิท + ติลา ก็ออกจะสงสารดิษ ไม่น้อย  ทำใจลำบากจริงๆ เลยค่ะ

ตัวละครทุกตัว  เหมาะกับบทของเค้าแล้ว  จะเอามามิกซ์จับคู่ใหม่  ทำใจอ่านยากจริงๆ เลยค่ะ

เอาเป็นว่าแล้วแต่ไรท์เตอร์แล้วกันค่ะ  ยังไงก็จะติดตามผลงานต่อไปเรื่อยๆ ขอสมัครเป็นแฟนพันธ์แท้ ด้วยคนนะค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ส่งท้าย (๑๕/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 15-09-2010 11:53:23
ส่งท้าย รักไร้กาล


   ไตติลารวบรวมตำราเรียนของตนเอง ใส่ในตู้ข้างเตียง เขามองอย่างพิจารณารายชื่อหนังสือในตู้นั้น ก่อนจะจัดเรียงเสียงใหม่ ให้เป็นไปตามลำดับอักษร  ไม่นานก็เรียงครบเป็นระเบียบเป็นที่น่าพอใจ  ไตติลาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ยิ้มให้กับห้องของตนเองที่เป็นระเบียบเรียบร้อยและสะอาดสะอ้านน่าอยู่  เหมาะสำหรับบรรยากาศของการเปิดเทอมที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า  ไตติลาตัดสินใจกลับมาเตรียมตัวสำหรับเทอมใหม่เร็วขึ้นราวสัปดาห์จากกำหนดเดิม  ทางครอบครัวเองก็เข้าใจและเคารพในการตัดสินใจ ว่าเขาต้องการเวลาเตรียมตัว   ร่างโปร่งนั้น ก้าวช้าๆบนผืนพรมหยาบๆมาหยุดลงที่กระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกตรึงไว้  ไตติลามองแบบบ้านในกระดาษตรงหน้า ด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยาย  ในอกนั้นแม้จะเจ็บแปรบ ทว่า ลึกๆในความรู้สึกนั้น กลับปะปนไปด้วยความรู้สึกของการถูกปลดปล่อย แต่นั่นก็เล็กน้อยเกินกว่าที่ไตติลาจะรู้สึกยินดีใดๆ  มือนวลนั้นเอื้อมออกไป ปลดหมุดยึดที่มุมข้างหนึ่งออก ก่อนจะชะงักด้วยเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ

“ครับ?”  ไตติลานิ่งฟังเสียงที่ปลายสายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปักหมุดยึดนั้นกลับคืนที่เดิม 

“ได้ครับ เดี๋ยวผมลงไปรับ”

“หาไม่ยากหรอกครับ เลี้ยวเข้าถนน ก็เห็นเลย อยู่ทางซ้ายมือ” ไตติลากวาดสายตาตรวจตราความเรียบร้อย อีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือซ้ายที่ประดับด้วยหยกแดงที่นิ้วนาง ขึ้นแตะขยับ  เครื่องประดับห้องชิ้นน้อยบนโต๊ะ ให้เป็นระเบียบราวกับจะไม่ให้ผิดไปแม้สักองศา


   ไตติลาหันมามองภายในห้องของตนเองอีกครั้ง ก่อนจะสวมรองเท้าแล้วก้าวยาวๆไปที่ประตูอพาร์ทเม้นต์เจ  เพื่อลงไปที่ด้านหน้าของอาคาร  หลังจากยืนรอไม่นานนัก รถยนต์คันหนึ่งก็จอดเลียบกับฟุตบาต พร้อมกันใครคนหนึ่งที่ไตติลากำลังรอ ก้าวลงมาส่งยิ้มให้

“คุณไตติลาใช่ไหม?”  ไตติลารับคำ พลางส่งยิ้ม ทั้งที่ในหัวใจไม่ได้อยากจะแย้มรอยยิ้มแม้แต่น้อย

“ทางนี้ครับ”ร่างโปร่งนั้นนำอีกฝ่ายขึ้นไปยังอพาร์ทเม้นต์เจ

“เงียบดีนะครับ”

“ส่วนใหญ่จะเงียบแบบนี้ล่ะครับ จะมีบ้างที่จะจัดปาร์ตี้แต่ไม่บ่อยนัก มีแต่มาซ้อมร้องเพลงกันตอนบ่ายบางวัน” ไตติลาพูดพลางไขกุญแจเข้าอพาร์ทเม้นต์ของตนเอง  ก่อนจะเปิดประตูให้ผู้มาเยือนเข้าไปก่อน 

“เป็นครัวกึ่งเปิด ติดกับห้องนั่งเล่น พื้นครัวเป็นกระเบื้อง ทำความสะอาดง่ายครับ”เจ้าของห้องอธิบายด้วยน้ำเสียงไม่ดังหรือเบาเกินไป  ติดจะรายเรียบไร้ความรู้สึก

“มีห้องย่อยอีกสามห้อง ห้องน้ำสองห้อง อยู่ในห้องนอนใหญ่ห้องหนึ่ง แต่ตู้ชาวเวอร์ ขอบยางกันน้ำไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คงจะต้องให้แลนด์ลอร์ดมาดูอีกทีนะครับ”   

“แล้วรูมเมตละครับ?”

“ก็ดีครับ เป็นนักศึกษาคนหนึ่ง กับอีกคนทำงานแล้ว แต่ไม่ค่อยได้กลับมานอนที่นี่บ่อยนัก”

“ขอดูในห้องคุณหน่อยแล้วกันนะครับ?”ไตติลายิ้มรับก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

“อือฮือ นี่ถ้าไม่บอก ผมไม่เชื่อนะครับว่าเป็นห้องหนุ่มโสด  ถ้าเป็นผมอยู่ เห็นจะไม่สะอาดนิ้งอย่างนี้” ผู้มาเยือนหัวเราะ ก่อนจะกวาดสายตามองห้องนั้นอย่างพึงพอใจ

“เอ๊ะ นั่นคุณร่างเองหรือเปล่า?” ผู้มาเยือน ชี้ไปยังกระดาษที่ถูกยึดไว้บนบอร์ด

“เปล่าหรอกครับ”  ไตติลาทอดสายตาสงบนิ่งมองอยู่อึดใจ ก่อนจะเบือนหน้า

“พร้อมให้ผมย้ายเข้ามาเมื่อไหร่ครับ?”  ไตติลานิ่งคิด

“ผมจะย้ายออกราวๆเดือนหน้า ช่วงต้นๆเดือน  ถ้าคุณสะดวก”

“ตกลงครับ” ไตติลาคลี่ยิ้มอ่อนๆในหน้า  ด้วยหัวใจเย็นเยียบ


   ไตติลาทอดสายตามองที่สุดถนน ณ จุดที่ผู้มาเยือนของตนได้ขับรถจนลับสายตาไป   พลางคิดไปว่า จะจัดการกับบ่ายวันนี้อย่างไรดี  ไตติลาเดินกลับไปไขตู้ไปรษณีย์ของอพาร์ทเม้นต์เจ  กวาดโบรชัวร์โฆษณาและจดหมายจากธนาคารออกมา เสียงลากกระเป๋าเดินทางทำให้ไตติลาเงยหน้าขึ้นมอง  ร่างสูงคุ้นตาไตติลาก้าวเดินลงบันไดหน้าอพาร์ทเม้นต์ ก่อนจะหันไปยกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่  เพื่อนำไปใส่ในกระโปรงท้ายของรถแท็กซี่ที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามของอพาร์ทเม้นต์   

   ไตติลาพอจะรู้มาบ้างว่าคริษฐ์จะย้ายกลับไปประจำสาขาที่ประเทศไทยอีกครั้ง  ไตติลาเห็นดีด้วย  อย่างน้อย คริษฐ์จะได้อยู่ใกล้ใจมากกว่าอยู่ที่นี่  ให้ไม่ทำร้ายใครๆ หรือไม่ถูกใครทำร้ายๆ อย่างที่ไตติลาเคยทำ  และเคยถูกกระทำมาก่อน ไตติลาไม่ได้ร้องทักใดๆ เพียงแต่ยืนมองคริษฐ์เงียบๆ จนรถแท็กซี่คันนั้นเคลื่อนออกไป ไตติลาจึงหยิบโทรศัพท์ของตัวเอง พิมพ์ข้อความสั้นๆส่งให้ชายหนุ่มที่กำลังออกจากชีวิตไตติลาไปเสียอีกคน

‘sorry…for  everything’  ไตติลาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงตนเอง พลางเดินกลับขึ้นที่พักของตนเองบ้าง  ทั้งอาคารเงียบสงัด ราวมีเพียงไตติลาอาศัยอยู่คนเดียว ราวกับมีเพียงไตติลาเท่านั้น ที่ต้องวนย้อนกลับมาสู่กับดักที่ไม่อาจสลัดหลุดได้โดยง่าย...ทั้งที่แม้แต่คริษฐ์ กลับจากไป เพื่อพบความสุข ในขณะที่ตนเองแม้แต่จินตนาการยังไม่อาจทำได้

   ไตติลาอยากจะหลอกตัวเอง ทว่าทำไม่ได้  หัวใจกลับเฝ้าตอกย้ำ ว่ากษิดิสที่เป็นเจ้าของหัวใจไตติลาทั้งหมด  ลาลับจากโลกนี้ไปแล้ว  โดยที่ไตติลาไม่แม้แต่จะไปร่วมไว้อาลัยครั้งสุดท้าย  เพียงเพราะความอ่อนแอในหัวใจตนเองที่ไม่อาจทานทนต่อความจริงนั้น ทว่ากลับไม่อาจหลอกตัวเองได้เช่นกัน  ร่างโปร่งนั้นเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของใครอีกคน เคยเป็นที่ๆ ทำให้ทั้งสองมาพบกันด้วยเพราะเวลาเกิดบิดเบือน  ไตติลาหยุดยืนมองลายเส้นในกระดาษที่ถูกตรึงไว้อีกอึดใจ  ก่อนจะค่อยๆถอนหมุดที่ตรึงไว้ ออกทีละตัว

เขาพับกระดาษใบนั้น ความเก่าจนเหลืองกรอบทำให้กระดาษฉีกขาด  ทว่าไตติลาไม่สนใจ กลับพับมันต่อไปจนสุดท้าย กระดาษใบนั้นกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยที่ไม่อาจรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้อีก  เขาทอดสายตามองเศษกระดาษนั้น ด้วยความรู้สึกสงบนิ่งราวกับไม่รู้สึกรู้สา ก่อนจะตวัดสายตาขึ้นมอง ภาพถ่าย ที่เคยเป็นรูปคู่กัน บัดนี้มีเพียงใบหน้าของตนเองเท่านั้น ในขณะที่ใบหน้าคมสันที่ไตติลานึกรักกลับกลืนหายกลายเป็นสีขาวทั้งหมด  มือนวลถือรูปนั้นไว้ในมือ  ทอดมองเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย  แล้วทิ้งทุกอย่างลงในถังขยะ โดยไม่รู้สึกใดๆอีก  นอกจาก.......ความว่างเปล่า

ไตติลาเตรียมอาหารคำของตนเองอยู่ในห้องครัว   ด้วยสูตรอาหารอย่างง่ายๆที่ปริ้นท์ออกมาพลางเงี่ยหูฟังเสียงเพลงจากเพื่อนร่วมอพาร์ทเม้นต์ที่มักรวมกลุ่มกันร้องเพลงในวันว่าง  มือนวลหยิบจับเครื่องครัวอย่างทะมัดทะแมง  สายตาของไตติลาสะดุดกับแหวนหยกแดงที่สวมไว้ที่นิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง  ก่อนจะหยิบมีดขึ้นหั่นผักสำหรับปรุงอาหาร ทว่าเสียงออดหน้าประตูดังขึ้นเสียงก่อน  ไตติลาจึงพละไปเปิดประตู


   สมิทธิ์ ไทสรรค์ กำลังจ้องมองไตติลาราวกับจะค้นหา  สายตานั้นทอดมองมาอย่างห่วงหาระคนหวาดหวั่น  สำหรับคนที่เสียคนรักไป จนไม่อาจทำใจได้แม้แต่มาร่วมงานพิธี และเลือกที่จะหนีหายไปเสียเฉยๆอย่างไตติลาที่เขาพบที่เมืองไทย  กับไตติลาที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขานี้ ต่างจากที่เขาคาดไว้มากนัก ดวงตาคู่นั้น ไม่ได้สื่อถึงความเศร้าโศกรวดร้าว ไม่ได้แสดงรอยแห่งความคร่ำครวญ มีเพียงความสงบนิ่ง เดียวดาย และอ้างว้างสะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น

“เข้ามาสิ”  ไตติลาเชื้อเชิญ ทว่าร่างสูงนั้นกลับนิ่งงัน

   มือแข็งแรงคู่นั้น ยืนออกไปแตะแก้มนวลเบาๆ  ก่อนจะโอบไหล่บางมากอดไว้แนบอก โดยไม่มีใครปริปากพูดสิ่งใด   ไตติลาไม่แม้แต่ยกมือขึ้นสัมผัสตอบ กลับทิ้งมือทั้งสองข้างลงข้างกาย  จมูกได้กลิ่นเครื่องหอมจากเรือนผมและจากเสื้อสีดำของสมิทธิ์สวมใส่  กลิ่นของมันคุ้นเคยในความรู้สึก...ไตติลาแน่ใจว่ามันคือกลิ่นธูป ความรู้สึกเจ็บร้าวที่ไม่รู้ที่มาแล่นพรูขึ้นจับหัวใจไตติลา แม้จะอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงนั้น ดวงตาของไตติลากลับรื้นด้วยน้ำตา  ทว่าไม่อาจหยาดหยด

อะไรเอ่ย?.....มีก็เป็นทุกข์ไม่มีก็เป็นทุกข์

อะไรเอ่ย?...ยิ่งวิ่งหนียิ่งเข้าหา

อะไรเอ่ย?....ยิ่งโหยหากลับขาดแคลน






สำหรับไตติลาแล้ว คำตอบคือ.....ความรัก






ภาคต่อคงไม่มาเร็วนักนะคะ  เพราะว่าช่วงนี้เข้ายุคมืดของเมศละ ยุ่งหัวหมุน กว่าจะค่อยสงบ ก็คงกลางเดือนหน้าเป็นอย่างเร็วค่ะ ยังคงฝากความคิดเห็นเเละฟามคิดถึงกันได้เรื่อยๆนะคะ เมศเข้ามาดูบ่อย(อู้งานนั่นเอง)

ยินดีรับฟังทุกความเห็นนะคะ

หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ส่งท้าย (๑๕/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 15-09-2010 11:58:12
อ่านแล้วปวดแปลบในอก..ติลาเข้มแข็งจัง
ยินดีกับคริษฐ์นะคะ..ที่กลับมามีหัวใจได้อีกครั้ง
สมิท..มาหาติลาด้วยความรู้ใดกันหนอ?
รอคุณเมศมาบอกในภาคสองนะคะ
แต่ก็ยังแอบหวังค่ะ..ว่าคุณดิส(ของดิชั้น)จะกลับมาเลิฟ ๆ กับติลาในภาคต่อนี้
ความหวังอันริบหรี่..คุณเมศจะทำให้มันเป็นจริงได้มั้ยคะ?
 :pig4: :กอด1: :impress:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ส่งท้าย (๑๕/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: humanculus ที่ 15-09-2010 12:40:28
สงสารไตติลา  เหมือนตัวเองยังงัยยังงั้นเลย   ช่างกล้า เอิ้กกกกกกก
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ส่งท้าย (๑๕/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 15-09-2010 13:01:04
ภาคต่อไปไม่ต้องมีคริสก็ได้  แค่ภาคนี้ภาคเดียวก็จี๊ดใจมากพอแล้วค่ะ
ภาคต่อไปขอเป็นสมิทกับติลานะคะ  คงคิดถึงติลามาก ๆ ถ้าไม่มี
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ส่งท้าย (๑๕/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: heavenly**yaoi ที่ 15-09-2010 17:19:41
จบเศร้า เง้อ   ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย  ภาคต่อ จบสวยใช่มั้ยค่ะไรท์เตอร์
ไม่อย่างงั้น ไรท์เตอร์จะจบไม่สวยน้า 555+
ไตติลา กับ กษิดิส เป็นรักไร้กาล เฮ้อ~
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ส่งท้าย (๑๕/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: pure_ka ที่ 15-09-2010 18:41:41
 :กอด1:

กอดเป็นกำลังใจให้ติลา สู้ๆ ต่อไป

หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ส่งท้าย (๑๕/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: Paracetamol ที่ 15-09-2010 20:29:32
จบเศร้านะ
รอภาคต่อ :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ส่งท้าย (๑๕/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 15-09-2010 22:13:16
เพิ่งจะดีใจกับคริษฐ์และนิทเช ที่พบสิ่งที่ตัวเองต้องการและยังได้อยู่กับสิ่งนั้น

มาเจอพาร์ทของ ติลา เศร้าซะหาทางไปไม่ถูกเลย  :m15:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ส่งท้าย (๑๕/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 15-09-2010 22:40:54
อ่านแล้วน้ำตาซึมเลยค่ะ คิดถึงคุณดิส สงสารติลาด้วย
ส่วนคุณคริษฐ์กับนิทเช อันนี้ดีใจมากๆที่กลับมาคุยกันด้วยดี
ประทับใจค่ะ ขอบคุณมากๆสำหรับภาคนี้ เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ส่งท้าย (๑๕/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: อิสระ ที่ 15-09-2010 23:59:46
พยายามสะกดใจไม่กดอ่านเรื่องนี้เพราะรู้ว่าต้องม่าม่าบิ๊กแพคแน่ๆ
แต่....วันเหงาๆอดใจไม่ไหวเผลอกดเข้ามาอ่านแล้ว.....
โอย....ทั้งเหงาทั้งเศร้าทั้งซึ้งเหมือนดูตำนานรักดอกเหมย
เสียน้ำตาดังที่คาด
ดีที่อ่านอยู่ในห้องไม่ได้อ่านอยู่ในร้านไม่งั้นคงโดนหาว่าบ้าแหง
อ่านแบบรวดเดี๋ยวแบบอ่านเอาอารมณ์ด้วยไม่ใช่แค่รีบๆอ่านรีบๆตามให้ทัน
เลยใจระบบตามติลาไปเต็มๆ
ไรเตอร์จ๋า ภาคสองขอให้น้องติลาได้เจอกับความสุขสมหวังบ้างเถอะ
นะ  นะ  นะ
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ส่งท้าย (๑๕/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: kenshinkenchu ที่ 16-09-2010 01:40:57
ความจริงอ่านจากบล๊อคล่ะ
แต่เมนต์เสริมสร้างกำลังใจกันสักหน่อย  :laugh:

เราชอบตอนสุดท้ายที่เขียนบรรยายว่าคุณสมิทธ์ใส่ชุดดำ และ ได้กลิ่นธูป

แบบว่าสะท้อนใจเหลือเกิ๊น...

ว่าคุณสมิทธ์เห็นติลาสำคัญแค่ไหน

เสร็จงานศพไม่แม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า  ก็รีบบินมาหาติลาแล้ว

จิ้นไปไกล  หวังว่าติลาคงมีความสุขกับรักใหม่   :-[
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ส่งท้าย (๑๕/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 16-09-2010 01:52:21
+1 ให้เมศ ชอบเรื่องนี้ แล้วจะรออ่านภาคต่อ
จริงๆก็อยากอ่านงานใหม่ๆของเมศด้วยเหมือนกันแล้วจะรออ่านน๊า
ของยุคมืดสว่างสดใสไวๆนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ส่งท้าย (๑๕/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 16-09-2010 13:10:24
จบแบบสุขอย่างมีความทุกข์ สงสารติลา อยากให้ก้าวเดินต่อไปแบบมีความสุขบ้าง
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ส่งท้าย (๑๕/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 18-09-2010 14:47:50
อู้ววว ย้ายๆ
ขอบคุณเเอดมินค่ะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ส่งท้าย (๑๕/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: faareeyong ที่ 18-09-2010 21:35:40
อินฟินิตี้ ความหมายดี

ชอบชื่อไตติลามาก  เวลาเรียกก็ ติลาๆ

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ  >_<
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ส่งท้าย (๑๕/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 19-09-2010 16:39:17
โห...เศร้าจัง

แล้วสมิทจะสมหวังไหมน๊อ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล ส่งท้าย (๑๕/๐๙/๕๓)
เริ่มหัวข้อโดย: coffin ที่ 24-09-2010 21:42:07
ชอบติลาอะ น่ารักดี
ชอบๆๆเรื่องนี้  o13 :really2:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: phoeniix ที่ 26-09-2010 23:37:13
เศร้าจัง
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 27-09-2010 14:39:56
เข้ามากอดคุณเมศค่ะ
ดิชั้นคิดถึงคุณดิสค่ะ(มากกกกกก)
ยังรอคอยภาคต่อของติลากับคนที่คุณเมศก็รู้ว่าใคร
เลิฟเลิฟค่ะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 27-09-2010 21:27:46
เศร้าจริงๆเลย ผัดไทอ่านแล้ว ร้องไห้ไปกับติลาจริงๆ T^T~~!!~ 
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 04-10-2010 00:41:21
อ่าห์ เมศเเอบดูที่เขาโหวตรางวัลกัน

เห็นชื่อตัวเองด้วย

ว้าว  :call:

ขอบคุณมากค่ะสำหรับการโหวตให้นะคะ รางวัลไม่ได้สำคัญอะไร ถ้าเทียบกับที่คนอ่าน ยัง

 คิดถึงผลงานของคนเขียน หรือตัวคนเขียนเองนะคะ

LOVE LOVE ค่ะ
 :L1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: Rina ที่ 04-10-2010 02:22:24
เรื่องนี้จะเศร้าก็เศร้า จะสุขก็สุข
แต่ว่าบางครั้งชีวิตเราไม่ได้เลือกเอง แต่พรหมลิขิตที่ทำให้พบ
ว่าแต่สมิทคิดไรกับติลาป่าวเนี่ย
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 16-10-2010 12:57:00
คิดถึงติลาเเล้วๆ


ปล.บอกตรงๆ ว่าเข้ามาปั่น เหอๆๆๆ :sad4:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 16-10-2010 21:24:55
 :z13: คุณเมศเบาๆ
คิดถึงติลาเหมือนกันค่ะ..แต่คิดถึงคุณดิสมากกว่าหลายเท่านัก *กระซิก*
ยังคงรอคอยเสมอนะคะ
 :กอด1:


ปล.โหวตเพราะชอบจริงๆค่ะ  ดิชั้นจำได้ว่าเคยสารภาพไปแล้วว่าชอบงานเขียนของคุณเมศ(เลยชอบคนเขียนไปด้วย) แอร้ยยยยยยยยยยยยย -///-
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: NannY ที่ 29-10-2010 06:42:10
โอ๊ยยยยย ไม่ไหวกะเรื่องนี้ทำเอาเสียน้ำตาเป็นปีบ บีบหัวใจมากมายตอนที่ติลาไปหาคุณดิส สงสารมาก T^T

ยังไงก็จะรอภาคต่อนะคะ สมิทธ์สู้ๆ นะเอาติลาคนน่ารักสดใสกลับคืนมา

ตอนแรกแอบเชียร์คุณคริษฐ์นะเนี่ย ทำแบบนี้กำลังติลามันน่า!!!  :beat:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 06-12-2010 07:15:15
แวะเข้ามารวบกอดติลา  คุณดิส(ของดิชั้น -/////-)  และ...

คุณเมศ   :กอด1:

ยังคง(นอน)รออยู่เสมอนะคะ(กดดันนนนนนนนนนนน555+)

 :-[
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 07-12-2010 21:55:11
คือคิดถึงติลาเหมือนกัน เเต่ยังไม่สะดวกจะเขียนเลยค่ะ พอดีทำซีเนียร์โปรเจคยุ่งๆมึนๆ

ไว้ทางสะดวกเมื่อไหร่จะให้ติลาสมหวังเเฮปปี้ดี้ด้าให้ได้ค่ะ

ขอบตุณสำหรับการติดตามนะคะ เเม้ว่าเมศจะไม่ได้มีงานใหม่ๆออกมาเลย เเต่คนอ่านก็ยังคิดถึงกัน ก็น่าชื่นใจค่ะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 10-01-2011 09:49:31
 :กอด1:
กอดคุณเมศเบา ๆ และสวัสดีปีใหม่ย้อนหลังด้วยนะคะ
ขอให้คุณเมศมีความสุขทุกวันจนถึงปีใหม่ของวัย  70 เลยทีเดียว --+
งานและเรียนรุ่ง  มีเวลาจิ้นติลาได้สะดวกโยธิน(หนีบคุณดิสมาด้วยนะคะ..จิคิดถึง-//-)
รอได้เสมอค่ะ(จริงจัง!)
 :mc3: :mc2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: fay_13 ที่ 18-01-2011 15:00:44
อ่านแล้วเศร้ามาก...ติลาน่าสงสารเจอคนเลวซ้ำๆซากๆ :monkeysad:

พอเจอคนที่รักก็ยังต้องแยกจากด้วยกาลเวลาอีก  :serius2:

กระซิกๆๆๆ  :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 25-01-2011 23:02:40
ตามมาจากเรื่อง INTERMEZZO แต่สารภาำพว่าตอนนี้หมดแรงอ่านแล้ว เหอะๆ อะไรชีวิตมันจะเศร้ารันทดขนาดนั้น ได้แค่ห้าหน้าเองง่ะ รับม่ายไหวแระ ไม่ถนัีดแนวดราม่า 555 เรื่องหน้าเจอกันจ้า
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 03-02-2011 08:06:39
เป็นแฟนเลยละค่ะ ตามหาอ่านเรื่องอื่นของคุณคนเขียนด้วย
อ่านไปน้ำตาไหลพรากๆ ยิ่งอ่านเวลาชีวิตรันทดเนี่ยมันอินสุดๆเลยนะคะ สุดยอดค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 05-02-2011 21:06:27
อ่านแล้วจี๊ดไปถึงใจเลย  ความเจ็บปวดที่อบอุ่นอ่อนหวาน :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 09-04-2011 14:02:08
วันนี้จิว่างเลยแวบมาอ่านซ้ำอีกรอบ
รอวันคุณเมศว่างนะคะ
 :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 27-05-2011 15:18:12
 :กอด1:
.
.
.
คิดถึง..






















คุณดิส











 :o8: :jul3: 
ล้อเล่นค่ะ  คิดถึงคุณเมศต่างหาก  จิยังรอติลาให้สมหวังซักครั้งนะคะ  กับใครก็ได้ค่ะ  ถ้าคุณดิสกลับมาได้จะดีมาก555+  รอค่าาาาาา
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 27-05-2011 19:15:19
ขอบคุณที่ยังคิดถึงค่ะ
จริงๆเขียนต่อเเล้วนะคะ เเต่ว่าสปีดเต่ามาก เลยยังไม่ได้ลงอ่ะค่ะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 01-06-2011 10:07:00
 :z13:
 :กอด1:
 :z2:
เต่าแค่ไหนก็รอค่ะ
คิดถึงงงงงงงงงงง
อร้างงงง
>///<
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 31-08-2011 15:40:41
เข้ามากอดค่ะ 
จิคิดถึงนะคะ  คิดถึงหนุ่ม ๆ ยังคงรอคอยภาคต่อที่จะได้เห็นติลาสมหวังกับใครสักคนที่คุณเมศรู้เพียงผู้เดียว แล้วจิก็คิดถึงคุณเมศมาก ๆ ด้วย 
อ่านไปแล้วหลายรอบ จิก็ยังอยากชิมน้ำแกงจากช้อนในมือคุณดิสอยู่ดี >///<
:กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 02-09-2011 12:35:27
จะผ่านมาตอบหลายวันเเล้ว ปรากฏว่าลืมรหัสลอคอินของบอร์ดนี้เฉยเลย เเง๊~ :sad4:
ผ่านมาฝากข่าวว่า ถ้าใครเล่นทวิตเตอร์ ตามไปทวีตปี๊ดปิ้วกันได้ที่ @panuMEZZparang นะคะ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 11-09-2011 10:48:13
 :z13: :กอด1: :z3:
จิไม่มีทวิตปิ้ดปิ้วอ่ะ  กระซิก  ส่งพลังจิตหาได้อย่างเดียวอ่ะ TT
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 11-09-2011 13:55:31
คิดถึงนะครับ
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 16-05-2012 15:44:40
ขุดขึ้นมา!
จับคุณเมศมาปัดฝุ่นแล้วกอดแน่น ๆ
คิดถึงนะคะ
คิดถึงติลาภาคสอง  เปล่ากดดันค่ะ  แอร้ยยยยยยยย
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: obab ที่ 19-05-2012 05:50:26
Just say only one word "หน่วง!"  :m2:
55 นึกว่าติลาจะกลับมาคู่กับคริษฐ์ซะแล้ว แอบเชียร์เบาๆ :m8:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: aezac ที่ 19-05-2012 08:33:32
คิดถึง
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: Jaajaa ที่ 08-10-2012 22:55:17
กลับมาต่อเถอะค่ะ :sad4:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 17-10-2012 02:39:24
สนุกจริงๆ ชอบมากๆค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 04-07-2013 13:51:43
กอดคุณเมศด้วยคิดถึง
วันนี้จิอ่านนิยายเรื่องหนึ่งมาค่ะ  พระเอกเขาชื่อ 'ตาลาไต'  เลยคิดถึงติลาของคุณดิษฐ์
ภาคสองกับสปีดเต่า  เรายังคงจำได้อยู่นะคะ  รออยู่เสมอ 
คิดถึงมากนะคะคุณเมศ
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: Umiko ที่ 16-08-2013 12:55:19

เศร้าจริง....

หัวข้อ: Re: อะกาลิโก..รักไร้กาล
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 24-06-2017 18:24:47
 :mew1: