=== ตอนที่ 34 ===
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นน้องบีก็แทบจะห่างจากผมไปเลย ไม่วิ่งเข้ามากอดหรือมาอ้อนเหมือนที่เคย แถมยังเดินออกห่างจากผมด้วย ร้านสะดวกซื้อที่เคยไปด้วยกันน้องก็เปลี่ยนเป็นไปกับอ้นแทน เวลาซ้อมที่มีการจับคู่น้องก็ไม่มาจับคู่กับผมแต่กลับไปจับคู่กับอ้น มิว ต้นกล้าหรือไม่ก็น้องว่านแทน เวลาพักบีก็ไม่มานั่งอ้อนผมแล้ว จะมีก็แค่อ้นที่มานั่งเล่นเหมือนเดิม เวลาเข้าแถวเตะแป้นบีก็ไม่มายืนหน้าผม พอเดินเข้ามาหาน้องก็วิ่งห่างออกไปราวกับจะหนีผม ผมรู้สึกอึดอัดแปลกๆ ยังไงไม่รู้กับความรู้สึกตอนนี้ มันเหมือนมีอะไรสักอย่างที่สำคัญมากๆ ในชีวิตผมหายไป ตลอดเวลาการฝึกซ้อม ผมจะคอยหันมองบีแทบจะตลอด บางครั้งผมก็สังเกตว่าน้องเองก็มีหันมามองผมบ้างเป็นระยะๆ จนกระทั่งเลิก ปรกติบีจะต้องวิ่งมาหาผมแต่วันนี้ไม่ บีเดินไปหยิบกระเป๋าแล้วไปวิ่งเล่นกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆที่จับกลุ่มเล่นกันอยู่แทน ระหว่างที่ผมนั่งมองน้องอยู่นั้น ตองก็เดินมานั่งลงข้างๆผม
“พี่เอ น้องบีเป็นไร ช่วงนี้ดูแปลกๆ” ตองพูดขณะที่สายตาของตองก็มองไปทางน้องบี
“ไม่รู้ซิ........”“ปรกติน้องไม่ห่างพี่แบบนี้นี่นา หนูว่าช่วงนี้น้องแปลกๆไปนะพี่ว่าป่ะ?” ตองหันมามองหน้าผม
“อืม...นั่นซิ....สงสัยจะเป็นหนุ่มแล้วมั้ง” ผมตอบคู่สนทนาผ่านๆ ไป ความจริงในใจผมก็พอจะเดาได้คร่าวๆ
“เกี่ยวเหรอพี่ เป็นหนุ่มเนี่ยนะ” ตองทำหน้าตาสงสัย
“อืมม พี่ว่าช่วงนี้บีเงียบๆลงนะ ดูสุขุมขึ้นยังไงก็ไม่รู้”“พี่....อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ.....”“.....” ผมหันไปมองหน้าตอง
“หนูว่าน้องแปลกๆไป ตั้งแต่หลังจากวันที่น้องไปบ้านพี่เมื่อหลายวันก่อนหน่ะ” เด็กหญิงก็พูดในสิ่งที่ผมกำลังคิดออกมาในที่สุด
ตองพูดจบก็เอามือวางบนขาผมเบาๆ รู้สึกเหมือนเป็นการปลอบใจยังไงก็ไม่รู้ เพราะที่น้องตองทำอยู่มันทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อยๆถึงจะไม่ได้พูดเรื่องราวออกไปก็ตามที
“พี่...หนูถามจริง”“อะไรเหรอ” ผมหันมองหน้าน้องเค้าพลางเลิกคิ้ว
“พี่ทำอะไรน้องป่ะ ?” พูดจบตองก็หันตัวมาหาผม แล้ววางมืออีกข้างลงมาที่ขาผม สายตาน้องมุ่งมั่นมากๆ
“.....เปล่า” ผมหลบสายตามุ่งมั่นของน้องเค้า ครับ ผมกำลังโกหก
“จริงเหรอพี่” ตองทำเสียงเข้มขึ้นมาราวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวนที่กำลังสอบปากคำจำเลยอยู่ แถมยังสายตาจริงจังแบบนั้นอีก
“จริง.....” ผมยังยืนยันคำตอบเดิม แต่คราวนี้ไม่หลบสายตาแล้ว
“เฮ้อ......” ตองถอนหายใจก่อนจะผละตัวเองมานั่งพิงกำแพงท่าเดียวกับผม
“.....”“พี่.....เดี๋ยวหนูชวนน้องไปซื้อน้ำ พี่ไปยืนรอตรงร้านข้าวมันไก่นะ” ตองหันมาพูดกับผม
“.....รอทำไมเหรอ” “โหย...พี่อะ.......วันนี้ร้านเค้าไม่ได้ขาย ใช่ป่ะ พอขากลับผ่านร้านข้าว พี่ก็มากอดน้องเลย”“......” ผมแปลกใจกับความคิดของสาววายคนนี้จริงๆ จนพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว
“ไม่ต้องกลัวน่าพี่ มันมีมุมมืด ไม่มีคนเห็นหรอก” ตองยังคงอธิบายแผนการของเธอต่อไปครับ
“จะดีเหรอ” แต่ในใจผมกำลังคิดว่าลองดูซักหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง
“เชื่อหนูน่า” พูดจบตองก็แสดงสีหน้าถึงความมั่นใจ
รอยยิ้มมุมปากที่ผมเห็นทำให้ผมรู้สึกว่า......นอกจากอยากให้ผมกอดน้องแล้ว....ผมว่าตองเองก็ยังมีหวังเรื่องอื่นอยู่.......หลังจากนัดแนะกันเสร็จตองก็ไปชวนบีไปร้านสะดวกซื้อตามแผนที่ตองวางไว้ พอน้องออกพ้นยิมไปผมก็เดินตามออกไปยืนรออยู่ตรงร้านข้าวมันไก่ ไม่นานเท่าไหร่ตองกับบีก็เดินกลับมา ผมยืนมองอยู่เงียบๆ พอใกล้มาถึงร้านตองพยายามเดินเบียดๆบีให้ชิดในฟุตบาทให้มากที่สุด แล้วเมื่อบีเดินมาถึงผมก็ออกมา บีทำหน้าตกใจเล็กน้อย แล้วหันไปมองตองทันทีก่อนจะส่งสายตาอาฆาตใส่ตองไป ตองทำเป็นไม่สนใจเดินกลับเข้ายิม
“บี” ผมเรียกน้องบีเบาๆ ในใจก็กังวลไปต่างๆ นานา
“....” เด็กหนุ่มละสายตาจากการจ้องรุ่นพี่ที่เดินเข้าไปในยิม แล้วหันกลับมามองผมแทน
“เป็นอะไร” ผมถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจนักว่าคู่สนทนาอยากจะคุยกับผมหรือไม่
“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร” น้ำเสียงของบีเย็นชา...ไม่เหมือนที่เคย สายตาของน้องก็ไม่ใช่แบบที่ผมรู้จัก
“บี.....บีโกรธพี่เหรอ....พี่....พี่....ขอโทษ” ผมพูดจบก็เอื้อมมือไปจับมือบีทันทีที่จับมือ น้องก็หันมาหาผมทันที
“พี่เอ!!” น้องขึ้นเสียงให้ผมรู้ว่าเค้าไม่พอใจ ถึงเสียงนั้นจะไม่ดังเท่าไหร่แต่ก็ทำเอาผมใจเสียไปเลยทีเดียว
“...” ผมจับมือน้องไว้แบบนั้น
ก่อนจะปล่อยมือ พอผมปล่อยมือบีก็เดินเข้ายิมไป เหลือแค่ผมคนเดียวที่ยืนอยู่ในมุมมืดเพียงลำพัง ผมไม่โทษน้องที่น้องเป็นแบบนี้ผมได้แต่โทษตัวเองที่ทำเรื่องแบบนั้นกับน้องไป ผมไม่เคยถามน้องด้วยซ้ำว่าน้องชอบผมไหม หรือ น้องคิดยังไงกับผม.....ผมคิดเข้าข้างตัวเองว่าน้องก็มีใจ ใช่ครับผมเคยบอกชอบน้องไปแต่น้องไม่ได้ตอบอะไรกลับมา....ซึ่ง....ที่น้องไม่ตอบ....อาจเพราะเกรงใจที่จะตอบกลับมา เพราะคำตอบอาจไม่ใช่อะไรที่ผมอยากได้ยิน มาคิด ณ เวลานี้.....น้องอาจมองผมเป็นแค่
“พี่ชาย” คนหนึ่งก็ได้ แล้ววันเวลาที่น้องทำตัวเย็นชากับผมเริ่มผ่านไปอย่างช้าๆ ซึ่งผมก็ทำได้แค่เพียงหวังว่าวันหนึ่ง..........น้องจะกลับมาเหมือนเดิม เป็นน้องบีคนที่ผมเคยรู้จัก
---------------------------------------“เอานักเรียนเงียบก่อน” เสียงพี่ป้อมพูดขึ้นเพื่อให้น้องๆที่กำลังคุยกันจ้อกแจ้กจอแจเงียบลง
“สอบสายพรุ่งนี้ให้มาตอน 10.00 น. นะ แต่งชุดมาให้เรียบร้อย ถ้าใครแต่งชุดไม่เรียบร้อยครูไม่ให้สอบจริงๆด้วย”“#$*&*(*$#๖฿๓$#^O” คำถามร้อยแปดจากน้องๆก็ดังขึ้นมาระงมจนฟังไม่รู้เรื่องเลยว่าใครพูดว่าอะไร
ผ่านมาเกือบสองอาทิตย์แล้ว........บีก็ยังคงเย็นชาใส่ผมเหมือนเดิม ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาเหมือนเดิมได้เลย ป๊าน้องบีจะคอยมารอรับน้องบีตั้งแต่ก่อนหนึ่งทุ่มตลอดทุกวัน ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นแบบนี้เลย หลายต่อหลายครั้งป๊าน้องบีต้องโทรตามน้องบีด้วยซ้ำ แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันที่ป๊าน้องบีมานั่งรอ เฮ้อ....พรุ่งนี้น้องๆก็สอบสายแล้วซินะ ผมเองก็ปิดเทอมแล้ว คงต้องไปช่วยงานคุณแม่ที่ต่างจังหวัดพักใหญ่ๆ......ยังไม่มีใครในยิมรู้เรื่องนี้ ผมว่าจะบอกหลังจากที่น้องๆสอบสายเสร็จ ซึ่งตอนนั้นเหลือแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ผมจะเดินทาง คืนนั้นหลังจากผมกลับมาถึงบ้าน ผมก็เก็บข้าวของเครื่องใช้ใส่กระเป๋าจนเรียบร้อยก็ปาเข้าไป 5 ทุ่มเศษๆ ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ขึ้นห้องนอน แล้วก็ล้มตัวลงนอนกลิ้งไปกลิ้งมาก่อนจะนอนมองโทรศัพท์ ใจหนึ่งผมก็อยากโทรหาน้อง แต่อีกใจก็คิดว่า....ไม่ดีกว่า เพราะมันอาจทำให้อะไรๆแย่ลงเหมือนคราวก่อนก็ได้
เช้าวันต่อมา.......ผมลุกไปยิมตั้งแต่ช่วงเกือบๆ 9 โมงเช้า มาถึงผมก็จัดยิมไว้สำหรับต้อนรับอาจารย์ที่จะมาสอบสายให้ แล้วก็เตรียมแผ่นไม้ที่น้องๆต้องใช้สอบในวันนี้ ขณะที่กำลังจัดของอยู่ น้องๆหลายคนก็เริ่มทยอยมาเรื่อยๆ จนประมาณ 09.45 น. บีก็มา
“พี่เอ!!” มีเสียงตะโกนเรียกผมมาจากหน้ายิม ผมจึงหันไปมองทางต้นเสียง ทันทีที่เจ้าของเสียงสบตากับผมก็เอามือขึ้นมาปิดปากไว้ราวกับว่าเมื่อกี้เผลอลืมตัว ผมส่งยิ้มให้บี บีรีบหันหน้าหนีก่อนจะวิ่งไปจับคู่ซ้อมเตรียมสอบในช่วงสุดท้ายกับว่าน จนเวลาประมาณ 10.15 น. อาจารย์กบก็มา แล้วเริ่มขึ้นด้วยการพูดคุยอย่างเป็นกันเองก่อน ตามด้วยการวอร์มตามแบบพออบอุ่นร่างกาย ก่อนจะเริ่มสอบไล่สอบจากสายขั้นต่ำที่สุดและอายุน้อยที่สุดของสายขั้นนั้นๆ โดยจะออกมาสอบครั้งละไม่เกิน 8 คน (บางยิมอาจแค่ 4 คน ขึ้นอยู่กับอาจารย์ด้วย) อาจารย์ผู้สอบสายจะนั่งอยู่หน้ายิมครับ ส่วนคนที่รอสอบหรือสอบเสร็จแล้วจะนั่งเป็นแถวรวมกันอยู่หลังยิม พื้นที่ที่เหลือส่วนใหญ่ที่เหลือก็สำหรับผู้สอบสายครับ เวลาผ่านไป ผู้เข้าสอบสายคนแล้วคนเล่าถูกตำหนิ ถูกว่า และถูกดุกันทั่วหน้า ใครที่สอบผ่านไปแล้วก็โล่งใจ ใครกำลังรอสอบก็ทำหน้าเครียดกันมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัด จนถึงตาของน้องบี
เป็นตามคาดหมายถึงช่วงสอบท่าเตะ น้องบี ถูกติตำหนิหลายจุดมาก รวมถึงว่านกับต้นกล้าด้วย อาจารย์กบเห็นเค้าก็ทำหน้าตาเซ็งๆ ก่อนจะออกมาเตะให้ดู ซึ่งตอนนั้นอาจารย์กบคงอยากให้น้องๆคนอื่นดูด้วย เลยเดินไปทางหลังยิม ส่วนบี ว่าน และต้นกล้ายังคงยืนอยู่เกือบๆหน้ายิมเช่นเดิม โดยที่ว่านกับต้นกล้าหันกลับไปทางหลังยิมแล้ว แต่ขณะนั้นบียังไม่ถูกสั่งให้หันหลัง จึงกลายเป็นว่ามีบีเพียงคนเดียวที่ยืนหันหลังให้อาจารย์กบ
“เอาดูนะ ท่า Swing Back kick เนี่ย มันเป็นท่าที่มันต้องเหวี่ยงขามาแบบนี้ สะบัดแบบนี้ ให้เป็นเส้นตรง” อาจารย์กบเริ่มสอนและสาธิตท่าเตะให้น้องๆดู
“เห็นม๊ะ แล้วมันก็จะเป็นแบบนี้” อาจารย์กบสอนไปพลางทำท่าไปพลาง
หลังจากเตะสาธิตไปสองทีอาจารย์กบก็หันไปมองทาง บี ว่าน แล้วก็ต้นกล้า แต่พบว่าบียืนหันหลังให้ตัวเองอยู่!!
“เฮ่ย ครูสอนเมื่อกี้ทำไมไม่หันมาดู หยิ่งเหรอๆ” อาจารย์กบพูดแซวบีด้วยน้ำเสียงดุๆ แบบติดตลก ทันทีที่ถูกแซวบีก็รีบหันมา แต่ด้วยความที่อาจารย์กบเป็นคนที่มีท่าทีค่อนข้างดุแถมน้ำเสียงดูทีเล่นทีจริงซะจนบางครั้งผม พี่ป้อม แม้กระทั่งโค้ชเองก็แยกแยะไม่ได้ว่าที่อาจารย์กบพูดนั้นจริงจังหรือหยอกเล่น ดังนั้นบีจึงสรุปอย่างง่ายๆ ว่า ไม่ว่าอาจารย์กบจะพูดอะไรออกมาถือเป็นเรื่องจริงจังทั้งหมด จนการสอบในขั้นของบีเสร็จสิ้นทุกขั้นตอนอาจารย์กบก็เริ่มคอมเม้นต์น้องๆทีละคน
“เอากลับไปเข้าแถว” พี่ป้อมบอก บี ว่าน แล้วก็ต้นกล้าให้กลับไปเข้าแถวหลังจากการสอบของเด็กทั้งสามสิ้นสุดลง ก่อนที่จะเรียกน้องๆกลุ่มต่อไปมาสอบต่อ สิ้นคำพูดพี่ป้อม บีก็วิ่งกลับมาที่แถวอย่างรวดเร็ว แต่.....บีไม่ได้วิ่งกลับไปตรงที่นั่งของตนเอง......
“ฮึก...ฮึก....ฮึก.....” บีกอดผมไว้แน่นก่อนจะเอาหน้าซุกลงมาที่อกผม ผมโอบน้องกลับไปเพื่อกันไม่ให้ใครเห็นว่าบีกำลังร้องไห้อยู่
“ไม่เป็นไรนะเด็กดี......ไม่เป็นไรนะครับ....” ผมเอามืออีกข้างลูบหัวบีเบาๆ น้องๆหลายคนในยิมก็หันมามองเพราะตอนนั้นผมไม่ได้นั่ง แต่ยืนอยู่หลังสุดของยิม ตองเองก็เป็นหนึ่งในคนที่หันมามอง บีสะอึกสะอื้นเบาๆอยู่พักหนึ่งก็ดีขึ้น ผมค่อยๆนั่งลงช้าๆ บีเองก็ค่อยๆลดตัวลงตามมา ก่อนที่จะจบด้วยการซบผมเหมือนก่อนหน้านี้ ผมกอดน้อง แล้วก็ลูบหัวน้องเบาๆเป็นการปลอบใจไปเรื่อยๆ ตอนนนี้จู่ๆผมก็รู้สึกว่า......สิ่งสำคัญที่หายไปเมื่อหลายวันก่อน......ตอนนี้กลับมาแล้ว....แล้วตอนนี้สิ่งสำคัญสิ่งนั้นก็กำลังอยู่ในอ้อมกอดของผม
“วันนี้หลายๆคนทำดีมาก หลายคนพัฒนาขึ้นมาก อะไรที่ครูบอกไป สอนไปก็ให้เอากลับไปใช้ ฯลฯ” อาจารย์กบ คุยกับน้องๆโดยพูดถึงเรื่องการสอบที่ผ่านไปเมื่อสักครู่ ด้วยท่าที น้ำเสียง และ มุขตลกขำๆปนท่าทางดุๆ ทำให้น้องๆหลายคนผ่อนคลายลงไปมาก น้องๆที่สอบสายครั้งแรกหลายคนถึงกับรักอาจารย์กบขึ้นมาทันที เมื่อรู้ว่าอาจารย์กบนั้นเป็นห่วงแล้วก็หวังในตัวน้องๆมากแค่ไหน
เมื่ออาจารย์กบให้โอวาทจบ พี่ป้อมก็ให้น้องๆลุกขึ้นทำความเคารพอาจารย์ก่อนที่อาจารย์กบจะขอตัวกลับ แล้วพี่ป้อมก็คุยกับน้องๆต่อในเรื่องต่างๆเป็นลำดับต่อมา ตอนนั้นน้องๆในยิมเกือบทุกคนอยู่ในแถว....เว้นก็แต่บีที่อยู่ในอ้อมกอดของผม หลังจากพี่ป้อมคุยเสร็จแล้วพี่ป้อมก็ปล่อยน้องๆกลับบ้าน
“พี่...ผมขอไปเข้าห้องน้ำ” บีเงยหน้ามองผม
ตอนนี้ผมไม่อยากปล่อยให้น้องออกจากอ้อมกอดของผมเลย เพราะกลัวว่าถ้าปล่อยไปแล้วน้องอาจไม่ให้ผมได้กอดเค้าแบบนี้อีก ผมลูบแก้มน้องเบาๆหลังจากที่ไม่ได้ลูบตั้งนาน ก่อนที่จะคลายมือให้น้องเข้าห้องน้ำส่วนผมก็เดินกลับไปนั่งตรงมุมประจำ แล้วตองก็เดินมานั่งข้างๆ
“พี่” ตองเรียกผมแบบกระซิบๆ
“หือ”“ดีกันแล้วเน๊อะ”“ไม่รู้ดิ......” ผมตอบด้วยความไม่แน่ใจจริงๆ
“พี่รู้ป่ะ......ตอนบีสอบสาย....แม่น้องมายืนมองอยู่ข้างนอกด้วยอะ” ตองกระซิบข้างๆหูผม ผมสะดุ้งเฮือกทันทีที่ได้ยินสิ่งที่ตองพูด ผมหันไปมองที่นอกยิมทันที เพราะถ้าตองพูดจริงคุณแม่น้องบีก็เห็นที่น้องวิ่งมากอดผมซิ แต่พอมองออกไปผมก็ไม่เห็นแม่น้องบีอย่างที่ตองพูด
“จริงดิ” ผมถามตอง
“จริง ไม่เชื่อถามบีดู หนูว่าน้องก็เห็น” อ่า...งานเข้าแล้ว...... ระหว่างที่กำลังเย็นสันหลังวาบๆอยู่นั้นบีก็เดินมาพอดี
“คุยอะไรกันเหรอ” ถามจบบีก็นั่งบนตักผม
“จริงเปล่าบี” ตองพูดขึ้นแล้วมองหน้าบี
“จริงอะไร” บีทำหน้า งงๆ
“พี่ตองบอกว่าคุณแม่บีมาดูตอนบีสอบ” ผมบอกบี
“อื่อ ทำไมเหรอ” น้องบีตอบมา แล้วก็ทำหน้าตา สงสัยใส่.....งานเข้า....จริงๆด้วย....
“แล้วคุณแม่ไปไหนแล้วอะ” ผมถามบี
“ไม่รู้ครับ” ตอบเสร็จบีก็จับมือผมไปเล่น
“บีเมื่อกี้ร้องไห้เหรอ” ตองถาม
“เปล่า ไม่ได้ร้อง” ดูดิ โกหกน้ำขุ่นๆ เลย
“ไม่ร้องอะไรแล้วทำไมมีคราบน้ำตาติดเสื้อพี่เอล่ะ” ถามเสร็จตองก็ยิ้ม บี รีบตอบสวนกลับไปอย่างรวดเร็ว
“ม่ายๆ ไม่ได้ร้อง แค่ฝุ่นเข้าตาเฉยๆ ใช่ไหมพี่เอ” น้องหันมาถามผม
“อื่อ” ผมก็เออออตาม ฮ่าๆๆๆ
“เห็นป่ะ พี่ตองอะมั่ว” น่าน ได้ทีขี้แพะไหล
“พี่ถามเล่นๆ มีที่ไหนคราบน้ำตา ดูซิร้อนตัวเชียว ฮ่ะๆ” ตองหัวเราะพลางชี้มาที่เสื้อผม บีหันมามองตาม
“เง้ออออ พี่ตองอะ พี่ตองอะ พี่ตองอะ” บีเอนตัวเอามือไปตีตองแบบหยอกๆหลายครั้ง
พอมิว อ้น ต้นกล้า มิ้น ว่าน แล้วก็คนอื่นๆเห็นบีทำท่าทางเหมือนกับมีเรื่องอะไรสนุกๆคุยกันอยู่ น้องๆก็เดินมาตั้งวงคุยด้วย เสียงหัวเราะดังขึ้นไม่ขาดสายจนพี่ป้อมเดินมาร่วมวงด้วย ก่อนที่น้องๆในวงจะค่อยๆทยอยกลับบ้านไปจนเกือบหมด
“บีกลับไง” ผมถามบีเบาๆ
“ที่บ้านมารับมั้ง”“เหรอ....” แอบผิดหวังเล็กน้อยนะเนี่ย
“หรือพี่จะไปส่งผมล่ะ” พูดจบบีก็ยิ้ม
“บี.....พรุ่งนี้พี่ไม่อยู่นะ”“หืออ.....พี่จะไปไหน” บีหันมาถามผม ก่อนจะเอามือทั้งสองข้างมาจับมือผมไว้
“ไปช่วยงานคุณแม่”“ไปนานไหม”“เดือนกว่าๆมั้ง”“โหย....ไปนานจัง” พูดจบบีก็บีบๆฝ่ามือผมเบาๆ
“ถ้าคิดถึงก็โทรหาแล้วกัน”“ได้ๆ พี่ก็โทรหาผมได้ตลอดนะ ผมจะพกโทรศัพท์ติดตัวไว้ไม่ให้ห่างเลย”“จริงเหรอ เมื่อก่อนโทรหาไม่ค่อยจะมีคนรับ”“จริงๆ รอบนี้อาบน้ำก็จะเอาเข้าไปด้วย อิอิอิ” บียิ้ม
หลังจากส่งบีกลับบ้านเสร็จผมก็กลับมานึก....
“ความรักจริงๆมันมีอยู่หลายแบบนะครับ ท้ายที่สุดแล้วผมก็กระจ่างแก่ใจว่า.....กับบีนั้น ผมปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมไม่ได้ชอบน้อง.......แต่ถึงผมจะชอบน้องก็จริง แต่ผมไม่ได้อยากลึกซึ้งกับน้องเลย แค่เพียงทำให้น้องมีรอยยิ้ม มีความสุขในช่วงเวลาที่อยู่กับผม ผมก็ดีใจแล้ว อาจหรือว่าเพราะน้องยังเด็กอยู่ก็ได้ แต่ยังไงก็ตามผมว่า เรื่องนี้ผมว่าไม่ควรไปเร่งรัดอะไรมากมาย ให้มันเป็นไปตามที่ควรจะเป็น ไม่ว่าท้ายที่สุดผลลัพธ์ที่ออกมาจะสุขสมหวังดั่งใจ หรือ เป็นแค่ความฝันชั่วคราว ผมก็จะได้ไม่เสียใจในภายหลัง เพราะอย่างน้อยๆผมก็พยายามทำทุกอย่างเท่าที่ผมจะสามารถทำได้ อาจไม่มากมายอะไร แต่ทุกอย่างที่ทำไปก็มาจากใจ เพื่อให้คนที่ผมรู้สึกดีๆด้วยมีความสุข”
End
---------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอขอบพระคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่อยมาจนถึงตอนสุดท้าย ( แต่ไม่ท้ายสุด ) นี้
ซึ่งหลังจากนี้ผมอาจไม่ได้มาลงทุกวัน และ เนื้อหาอาจคล้ายกับไอดารี่
อย่างไรก็ตามถึงมันจะเหมือนจริงมากแค่ไหน
ผมก็ขอยืนยันตรงนี้ว่านี่เป็นเพียงนิยายเท่านั้น
ขอกราบขอบพระคุณผู้อ่านทุกท่านอีกครั้ง
-----------------------------------------------------
17 พ.ค.
วันนี้การฝึกซ้อมเป็นไปตามปรกติครับ ว่านมาช้าหน่อยเพราะเลิกเรียนช้า ส่วนบีมาถึงยิมด้วยสภาพเหงื่อโชกผมรู้ว่าไปเล่นอะไรมา อ้นเองก็ชวนเพื่อนมาเรียนเพิ่มหนึ่งคน ตองถูกลากลงเป็นนักกีฬา มิวยังติดต่อไม่ได้เนื่องจากทางบ้านอยากให้น้องเรียนสายวิชาการมากกว่า แต่มิวก็ยังรักเทควันโดมาก ทางบ้านเลยตั้งเงื่อนไขว่าถ้าเข้าห้องคิงได้จะให้เรียนเทควันโดต่อ แล้วมิวก็สามารถเข้าห้องคิงได้จริงๆ แต่เนื่องจากหยุดไปช่วงปิดเทอม ( หลังการสอบสายในตอนที่ 34 ) อาจเป็นเหตุให้ทางบ้านโน้นมน้าวมิวได้สำเร็จก็ได้ อดน้อยใจไม่ได้ ผมไม่ได้สนใจเงินค่าเรียนรายเดือนจากมิว แต่ผมเสียดายอะไรๆที่สอนน้องไปตั้งเยอะ ทั้งเรื่องเทควันโด เรื่องเรียน รวมถึงเรื่องอื่นๆด้วย แต่ก็นะครับ อืมมม
การซ้อมวันนี้มีการแยกกลุ่มนักกีฬากับซ้อมธรรมดาหลังจากซ้อมธรรมดาได้ไม่นานจู่ๆว่านก็ตะคริวกินครับ อาร์ท ซึ่งคู่กับว่านเลยงานเข้าต้องไปนั่งนวดให้ตามมารยาท แต่ผมรู้สึกว่าอยากให้อาร์ทซ้อมมากกว่า ผมเลยไปนั่งนวดว่านให้แทน นวดไปนวดมาว่านก็ไม่หายเจ็บสักที ตอนแรกเป็นที่เท้า ขึ้นมาที่น่อง ไปที่ต้นขา นั่งบีบๆๆให้ บีเองก็เดินมาส่องเป็นระยะๆ แต่จะว่าไป.....ขาว่านนุ่มจังแฮะโดยเฉพาะแถวต้นขาเนี่ยะ.....หึหึหึหึ
ตอนเย็นผมไปส่งบีกับว่านเหมือนเดิมตอนขากลับบีรบกวนให้ผมโหลดเกมมาให้ผมเลยแกล้งน้องด้วยการคิดค่าเสียเวลาหนึ่งร้อยบาท ตอนแรกผมหยอกไปงั้นๆแต่น้องกลับจะจ่ายจริงๆเฉยเลย
-------------------------------------------------------
18 พ.ค.
ฝนทำท่าตั้งเค้าจะตกตั้งแต่ช่วงบ่าย ผมไรท์แผ่น DVD เสร็จก็ตรงไปชมรมทันที ไปถึงผมก็ฝากเงินบีไปซื้อชาเพราะผมต้องเริ่มต้นการซ่อมหน้าต่างที่หลุดออกมาจากกรอบของชมรมทันทีกลัวจะไม่ทัน เนื่องจากคราวที่แล้วฝนสาดมาทางขวาของยิม ซึ่งตอนนั้นไม่ได้เตรียมตัว น้ำเลยนองพื้นเลยทีเดียว ผมเลยจัดการซ่อมแบบเอาแค่ลงล๊อกได้เหมือนเดิม แต่ไม่ยังไม่ต้องเลื่อนไปเลื่อนมาได้ไปก่อน รอช่างจริงๆเค้ามาซ่อม แล้วการซ้อมก็เริ่มขึ้นตามเวลา จนถึงเวลาพักผมไปยืนดื่มชาแล้วมองท้องฟ้าที่กำลังมืดครึ้มมีแสงที่เกิดจากจากฟ้าผ่าสว่างขึ้นวาบๆเป็นระยะๆ แล้วน้องบีก็มายืนข้างๆผม
“พี่.....กินด้วย” พูดจบบีก็ดึงขวดชาออกจากมือผมไปยกกรอกดัง
‘อึกๆ’ แล้วก็ยืนมาให้ผมคืน
“ขอบคุณครับ” แล้วพี่ป้อมก็เรียกไปซ้อมต่อซ้อมไปซ้อมมาพักใหญ่ๆฝนก็ตกครับตอนแรกตกไม่หนักมากแต่พอเวลาประมาณ 18.30 น. ฝนก็เทลงมาอย่างหนักแล้วมันก็สาดเข้ามาทางซ้ายของยิมซึ่งมีหน้าต่างกระจกแบบเลื่อนอยู่สองบานที่ผมยังไม่ได้ใส่หน้าต่างบานเลื่อนที่หลุดออกไป ผมเลยรีบเข้าไปรูดม่านปิด แล้วยืนจับผ้าม่านไว้กันไม่ให้ฝนสาดเข้ามาเพิ่มเติม ว่าน อาร์ท มิน พี่ป้อม ก็มาช่วยกันจับเนื่องจากว่าหน้าต่างบานค่อนข้างใหญ่ ทำให้มีฝนสาดเข้ามาข้างในได้อยู่ดี บีวิ่งไปหยิบกระเป๋าผมที่ถูกฝนสาดใส่เอามาวางไว้ลึกขึ้น ก่อนจะวิ่งมาเอากระเป๋าของตัวเอง
“พี่...ดูกระเป๋าผมเปียกหมดแล้ว” บีมากะกิดๆผมแล้วชี้ให้ดูกระเป๋าที่เปียกชุ่มจนน้ำหยดตึ๋งๆ
“อ่าวแล้วทำไมไม่รีบเอาหลบอะ”“ก็เมื่อกี้ผมเอาของพี่ไปหลบก่อน แล้วก็วิ่งกลับมาเอาของผมอะ เลยถูกฝนเปียกหมดเลย”“.....”รู้สึกผิดเลยครับที่ว่าน้องไป
“ปั๊บๆๆ” บีเอามือตบกระเป๋าไปหลายที ก่อนจะหันมามองผมแล้วพูดว่า
“เหมือนมันจะรู้ทันนะพี่ วันนี้มันเปลี่ยนมาสาดเข้าทางซ้ายแทนแล้ว”“อืมมม นั่นดิ”“ฮ่ะๆๆ” บีหัวเราะชอบใจ
การฝึกซ้อมหยุดลงทันทีเพราะละอองฝนฟุ้งกระจายไปทั่วแถมมีลูกเห็บปลิวเข้ามาในชมรมด้วย น้องๆในยิมวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานประหนึ่งเป็นสนามเด็กเล่น แต่การวิ่งเล่นนั้นก็เป็นไปได้ไม่นาน
“พรึ๊บ!!” แสงสว่างหายวั๊บไปกับตา
“อ๊างงง กรี๊ดดดด วี๊ดดดด ว๊ายยยย” เสียงน้องผู้หญิงร้องขึ้นมากันวุ่นวาย ผมรีบเดินคลำทางไปที่โต๊ะเพื่อหยิบโทรศัพท์มากดๆให้มีแสงสว่างเกิดขึ้น
“เอา ใครมีโทรศัพท์ก็เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์” น้องๆได้ยินดังนั้นหลายคนก็ไปเอามือถือ บางคนก็เลือกที่จะนั่งคุยกันมืดๆต่อไป แล้วแสงสว่างจากมือถือก็ค่อยๆเพิ่มมากขึ้น ผมเลยหลบไปนั่งตรงมุมประจำ โดยมีบีเดินตามมาติดๆ พอผมนั่งลง บีก็นั่งตามทันทีแล้วก็ดึงๆมือผมไปกอดตัวน้องเอาไว้ ตอนนี้มืดครับ......ไม่น่าจะมีคนเห็น ผมก้มลงหอมหลังคอน้องบีตามด้วยจูบก่อนจะงับคอน้องเบาๆไปหลายครั้ง ก่อนที่อ้น กับ อาร์ทจะตามมานั่งข้างๆ แล้วน้องๆคนอื่นๆก็ทยอยตามมานั่งกองๆกันอีกหลายคน ทำให้ผมซุกคอน้องบีไม่ได้แล้ว ผมเลยเปลี่ยนเป็นล้วงมือเข้าไปในเสื้อน้องแทน แล้วก็ลูบท้องลูบอกลูบนมน้องบีเล่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไฟมา น้องๆที่นั่บรอบๆหันไปมองหลอดไฟแล้วส่งเสียงดีใจกันใหญ่ ผมรีบฉวยโอกาสนี้ดึงมือออกก่อนที่น้องๆจะหันมาเห็น แล้วผมก็นั่งคุยกับน้องๆเล่นกันต่อไปเรื่อยๆจนคุณพ่อน้องบีมารับ ส่วนว่านวันนี้ผมไม่ต้องไปส่งเพราะคุณแม่มารับ
To Be Con....