ตอนที่ 13 ความรู้สึก
แล้วเราก็นั่งกินข้าวไปคุยกันไป ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับหนังสือแล้วก็งานของพี่เขาที่ผมเข้าไปช่วยทำ พอเราอิ่มกันแล้ว ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของพี่กันต์ที่ดังออกมาจากในห้อง พี่เขาเลยลุกออกไปรับโทรศัพท์ พอกลับมาก็ดูเครียดๆ ผมเองก็ได้แต่มองๆ พี่เขา ไม่กล้าถามอะไร แต่ตอนที่พี่เขาเข้าไปคุยโทรศัพท์ ผมเองก็ได้ยินเสียงที่พี่เขาคุยดังออกมาจากในห้องบ้าง เลยพอจับใจความได้ว่าเป็นพ่อของพี่เขาที่โทรมาเรื่องงาน และดูเหมือนว่าจะมีปัญหาอะไรสักอย่าง
เราก็นั่งเงียบกันอยู่สักพัก จนพี่เขาเล่าออกมาว่ามีปัญหาเรื่องงานทางฝั่งของโรงพิมพ์ เพราะพี่เขาเองก็เพิ่งมารับช่วงต่อได้แค่เพียงปีกว่าๆ หลังจากไปเรียนปริญญาโทกลับมา มันเลยยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ลงตัว ส่วนผมก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามอะไรอีก จากนั้นก็อาสาเก็บจานเข้ามาล้างเอง แล้วปล่อยให้พี่กันต์นั่งเล่นรับลมอยู่ที่ระเบียง เผื่อว่าพี่เขาอยากจะอยู่เงียบๆ คิดอะไร
..........................................................
พอผมกลับออกมาจากครัวแล้วมายืนอยู่หน้าประตูกระจกที่เปิดทิ้งไว้ ก็เห็นพี่เขายืนเกาะราวระเบียงเอาไว้ แล้วมองออกไปข้างหน้า คงกำลังคิดอะไรอยู่ ผมเลยได้แต่ยืนมองพี่เขาจากด้านหลังโดยไม่กล้าที่จะก้าวออกไป แต่เหมือนว่าพี่เขาจะรู้ตัวว่าผมมายืนมองอยู่ เลยพูดขึ้นมาทั้งๆ ที่ยังหันหน้าออกไปด้านนอกอยู่แบบนั้น
“ออกมาสิ” เสียงพี่กันต์พูดออกมาเบาๆ ผมเลยก้าวออกไปที่ระเบียง แล้วไปยืนอยู่ข้างๆ พี่เขา
“เครียดเรื่องงานอีกหรอพี่” ผมถามขณะที่กำลังมองหน้าพี่เขาจากด้านข้าง พี่เขายังคงมองตรงออกไปเช่นเดิม
“เปล่า เลิกคิดแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปว่ากันใหม่” พี่กันต์พูดพร้อมกับหันตัวกลับมาแล้วยืนพิงราวระเบียงเอาไว้แทน ก่อนจะหันหน้ามามองผม
“ถ้าอย่างนั้นก็คิดเรื่องของเรา” ผมถามออกไปแบบยิ้มๆ
“อืม... ก็ไม่เชิง“พี่เขาตอบพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหันกลับไป
“คิดอะไรอยู่ บอกได้หรือเปล่า” ผมหันไปถามคนข้างๆ ที่ยังดูเงียบๆ เหมือนเดิม
“แค่คิดว่า...” พี่เขาพูดแล้วก็ก้มหน้าลงมองพื้น ก่อนจะเงียบไป ส่วนผมเองก็ได้แต่มองพี่เขาแบบไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี จนผมเริ่มเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่ชอบตกอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ เหมือนว่าตัวผมมันจะหนักอึ่งไปหมด มันไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรหรือขยับไปทางไหน
แล้วอยู่ดีๆ พี่เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองผม ก่อนจะหัวเราะออกมา ผมก็มองหน้าพี่เขาไปด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไร แล้วหน้าเครียดๆ เมื่อกี้มันหายไปไหน ทำไมมันถึงกลายเป็นหน้าเจ้าเล่ห์แบบนี้ขึ้นมาแทน ตอนนี้ความคิดที่อยู่ในหัวของผมมันกำลังวุ่นวายสับสนไปหมด
“พี่กันต์ พี่คิดอะไรอยู่” ผมถามออกไปเบาๆ ด้วยความรู้สึกที่มันบรรยายไม่ถูก
“เปล่า แค่อยากเอาคืนคนกวนประสาท ก็แค่นั้น...” พี่เขาพูดกับผม แล้วก็เงียบไป แล้วนิ่งมองหน้าผม แต่ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหน ขณะที่กำลังมองพี่เขาอยู่ตอนนี้ ผมรู้แค่ว่าผมได้แต่มองพี่เขากลับไปนิ่งๆ เพียงแค่นั้น
“กร กร... เป็นอะไร” พี่เขาถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูตกใจอยู่ไม่น้อยจนผมเริ่มรู้สึกตัว เมื่อความวุ่นวายสับสนที่อยู่ในหัวเมื่อกี้มันหายไป
“พี่อย่าเล่นแบบนี้อีกนะ อย่าทำแบบเมื่อกี้นี้อีก” ผมพูดพร้อมกับมองตาของอีกฝ่าย ผมอยากบอกให้เขารู้จริงๆ ว่าอย่าทำแบบนั้นอีก
“กร กรเป็นอะไร...พี่ขอโทษนะครับ” พี่กันต์พูด ในขณะที่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาจับประคองใบหน้าของผมเอาไว้
“พี่ขอโทษ...”
“ขอกอดหน่อยได้ไหม” ผมถามออกไป
“อืม..” พี่เขาพยักหน้าตอบผม แล้วละมือทั้งสองข้างออกจากใบหน้าของผมแล้วค่อยๆ ทิ้งลงข้างตัว ก่อนจะก้าวเข้ามายืนชิดกับผมมากขึ้น ผมยกแขนข้างหนึ่งขึ้นไปโอบหลังของพี่เขา ส่วนอีกข้างก็เลื่อนขึ้นไปรั้งท้ายทอยให้ใบหน้าของพี่เขามาซบอยู่ที่ไหล่ของผม ก่อนที่แขนทั้งสองข้างของพี่เขาจะถูกยกขึ้นมาโอบรอบตัวของผมไว้เช่นกัน ผมค่อยๆ เลื่อนมือจากท้ายทอยขึ้นไปลูบผมของพี่เขาเบาๆ อยู่สองสามที แล้วเพิ่มแรงกอดให้มากขึ้นจนรู้สึกได้ว่าตัวของพี่เขาแทบจะแนบติดอยู่กับตัวผมเกือบทุกส่วน จากนั้นผมก็หลับตาลงอย่างช้าๆ เพื่อรับความรู้สึกนั้น
ความรู้สึกที่ว่าคนๆ นี้ยังอยู่กับผม เขาไม่ได้หายไปไหน
.
.
.
พี่กันต์ยังอยู่กับผมในตอนนี้
“กร...กร...” เสียงของพี่กันต์ที่เรียกผมขึ้นมาอย่างเบาๆ ทำให้ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
“ครับ” ผมตอบ ก่อนจะเลื่อนมือมาจับที่ต้นแขนของพี่เขาทั้งสองข้างแล้วดันออกจากตัวเล็กน้อย เพื่อที่ผมจะได้มองเห็นใบหน้าของพี่เขาได้
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” พี่เขาถามด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยแน่ใจกับอาการของผม
“ไม่ครับ พี่ยิ้มให้กรหน่อยสิ” ผมพูดแล้วก็ยิ้มให้พี่เขา ก่อนที่พี่เขาจะยิ้มตอบกลับมา
“ยิ้มบ่อยๆ นะ พี่ยิ้มแล้วน่ารักรู้ไหม”
“ใครเขาให้ชมผู้ชายว่าน่ารัก อย่างพี่เนี่ยเขาเรียกว่าหล่อ” หล่อก็หล่อคร้าบบ... หึหึ พี่เขาก็หล่อจริงๆ นั่นล่ะเวลาทำหน้านิ่งๆ แต่เวลายิ้มแล้วดูน่ารักมากกว่า
“คร้าบๆ”
“จะกลับเลยไหม เออ แล้วพรุ่งนี้กรจะออกไปไหนหรือเปล่า”
“โห... ไล่อ่ะ เรื่องเมื่อกี้ยังไม่ได้คิดบัญชีเลย ส่วนพรุ่งนี้ไม่ได้ออกไปไหน” ผมพูดก่อนที่จะเดินตามอีกคนเข้ามาในห้อง
“ไม่ได้ไล่ แต่อยากให้กลับไปนอนเมื่อคืนก็นอนดึก วันนี้ก็เรียนมาทั้งวันไม่เหนื่อยหรือไง”
“ครับ” ผมไม่รู้ว่าหน้าของผมตอนนี้มันยิ้มไปมากขนาดไหนแล้ว นี่พี่เขากำลังเป็นห่วงผมอยู่ใช่หรือเปล่า แล้วผมก็พยักหน้าตอบอีกครั้ง ก่อนจะเดินนำไปที่ประตู
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนแปดโมงพี่จะไปรับที่บ้าน” พี่กันต์บอกผมตอนที่มายืนส่งผมอยู่ที่หน้าประตู
“พี่จะไปไหนหรอ”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้ แล้วอย่าสาย”
“ครับผม คืนนี้ฝันดีนะครับ แล้วอย่าลืมฝันถึงกรด้วยนะ” ผมพูดก่อนจะเปิดประตูออกไปยืนนอกห้อง
“น้ำเน่าว่ะ ไม่ต้องพูดมากกลับไปได้แล้ว ขับรถดีๆ นะ แล้วพรุ่งนี้เช้าเจอกัน ฝันดีนะครับ…” พี่เขาพูดแล้วก็ยิ้มให้
“เน่าเหมือนกันว่ะพี่ ฮาๆ” ผมพูดกับพี่เขา แล้วจากนั้นเราสองคนก็หัวเราะไปด้วยกันก่อนที่ผมจะเดินออกมา
..........................................................
ผมกลับออกมาจากห้องของพี่เขาพร้อมกับความรู้สึกที่หลากหลาย แต่สุดท้ายความรู้สึกเดียวที่ผมเลือกที่จะเก็บมันเอาไว้ในตอนนี้คือ ความรู้สึกที่ผมมีพี่เขาอยู่
ถึงการลืมอดีตจะเป็นสิ่งที่ผมยังทำไม่ได้ในตอนนี้ แต่ก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมจะทำมันได้คือ การเลือกอยู่กับปัจจุบัน
ปัจจุบันที่เมื่อผมลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นหน้าพี่เขา ปัจจุบันที่ผมเห็นคนๆ นี้ยืนอยู่ข้างๆ
---------------------------------------------------------