ตอนที่ 17 คนป่วย [1/2]
>>ติ๊ด ๆ ๆ ...<< เสียงนาฬิกาปลุกที่โต๊ะข้างเตียงดังขึ้นเรียกให้ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก่อนจะเอื้อมมือไปปิดเสียงนั้น และตอนนี้คนที่นอนอยู่ในอ้อมแขนผมก็เริ่มรู้สึกตัวแล้วเช่นกัน คงเพราะเวลานี้เป็นเวลาปกติที่พี่เขาต้องตื่นเพื่อออกไปทำงาน แต่ดูเหมือนว่าพี่เขาจะไม่อยากลุกสักเท่าไร เพียงแค่ขยับตัวหยุกหยิก แล้วส่งเสียงอู้อี้ในลำคอเล็กน้อยคล้ายกับอึดอัด ไม่สบายตัว ก่อนจะซุกเข้ากับตัวผมแล้วนิ่งเงียบไปอีกครั้ง
ผมค่อยๆ ขยับแขนที่ให้พี่เขาหนุนอยู่ออกอย่างช้าๆ แล้วสอดหมอนที่วางพิงหัวเตียงไว้เข้าไปแทน ก่อนจะลุกออกจากเตียงเพื่อเดินไปเปิดผ้าม่านให้แสงส่องผ่านเข้ามาในห้อง แต่ก็ไม่ได้เปิดจนแสงเข้ามารบกวนคนที่กำลังหลับมากนัก แค่เพียงให้พอมองเห็นเท่านั้น
ผมกลับมายืนข้างเตียงฝั่งที่พี่เขานอนอยู่เพื่อที่จะเรียกให้พี่เขาตื่นขึ้นมา แต่พอผมโน้มตัวลงไปใกล้ๆ พี่เขาที่นอนหันหลังให้ผม พร้อมกับยื่นมือออกไปเพื่อที่จะจับตัวเรียกพี่เขา ผมก็ต้องหยุดชะงักมือเอาไว้เพราะสังเกตเห็นใบหน้าที่แดงระเรื่อและมีเม็ดเหงื่อผุดออกมาให้เห็นเล็กน้อย ทั้งๆ ที่อุณหภูมิในห้องนี้ก็ต่ำพอสมควร
จากมือที่จะยื่นไปจับตัวเพื่อปลุกตื่นจึงถูกเปลี่ยนไปลูบปอยผมชื้นเหงื่อของพี่เขาแทน ก่อนที่จะใช้มืออังหน้าผากเพราะสงสัยว่าพี่เขาจะมีไข้ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่แค่ตัวรุมๆ ไม่ถึงกับร้อนจัด
“อื้อ... เย็น” พี่กันต์พึมพำออกมา แล้วจับมือผมที่วางอยู่ที่หน้าผากมาแนบที่แก้มแทน
“ปวดหัวหรือเปล่าครับ” ผมถามพี่เขา พี่เขาก็ส่ายหน้าตอบกลับมา
“แล้วมียาลดไข้บ้างหรือเปล่า เดี๋ยวกรไปหยิบมาให้”
“อยู่บนชั้นข้างตู้เย็น” พี่กันต์ตอบเสียงแห้ง
แล้วผมก็ออกไปหยิบยาตามที่พี่เขาบอก พร้อมกับน้ำอีกหนึ่งแก้ว พอกลับเข้ามาในห้องก็เห็นพี่เขากำลังพยายามยันตัวเพื่อลุกขึ้นจากเตียง แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากเต็มที ผมเลยรีบเดินไปข้างเตียง วางยาและแก้วน้ำลงบนโต๊ะ ก่อนจะหันไปช่วยพี่เขา
“จะลุกไปไหนครับ”
“ห้องน้ำ”
“กินยาก่อนนะ เดี๋ยวกรพาไป” ผมพูด แล้วเอื้อมมือไปหยิบยากับแก้วน้ำมาส่งให้ พี่เขาก็รับไป ก่อนจะส่งยาเข้าปากและตามด้วยน้ำจนเกือบหมดแก้ว
“วันนี้มีเรียนหรือเปล่า” พี่เขาถาม แล้วส่งแก้วน้ำคืนมาให้ผมที่รอรับไว้
“มีตอนเช้า แต่พี่ไม่สบายกรคงไม่ไปอ่ะ” ผมตอบ
“แค่เป็นไข้นิดเดียว กินยาแล้วนอนสักพักคงดีขึ้น กรไม่ต้องหยุดหรอก พี่กะว่าถ้าช่วงสายๆ ดีขึ้นก็จะเข้าออฟฟิศ” พี่กันต์ตอบ ก่อนจะยื่นมือมาจับแขนผมไว้
“โอ้ย...” เสียงพี่กันต์ร้องขึ้นมา เมื่อพี่เขากำลังจะลุกขึ้นยืน ก่อนจะเซถลามาข้างหน้า แต่ผมยื่นแขนไปรับตัวพี่เขาไว้ได้ทัน
“พี่กันต์...” ผมได้แต่เรียกชื่อพี่เขาด้วยความตกใจ
“เดี๋ยวๆ อยู่เฉยๆ ก่อน” พี่เขาบอกผม แล้วออกแรงจับแขนของผมแน่นขึ้น เพื่อพยุงตัวเอง
“พี่จะไปทำงานอีกหรอ” ผมถามพี่เขาอีกครั้ง เพราะขนาดจะยืนยังยืนแทบไม่อยู่ แถมมีไข้อีก
“อืม ช่วงนี้หยุดไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องไป”
“ดื้อ” ผมพูด แต่ที่พูดไปก็เพราะว่าเป็นห่วง แล้วก็ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า ตอนที่เห็นสายตาของพี่เขาที่มองกลับมาที่ผม สายตานั้นเหมือนจะถามว่า “แล้วมันเป็นเพราะใคร”
“เฮ้ยยยย...!! จะอุ้มทำไมเดินได้” เสียงอุทานอย่างตกใจของพี่กันต์เมื่อผมจัดการช้อนตัวพี่เขาขึ้นมาอุ้ม ถึงจะโวยวายแต่ก็ยกแขนขึ้นมาเกี่ยวรอบคอผมไว้คงเพราะกลัวตก พอผมพาเข้าไปส่งในห้องน้ำแล้ว ก็ยังโดนโวยใส่มาอีกนิดหน่อย ส่วนคนโวยก็โวยไปหน้าแดงไป จนผมอดขำไม่ได้ สุดท้ายเลยโดนหมัดของพี่เขาเข้าที่ต้นแขนไปที โทษฐานที่ไปหัวเราะเขา ก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากนักหรอก เพราะคนต่อยไม่ค่อยมีแรง จากนั้นก็โดนไล่ออกมา ส่วนเรื่องไปทำงานไปเรียนรอพี่เขาออกมาแล้วค่อยว่ากันอีกที
ช่วงที่รอพี่กันต์เข้าห้องน้ำก็หันมาสำรวจเตียงนอน ก็เห็นหลักฐานที่มันฟ้องอยู่ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรบ้าง เลยจัดการรื้อผ้าปูที่นอนออกเปลี่ยนใหม่ แล้วเอาผืนเก่าไปใส่เครื่องซักผ้าไว้ แค่ใส่ไว้เฉยๆ ไม่ได้ซักเพราะผมเองก็ทำไม่เป็น ถึงพี่กันต์จะเคยเล่าให้ฟังว่าปกติจะมีแม่บ้านมาคอยทำความสะอาดให้อยู่แล้ว แต่เรื่องแบบนี้ขอจัดการเองดีกว่า แบบว่าเกรงใจเขา
จากนั้นก็เดินมาสำรวจในครัวว่าพอจะมีอะไรมาเป็นมื้อเช้าของพี่กันต์กับผมได้บ้าง แล้วก็เจอข้าวต้มกึ่งสำเร็จรูปที่อยู่ในตู้เก็บของกับกุ้งที่อยู่ในตู้เย็น สรุปว่ามื้อเช้าของผมสองคนก็คงจะเป็นข้าวต้มกุ้งนี่ละ เหมาะกับคนป่วยด้วย หลังจากใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีข้าวต้มกุ้งก็ส่งควันและกลิ่นหอมๆ อยู่ในหม้อ เดี๋ยวรอพี่เขาออกมาค่อยตักใส่ชาม
หลังจากทำมื้อเช้าง่ายๆ ไปเป็นที่เรียบร้อย ก็เดินกลับเข้าไปในห้องนอน พอเปิดประตูเข้าไปในห้อง เป็นเวลาเดียวกับที่พี่กันต์เปิดประตูออกจากห้องน้ำพอดี เลยเดินเข้าไปประคองพี่เขาออกมา พี่กันต์ออกมาโดยมีผ้าเช็ดตัวพันปิดลำตัวส่วนล่างไว้เท่านั้น ช่วงที่เข้าไปใกล้ๆ เลยสังเกตเห็นว่าตามตัวพี่เขามีรอยที่ผมฝากไว้อยู่มากขนาดไหน แต่สงสัยผมจะหยุดมองมากไปหน่อย
“จะมองอีกนานไหม มันหนาวจะรีบไปแต่งตัว” พี่กันต์บอก พร้อมกับทำหน้ายุ่งๆ ส่งมาให้ผม ผมก็เลยต้องช่วยประคองพี่เขามาหยุดหน้าตู้เสื้อผ้า แล้วก็ส่งสายตามาไล่ผมให้ออกไปได้แล้ว ให้ตายสิแฟนผมตาดุชะมัด ผมก็เลยเดินเข้าห้องน้ำไปทำธุระส่วนตัวบ้าง พอออกมาก็เจอพี่เขานั่งหลับตา เอนหลังพิงหัวเตียงเอาไว้
“ไปกินข้าวกัน กรทำข้าวต้มกุ้งไว้” ผมเดินมาเรียกพี่กร จริงๆ ก็อยากปล่อยให้พี่หลับ แต่เมื่อกี้เพิ่งกินยาไป เลยน่าจะกินอะไรรองท้องไว้บ้าง
“อืม” พี่กันต์ตอบ ตอนนี้สีหน้าพี่เขาก็เริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว สงสัยยาจะเริ่มออกฤทธิ์
ผมก็ช่วยประคองพี่เขาออกมานั่งที่โต๊ะกินข้าวก่อนจะตักข้าวต้มมาสองชามสำหรับผมกับพี่กันต์
“ทำเป็นด้วยหรอ” พี่กันต์ถาม ก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมาคนข้าวต้มในชาม แล้วค่อยๆ ตักเข้าปาก
“ถ้าอะไรที่ไม่ยากมากก็พอทำได้” ผมตอบ ก่อนจะยกช้อนตักข้าวต้มในชามของตัวเองบ้าง
“กร มีเรียนแค่ตอนเช้าใช่ไหม”
“ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นกรก็ไปเรียน พอเลิกแล้วกลับมารับพี่ไปออฟฟิศหน่อย ขอเข้าไปแค่ช่วงบ่ายก็ยังดี” พี่กันต์พูดแล้วมองหน้าผมไปด้วย
“ครับ เดี๋ยวกรไปเรียน แล้วเที่ยงกรจะกลับมารับ ส่วนช่วงเช้าพี่ต้องนอนเยอะๆ นะ” สุดท้ายก็ต้องยอมพี่เขาล่ะ เพราะผมเองก็พอจะรู้ว่าพี่เขาก็ยอมลงให้ผมแล้วเหมือนกัน อย่างพี่กันต์ถ้าเขาจะไปจริงๆ เขาก็ต้องไปจนได้ โดยเฉพาะกับเรื่องงานเพราะดูจากสองสามวันที่ผ่านมาพี่เขาก็ทำแต่งาน แต่ตอนนี้มารอให้ผมไปส่ง ยอมเลื่อนจากจะไปทำงานตอนสายเป็นบ่ายเท่านี้มันก็ดีมากๆ แล้ว
“อืม ไปได้แล้วไป ไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย”
“คร้าบๆ” ผมรับคำพี่เขา พอกินข้าวต้มจนหมด ผมกำลังจะยกไปเก็บพี่เขาก็บอกว่าไม่ต้อง เดี๋ยวให้แม่บ้านมาจัดการเอง ผมก็เลยลุกไปหอมแก้มพี่เขา ไว้เป็นกำลังใจตอนไปเรียนเสียหน่อย แล้วก็ต้องรีบวิ่งหนีออกมา เพราะกลัวว่าคนป่วยจะต้องเสียแรงมาออกหมัดใส่ผมอีก
................................................................
หลังจากเลิกเรียนผมก็รีบออกมาเพื่อกลับไปรับพี่กันต์ที่คอนโดฯ ก่อนจะออกมาก็โดนไอ้สี่คนนั้นมันแซวว่า มีแฟนแล้วทิ้งเพื่อน จริงๆ ก็ไม่ได้ขนาดนั้นเสียหน่อย แค่อยากอยู่ด้วยกันตลอดมากกว่า มันเลยพากันโห่เลยทีนี้ แต่มันก็บอกว่าเห็นผมดูมีความสุขขึ้น ว่าแล้วก็ขับรถกลับไปรับพี่เขาดีกว่า
พอกลับไปถึงคอนโดฯ พี่เขาก็แต่งตัวรออยู่แล้ว อะไรจะขยันทำงานขนาดนั้น แต่เท่าที่ดูอาการพี่เขาก็ดีขึ้นมาบ้างแล้ว แค่ยังดูเพลียๆ อยู่บ้าง แล้วก็บ่นว่าเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ผมบอกให้พักต่ออีกหน่อยพรุ่งนี้ค่อยไป พี่เขาก็ไม่ยอมแล้วบอกว่างานเยอะ ยังไงก็ต้องไป ช่วงเช้าก็นอนไปแล้ว ถ้าผมยังพูดไม่เลิกก็จะให้คนขับรถมารับ เอากับเขาสิ จนแล้วจนรอดผมก็ต้องพาพี่เขาไปถึงออฟฟิศจนได้
ส่งพี่กันต์แล้วผมก็ขับรถกลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้าน ไม่อยากปล่อยให้พี่เขาอยู่คนเดียวเวลาไม่สบาย พี่เขาเองก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่ถามว่าพ่อกับแม่ผมจะไม่ว่าอะไรหรอที่ไม่กลับบ้าน ผมก็บอกพี่เขาไปว่าช่วงนี้พ่อกับแม่ผมไม่อยู่บ้าน พี่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ
ออกมาจากบ้านก็แวะซื้อของสดก่อนจะไปรับพี่เขา เพราะเมื่อเช้าตอนที่เปิดตู้เย็นของสดก็เกือบหมดแล้ว เลยแวะซื้อ จะรอให้พี่เขาออกมาเองคงไม่ไหว เลยทำตัวเป็นพ่อบ้านเสียเอง กว่าจะซื้อของเสร็จก็สี่โมงกว่า จากนั้นก็ออกไปรับพี่กันต์
................................................................
“กูไม่รู้ว่ะ กู...”
“มึงลองคิดดูให้ดีๆ แล้วกัน กูไปล่ะ”
ตอนที่ผมเอื้อมมือไปเคาะประตูห้องทำงานของพี่กันต์ ซึ่งประตูบานเลื่อนถูกเลื่อนปิดไว้ไม่สนิท ก็ได้ยินเสียงลอดออกมาจากในห้องเลยชะงักมือไว้ อาจจะเป็นเพราะชั้นนี้ไม่คนอยู่เลยค่อนข้างเงียบ แค่เสียงพูดธรรมดาเลยได้ยินอย่างชัดเจน และเหมือนว่าคนในห้องกำลังจะเดินออกมา ผมจึงเดินหลบไปอีกทาง ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะหลบทำไม แต่รู้ตัวอีกทีก็เดินหลบออกมาแล้ว และก็เห็นหลังไวๆ ของใครสักคนเดินลงบันไดไป ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะเป็นพี่ยุ เพื่อนของพี่กันต์
พอเห็นว่าพี่เขาเดินลงไปจนพ้นแล้ว ผมเลยเดินกลับไปหาพี่เขาที่ห้องอีกครั้ง พอเคาะประตูกลับไม่มีเสียงตอบรับจากตนในห้อง เลยเปิดประตูเข้าไป แล้วก็เห็นพี่กันต์นอนหลับตาอยู่บนโซฟา อาการก็ดูเหมือนว่าจะแย่ลงกว่าเมื่อเช้า พอเอื้อมมือไปจับตัวพี่เขาแล้วก็ต้องตกใจ เพราะตอนนี้ตัวของพี่เขาร้อนจัด
“พี่กันต์... พี่กันต์ กลับบ้านนะ” ผมพูด ขณะที่โน้มตัวลงไป แล้วยื่นมือไปลูบหน้าลูบตาพี่เขาเบาๆ เพื่อเรียกให้พี่เขารู้สึกตัว
ตอนนี้ไม่มีเวลาจะมาสงสัยอะไรแล้วว่าพี่เขาจะมีเรื่องอะไรหรือเปล่า รู้แค่อย่างเดียวว่าตอนนี้ผมคงต้องพาพี่เขากลับไปก่อน
---------------------------------------------------------