ตอนที่ 66 Truth or Dare [1/2]
“กันต์ ที่คีบเนื้ออยู่ไหน” เสียงพี่ฟานที่เตรียมจะยกกะละมังใส่เนื้อหมักออกไปด้านนอกถามขึ้นมาจากอีกฝั่งของห้องครัว
“อยู่ในตู้หลังพี่ด้านบน พี่หยิบออกมาทั้งตะกร้าเลยเดี๋ยวได้ช่วยกันย่าง” ผมยืดตัวขึ้นมาตอบ พร้อมวางกะละมังใส่กุ้งแชบ๊วยและกุ้งแม่น้ำลงบนโต๊ะ ก่อนก้มไปหยิบของสดที่แช่ไว้ในตู้เย็นออกมาวางไว้ที่โต๊ะต่อ พอมาวางก็มีคนมาช่วยยกออกไป เอาของสดอออกมาหมดแล้วก็ตามด้วยขวดเครื่องดื่มต่าง ๆ ที่เอามาแช่ไว้ตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงตอนนี้ก็เย็นจัด เอาออกมาจับเรียงใส่กล่องโฟมแล้วเอาน้ำแข็งกลบทับอีกที
“พี่กาวน์เสร็จยัง” ผมหันไปถามที่กาวน์ที่กำลังยืนทอดเฟรนฟราย ส่วนในเตาอบก็ยังมีขนมปังกระเทียม
งานนี้ไทยปนฝรั่ง ใครเสนอว่าอยากกินอะไร ถ้าพี่กาวน์ตกลงทำให้ก็ได้กิน เพราะฉะนั้นนอกจากอาหารสดที่เอามาปิ้งย่าง เลยมีขนมปังกระเทียม พิเศษโรยหน้าด้วยมอสซาเรลล่าชีสแบบใส่เต็มที่ไม่มีหวง อันนี้ผมขอเอง แล้วก็มีเฟรนฟรายที่ป่านกับเอิงขอมา มีลาบหมู อันนี้ไอ้สรรค์พูดขึ้นมาและทำไม่ยากมากเลยได้กิน แล้วก็มีข้าวผัดปูอีกอย่าง ซึ่งเห็นตรงกันทุกคน คือกลางวันไม่ได้กินข้าว มื้อเย็นเลยร้องขอข้าวกันเป็นการใหญ่
หากไปไหนแล้วมีพวกพี่กาวน์อยู่ด้วยผมรับรองได้ว่าสบาย ไม่มีอดตาย เพราะทำกับข้าวเก่งกันยกกลุ่ม งานนี้ผมเลยไม่ได้ลงมือทำอะไร ปล่อยสามคนนั้นทำกันไป ต่างกับพวกเพื่อนกรลิบลับ แค่เจียวไข่ ต้มบะหมี่กินได้ก็เก่งแล้ว กลุ่มนั้นเลยต้องรับหน้าที่เตรียมสถานที่กับยกของ วันนี้คนเยอะนั่งในศาลาริมสระคงไม่หมด แล้วอีกอย่างวันนี้ฟ้าโปร่งไร้วี่แววว่าจะมีฝน เลยเห็นตรงกันว่าจะนั่งกันกลางแจ้ง แต่กว่าจะตกลงกันได้ว่าจะกินกันตรงไหนก็คุยกันนานอยู่ ก็คนหนึ่งจะนั่งที่สนามหญ้าหน้าบ้าน อีกคนจะให้นั่งที่ชานไม้ข้างบ้าน และสุดท้ายที่ริมสระน้ำหลังบ้าน
.
.
.
ตอนขากลับจากสถานรับเลี้ยงเด็กเราแยกกันออกเป็นสองกลุ่ม กรกลับมาบ้านพร้อมเพื่อนตัวเอง แล้วก็เพื่อนผมอีกสามคน แต่ก่อนเข้าบ้านให้พวกนั้นแวะซื้อพวกเครื่องดื่มจากร้านที่เปิดขายอยู่ต้นซอยเข้ามาด้วย ส่วนไอ้ยุไปซื้อของกับผมแล้วก็พวกพี่กาวน์ พอพวกผมกลับมาถึงบ้านพวกที่มาถึงก่อนแล้วกำลังยืนสุมกันอยู่ที่โต๊ะกินข้าว โดยที่บนโต๊ะมีขนม นม เนย เค้ก ขนมปัง และแซนวิชจากร้านประจำของผมกับกรวางเต็มไปหมด แต่ไม่มีข้าวหรือกับข้าว มีแต่ของรองท้องแก้หิว คงตั้งใจจะรอกินมื้อเย็นทีเดียว
พอมองต่อไปทางปลายโต๊ะด้านขวาก็เจอแจ๊ค แดเนียลวางอยู่สองขวา แต่คงไม่ได้มีแค่นั้นแน่นอนผมรู้ดี เลยก้มลงมองที่พื้นและก็ได้คำตอบ เมื่อเห็นลังสีเขียววางอยู่อีกสองลัง โซดาแพคใหญ่ และกล่องโฟมที่กรคงเอาออกมาจากห้องเก็บของเตรียมไว้สำหรับใส่น้ำแข็ง จัดมากันซะขนาดนี้ท่าทางผมคงต้องเตรียมที่ให้นอนกันหมดที่นี่คืนนี้ เพราะถ้าจัดกันมาขนาดนี้แล้วคงไม่มีใครขับรถกลับบ้านกันได้ อย่าว่าแต่ขับรถกลับบ้าน ให้เดินกลับไปที่รถตัวเองที่จอดอยู่ในบ้านได้ก็เก่งแล้ว พอทำดีก็ดีกันสุด ๆ พอจะผิดศีลข้อห้าก็จัดมากันซะเต็มเหนี่ยวดูท่างานนี้จะไม่มีใครช่วยปรามใคร คงมีแต่เห็นด้วยช่วยกัน
พวกที่กลับมาที่หลังอย่างผมมาถึงเห็นขนมวางอยู่ก็คว้าของบนโต๊ะติดมือกันมาคนละชิ้นสองชิ้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหิวโซกันขนาดไหน จากนั้นก็พากันเข้ามากระจุกตัวกันอยู่ในครัวเตรียมทำมื้อเย็น เพราะพวกเนื้อที่จะย่างต้องหมักทิ้งไว้ก่อน พวกกุ้ง ปลา ปลาหมึก ผัก ก็ล้างก่อนค่อยเอาเข้าตู้เย็น ไม่ต้องเอาเข้าเอาออกตู้เย็นหลายรอบ ล้างให้เสร็จไปเลยทีเดียว พอถึงเวลาจะกินก็หยิบไปทำกินได้เลย
“พี่กันต์ จะนั่งกินกันที่ไหน"
“สนามหญ้าหน้าบ้านดิ กว้างดี” ผมตอบ เดย์ที่เดินเข้ามาถาม
“ชานข้างบ้านดีกว่าไหม พี่ว่าหน้าบ้านมันโล่งไป มันยังไงก็ไม่รู้” พี่กาวน์พูดขึ้นมาบ้าง แล้วไอ้ที่ว่ามันโล่งไปยังไงไม่รู้นี่มันยังไงของเขาวะ ผมว่าต้นไม้ใหญ่บ้านผมก็ออกจะเยอะ ไม่ใช่สนามหญ้าโล่ง ๆ สักหน่อย แต่ถ้าเอามาเทียบกับบริเวณชานข้างบ้านและสวนหลังบ้านที่ผมตั้งใจให้มีต้นไม้ใหญ่ค่อนข้างเยอะเพื่อให้มีความเป็นส่วนตัว เวลาใครมองมาก็จะเห็นแต่ต้นไม้แล้วล่ะก็ สวนหน้าบ้านก็ถือว่าค่อนข้างโล่งทีเดียว
“จะนั่งกันหมดหรอพี่ ตั้งสิบกว่าคน” เสียงเดย์ถามกลับมาเหมือนไม่แน่ใจว่าที่จะกว้างพอ ให้คนตัวโต ๆ สิบกว่าคนไปอยู่รวมกัน
“พี่ว่าก็โอนะ น่าจะนั่งกันหมด” เสียงไอ้ยุพูดขึ้นมาบ้าง แล้วเอาของที่ถือเข้ามาวางกลางโต๊ะในห้องครัว ตอนนี้ในห้องครัวมีคนกระจุกตัวรวมกันอยู่หกเจ็ดคน
“ริมสระน้ำหลังบ้านไง นั่งกินริมน้ำได้บรรยากาศดีออก” ป่านเสนอขึ้นมาบ้าง แล้วหันไปหาคู่หูรักยมของมัน ให้เห็นด้วยกับมัน เอิงก็เหมือนจะรู้ว่าเพื่อนมันต้องการอะไรก็พยักหน้าแสดงออกให้รู้ว่าเห็นด้วย
“ชานข้างบ้านตอนนั่งกินดี ๆ คงได้อยู่หรอก แต่หลังจากนั้น ผมว่าคงไม่ไหว” กรพูดขึ้นมาบ้าง ซึ่งเป็นความคิดเดียวที่เหมือนกันกับผม ไอ้ตอนนั่งกินดี ๆ มันไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่พอมึน ๆ ร่างกายมันมักจะต้องการพื้นที่มากกว่าเดิม
“เออ อันนี้พี่เห็นด้วยว่ะ เพื่อจะเล่นอะไร แล้วไม่มีที่ด้วย” ไอ้สรรค์ที่ยืนพิงกรอบประตูครัวอยู่พูดขึ้นมาบ้าง
“จะเล่นอะไรวะมึง” ไอ้ยุหันไปถาม
“ยังไม่รู้ว่ะ ก็เพื่อใครอยากร้องรำทำเพลงอะไรพวกนี้ไง กูเห็นเพื่อนกรเอากีต้าร์มาด้วยนิ”
“ริมสระก็อย่าเลยดีกว่า เดี๋ยวมึน ๆ ได้เดินตกน้ำ” เสียงพี่ฟ้าพูดขึ้นมาบ้าง
“เออ ลืมไป แล้วคนตกก็คงจะไม่ใช่ใครที่ไหน เมาแล้วโคตรรั่ว” เสียงป่านพูดแล้วส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ไปทางพี่ฟ้า ผมเลยเข้าใจว่าป่านมันหัวเราะอะไร ผมเองที่พอนึกเรื่องขึ้นได้ก็พลอยจะขำขึ้นมาตามป่านด้วย พี่กาวน์กับพี่ฟานก็เหมือนกับผม คือ เริ่มหัวเราะขึ้นมาบ้าง ส่วนคนอื่นคงไม่เข้าใจว่าพวกเราหัวเราะกันด้วยเรื่องอะไร
ตอนฉลองที่พวกพี่กาวน์จบโท พี่กาวน์กับพวกเพื่อน ๆ ก็จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ กันที่บ้านเพื่อนพี่กาวน์ ส่วนผมที่เพิ่งไปต่อโทได้เดือนเดียวกับป่านที่ไปอยู่ด้วยช่วงปิดเทอมก็ถูกชวนให้ไปด้วย งานเลี้ยงจัดกันในสนามหลังบ้าน แล้วในสนามมีสระเล่นน้ำของลูกชายเจ้าของบ้านที่เป็นสระพลาสติกกลม ๆ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสองเมตรครึ่งใส่น้ำจนเต็มตั้งอยู่ช่วงแรกที่กินดื่มกันอยู่ก็ไม่มีใครมีปัญหาอะไรกับสระน้ำนั่น แต่พอพี่ฟ้ากึ่ม ๆ พอประมาณเท่านั้นล่ะ ไม่รู้ว่าพี่แกทำท่าไหน อยู่ดี ๆ ก็หงายหลังลงน้ำไป ไอ้หงายหลังลงน้ำไปยังไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้ตอนร้องโวยวายให้ช่วย เพราะเข้าใจว่าน้ำลึกมาก จนพี่ฟานต้องเดินไปฉุดตัวพี่ฟ้าขึ้นมานั่ง พอนั่งได้แค่นั้นหัวก็โผล่พ้นน้ำขึ้นมาแล้ว แต่ก็อย่างว่าคนมันเมาขนาดน้ำตื้นไม่ถึงหัวเข่ายังเกือบจะจมได้ เลยกลายเป็นเรื่องที่เอามาล้อกันได้อยู่เป็นเดือน
“ถ้างั้นก็เป็นหน้าบ้านแล้วกัน” ผมสรุป พอตกลงกันแล้วก็แยกย้ายกระจายกันไป ผมให้กรไปดูพวกเครื่องนอนเตรียมไว้ ส่วนผมกับไอ้ยุมาช่วยพวกพี่กาวน์จัดการกับของสดที่ซื้อมา
......................................................
พอได้เวลาเหมาะ ๆ ดวงอาทิตย์กำลังพ้นไปขอบฟ้า ก็ช่วยกันขนข้าวขนของแล้วพากันออกมานั่งล้อมวงกันอยู่บนสนามหญ้าหน้าบ้าน จัดที่นั่งยาวเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าตามผืนใบพลาสติกที่เอามาปูนั่ง คนเยอะขนาดนี้ให้นั่งเป็นวงกลม วงคงใหญ่เกินไป จะตักจะหยิบอะไรกินก็คงไม่ถนัด เลยล้อมวงนั่งเสมือนนั่งอยู่บนโต๊ะแบบโต๊ะยาวแทน ก็นั่งสลับๆ กันไปทั้งสามกลุ่มไม่ได้นั่งแยกพวกใครพวกมัน
ฝั่งปลายสุดทางขวามือผม ด้านที่ติดกับถังใส่น้ำแข็งมีไอ้น้องเดย์นั่งอยู่ โดยมีผมกับเพื่อนมันเองเป็นคนยัดเยียดให้มันไปนั่งลงตรงนั้น เพราะติดฝีมือในการชงเหล้าของมัน ถึงวันนี้จะชงแค่เหล้ากับโซดา หรือโซดา น้ำ ไม่ได้ทำคอกเทล แต่ถึงจะเป็นแค่เหล้ากับโซดาทุกคนจะชงแล้วออกมาพอดี จริง ๆ แล้วจะว่ายัดเยียดมันก็ไม่ถูกเสียทีเดียว แต่มันเหมือนจะรู้หน้าที่ตัวเองอยู่แล้วประมาณนึง
นอกจากเดย์แล้วก็ยังมีพี่ฟ้าที่อาสาไปช่วยโดยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน ถัดจากพี่ฟ้าเป็นพี่กาวน์ ตามด้วยน้องชายตัวแสบของผมอย่างไอ้ป่าน ที่ตอนนี้นอกจากสถานะน้องชายผมแล้วมันยังพ่วงสถานะพี่สะใภ้ผมด้วยอีกต่างหาก คิดถึงเรื่องนี้แล้วก็อยากจะกระโดดถีบพี่ชายตัวเองอีกสักร้อยหน โทษฐานที่มันริอาจทำตัวเป็นสมภารกินไก่วัด ซึ่งผมเองก็เกือบจะเคยเป็นไก่ให้มันกินมาแล้ว คิดแล้วก็อยากโดดถีบมันเพิ่มอีกร้อยหนกับเหตุผลที่มันทำไป แม่งโคตรบ้า
ถัดจากป่านมาก็เป็นกร แล้วก็ผม ซึ่งไม่ได้จงใจว่าต้องนั่งติดกันเป็นคู่อย่างนี้ แต่มันเป็นไปเอง ต่อจากผมก็เป็นพี่ฟาน แล้วก็เป็นที่ของไอ้ยุกับไอ้ภพที่ตอนนี้ไปยืนอยู่หน้าเตาย่าง ส่วนอีกฝั่งก็มีเพื่อนผมกับเพื่อนกรนั่งสลับ ๆ กันอยู่
หลังจากนั่งกันได้แล้วเดย์กับพี่ฟ้าก็ลงมือทำหน้าที่ของตัวเองทันทีแจกจ่ายแก้วเครื่องดื่มตามความต้องการของแต่ละคนจนครบ เบียร์ที่แช่เย็นจนเป็นวุ้นหรือเหล้าผสมมิกเซอร์แบบที่ชอบ ใครอยากได้อะไรแบบไหนบอกไปเดี๋ยวสองคนนั้นจัดให้ สำหรับผมขอมิกเซอร์เป็นโซดาน้ำ ส่วนเบียร์ผมไม่ชอบเท่าไร ดื่มได้แต่ถ้าเลือกได้ก็ไม่ แล้วก็ไม่ลืมจัดไปให้ถึงคนที่ยืนอยู่หน้าเตาด้วย มือหนึ่งถือแก้ว มือหนึ่งก็ถือที่คีบย่างเนื้อย่างกุ้งไปด้วย
“ให้พวกนั้นทำกูจะได้กินแน่ใช่ไหม” เสียงพี่ฟานที่นั่งอยู่ข้างหันมาถามเหมือนคนกำลังไม่แน่ใจ ก่อนจะมองกลับไปทางเตาย่างที่มีไอ้ยุ ไอ้ปก และเพื่อนกรอีกสองคน ติ๊ดกับธียืนอยู่อีกครั้ง
“มีไอ้ยุอยู่ด้วยไม่มีปัญหาหรอก” ผมตอบ
ถ้ามีไอ้ยุอยู่ด้วยผมรับรองว่าไม่มีอะไรที่ไม่ได้ ไม่สำเร็จ มันทำได้ทุกอย่าง แบบที่ไม่น่าเชื่อว่าไอ้คนที่มีลุคคุณชายอย่างมันที่วัน ๆ ก็มีคนคอยบริการจะทำได้ มันบอกผมว่าถ้ามันไม่รู้จริง จะไปติใครสอนใครก็ทำได้ไม่เต็มปาก เพราะฉะนั้นมันเลยหัดทำตั้งแต่กับข้าว ไปจนงานบ้านเกือบทุกอย่าง หัดให้รู้ให้ทำเป็น ถึงชีวิตประจำวันมันจะมีคนทำให้อยู่แล้ว นอกจากงานในบ้านมันก็ยังทำอีกหลายอย่างทั้งแข่งรถ ปีนเข่า ไต่ผา เล่นเซิร์ฟ สารพัดที่มันจะหามาลองทำ ล่าสุดมันไปเล่นพารามอเตอร์กับเรียนทำอาหารอิตาเลียน โคตรจะคนละทาง ไอ้บ้านี่ใครมาชวนทำอะไรทำหมด ขอแค่ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย มันว่าอย่างนั้น แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่ามันเอาเวลาจากไหนมาเยอะแยะทั้งที่วันธรรมดามันก็ทำงานเหมือนผม
เห็นไอ้ยุมันสามารถทำอะไรได้ดีสารพัดทั้งเรื่องเรียน กีฬา งานบ้าน และยังรวมไปถึงเรื่องจิตวิทยา ซึ่งเป็นเรื่องที่ผม ไอ้ภพ ไอ้สรรค์ และไอ้ปก เห็นตรงกันว่าเป็นความสามารถที่ไอ้ยุไม่ควรจะทำได้เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องจิตวิทยาในการรีดความลับจากเพื่อน ไม่รู้เป็นยังไง แต่ใครอย่าได้ริมีความลับกับมันเป็นอันขาด เพราะมันเป็นคนที่พวกผมปิดอะไรกับมันไม่ได้ ทั้งที่ไม่ต้องเอ่ยปากถามอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าใครมีความลับแล้วมาเจอหน้ามัน ก็เป็นอันต้องเล่าออกมาเอง อย่างเรื่องผมกับกร ไอ้ยุก็เป็นคนแรกที่รู้ ปิดใครปิดได้แต่ปิดไอ้ยุไม่เคยได้
นั่งหยิบเฟรนฟรายกับขนมปังกระเทียมกินเล่นไปได้ไม่นานเท่าไหร่ ของย่างก็เริ่มทยอยส่งออกมาจากเตา จนส่งลงมาครบทุกอย่างถึงได้เริ่มกินข้าวพร้อมกัน
“พี่กันต์ ไอ้กรมันทำให้อย่างนี้ตลอดป่ะ” เสียงธีที่นั่งอยู่ตรงข้ามกรถามมา เมื่อเห็นกรแกะกุ้งมาวางที่จานผม
“อืม” ผมตอบแล้วตักข้าวผัดปูใส่จานให้กร
“ถามทำไมวะ หรือมึงอิจฉา” กรถามเพื่อนตัวเอง แล้วยักคิ้วให้กวน ๆ
“มึงจะให้มันอิจฉาใคร อิจฉาพี่กันต์ที่มึงแกะกุ้งให้ หรืออิจฉามึงที่มีพี่กรให้แกะกุ้งให้” อันนี้เป็นเสียงของนายเพื่อนกรอีกคนพูดขึ้นมา
“เปล่า กูแค่สงสัยว่าไอ้กรมันเป็นคนดีขนาดนั้นเลยหรอวะ มึงก็พูดซะ เดี๋ยวพี่กันต์เข้าใจกูผิด” ธีพูดต่อ ก่อนจะรีบออกตัวบอกเพื่อนกันผมเข้าใจผิด
“ไอ้ห่านนี่ ถามจริงกูเคยเลวให้มึงเห็นตอนไหน” กรด่าเพื่อนตัวเอง
“ก็ไม่เคย แต่กูแค่อยากรู้ กูเลยถามพี่กันต์ไปอย่างนั้นแหละ”
“กวนตีนนะมึงเนี่ย” ไม่ใช่เสียงกร แต่เป็นเสียงนายที่ด่าแทน
“พี่กันต์ยังไม่ว่าอะไรกูเลย มึงจะมาว่ากูทำไมเนี่ย ใช่ไหมครับ พี่กันต์ยังไม่ได้คิดอะไรเลยใช่ไหมครับ” ธีหันพูดกับผม ใช้คำพูดซะสุภาพ
“อืม” ผมพยักหน้าตอบไป ถ้าเป็นเมื่อก่อนมาพูดทำนองนี้ผมคงมีเขิน ๆ บ้าง แต่ตอนนี้เฉย ๆ แล้ว เหมือนเรื่องที่ผมกับกรทำอะไรให้กันเป็นเรื่องปกติ จะมีเรื่องที่ยังทำตัวให้ชินไม่ได้สักทีก็แค่เรื่องเดียว ถ้าให้ทำนะได้ แต่อย่าให้พูดอะไร
ระหว่างที่นั่งกินกันไปก็หาเรื่องมาคุยกันได้เรื่อย ๆ แต่เหมือนใครนั่งใกล้ใครก็คุยกับคนนั้น ไม่ได้มีเรื่องที่เรียกความสนใจร่วมกัน จนอาหารชุดแรกเริ่มหมดไป และแต่ละคนมีแอลกอฮอล์อยู่ในกระแสเลือดกันพอประมาณ ก็มีคนเรียกความสนใจให้มารวมกันที่เดียวได้
“เฮ้ย ๆ เล่น truth or dare กัน” เสียงพี่ฟ้าส่งเสียงเรียกความสนใจ ก่อนบอกจุดประสงค์ที่เรียก
“ห้ามมีใครตอบไม่เล่น กูบังคับให้เล่นทุกคน” พี่ฟ้าพูดต่อเมื่อเห็นพี่ฟานทำท่าจะไม่เล่น ตอนแรกผมนึกว่าจะเป็นพี่กาวน์ที่จะไม่ยอมเล่นที่ไหนได้พี่แกนั่งเฉย
“นั่งเป็นวงกลมเร็ว” พี่ฟ้าสั่งต่อ ทุกคนก็ขยับตัวทำตามแกหมด เกมนี้จะเล่นไม่สนุกถ้าไม่สนิทกันจริง แต่ถ้าดูจากทั้งหมดที่นั่งกันอยู่นี่ คงจะสนุกแน่นอน เพราะต่างคนต่างมีเพื่อนสนิทนั่งอยู่ทั้งนั้น แล้วคนที่ผมกลัวที่สุดไม่ใช่ใคร ไอ้จอมรีดความลับนั่นแหละ ผมว่ากลุ่มผมที่เหลือ ไม่นับรวมไอ้ยุ คงกำลังคิดเหมือนผมกันหมดทุกคน
พอนั่งเป็นวงกันแล้วเกมก็เริ่ม พี่กาวน์หยิบจานใส่กับข้าวที่อยู่กลางวงออกไปจานหนึ่ง แล้วเอาจานเปล่าเข้ามาวางลงไปแทนที่ ก่อนจะหยิบเอาตะเกียบมาวางไว้หมุนหาคนดวงซวย ที่บอกว่าซวยเพราะแค่ลำพังกลุ่มผมเองก็เล่นกันหนักแล้ว นี่มาเจอกลุ่มพี่กาวน์อีก พี่ฟ้ากับพี่ฟานนี่ธรรมดาที่ไหน ส่วนกลุ่มกรยังไม่รู้ว่าเป็นยังไง
“ลุกไปไหน ๆ” เสียงพี่ฟ้าดังมาเลย ตอนผมกำลังจะลุก
“ไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวมา เล่นไปก่อนเลย ถ้าโดนกันต์ก็ให้กรเล่นแทนไป” ผมบอก
“ไม่ ๆ เดี๋ยวรอ” พี่ฟ้าพูด แล้วสะบัดมือไล่ส่ง แต่พอผมลุกก็มีป่านกับพี่ฟานลุกตามมาด้วย ไปเข้าห้องน้ำแป๊บเดียวก็กลับมานั่งประจำที่ เตรียมวัดดวง
“ไอ้ฟ้ามึงบอกกติกาก่อนเดี๋ยวไม่ตรงกัน”พี่ฟานตะโกนบอกเพื่อน
“หมุนปลายตะเกียบโดนใคร คนนั้นเลือกว่าจะเอา truth or dare ส่วนคนหมุนตะเกียบก็ตั้งคำถามหรือออกคำสั่ง งานนี้อนุญาตให้คนถามหันไปขอคำถามจากคนอื่นได้ พอตอบเสร็จ คนตอบก็หมุนตะเกียบหาคนต่อไป”
“กาวน์มึงหมุนก่อนเลย” เสียงพี่ฟ้าสั่ง พี่กาวน์ก็เอื้อมมือไปกลางวง ใช้นิ้วจับตะเกียบก่อนทำให้หมุนเป็นวงอยู่ในจาน เรียกสายตาสิบกว่าคู่ให้ไปจ้องอยู่ที่ที่เดียวกันหมด
และเมื่อตะเกียบหยุดหมุน
.
.
.
“truth or dare” เสียงพี่กาวน์ถาม ส่วนคนอื่นก็มองสลับไปมาระหว่างคนตั้งคำถามกับคนถูกถาม
“truth” ธีตอบสิ่งที่เลือก จากนั้นก็รอฟังว่าพี่กาวน์จะถามอะไร หรือจะให้ใครถามแทน
“มึงคิดอะไรกับน้องกูหรือน้องเขยกูป่ะ” พี่กาวน์ถามโดยที่คำเรียกแทนตัวเปลี่ยนไปแล้วด้วยฤทธิ์น้ำเมา ความสนิทในวงเหล้ามันเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เสมอ แต่เมื่อกี้พี่กาวน์ถามว่าอะไรนะ ได้ยินแต่คำว่าน้องเขยเต็มปากเต็มคำ ส่วนไอ้คนที่ถูกเรียกว่าน้องเขยยิ้มกริ่มจนน่าหมั่นไส้
“เรียกน้องเขยเต็มปากนะมึง” เสียงพี่ฟานแซวเพื่อนตัวเอง ส่วนป่านที่นั่งอยู่ระหว่างพี่กาวน์กับกรถึงกับทำหน้าเหวอ ตกใจแทนผมไปแล้วเรียบร้อย เรื่องผมกับกรไม่มีใครในที่นี้ไม่รู้ รู้กันหมด ก็มีแต่เพื่อน มีแต่พี่น้องที่สนิทกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นงานนี้ใครจะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ ผมไม่ซีเรียส
“เออ อยู่กันขนาดนี้แล้ว กูไม่รับได้หรือไง ถ้ากันต์ท้องได้ป่านนี้กูคงได้อุ้มหลานไปแล้วมั้ง ส่วนมึงตอบมาสักทีรอฟังอยู่” พี่กาวน์ตอบเพื่อนตัวเอง ไม่ได้สนใจกับคนที่ถูกเอ่ยถึงอย่างผมหรือกรที่นั่งขั้นกลางอยู่เลย พอพูดกับเพื่อนตัวเองแล้วก็หันไปเอาคำตอบจากธีต่อ
“ผมยังชอบดูม ๆ อยู่นะพี่ และยังไม่คิดเปลี่ยนใจ” ธีที่โดนถามเพิ่งได้โอกาสตอบ
“ไอ้ธี หมุนตะเกียบต่อ” เสียงเอิงเตือน ธีก็ยื่นมือไปหมุนตะเกียบ รอบเมื่อผมที่โดนยังถูกดึงไปเอี่ยว ตอนนี้เลยชักหวั่น ๆ ว่า ถ้าถึงคิวตัวเองโดนขึ้นมาจะเจออะไร
“truth or dare” ธีถาม
“Dare” เอิงเลือกตอบโดยไม่ลังเล ท่าทางจะคิดไว้แล้วล่วงหน้า
“เดินมาหอมแก้มกู สองข้าง มาเร็ว” ธีบอกคำสั่ง ทำเอาเอิงหน้าเหวอกว่าป่านเมื่อกี้อีก
“ไหนมึงบอกชอบดูม ๆ ไง ไหงจะเล่นเพื่อนแล้ววะ” เสียงไอ้ยุถาม
“ก็อยากได้ Truth แต่มันดันไม่เลือก แต่ใช่วิธีนี้ก็น่าจะได้เหมือนกัน” ธีตอบไอ้ยุ แต่ดูท่าแล้วนอกจากคนพูดจะไม่มีใครเข้าใจอะไรด้วย หรือว่าจะมี และคน ๆ นั้นก็คือคนที่นั่งอยู่ซ้ายมือผม กร ที่คิดอย่างนั้นเพราะเห็นสายตาจับผิดของกรที่มองไปทางเอิงกับธี และคนที่ถูกมองมากที่สุด นาย สงสัยว่าคนข้างผมเขาจะรู้อะไรดี ๆ ผมเลยสังเกตดูบ้าง
“อย่าชักช้าลุกมาเร็ว” เสียงธีเร่งเพื่อน เอิงก็ยอมลุกไปยืนอยู่ด้านหลังธี ก่อนจะย่อตัวลงมานั่ง ส่วนติ๊ดที่นั่งอยู่ข้างธีก็ขยับตัวถอยให้เอิงเข้ามา
“เอาจริงหรอวะ” เอิงถาม
“เอาจริงเร็ว ๆ”
“เอาเลย ๆ” เสียงสนับสนุนดังมาพร้อมกับเสียงเคาะช้อนเคาะส้อมเป็นจังหวะ เอิงหันซ้ายหันขวามองคนรอบวง ก่อนจะกดจมูกลงไปหอมแก้มเพื่อนตัวเองทั้งสองข้างตามคำสั่ง แล้วจะรีบลุกกลับไปนั่งที่เดิม
“อย่าติดใจนะมึง เดี๋ยวผู้หญิงจะเป็นโสดเพิ่มอีกคน” เสียงไอ้ภพแซว ส่วนกรหัวเราะ หึหึ อยู่ในคอ ก่อนหันไปมองธี แล้วพยักหน้าให้กันเหมือนส่งสัญญานอะไรให้กันสักอย่าง
หลังจากนั้นเกมก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ
จนมาถึง
.
.
.