ตอนที่ 21 มือที่กุมไว้ [1/2]
แล้วก็วนมาถึงสัปดาห์แรกของเดือนอีกครั้ง สัปดาห์ที่ผมจะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการประชุม โดยเริ่มต้นวันแรกด้วยการประชุมกับทีมงานของนิตยสาร Indeed ที่ออฟฟิศ สำหรับการประชุมในส่วนนี้ก็ยังคงผ่านไปได้ด้วยดีเหมือนอย่างเคย จะมีเรื่องที่เน้นหนักๆ และให้คิดกันอยู่ไม่กี่เรื่อง โดยส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของการรักษาสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้คงอยู่และต้องไม่ละเลยที่จะพัฒนาให้ดีขึ้นไปกว่าเดิม การสร้างและปรับแนวทางของนิตยสารในบางจุด ให้มีความสมดุลระหว่างคนทำ คนอ่าน และโฆษณา รวมถึงการวิเคราะห์และมองความเป็นไปได้ทางการตลาดในการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ เพื่อขยายกลุ่มผู้อ่าน แต่ทั้งหมดนั้นต้องเป็นไปตามจุดยืนของนิตยสารที่เรากำหนดไว้
แต่การทำงานของผมมันยังไม่จบเพียงแค่นั้น เพราะทั้งเมื่อวานและวันนี้ผมก็ต้องไปเผชิญกับสิ่งที่มันน่าจะเรียกได้ว่า เป็นการทำงานอย่างแท้จริง เป็นบทบาทที่ผมจะต้องรับ และทำมันให้ดีที่สุด ในฐานะประธานบริษัทฯ ผมต้องเตรียมตัวรับมือกับการขยายตัวของบริษัทฯ ที่มันกำลังจะโตขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการสร้างตัวเองให้เป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่าย ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องเดียวที่ยากและหนักสำหรับผมในตอนนี้ แต่ผมก็เชื่อมั่นว่าผมจะทำมันสำเร็จในไม่ช้า
.
.
.
หลังจากการประชุมในช่วงเช้าของวันนี้ผ่านไป ผมก็มานั่งดูเอกสารและประเมินเนื้อหาการประชุมที่เพิ่งผ่านพ้นไปอยู่ในห้องทำงาน สำหรับการวางแผนงานที่จะทำต่อไป ซึ่งคงใช้เวลาอีกประมาณสองชั่วโมงก่อนจะออกจากที่นี่ และแวะกลับเข้าไปที่ออฟฟิศอีกครั้งเพื่อตรวจดูงานที่อาจจะค้างอยู่หลังจากที่ผมไม่ได้เข้าไปเมื่อวาน รวมถึงช่วงเช้าของวันนี้
“<<ไม่มีพรุ่งนี้ รักเราจะมีเพียงวันนี้รออยู่ ปล่อยวันพรุ่งนี้ ให้ฟ้านำทางต่อไป หน้าที่ของฉัน แค่เพียงรักเธอวันนี้ทั้งหัวใจ …>>” แล้วเสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานก็ดังขึ้น ทำให้ผมต้องละมือจากแฟ้มที่กำลังเปิดอยู่ ไปเอื้อมมือหยิบมันขึ้นมาเพื่อกดรับสาย
“ครับ”
“พี่กันต์ ประชุมเรียบร้อยดีไหมครับ แล้วเหนื่อยหรือเปล่า” เสียงจากปลายสายถามเข้ามา และมันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมยิ้มออกมาได้หลังจากผ่านเรื่องเครียดๆ จากการทำงานมา
“ก็เรียบร้อยดี มีเหนื่อยบ้าง แล้วกรล่ะ” ผมตอบ แล้วก็ถามเขากลับไปบ้าง ซึ่งการถามความเป็นไปของอีกฝ่ายนั้น ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นนิสัยหรือความเคยชินของเราสองคนไปแล้วเวลาที่โทรคุยกันหรือเจอหน้ากันเมื่อกลับถึงบ้าน
“คุยมาแล้ว ก็เรียบร้อยดี” เขาตอบ
“อื้อ พี่กันต์ วันนี้กรกับเพื่อนจะพาน้องรหัสไปเลี้ยงที่ร้านพี่อาร์ คงกลับดึกๆ นะ” เสียงจากปลายสายบอกผม
“อืม แล้วจะขับรถไปหรือเปล่า” ผมถาม เพราะเท่าที่เห็นเขาจะไม่ค่อยเอารถไปเองเวลาออกไปเที่ยว ถ้าเป็นอย่างนั้นผมจะได้ออกไปรับ
“คงไม่ล่ะ เดี๋ยวกรเอารถกลับมาเก็บที่คอนโดฯ ก่อน แล้วนั่งแทกซี่ไปกลับเอา ทำตามนโยบายเมาไม่ขับไง” เขาบอกผม และก็เป็นตามที่ผมคิดเอาไว้
“อืม จะกลับตอนไหนก็โทรหาแล้วกัน เดี๋ยวพี่ไปรับ ว่าจะแวะเอาหนังสือไปให้อาร์มันด้วย วันนี้ที่โรงพิมพ์เอาตัวอย่างที่พิมพ์เสร็จแล้วมาให้ ว่าจะเอาไปให้มันก่อนวางแผง”
“แล้วของกรล่ะ พี่เอามาให้ด้วยเปล่า” เสียงของกรที่รีบทวงถามขึ้นมา เมื่อฟังสิ่งที่ผมพูดจนจบแล้ว
“เปล่า” ผมแกล้งตอบไป ทั้งที่จริงๆ แล้วก็ตั้งใจเก็บไว้ให้เขาแล้วเหมือนกัน
“โห อะไรอ่ะ” แล้วเสียงประท้วงก็ตามมาทันที
“เออ เก็บไว้แล้วน่า” ผมบอกก่อนที่เขาจะพูดบ่นผมออกมาเสียยืดยาว
“ก็พูดไปงั้น ยังไงก็รู้อยู่แล้วแหละ ว่าแฟนกรอ่ะ เป็นคนดีที่สุด รักแฟนที่สุด เพราะฉะนั้นไม่มีทางไม่มีทางลืมกรได้อยู่แล้ว” เออนะ ไม่รู้จะพูดอะไรดีเลยผม
“หรอ เดี๋ยวยังไงแค่นี้ก่อนนะ พี่จะรีบเคลียร์งานให้เสร็จ คืนนี้เจอกัน”
“ครับ แล้วเจอกัน”
....................................................................
ผมกลับมาถึงออฟฟิศ และเริ่มเคลียร์งานตอนสี่โมงครึ่ง กว่าที่ผมจะเคลียร์งานจนเสร็จและได้ขับรถกลับคอนโดฯ ก็ตอนเกือบๆ สามทุ่ม ที่ผมกลับไปก็เพื่อที่จะกลับไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้น ก่อนจะออกไปข้างนอกอีกครั้ง
และในเวลาไม่นานนักผมก็อยู่ในเชิ้ตสีดำขนาดพอดีตัว พับแขนขึ้นมาถึงข้อศอก กางเกงยีนส์ขาเดฟสีดำสนิท คาดทับด้วยเข็มขัดแบรนด์ดังที่ได้มาตอนไปซื้อเสื้อผ้าพร้อมกับอีกคนเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา และสุดท้ายเครื่องประดับที่ขาดไม่ได้เลยไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนนั่นก็คือ นาฬิกาข้อมือ และเรือนนี้ก็เป็นเรือนโปรดที่ผมมักจะหยิบขึ้นมาใส่ประจำเมื่อสวมเสื้อเชิ้ตสีเข้ม แล้วผมก็คว้าโทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์และกุญแจรถที่วางอยู่ด้วยกันก่อนจะออกจากห้องไป
ผมขับรถมาถึงที่ร้านประมาณสี่ทุ่มครึ่ง พอมาถึงผมก็เดินขึ้นไปที่ชั้นสองเพื่อไปหาไอ้อาร์ ซึ่งชั้นสองนี้นอกจากส่วนที่เป็นพื้นที่สำหรับนักเที่ยว นักดื่ม หรือผู้คนที่มาสังสรรค์พบปะกันแล้ว ก็จะมีส่วนหนึ่งที่ถูกกั้นเป็นห้องทำงานและห้องควบคุมเรื่องระบบต่างๆ ภายในร้าน รวมถึงโทรทัศน์ที่ฉายภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดเพื่อดูความเป็นไปภายในร้านและเพื่อรักษาความปลอดภัยด้วย
ผมก็เข้ามานั่งคุยกับไอ้อาร์มันไปเรื่อยๆ เรื่องหนังสือบ้าง เรื่องที่ร้านมันบ้าง และผมก็บอกมันแค่ว่า ผมแวะเอาหนังสือมาให้มันก่อนที่หนังสือจะวางแผงเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าผมมาทำอะไรนอกเหนือจากนั้น จนเวลาผ่านไปถึงห้าทุ่มกว่าๆ เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของผมก็ดังขึ้น
“ครับ”
“อื้ม ๆ” ผมรับสายและตอบรับคนปลายสายเพียงสั้นๆ เมื่อเขาโทรมาเพื่อบอกผมว่าเขาอยู่ที่ไหน เพื่อที่จะให้ผมตามไปเจอ ก่อนที่เราจะกลับคอนโดฯ ซึ่งเขาเองก็ยังอยู่ที่โต๊ะกับเพื่อน และที่ผมต้องไปหาเขาที่โต๊ะ ก็เพราะฟังจากเสียงของเขาแล้วคงกำลังเมาได้ที่ แล้วยังเสียงที่ดังอยู่รอบตัว แค่บอกว่าอยู่ตรงไหนได้ก็ดีแล้ว แต่จะให้คุยอะไรกันมากกว่านี้คงไม่รู้เรื่อง
พอวางสายแล้วผมก็บอกกับอาร์ว่าจะกลับแล้ว และก็เดินลงมาข้างล่างเพื่อไปหาอีกคนที่โต๊ะ
.
.
.
“กร” ผมเรียกคนที่นั่งอยู่ปลายสุดของโต๊ะ เมื่อเดินมาอยู่ข้างเขาแล้ว พอพวกเพื่อนมันเห็นผมก็ยังคงยกมือไหว้ทักทายกันตามปกติ จะมีพวกน้องรหัสที่พวกมันพามาเลี้ยงที่มองผมอย่างไม่แน่ใจว่าเป็นใคร และก็มีที่บางคนยกมือไหว้ตาม
สำหรับเพื่อนของกร เขาเองก็กลับมาเล่าให้ผมฟังว่า พวกนั้นรู้กันแล้วว่าเขากับผมกำลังคบกันแบบไหน และแต่ละคนก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรที่แสดงออกว่าไม่เห็นด้วย เพราะมันถือว่าเป็นการตัดสินใจของเขา แต่ผมก็บอกเขาไปว่าอย่าให้เรื่องของเรามีคนรับรู้มากนัก ซึ่งผมเองก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร แม้แต่กับเพื่อนที่สนิท จะมีก็แต่ไอ้ยุที่มันรู้เข้าโดยบังเอิญ มันไม่ใช่ว่าผมอายที่จะคบกับเขา แต่ด้วยหน้าตาทางสังคม และอะไรอีกหลายๆอย่าง ที่มันไม่ใช่ลำพังแค่ตัวผม แต่มันอาจจะไปถึงพ่อแม่ของผม และเป็นไปได้ที่จะมีผลกระทบด้านอื่นตามมา มันคงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าถ้าเรื่องนี้จะมีคนรู้ให้น้อยที่สุด
และตอนนี้คนที่ผมมายืนเรียกเขาก็ยกแขนขึ้นมาคว้าเอวผมและรั้งให้เข้าไปยืนจนเกือบจะชิดกับเขา จนผมต้องยกมือขึ้นมาแกะแขนของเขาออก คือมันคงดูไม่ดีเท่าไหร่นัก ถ้าผมจะปล่อยให้เขาทำแบบนี้ ซึ่งการกระทำมันคงไม่เป็นปัญหาหากเป็นเวลาที่เขากับผมอยู่กันตามลำพัง
“กร จะกลับเลยหรือเปล่า” ผมก้มลงไปและตะโกนถามเขา
“อื้อ” เขาพยักหน้าตอบ และพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่ก็โงนเงนเสียหลักจนต้องกลับลงไปนั่งอีกครั้ง แล้วส่งมือมาคว้าเอวผมไปด้วย จนผมไปยืนแทรกอยู่ระหว่างขาของเขาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ผมเองก็พยายามจะดึงตัวเองออกอีกครั้ง
จริงๆ มันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ถึงผมจะมายืนอยู่ในท่าล่อแหลมแบบนี้ เพราะตอนนี้คนที่อยู่รอบข้างตัวผม ก็เบียดเสียดเสียจนแทบไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ยิ่งอยู่ภายใต้แสงสลัวแบบนี้ มันก็คงไม่เป็นที่สังเกตเท่าไรนัก แม้แต่พวกที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกันตอนนี้ ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะสนใจอะไรกับพวกผมสองคน เพราะต่างคนก็ต่างสนุกสนานไปกับเสียงเพลงและให้ความสนใจกับเครื่องดื่มที่อยู่ในมือ
แล้วก็สมกับที่เขาเรียกกันว่าน้ำเปลี่ยนนิสัย เพราะตอนนี้มันได้เปลี่ยนคนที่อยู่ตรงหน้าผมให้กลายเป็นคนที่มีสายตาเจ้าชู้ กรุ้มกริ่มไปโดยที่เขาเองก็คงไม่รู้ตัว และนอกจากสายตาที่ดูเปลี่ยนไปแล้ว ผมก็รู้สึกได้ว่ามือของเขามันจะไวเกินไปแล้ว เดี๋ยวก็คว้าเอวผมเข้ามาชิดกับตัวเอง เดี๋ยวก็เอามือผมไปเล่น จะโวยวายหรือผลักไสอะไรมากก็ไม่ได้ เพราะมันจะกลายเป็นที่สังเกต เลยได้แต่พยายามแกะมือปลาหมึกนั่นออก และฉุดประคองตัวเขาให้ลุกขึ้น เพื่อที่เราจะได้กลับกันเสียที ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย เดย์มาบอกผมว่าเดี๋ยวมันค่อยไปเคลียร์กันเองทีหลังให้ผมพากรกลับไปได้เลย
และในจังหวะที่ผมประคองกรและหมุนตัวกลับหลังเพื่อที่จะเดินออกไป ผมก็พบกับใครคนหนึ่ง
“พี่กาวน์” ผมเรียกชื่อของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า พร้อมกับมองเขาด้วยความตกใจปนประหลาดใจเพราะไม่คาดคิดว่าจะมาเจอเขาอยู่ที่นี่ตอนนี้ แต่เขาเองกลับทำเพียงแค่มองกลับมา และมองอยู่แบบนั้นก่อนจะพูดออกมา
“จะกลับเลยหรือเปล่า” พี่กาวน์ถาม ผมเองก็พยักหน้าตอบกลับไป จากนั้นพี่เขาก็เดินไปยืนอีกฝั่งของกร และช่วยผมประคองกรเดินออกไปนอกร้าน
พี่กาวน์เป็นลูกชายของอาพิม น้องสาวคนเดียวของพ่อผม เราสองคนต่างก็เป็นลูกคนเดียวของบ้าน ตอนเด็กๆ ก็ถูกเลี้ยงให้โตมาด้วยกัน เลยทำให้เราสนิทกันจนเหมือนพี่น้องที่คลานตามกันมา จนมาถึงช่วงที่พี่เขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เขาเลือกที่จะไปเรียนในต่างประเทศ ตอนแรกผมเองก็คิดว่าจะตามไป แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ แล้วผมก็ได้ไปเจอกับพี่กาวน์อีกทีตอนไปเรียนโท ซึ่งผมก็ไปอยู่กับพี่กาวน์ซึ่งเลือกทำงานอยู่ที่นั่น แทนที่จะกลับมาทำที่บริษัทฯ ของตัวเอง
พอมาถึงรถผม ผมก็เปิดประตูฝั่งข้างคนขับ แล้วให้กรเข้าไปนั่งรอผมอยู่ในรถ โดยเปิดประตูรถทิ้งไว้ กรเองก็เมามากพอสมควร เขาเองก็เลยได้แต่มองผมกับพี่กาวน์โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา จากนั้นผมจะหันกลับมาที่พี่กาวน์ที่ยังคงยืนอยู่ทางด้านหลัง
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่มีใครบอกกันต์” ผมถาม เพราะปกติเวลาที่พี่เขากลับมาเมืองไทย ก็จะบอกผมก่อนทุกครั้งหรือไม่อย่างนั้นอาพิมก็จะเป็นฝ่ายโทรมาบอก
“เพิ่งกลับมาเมื่อคืน แล้วที่มาก็บริษัทฯ พามาก็เลยมา” พี่กาวน์ตอบ
“แล้วพี่จะกลับมาอยู่ที่นี่เลยหรือเปล่า”
“เปล่า พี่กลับมาดูงานที่นี่ อีกสามอาทิตย์ก็จะกลับ”
“แล้วเราล่ะมากับใคร” หลังจากที่ผมถามเรื่องเขาไปแล้ว ก็ถึงคราวที่เขาย้อนกลับมาถามเรื่องของผมบ้าง
“กร เป็นน้องที่มาช่วยงาน” ผมมักจะตอบออกไปแบบนี้เวลาที่มีใครถามคำถามนี้กับผม
“เราอย่าคิดว่าทำอะไรแล้วไม่มีคนเห็น ทีหลังก็หัดระวังตัวให้มันมากกว่านี้” พี่กาวน์พูดประโยคนี้ออกมา และมันก็ทำให้ผมอึ้งไปพอสมควร
“พี่กาวน์...” ผมได้แต่เอ่ยชื่อพี่เขาออกไป
“เดี๋ยวเรากับพี่คงมีเรื่องที่จะต้องคุยกัน วันนี้กลับไปนอนซะ พรุ่งนี้ยังต้องไปทำงาน” แล้วพี่กาวน์ก็พูดออกมาคล้ายจะสั่งผมอยู่ในที
“ครับ”
แล้วพี่กาวน์ก็ยืนอยู่ตรงนั้นรอจนผมออกรถไป และเมื่อมองกระจกหลังถึงเห็นว่าพี่กาวน์เดินกลับเข้าไปในร้านตอนผมขับรถออกมาแล้ว
.
.
.
พอขับรถออกมาได้สักพัก ผมก็หันไปมองคนที่อยู่ข้างผมซึ่งตอนนี้หลับไปแล้ว ผมยื่นมือข้างหนึ่งไปคว้ามือของเขาที่ตกอยู่ข้างตัวขึ้นมากุมเอาไว้และบีบเบาๆ ผมกุมมือเขาไว้แบบนั้นตลอดทางที่ผมขับรถกลับคอนโดฯ ไปอย่างไม่รีบร้อน
และผมก็ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าการที่ปล่อยให้ตัวเองรับรู้เพียงว่า ผมกำลังกุมมือของเขาไว้
...................................................................