Miracle Last Chapter
..ภาพลวงตามีไว้หลอกตนเอง
ถึงสิ่งที่ไม่มีอยู่ในความเป็นจริง..
บานประตูอัตโนมัติร้านสะดวกซื้อเลื่อนเปิดออก นาโอะเดินออกจากร้านพร้อมถุงข้าวของจำนวนมากเต็มอ้อมแขน เขาก้มลงมองวัตถุดิบทำขนมเค้กในถุงพลางระบายยิ้มน้อย ๆ ในที่สุดก็ซื้อวัตถุดิบสำหรับทำเค้กทั้งสัปดาห์ที่ต้องการเสร็จเรียบร้อย ได้เวลากลับร้านไปหานานะเสียที จังหวะที่กำลังจะเดินเลี้ยวมุมกำแพงนั่นเอง นาโอะก็เห็นชายคนหนึ่งเดินสวนมาในทิศทางตรงกันข้าม ทุกอย่างน่าจะเป็นเหมือนปกติที่คนแปลกหน้าสองคนเดินสวนทางกัน เหมือนไม่รับรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่าย ทว่าคราวนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น
..!!!..
เจ้าของดวงตาสีอ่อนหลุบตาลงมองพื้นเบือนหน้าหนีชายที่กำลังเดินสวนทางมา ด้วยร่างกายสูงโปร่งและเรือนผมดำสนิทจนชวนให้จำสับสนกับใครบางคนที่คอยรบกวนจิตใจตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ทำให้ไม่อาจเงยหน้าขึ้นมองด้านหน้าเหมือนปกติได้ ระยะหลังมานี้นอกจากยังคิดถึงเซย์จิเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน อีกอาการหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมา คือนาโอะมักมองเห็นคนนู้นคนนี้เป็นคนใจร้ายที่ตัดสัมพันธ์ได้อย่างไร้เยื่อใยอยู่บ่อย ๆ
..ตึก ตึก..
รองเท้าหนังที่ชายคนนั้นสวมใส่ส่งเสียงดังทุกครั้งที่ย่ำลงบนพื้นคอนกรีต ยิ่งเสียงนั้นเข้าใกล้มากขึ้นเท่าไหร่นาโอะก็ยิ่งใจเต้นรัวมากขึ้นเท่านั้น แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้าดวงตาทำให้ความสามารถในการมองเห็นพร่าเลือนไปชั่วขณะ มากถึงขนาดมองหน้าชายที่กำลังเดินสวนมาได้ไม่ชัดถนัดตา และมากพอให้เข้าใจผิดเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจนับได้
แม้จะมั่นใจว่าภาพที่เห็นเป็นสิ่งที่จิตใต้สำนึกสร้างขึ้นเพื่อปลอบประโลมตนเองเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ขาทั้งสองข้างกลับไม่ยอมก้าวไปข้างหน้าตามคำสั่ง คล้ายกลัวผิดหวังหากต้องถูกชายคนนั้นเมินใส่ ทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ ก็แค่รูปร่างคล้ายกันใยต้องประหม่าลนลานทำอะไรไม่ถูกถึงเพียงนี้ด้วย นาโอะไม่อาจตอบคำถามนั้นได้ จึงเลี่ยงเดินเข้าร้านหนังสือที่ใกล้ที่สุดเหมือนต้องการหลบหนีจากความจริง
" ตาฝาดอีกแล้วจริง ๆ ด้วย "
นาโอะพึมพำกับตัวเองขณะเพ่งสายตามองชายคนเมื่อครู่จากในร้านหนังสือ ส่วนสูงและลักษณะท่าทางคล้ายเซย์จิอยู่ก็จริง แต่เมื่อตั้งสติมองดูให้ดีก็รู้ได้ว่าคนละคนกัน เมื่อครั้งที่ลอบหนีออกมาครั้งแรกและต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ยังไม่เคยหวาดผวาถึงขั้นนี้เลยสักครั้ง นี่อาจเป็นเพราะในสมองเต็มไปด้วยภาพเงาของชายผู้นั้นจนเพี้ยนไปแล้วก็เป็นได้
ต้องรีบทำอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นความอดทนที่เหลืออยู่น้อยนิดคงหมดลงในไม่ช้า แต่เขาจะทำอะไรได้ ?
นาโอะแค่นยิ้มกับตัวเองอย่างสิ้นหวัง
หมาป่าที่หลอกล่ิอเหยื่อตัวน้อยจนพึงพอใจแล้ว มีหรือจะกลับมาสนใจอีก
ดวงตาสีน้ำตาลไล่มองหนังสือบนชั้นเพื่อเบี่ยงความสนใจของตนเองออกจากเรื่องเดิม ๆ ซึ่งนั่นนับเป็นการกระทำที่ไม่ควรยิ่งนัก หนังสือที่วางเรียงกันอยู่ด้านหน้าหลากหลายประเภท ทว่านาโอะผู้ที่น่าจะสนใจคู่มือทำขนมหวานด้านหน้า กลับเอื้อมมือไปหยิบนิตยสารเกี่ยวกับวงการธุรกิจบนชั้นที่อยู่สูงขึ้นไป เพียงเพราะรูปหนึ่งบนหน้าปกที่แม้จะไม่ได้เด่นอะไรมากนัก แต่ผู้ที่กำลังหยิบหนังสือขึ้นมาด้วยฝ่ามืออันสั่นเทากลับมองเห็นภาพชายบนปกหนังสือคนนั้นได้อย่างชัดเจน
เนื้อหาคำโปรยไม่มีอะไรมากไปกว่านักธุรกิจที่แทบไม่ปรากฏตัวตามสื่อที่ไหนเลย ออกมาประกาศเปิดตัวธุรกิจใหม่ที่เพิ่งวางโครงการเรียบร้อย กระนั้นนาโอะกลับไม่สนใจตัวอักษรเหล่านั้นเลย ดวงตาเหม่อลอยมองเจ้าของเรือนผมสีดำที่คุ้นตากับดวงตาเปี่ยมด้วยความมั่นใจ และริมฝีปากเรียวที่วาดรอยยิ้มตามมารยาทท่ามกลางแสงแฟลช
".....เซย์จิซัง "
แผ่นกระดาษย่อมไม่อาจขานรับต่อเสียงเรียกได้ และเจ้าของชื่อตัวจริงยิ่งไม่อาจได้ยินด้วยเช่นกัน จึงเหลือเพียงน้ำเสียงแผ่วเบาที่เรียกชื่อบุคคลอันเป็นที่รักอีกครั้ง ก่อนเงียบหายไปโดยไม่มีผู้ใดทันได้ยิน
กว่าหนึ่งปีที่ไม่ได้เห็นนักธุรกิจหนุ่มผู้นี้ ดูเหมือนเซย์ิจิจะยังสบายดีเหมือนเดิม ท่าทางมาดมั่นซึ่งถึงเป็นภาพนิ่งนาโอะก็ยังสัมผัสถึงสิ่้งที่เป็นดั่งเอกลักษณ์ของชายคนนี้ได้ สายตาเป็นผู้นำที่บางครั้งกลับวาววับไปด้วยความเจ้าเล่ห์ในยามที่อยู่กันตามลำพังได้อย่างไม่น่าเชื่อ
..เซย์จิสบายดี ใช้ชีวิตอยู่โดยไม่มีเขาและเทะซึโอะที่หนีมาได้อย่างมีความสุข ก็เป็นเรื่องที่สมควรเป็นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ?..
ดีแล้วที่ชายคนนั้นลืมนาโอะไปได้ จะได้ไม่ต้องทนเผชิญกับก้อนความรู้สึกที่ค่อย ๆ กัดกินตัวตนไปทีละน้อย แบบเดียวกับที่นาโอะเป็นมาตลอด
คิดถึงอยู่ทุกคืนวัน เฝ้าคิดถึงจนไม่เป็นอันทำอะไร แต่ก็ทำได้เพียงทนอยู่อย่างนั้น
อย่างน่าสมเพช..
----------------------------------------------
" นาโอะ! นี่ นาโอะ! จะเหม่อไปถึงไหนน่ะ "
" อะ...ครับ!? " เจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัวก่อนหันไปหาหญิงสาวที่เรียกชื่ออยู่
" ยังจะมาครับอีก เอาแต่ยืนนิ่งอย่างนั้นเมื่อไหร่จะตีแป้งเสร็จล่ะ " นานะจิ้มนิ้วบนหน้าผากคนเหม่อช่วยเรียกสติให้ นาโอะหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนลูบหน้าผากตัวเองแก้เก้อ
" ขอโทษครับ ผมเผลอคิดโน่นคิดนี่เพลินไปหน่อย "
เขารีบขยับมือทำงานที่ค้างอยู่ทันที แต่นานะกลับยังไม่ยอมละสายตาไปไหน เธอลอบสังเกตคู่สนทนาอยู่พักใหญ่ ก่อนตัดสินใจถามถึงสิ่งที่ติดใจสงสัยมาตลอดด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
" นาโอะมีเรื่องกลุ้มใจอะไรอยู่หรือเปล่า หมู่นี้เห็นเหม่อบ่อย ๆ มีอะไรระบายให้พี่ฟังได้นะ "
ไม่ผิดจากที่คิดไว้สักเท่าไหร่ เจ้าของฝ่ามือที่กำลังตีแป้งอยู่เร่งความเร็วมากขึ้นเหมือนต้องการกลบเกลื่อนความรู้สึกอะไรบางอย่างไม่ให้ใครได้รู้ ทั้งยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองนานะอีกเลยด้วย นานทีเดียวกว่าจะตอบคำถามออกมาได้
" ผมสบายดี นานะซังไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ "
" อย่าโกหกนะนาโอะ " เธอยังคงไม่ละความพยายาม
" ไม่มีอะไรจริง ๆ ครับ นานะซังคิดมากไปแล้ว " นาโอะยังคงหลบสายตาอยู่เหมือนเดิม
" ใช่เรื่องของใครสักคนในหนังสือเล่มนั้นหรือเปล่า "
นานะเลิกอ้อมค้อมอีกต่อไป พลางเหลือบมองหนังสือที่ถูกวางทิ้งไว้บนเก้าอี้เป็นเชิงนัยว่าหมายถึงหนังสือเล่มใดกันแน่ ตั้งแต่รู้จักกันเธอรู้สึกว่าเพื่อนบ้านคนนี้มักวางตัวออกห่างจากผู้อื่นอยู่เสมอ และแววตาคู่นั้นมักไหวระริกคล้ายเศร้าใจกับอะไรบางอย่างที่ไม่อาจบอกใครได้
หลายวันก่อนนาโอะกลับมาจากซื้อของ พร้อมหนังสือที่ไม่ว่าจะดูยังไงก็ห่างไกลความสนใจของเพื่อนบ้านคนนี้อยู่มากทีเดียว เจ้าของหนังสือไม่เคยเปิดอ่านมันเลยสักครั้ง แต่กลับนั่งมองหน้าปกเพียงอย่างเดียว และบางครั้งก็นั่งเหม่อลอยอยู่นานนับชั่วโมง ดวงตาทอดมองไปนอกหน้าต่าง และเมื่อลองลอบสังเกตดูก็รู้ได้ว่าดวงตาคู่นั้นไม่ได้ฉายภาพที่อยู่เบื้องหน้าเลย
แต่มองไปยังสถานที่ในความทรงจำที่อยู่ไกลแสนไกล..
นานะถอนหายใจยาวเหยียด แม้ไม่บอกก็พอจะเดาได้ เพื่อนบ้านของเธอคงเป็นโรคทางใจอยู่ คิดแล้วก็น่าโมโหเหลือเกิน ใครกันกล้ามาทำให้นาโอะผู้สุภาพเรียบร้อยเสียใจได้นานถึงเพียงนี้ ถ้าให้เดาคงไม่พ้นใครคนใดคนหนึ่งบนหน้าปกนิตยสารเล่มนั้นเป็นแน่
" ปะ..เปล่าครับ "
นาโอะปฏิเสธความหวังดีที่ถูกหยิบยื่นให้อีกครั้ง หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างขัดใจ แต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่ปริปากเล่าอะไร เธอก็จนปัญญาจะช่วยหาทางแก้ไขปัญหาให้เพื่อนบ้านผู้น่ารักคนนี้ ถ้าเป็นไปได้นานะอยากเจอตัวคนผู้นั้น แล้วต่อว่าให้หายหงุดหงิดสักทีเหมือนกัน ยังไม่ทันได้คาดคั้นถามต่อเสียงกระดิ่งประตูหน้าร้านก็ดังขึ้นเสียก่อน ทั้งนาโอะและนานะหันมองผู้มาเยือนพร้อมกันทันที
ลมหนาวด้านนอกพัดผ่านรอยแยกของประตูเข้ามาในร้าน
หากสายลมที่หนาวเหน็บนั่นพัดพาความสุขเข้ามาบ้างคงดีไม่น้อย
ฝ่ามือเรียวที่กำลังตีแป้งอยู่เย็นวาบขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นชายร่างสูงโปร่งสวมแว่นดำและหมวกจนแทบมองไม่เห็นใบหน้า กำลังสาวเท้าเดินเข้ามาในร้านด้วยท่าทางผ่อนคลาย ทุกอย่างคงดำเนินไปตามปกติเหมือนทุกวัน หากลูกค้าคนนั้นไม่จงใจส่งยิ้มเป็นกันเองให้นาโอะ และหากรอยยิ้มนั้นไม่บังเอิญคล้ายรอยยิ้มของใครบางคนราวกับพิมพ์เดียวกัน รอยยิ้มของคนเจ้าเล่ห์ยามแกล้งนาโอะได้สำเร็จ ที่ทั้งน่าหงุดหงิดแต่ก็ทำให้ในอกอุ่นวาบขึ้นมาได้เช่นกัน
นาโอะคิดถึงรอยยิ้มนั้นที่สุด..
ทว่านี่ก็คงเป็นเพียงภาพหลอนที่คิดไปเองอีกเท่านั้น
" นานะซังช่วยไปดูลูกค้าให้ทีสิครับ " นาโอะเอ่ยขอร้องอย่างที่หาได้ยาก
" เห ? "
นานะเลิกคิ้วอย่างนึกแปลกใจ ทุกทีเมื่อมีลูกค้าเข้าร้าน ผู้ที่รีบออกไปต้อนรับจะเป็นนาโอะเสมอมิใช่เหรอ ทว่าเมื่อเห็นคู่สนทนาก้มหน้าเงียบไม่พูดอะไรอีก และด้วยกลัวลูกค้าจะรอนานจึงรีบหยิบเมนูเดินออกไปหน้าร้าน โดยไม่ถามอะไรให้มากความอีก
ลูกค้าหนุ่มเลือกนั่งบนโต๊ะที่สามารถมองเห็นทั้งร้านได้ การตกแต่งร้านให้คล้ายเมืองของเล่นตามไอเดียของเทะซึโอะและเคตะ ดูไม่เข้ากับรูปร่างสูงใหญ่ของลูกค้ารายนี้เท่าไหร่นัก ลูกค้าส่วนใหญ่ของร้านมักมากันเป็นครอบครัว หรือไม่ก็พาสมาชิกตัวน้อยมาด้วย จึงน่าแปลกสำหรับชายหนุ่มที่เดินเข้าร้านเพียงลำพังเช่นนี้
" สวัสดีค่ะ จะรับอะไรดีคะ "
นานะส่งเมนูให้พร้อมรอยยิ้มเป็นกันเอง ชายหนุ่มรับเมนูมาเปิดผ่าน ๆ ครู่หนึ่งก่อนส่งคืนให้ แล้วเหลือบมองคนที่ก้มหน้าก้มตาตีแป้งอยู่ในครัวด้วยแววตาที่ไม่อาจคาดเดาได้
" ขอเค้กทั้งหมดที่คุณผู้ชายเจ้าของร้านคนนั้นทำ ใส่กล่องทั้งหมดนะครับ"
" ว่าอะไรนะคะ "
เจ้าของร้านสาวชะงักไปกับออเดอร์ที่คาดไม่ถึง ทว่าชายหนุ่มกลับระบายยิ้มบนใบหน้าคล้ายยืนยันว่าเธอไม่ได้หูฝาดไป คำถามถัดมาจึงถูกเปลี่ยนไปตามสถานการณ์
" ทั้งหมดเลยเหรอคะ "
" ใช่ครับ ทั้งหมดเลย "
นานะขมวดคิ้วมุ่นพลางเหลือบมองขนมหวานที่วางเรียงอยู่ในตู้กระจก นาโอะเป็นผู้ทำเค้กเกือบทั้งหมดในร้าน คงต้องใช้เวลานานเป็นแน่กว่าจะจัดห่อลงกล่องได้หมด
" ถ้าทั้งหมดคงต้องใช้เวลา...."
" ไม่เป็นไรครับ ผมไม่รีบ " เขารีบพูดแทรกขึ้นมาก่อน นานะยิ่งมุ่นหัวคิ้วมากกว่าเดิม
ชายผู้นี้ไปฟังข่าวลืออะไรเกี่ยวกับเค้กที่ร้านเล็ก ๆ แห่งนี้มากันแน่นะ ?
นานะถามตัวเองเช่นนั้น แต่ก็จนปัญญาจะหาคำตอบ แม้จะนึกสงสัยอยู่บ้างแต่ถ้าขายเค้กได้เธอก็พอใจ พอเดินกลับเข้ามาในห้องครัวปัญหาใหม่ก็คอยท่าอยู่แล้ว หุ้นส่วนของร้านที่น่าจะกำลังเตรียมส่วนผสมเค้กอยู่ กลับเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดลำลองธรรมดา ในมือถือกระเป๋าสะพายเตรียมตัวออกไปข้างนอก
" นาโอะจะไปไหนเหรอ " เธอถามด้วยความสงสัย
" ผมไม่สบายนิดหน่อย วันนี้ขอลาป่วยนะครับ "
สีหน้าผู้พูดดูอ่อนล้าจริงอย่างว่า กระนั้นนานะก็สุดจะเดาได้่ว่าต้นตอของอาการป่วยครั้งนี้มาจากร่างกายหรือจิตใจกันแน่ แต่จะด้วยสาเหตุใดก็ตามสิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้คือนาโอะคงไม่ต้องการเจอหน้าใครตอนนี้ เธอจึงเก็บความคิดที่จะเล่าเรื่องลูกค้าแปลกประหลาดให้ฟังอย่างที่ตั้งใจไว้
" ไม่สบายเหรอ ให้พี่ไปส่งมั้ย ? "
" มีลูกค้าคอยอยู่อย่าดีกว่าครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมาทำงานชดเชยที่ลาวันนี้แล้วกันนะครับ "
นาโอะหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายบนไหล่ ก่อนเดินไปผลักประตูครัวเปิดออก โดยพยายามเลี่ยงไม่มองไปทางลูกค้าเพียงคนเดียวในร้านตอนนี้
" ลาวันนี้อะไรกัน นี่เย็นแล้วต้องเรียกว่ากลับก่อนถึงจะถูก "
" นั่นสินะครับ "
เรียวปากบางระบายยิ้มเจือจาง ขณะรีบสาวเท้าเดินไปให้ถึงประตูร้าน มีนานะเดินตามมาส่งด้วยความเป็นห่วง เธอหันไปก้มหัวเป็นเชิงขอโทษให้ลูกค้าที่นั่งคอยอยู่เล็กน้อย เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มส่งยิ้มให้อย่างไม่นึกถือโทษอะไรจึงค่อยวางใจลงได้บ้าง
" เลิกพูดมากแล้วกลับไปพักได้แล้ว เดี๋ยวเทะซึจังเห็นพี่ชายป่วยหนักเข้าก็ร้องไห้หรอก "
นานะโบกมือไล่ผู้ที่ยังมัวแต่คิดถึงมารยาทหันกลับมาก้มหัวลาอยู่หน้าร้าน ด้วยต้องการพูดคล้ายตำหนินาโอะอยู่ในที เสียงของเธอจึงค่อนข้างดัง ลูกค้าหนุ่มในร้านได้ยินบทสนทนาทั้งหมดของคนทั้งสองอย่างเลี่ยงไม่ได้ สีหน้าที่ดูเป็นมิตรจนถึงเมื่อครู่แลดูเคร่งเครียดขึ้น ราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่างเป็นอย่างมาก
นาโอะเดินจากไปแล้ว แต่นานะยังมองส่งไปจนลับสายตา ด้านหลังของเธอในร้านเค้กที่หอมอบอวลด้วยกลิ่นขนมหวาน ดวงตาภายใต้กรอบแว่นสีดำก็จับจ้องไปยังร่างเพรียวด้วยอย่างไม่ละสายตาเช่นกัน และหากจะว่ากันตามจริงชายผู้นี้เฝ้ามองนาโอะอยู่ตลอด นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวเท้าเข้ามาในร้าน
" เค้กที่สั่งไว้เมื่อกี้ฝากไว้ก่อนได้มั้ยครับ "
ลูกค้าหน้าใหม่ของร้านส่งเสียงทักผู้ที่ยังมองตามนาโอะไปอยู่ เมื่อหันไปตามเสียงก็พบผู้พูดมายืนประชิดตัวอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ เป็นอีกครั้งที่นานะไม่เข้าใจในตัวชายคนนี้
" คะ ? "
" เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระ รบกวนช่วยฝากไว้ก่อนนะครับ " ฝ่ามือใหญ่ส่งเงินค่าเค้กที่สั่งมาให้ ก่อนเดินออกจากร้านไปโดยไม่คอยฟังคำตอบ
นานะยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยความไม่เข้าใจ นอกจากนาโอะจะทำตัวผิดไปจากปกติแล้ว ลูกค้าหนุ่มรายนี้ยังทำตัวไม่เหมือนลูกค้าธรรมดาทั่วไปยากจะรับมืออีก เธอถอนหายใจยาวเหยียดก่อนหันหลังเดินกลับเข้าไปในร้าน
" จะเหมาทั้งทีก็เหมาให้หมดทั้งร้านไปเลยสิ แปลกคนจริง ๆ "
ผู้ถูกนินทาเดินจากไปแล้วและไม่ได้ยินสิ่งที่นานะพูด เขาถอดแว่นกันแดดออกเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ แล้วมองตามร่างเพรียวที่เดินหายไปจนลับสายตา ก่อนเดินตามไปอย่างไม่รีบร้อนนัก
ทุกอย่างอยู่ในแผนที่วางไว้ทั้งหมดแล้ว..
กระทั่งไปสะดุดตาเข้ากับเด็กชายสองคนที่เดินจูงมือกันมาในทางตรงกันข้าม ใบหน้าที่ดูตึงเครียดจนถึงเมื่อครู่พลันยิ้มกว้างออกมาทันที
" เทะซึจังบวกเลขเป็นแล้วล่ะฮะพี่เคตะ " เด็กชายตัวเล็กกว่าูพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดปาก พลางแกว่งมือที่เกาะเกี่ยวกันอยู่ไปมา
" เห ? เจ้าจิ๋วทำได้ถึงขนาดนี้แล้วเหรอ "
" อย่าเรียกว่าเจ้าจิ๋วสิ เดี๋ยวเทะซึจังก็โตทันพี่เคตะแล้ว " เด็กชายตัวโตกว่าเหลือบมองคู่สนทนาแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น
" ไม่มีทาง เจ้าจิ๋วตัวเล็กแค่นี้จะโตได้สักแค่ไหนกัน "
" สักวันเทะซึจังจะโตให้มากกว่าพี่เคตะเลย คอยดูสิ! "
เด็กชายพองแก้มป่องมองค้อนคู่สนทนาที่ชอบล้อเรื่องขนาดส่วนสูงซึ่งต่างกันมากเป็นประจำ ทั้งคู่เดินถกเถียงกันไปตามเรื่องตามราวโดยไม่สนใจคนรอบข้าง หรือแม้แต่ใครบางคนที่กำลังมองมาอยู่
" เจ้าจิ๋วไม่ค่อยกินผักไม่มีทางสูงหรอก เป็นเจ้าจิ๋วตัวเล็ก ๆ อย่างนี้ไปตลอดชาติแน่ "
ถ้อยคำฟังเหมือนเหน็บแนมประชดประชัน หากแต่ดวงตาผู้พูดที่มองไปยังเด็กชายตัวเล็กกว่ากลับแฝงไว้ด้วยความเอ็นดู เคตะชอบน้องชายตัวเล็กแบบนี้มากจนบางครั้งไม่อยากให้โตเลยทีเดียว
" เรียกว่าเจ้าจิ๋วอีกแล้ว ผมชื่อเทะซึ....อุ๊บ! "
ยังไม่ทันได้พูดจนจบประโยคเทะซึโอะที่มัวแต่มองคู่สนทนาก็เดินชนกำแพงมนุษย์ ซึ่งยืนดักคอยอยู่แล้วเข้า
" เดี๋ยวนี้พูดเก่งจนไม่มองทางเลยเหรอเทะซึโอะ "
ฝ่ามือใหญ่คว้าข้อมือเด็กชายเอาไว้ได้ทันก่อนเสียหลักล้มลงบนพื้น แล้วอุ้มขึ้นมามองสำรวจโดยละเอียด น้ำเสียงคุ้นหูที่ไม่ได้ยินมานานทำให้เด็กชายเงยหน้าขึ้นมอง แล้วเทะซึโอะก็ต้องฉีกยิ้มกว้างราวกับได้ลูกกวาดถุงใหญ่ เมื่อเห็นว่ากำแพงมนุษย์ด้านหน้าคือใคร
สายลมพัดผ่านคนทั้งสาม
พัดให้ความสุขหลั่งไหลเข้ามาทีละน้อย
" ป๊ะ...."
" ชู่ว อย่าส่งเสียงดังสิเทะซึโอะ เดี๋ยวพี่ชายก็ตกใจหรอก " ชายหนุ่มยกนิ้วชี้แนบลงบนริมฝีปากของเทะซึโอะห้ามไม่ให้ตะโกนเสียงดังลั่นถนน พลางหันไปมองเคตะที่ยืนอยู่ไม่ห่าง
" ฮะ! "
" เป็นเด็กดีไปคอยที่ร้านก่อนนะ เดี๋ยวป๊ะป๋าไปรับ " เทะซึโอะพยักหน้ารัวเร็วรับคำ ชายหนุ่มจึงลูบหัวเด็กชายคล้ายจะให้รางวัล ก่อนวางลงบนพื้นแล้วหันหลังเดินจากไป
" ป๊ะป๋างั้นเหรอ ? " เคตะขมวดคิ้วไม่เข้าใจเลยสักนิด
" ใช่ฮะ ป๊ะป๋าของเทะซึจัง! " เทะซึโอะไม่สามารถหยุดยิ้มได้เลย
หากความดีใจในตอนนี้เปรียบเหมือนลูกกวาด นี่คงเป็นลูกกวาดกองโตที่เทะซึโอะรอคอยมานานที่สุดในชีวิต
--------------------------------