ของแถม อ่านเพลินๆ แบบว่าเป็นหนังตัวอย่างก่อนหนังจริงจะฉายต๋องรวบรวมความกล้าและตัดสินใจเดินเข้าไปถามชยุตม์ในเรื่องที่ตัวเองสงสัยมาเป็นเวลานานหลายวัน แต่เมื่อยืนอยู่ข้างๆ นายช่างกลับนึกคำพูดไม่ออก
“อะไรหรือต๋อง" ชยุตม์เลิกคิ้ว ถามเด็กชายต๋องซึ่งเพิ่งจะเปลี่ยนคำนำหน้าเป็น 'นาย'
“เอ่อ คือ ผม...”
“มีอะไรก็ว่ามา จำได้ไหมว่าถ้าจะพูดอะไรก็ให้เตรียมคำพูดให้เรียบร้อยก่อน จะได้ไม่ต้องมายืนอึกอัก"
“ครับ" ต๋องพยักหน้าแล้วเดินกลับไปนั่งที่เดิมเพื่อรวบรวมความคิด เมื่อแน่ใจแล้วจึงเดินกลับไปหาชยุตม์อีกครั้ง
“ตอนวันเกิดผม นายช่างทำธุระอะไรหรือครับถึงออกไปงานวันเกิดผมช้า ผมเรียกอยู่ตั้งนานนายช่างก็ไม่ขาน แต่ลุงโชคดีเป็นคนตอบแทนว่านายช่างไม่ว่าง ทำธุระอยู่"
ชยุตม์อึ้งไปชั่วขณะ ตระหนักได้ว่าตัวเองเป็นคนอบรมสั่งสอนต่๋องมาเองตั้งแต่เป็นเด็กตัวเล็กๆ ว่าเมื่อต้องการรู้คำตอบเรื่องใดก็ต้องคิดอย่างมีระบบเพื่อหาคำตอบให้ได้
“ทำไม" ชยุตม์ถามต๋องด้วยใบหน้าและนำเสียงเรียบนิ่ง
“ผมอยากรู้" ต๋องทำตาแป๋ว "วันนั้นนายช่างยุ่งมากหรือครับ"
“เปล่า"
“แล้วทำไมออกไปงานวันเกิดผมช้า ตอนไปสั่งเค้ก นายช่างบอกให้ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย กลับถึงบ้านจะได้รีบฉลองวันเกิด ผมมานั่งคิดดู มันไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผลกันเลย"
“พอดีมีเรื่องนิดหน่อย"
“เรื่องอะไรครับ" ต๋องแสดงสีหน้าอยากรู้
“เรื่องของผู้ใหญ่ จะรู้ไปทำไม เด็กก็อยู่ส่วนเด็ก เลิกเซ้าซี้ได้แล้ว จะไปไหนก็ไป" เสียงห้วนๆ ของโชคดีดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“โชคดี" ชยุตม์ปราม เพราะรู้อยู่ว่าหากต๋องไม่ได้รับคำตอบจนเป็นที่พอใจก็จะไม่มีวันหยุดซักเด็ดขาด
“ครับ" ต๋องพยักหน้าทันทีแล้วรีบวิ่งหายไป ชยุตม์ส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ เมื่อมองตามร่างเล็กๆ นั้น
“บอกแล้วว่าให้อาบน้ำแต่งตัวใหม่ก่อนออกมา คุณก็เร่งอยู่นั่น เห็นไหมล่ะ มันยิ่งสงสัย คุณออกไปทั้งๆ ที่หัวยุ่ง เสื้อยับยู่ยี่มีรอยเปียกๆ ชื้นๆ ความผิดของคุณแท้ๆ เชียว" โชคดีกระแทกตัวลงนั่งข้างชยุตม์
“ถ้าออกไปช้า ทุกคนก็รอ" ชยุตม์พูดอย่างใจเย็น ทั้งที่อยากจะเถียงว่า ตัวเองกำลังจะตอบคำถามให้ต๋องเข้าใจเพื่อที่จะไม่ให้เด็กน้อยคอยซักถามอยู่ไม่ยอมหยุด แต่โชคดีกลับมาไล่ต๋องไปเสียก่อน
“แล้วเป็นไงล่ะ ไอ้ต๋องมันก็ช่างสงสัย ถามไม่ยอมหยุด คุณน่ะสอนให้มันสงสัยและหาเหตุผลไปซะทุกเรื่อง คอยดูนะ มันต้องกลัับมาถามอีก"
“ผมก็กำลังจะอธิบายให้ต๋องเข้าใจ"
“แต่ผมกลับมาไล่ให้มันไปที่อื่น ก็เลยไม่ได้อธิบายงั้นสิ" โชคดีแทรก "แต่เมื่อกี้คุณนั่งอึ้ง หาเหตุผลไม่ทัน ที่ผมไล่มันไปก็เพื่อให้คุณได้มีเวลาคิด ผมมองออกหรอก"
“แล้วจะให้เหตุผลยังไงล่ะครับ"
“เดี่ยวผมจัดการเอง" โชคดีลุกขึ้นพร้อมกับบ่นพึมพำ "หาเรื่องจริงๆ เล๊ย ไอ้เด็กคนนี้ก็ช่างอยากรู้อยากเห็น จะเอาคำตอบของทุกอย่างในโลกมนุษย์นี้ให้ได้ สอนกันดีนักเชียว"
“โชคดี อย่าไปดุเด็กนะ" ชยุตม์เป็นห่วงเพราะรู้ว่าโชคดีเป็นคนชอบใช้ 'กลยุทธ์' แบบไหนในการจัดการกับปัญหา
“ไม่ถึงกับให้มันตายหรอกน่า" โชคดีหันมาขมวดคิ้วใช่ชยุตม์แล้วเดินดุ่มๆ ออกไปจากร้านเพื่อ 'จัดการกับปัญหา'ตามมาด้วยโฆษณา อิ อิ 
ช่วยซื้อรวมเล่ม คดีรัก ภาคหนึ่ง ด้วยนะครับAwoot Chapter 8
“คุณเป็นลูกครึ่ง” ภานุวัฒน์เลิกคิ้ว ยื่นมือไปจับมือทักทายกับวินเซนต์ที่ยื่นมือมารอ
“หลายครึ่งทีเดียวล่ะ พ่อผมเป็นลูกครึ่งไทย-เกาหลี แม่เป็นฟิลิปปินส์-สวีเดน แต่ผมเหมือนคนไทยแท้ๆ แต่ไม่หลังอาน” วินเซนต์หัวเราะร่า “คุณล่ะ ลูกครึ่งไทยจีนแน่ๆ เลย”
“ผมเป็นคนไทยครับ” ภานุวัฒน์ยิ้มบางๆ ไม่ค่อยเข้าใจมุขตลกของวินเซนต์เท่าใดนัก พอดึงมือกลับมาต้องแอบสลัดมือเบาๆ เพราะวินเซนต์มือใหญ่และแข็งแรงมาก แค่จับมือทักทายกันก็รู้สึกได้ถึงแรงบีบมหาศาล
“ทำไมมานั่งเบื่อๆ คนเดียวครับ”
“ผมไม่มีเพื่อน” ภานุวัฒน์พูดเบาๆ
“เมื่อกี้ว่าจะชวนเล่นขว้างหิมะด้วยกันแต่ไม่มีจังหวะ ผมโดนรุมโจมตีทุกด้าน หยุดไม่ได้เลย” วินเซนต์ยิ้มกว้าง “แต่ตอนนี้คุณมีเพื่อนแล้วล่ะ มาเล่นขว้างหิมะกันหน่อยไหมล่ะ ถ้าคุณขว้างถูกผมห้าครั้ง ผมจะเลี้ยงกาแฟร้อนๆ”
อาวุธโยนเอกสารไปยังอีกฟากหนึ่งของเตียงนอนในโรงแรมเล็กๆ เขาอ่านเอกสารสามสิบกว่าหน้าที่ได้มาจากพันเอกชัยชนะซ้ำแล้วซ้ำอีกจนแทบจะจำทุกอย่างได้ขึ้นใจ ภาพในอดีตระหว่างเขากับนทีปรากฎขึ้นมาในความคิดเป็นช่วงๆ เขาเคยบอกตัวเองว่าเรื่องราวระหว่างเขากับนทีนั้นเคยถูกเก็บเอาไว้ในซอกเล็กๆ แห่งหนึ่งในความทรงจำ แต่ตอนนี้ ซอกเล็กๆ นั้นถูกขยายออก และทุกอย่างก็พรั่งพรูออกมา
…
“ทำไมคุณอยากรู้เรื่องครอบครัวผม มันจำเป็นสำหรับการทำหน้าที่ของคุณ หรือแค่เพราะคุณอยากรู้” นทีถามเขาขณะที่นั่งอยู่ในกระโจมกลางป่าที่แห้งแล้งของประเทศเลโซโท
“มีอะไรหลายอย่างที่ผมต้องรู้เกี่ยวกับคุณ แต่คุณก็ไม่บอก ไม่ใช่เฉพาะเรื่องครอบครัวของคุณ” อาวุธเงยหน้าขึ้นมามองนทีแล้วก้มลงทำความสะอาดปืนพกของตัวเองต่อ “คุณทำตัวลึกลับ ผมรู้จักคุณน้อยมาก”
“ทำไมเป็นเรื่องสำคัญ”
“ผมต้องการรู้จักคนที่เกี่ยวข้องกับคุณ ทั้งคนที่ชอบคุณ คนที่ไม่ชอบคุณ” อาวุธเงยหน้าขึ้นมองนที จ้องตาล่ามหนุ่มเจ้าปัญหา แล้วพูดเน้นเสียงทุกคำ “ผมปกป้องคุณจากอากาศธาตุไม่ได้”
“ผมไม่เข้าใจอากาศธาตุ” นทีพูดด้วยเสียงเยือกเย็น อาวุธเข้าใจไปว่าอีกฝ่ายจงใจกวนประสาท
“คุณเป็นล่ามของสหประชาชาติ ทำไมคุณจะไม่เข้าใจ” อาวุธพูดเสียงเย็นเช่นกัน
“คุณคงลืม” นทียักไหล่พร้อมกับเบ้ปาก “ผมไม่ใช่ล่ามภาษาไทย คุณรู้ ผมพูดภาษาไทยห่วยแตก หรืออย่างน้อยคุณก็คิดว่ายังงั้น”
อาวุธถอนหายใจช้าๆ เพราะโดนอีกฝ่ายตอกกลับ เขาลืมไปเสียสนิท ตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกับนที เขาเข้าใจที่ชายหนุ่มพูดน้อยมาก และนทีก็พูดภาษาไทยด้วยโครงสร้างภาษาต่างประเทศ
“มิน่า ผมไม่เข้าใจที่คุณพูดเลย”
“แต่คุณก็ประชดแดกดันผมได้บ่อยๆ”
“นี่หรือที่พูดภาษาไทยได้ไม่ดี คุณรู้จักคำว่าห่วยแตก ประชด แดกดัน”
“บางทีผมก็ต้องรู้จักคำเจ็บๆ เอาไว้ว่าคน” นทียักไหล่ ทิ้งตัวลงนอน กอดอก แล้วหลับตาและฮัมเพลง แสดงอาการให้อาวุธรู้ว่าตัวเองต้องการ 'หยุด' การสนทนาแต่เพียงเท่านี้
อาการที่อาวุธคิดว่าเป็นการกวนประสาทเขามากๆ...
เขารู้ว่าตัวเองเป็นคนมาดนิ่งและอดทน แต่บ่อยครั้งเขามักจะควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้เวลานทีจงใจปั่นหัวหรือยั่วให้เกิดอารมณ์โกรธ
...สรุปแล้ว คืนนั้น เขาก็พูดกับนทีเรื่อง 'อากาศธาตุ' ไม่จบ
…
อาวุธพยายามสลัดภาพอดีตออกไปจากความคิด ข้อมูลที่เขาได้รับจากพันเอกชัยชนะนั้นมีมากเสียจนต้องวางแผนการทำงานใหม่ อาวุธเอื้อมมือไปหยิบสมุดบันทึกกับปากกาเพื่อเขียนแผนการทำงานแต่ทันใดก็เปลี่ยนใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแทน เขาต้องพักเรื่องงานเอาไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นก็คงจะรู้สึกปวดหัวแทบระเบิด
ตอนนี้ ต้องโทรศัพท์ไปเอาเรื่องกับคชานนท์ก่อน
การที่พันเอกชัยชนะรู้เรื่องที่เขาให้การดูแลภานุวัฒน์นั้นจะเป็นฝีมือใครไม่ได้นอกจากคชานนท์ และคชานนท์ก็คงไม่บอกชัยชนะเฉยๆ โดยไม่มีเหตุผล คชานนท์ทำทุกอย่างด้วยเหตุผลเสมอ
...เหตุผลแบบคชานนท์...
“ผมก็แค่เป็นห่วงพี่” คชานนท์ตอบเสียงหนักแน่นเมื่ออาวุธถามคำถาม “ไม่แน่ เขาอาจจะช่วยได้มากกว่าที่ควรช่วย พี่ก็รู้ พี่นะชอบช่วยเหลือคน”
“เขาช่วยเหลือพี่เรื่องข่าวกรองเท่านั้น นนท์คิดว่าเขาจะเอาภานุวัฒน์ไปเลี้ยงหรือไง” อาวุธอดประชดไม่ได้
“ก็ไม่แน่ พี่ลองเอ่ยปากดูสิ พันเอกชัยชนะก็ยังโสด”
“นนท์” อาวุธเรียกน้องชายของอธิคมเสียงเย็น เขารู้ว่าบางทีคชานนท์ก็ 'กวนประสาท' ได้เหมือนกัน
“ครับผม” คชานนท์ขานรับทันทีด้วยน้ำเสียงคล้ายกัน แต่เมื่อเห็นอาวุธเงียบไปจึงปรับคำพูดเป็นน้ำเสียงร่าเริงเช่นเคยว่่า “คุณพี่วุธครับ พี่ทำงานไปพร้อมกับเลี้ยงเด็กคนนั้นไปไม่ไหวหรอก ยิ่งพี่ต้องคอยหนีคุณกษิดิษฐ์ที่จ้องจะเผด็จศึกพี่ให้ได้ยิ่งยากใหญ่”
“ว่าแล้วเชียว” อาวุธทำเสียงเอือมระอา
...มีอะไรบ้างที่คชานนท์ไม่รู้...
“เขามาตื๊อผม จะเอาเบอร์โทรศัพท์กับที่อยู่ให้ได้ จะให้บอกว่าผมไม่รู้จักพี่หรือไงคร้าบ” คชานนท์ให้เหตุผล “แล้วตอนนี้พี่เสีย เอ่อ...สิ่งที่หวงแหนให้เขาหรือยัง”
“อย่ามาทำเป็นพูดเล่น” อาวุธเสียงเข้ม ชักจะรู้สึกว่าคชานนท์ทำตัวเหมือนที่เคยเป็น 'ไอ้น้องนนท์' ของพี่ชายทั้งสามคนเมื่อตอนที่เขากับอธิคมและธงรบเรียนนายร้อยตำรวจอยู่เข้าไปทุกที ตอนนั้นคชานนท์เรียนมัธยมต้น ตัวเล็ก และมักถูกอธิคมไล่เตะเป็นประจำเพราะชอบกวนอารมณ์พี่ชาย
…
“มาให้เตะซะดีๆ แน่จริงแกอย่าไปแอบหลังไอ้วุธซิวะ” อธิคมโวยวาย
“ไอ้คม นั่นน้องชายแกนะโว้ย” ธงรบห้าม
“น้องหรือพ่อก็ไม่รู้ อายุแค่นี้ ดูมันทำตัวเข้าสิ เอ็งก็อย่าช่วยไอ้วุธปกป้องมัน” อธิคมตะคอกเพื่อน
“คม นนท์เขาแค่หวังดี” อาวุธเตือน
“พี่เขาไม่เคยคิดว่านนท์หวังดีหรอก พี่เขาเกลียดนนท์” คชานนท์พูดเสียงน้อยใจ อาวุธถอนหายใจแล้วปลอบว่า
“อย่าคิดแบบนั้น พี่เขาพูดไปยังงั้นเอง”
“ไอ้ตอแหล แกเชื่อมันก็โง่แล้ววุธ มันแกล้งทำเสียงน่าสงสาร เอ็งไม่รู้อะไรเพราะมันแอบอยู่ข้างหลังเอ็ง ตอนนี้มันแอบยิ้มอยู่ล่ะสิไม่ว่า ไอ้นี่เจ้าเล่ห์ไม่มีใครเกิน”
“อ๋อ แกที่ว่าเจ้าเล่ห์ขั้นเทพแล้วยังสู้มันไม่ได้ใช่ไหมล่ะ” ธงรบแสดงความเห็น
“เอ็งอย่าเสือกไอ้เสาธง เดี๋ยวพ่อเตะอีกคนซะนี่” อธิคมหันไปตวาดธงรบ
“เอ๊ะไอ้นี่ พาล” ธงรบโวยวาย
“มาให้พ่อเอ็งเตะซะดีๆ ไอ้นนท์ ไอ้จอมวางแผน เด็กพี่เอ็งหายหมดเพราะเอ็งเสือกมายุ่งไม่เข้าเรื่อง” อธิคมถลันตัวเข้าไปเพื่อจัดการกับคชานนท์แต่อาวุธยกมือกันเอาไว้
“ก็ผมไม่อยากให้พี่เป็นโรค” คชานนท์ตะโกนแล้วรีบว่ิงหายไปโดยเร็วเพราะรู้ว่าอาวุธคงต้านทานพี่ชายของตัวเองไว้ไม่ได้นาน
…
“นนท์ คิดจะทำอะไร บอกพี่มาตรงๆ” อาวุธพูดแทรกคชานนท์ที่กำลังอธิบายเสียงเจื้อยแจ้วขณะที่เขาฟังบ้างพลางคิดถึงภาพต่างๆ ในอดีตบ้าง
“เปล่า ผมไม่ได้คิดจะทำอะไร ทำไมพี่ต้องคิดว่าผมจะทำอะไร” คชานนท์ตอบ
“ถ้านนท์คิดจะทำอะไร รู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพี่จับได้” อาวุธตัดสินใจขู่คชานนท์ เขาสงสัยว่าคชานนท์กำลังทำอะไรบางอย่าง แต่เขายังคิดไม่ออก
...ไม่สิ ความจริงเขายังไม่ได้วิเคราะห์ต่างหาก หากเขาใช้เวลาวิเคราะห์หาเหตุผลเรื่องราวต่างๆ อย่างจริงจังก็อาจจะได้บทสรุปที่ชัดเจน แต่ทว่าตอนนี้เขายังมีความรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ได้มีข้อมูลเพียงพอ และยังไม่มีเวลาจะมาคิดไตร่ตรองเรื่องนี้...
...คชานนท์ต้องการเล่นบทกามเทพจับคู่ให้เขางั้นหรือ...
...กับกษิดิษฐ์ใช่หรือไม่เพราะอธิคมอาจจะไปขอร้องน้องชายให้ช่วย 'เคลียร์' กษิดิษฐ์ให้...
...หรือไม่ก็อาจเป็นธงรบ...
...ถ้าเป็นธงรบก็คงต้องเป็นภานุวัฒน์ คชานนท์อาจจะกำลังช่วยธงรบ 'ขจัด' ภานุวัฒน์เหมือนๆ กับที่อธิคมช่วยธงรบ 'ขจัด' เขาให้พ้นจากอาทิตย์...
“ไม่รู้ครับ ผมเดาใจพี่วุธไม่ถูกหรอก พี่เป็นคนอ่านยาก ใครๆ ก็รู้” คชานนท์ตอบ
“เราก็เป็นคนอ่านยากเหมือนกัน อย่ามาทำเป็นพูดดีไป”
“พี่วุธคิดมาก” คชานนท์หัวเราะ “เอางี้ ถ้าพี่คิดว่าผมจับคู่พี่กับภานุวัฒน์ซึ่งเด็กกว่าพี่มากจนเกือบจะเป็นลูกชายพี่ได้เลยทีเดียว”
“ไม่ต้องย้ำเรื่องอายุ”
“เฮ้อ เวรกรรมเด็ก ไม่น่าเชื่อว่าพี่ธงจะทำกับภานุวัฒน์ได้ขนาดนี้ พอพูดถึงเรื่องอายุ ถ้าภานุวัฒน์พอจะเป็นลูกชายพี่วุธได้ ก็พอจะเป็นลูกพี่ธงได้เหมือนกัน”
“เอางี้ และ ถ้า อะไร” อาวุธไม่ปล่อยให้คชานนท์ออกนอกประเด็น
“ให้ผมช่วยจัดการให้ไหมล่ะ ผมจะให้เพื่อนของผมรับภานุวัฒน์ไปอยู่ด้วย ผมทำได้สบายมาก แค่กดโทรศัพท์นิดเดียวมันก็จะทำตามที่ผมบอก พี่จะได้ไม่ต้องยุ่งยากลำบากใจ ทำงานได้สะดวก”
“พี่ยังจัดการได้อยู่” อาวุธตอบ “แต่ขอบอกก่อนนะว่าอย่ามาเล่นบทกามเทพกับพี่เด็ดขาด”
“ใครจะกล้าไปกระตุกหนวดเสือ” คชานนท์
“ใครจะกล้ากระตุกเองล่ะ คนฉลาด ต้องให้คนอื่นเป็นคนทำงานแทน”
“ผมไม่มีใครทำงานให้ผมหรอก”
“ทำงานอะไร”
“ก็งานที่พี่คิดว่าผมทำ”
“พี่คิดหรือนนท์”
“พี่สงสัยว่าผมวางแผนอะไร”
“แผนอะไร”
“พี่วุธครับผม คชานนท์เป็นนักธุรกิจพันล้าน ไม่มีเวลาเล่นสนุกหรอกครับ”
“เรื่องมันก็ไม่ค่อยสนุกหรอกนนท์”
“ผมรู๊ ผมถึงไม่อยากยุ่งไง” คชานนท์ทำเสียงหนักแน่น “ถ้าพี่จะรักใครชอบใครมันก็เรื่องของพี่ ใครไปบังคับใจพี่ได้ล่ะ ยิ่งภานุวัฒน์เสียอกเสียใจมาจากพี่ธงขนาดนั้น ยิ่งไม่ได้ใหญ่”
“ใครทำอะไรก็ต้องได้รับผลตอบแทนอย่างนั้น” อาวุธพูดเสียงเบา
“จริงด้วย ตอนนี้พี่ธงกำลังได้รับผลตอบแทนอย่างสาสม” คชานนท์หัวเราะเบาๆ ในลำคอ “นี่ก็เพิ่งมาอ้อนวอนผมให้ไปเจรจาความกับอาทิตย์ พี่ธงนี่ขยันหาเรื่องไม่หยุดหย่อน พี่รู้ไหม เพิ่งดีกันได้ไม่เท่าไหร่ เขามีความสามารถทำให้อาทิตย์หนีไปอีกแล้ว คราวนี้ไปแบบไม่ทิ้งร่องรอยให้ติดตามได้เลยล่ะครับ พี่ชายอาทิตย์สองคนก็ฮึ่มฮั่มทำท่าจะฆ่าพี่ธงให้ตายคามือ พี่ชายคนโตเขาเหมือนพี่เลยล่ะ ดุพอๆ กัน พี่ธงนี่บังอาจไปกระตุกหนวดเสือ ช่างไม่กลัวจะถูกขย้ำคอ”
“พอแล้วไม่ต้องพูด พี่ไม่ได้หมายถึงธงรบ และพี่ก็ไม่อยากรู้เรื่องธงรบด้วย”
“ตอนนี้ร่ำๆ ว่าจะจ้างนักสืบออกตามหาอาทิตย์” คชานนท์ยังพูดต่อ แต่ก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที “ผมจะไปนิวยอร์คตอนปีใหม่ แต่พี่ไม่ต้องห่วงเรื่องอพาร์ทเมนท์ ผมจะไปพักกับเพื่อน”
“ปีใหม่พี่คงไปเท็กซัส อพาร์ทเมนท์ว่าง”
“อ้าว แล้ว...” คชานนท์ทักท้วง
“ภานุวัฒน์ก็คงไปอยู่กับเพื่อนนนท์ไม่่ใช่หรือ” อาวุธตอบเสียงราบเรียบ
ภานุวัฒน์กระชับหมวกและดึงผ้าพันคอให้แน่นกว่าเดิม วันนี้หิมะตกหนักและลงแรงมากกว่าเมื่อวาน อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว แต่โชคดีที่เสื้อกันหนาวที่เขากำลังสวมอยู่อบอุ่นมาก เสื้อของอาวุธที่ให้เขายืมใส่ตัวใหญ่มากจนเขารู้สึกหนักหากเดินนานๆ ประหนึ่งว่าเอาผ้าห่มพันรอบตัว
บ่ายนี้เขาเดินสำรวจนิวยอร์คห่างจากอพาร์ทเมนท์มากกว่าเดิมและเป็นครั้งแรกที่เขาข้ามสะพานที่เคยมองเห็นลิบๆ และเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ จนถึงสวนสาธารณะที่เคยพบกับวินเซนต์ วันนี้โชคดี เขาได้เจอวินเซนต์อีกครั้ง แต่ได้คุยกันไม่นานเพราะวินเซนต์มากับเพื่อนอีกสามคน วินเซนต์บอกว่าตัวเองกับเพื่อนทั้งสามกำลังทำงาน เขาถามว่างานอะไร วินเซนต์เอาแต่หัวเราะและบอกว่างานของตัวเองคือเดินเตร่รอบๆ สวนสาธารณะและคุยกับคนเพื่อหาข้อมูล
…
“บางทีผมก็เบื่อสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ตอนนี้เหมือนกัน” วินเซนต์พูดไปหัวเราะไป “ดูงี่เง่านะ มาเดินไปเดินมาอยู่ในเซ็นทรัลพาร์คเพื่อคุยกับคนนั้น คุยกับคนโน้น ทั้งที่ตัวเองอยากคุยกับคนนี้”
…
เวลานั้นภานุวัฒน์อดคิดไม่ได้ว่าวินเซนต์กำลังจะจีบเขา แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้เขาต้องยุติการสนทนา อาวุธโทรศัพท์มาบอกเวลาที่จะกลับถึงบ้าน เขาจึงต้องรีบกลับ ตั้งใจว่าจะต้องถึงอพาร์ทเมนท์ก่อนอาวุธ
...เขาสังเกตว่าอาวุธชอบดื่มกาแฟทันทีที่กลับถึงบ้าน เพราะฉะนั้น เขาจะรีบไปเอากาแฟใส่เครื่องให้ทัน พออาวุธมาถึงจะได้ดื่มกาแฟร้อนๆ เลย...
ภานุวัฒน์เร่งฝีเท้า แต่ถนนที่ถูกหิมะปกคลุมและเสื้อกันหนาวตัวใหญ่และหนักทำให้เขาเชื่องช้าลงกว่าเดิม กว่าจะถึงถนนหมายเลข 3 ซึ่งเป็นบล๊อคเดียวกันกันที่ตั้งของตึกอพาร์ทเมนท์ก็ใช้เวลาเกือบยี่สิบนาที
อาวุธเคยพาเขาเดินสำรวจในเขตรอบๆ ที่พัก ทั้งยังเคยสอนวิธีขึ้นรถโดยสารประจำทาง เรียกแท๊กซี่ และใช้รถไฟใต้ดินเพื่อไปยังสถานที่ใกล้ๆ และพรุ่งนี้ก็จะพาเขาไปที่มหาวิทยาลัยเพื่อให้เขารู้จักสถานที่และรู้วิธีเดินทาง
ภานุวัฒน์เป็นคนความจำดี อาวุธสอนไม่เท่าไหร่เขาก็จำได้หมด ข้อกังวลอันเดียวที่ีมีอยู่คือปัญหาเรื่องภาษาอังกฤษ เขากลัวที่จะพูดกับภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติมากกว่ากลัวหลงทางด้วยซ้ำ
...ถ้าหลงทางก็ให้โทรศัพท์หาผม โทรศัพท์ให้เอาไว้ติดตัวตลอดเวลา อย่าลืมเด็ดขาด และที่สำคัญ อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า...
ภานุวัฒน์นึกถึงคำพูดของอาวุธที่เคยสั่งเขาไว้ก่อนไปทำงานเมื่อสองวันก่อน เขาบอกว่าไม่ต้องห่วงเพราะตัวเองเป็นคนความจำดีเรื่องเส้นทาง เมื่อตอนที่เดินออกจากอพาร์เมนท์เมื่อบ่ายวันนี้ ภาณุวัฒน์สังเกตว่ามีซอยเล็กๆ ที่เขาคิดว่าเป็นทางลัดไปสูอีกฟากหนึ่งของบล๊อคซึ่งเป็นถนนด้านหน้าตึกอพาร์ทเมนท์ เมื่อยืนอยู่ที่ปากซอยด้านถนนหมายเลข 3 ก็ยังสามารถมองเห็นยอดตึกอพาร์ทเมนท์ได้ชัดเจน หากเขาใช้ทางลัดไปโผล่ที่ถนนหน้าอพาร์ทเมนท์แทนที่จะเดินไปจนสุดบล๊อคและเลี้ยวซ้ายถึงสองครั้งก็อาจจะร่นเวลาไปได้กว่าสิบนาที
แต่เมื่อเดินถึงกลางซอยภาณุวัฒน์ก็เริ่มรู้สึกหวั่นๆ ซอยนี้สกปรกและเงียบมาก แทบไม่น่าเชื่อว่าอยู่กลางมหานครนิวยอร์คอันสวยงามและเป็นซอยระหว่างตึกใหม่ๆ ซึ่งน่าจะเป็นตึกสำนักงาน
ชายหนุ่มบอกตัวเองว่าอีกไม่เท่าไหร่ก็จะถึงถนนใหญ่ เขาเห็นแสงไฟข้างหน้าและเห็นรถวิ่งผ่านไปมา อพาร์ทเมนท์ของอาวุธอยู่อีกฟากหนึ่งของถนนเยื้องไปทางด้านขวา ถนนหน้าอพาร์เมนท์กว้างมากและสองข้างทางก็ดูเจริญ มีแต่ตึกสวยๆ
แต่ทันใดภาณุวัฒน์ก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงห้าวๆ ตะโกนขึ้นมาจากซอกมืดๆ ด้านหลังพร้อมกับร่างสูงใหญ่บึกบึนของผู้ชายสามคนโผล่ออกมาและเดินตรงเข้ามาหาเขาช้าๆ
ภาณุวัฒน์ฟังไม่รู้เรื่อง แต่เข้าใจว่าสามคนนั้นคงไม่ได้พูดดีๆ กับเขาแน่ ภาณุวัฒน์บลังเลชั่วครู้และทันใดก็ติดสินใจวิ่ง ผู้ชายสามคนนั้นวิ่งตามและไม่กี่ก็ก้าวก็ตามทัน มือแข็งแรงกระชากเสื้อตัวใหญ่ของภาณุวัฒน์จนทำให้ชายหนุ่มล้มลง ภาณุวัฒน์รีบลุกขึ้นแต่ในเสี้ยววินาทีก็ต้องล้มคว่ำเพราะถูกต่อยเข้าที่แก้มขวาจนหน้าหัน
ภาณุวัฒน์กระเสือกกระสน พยายามยันตัวขึ้น แต่ก็ต้องรีบพลิกตัวหลบเท้าของผู้ชายผิวดำที่เตะเฉียดไหล่เขาไป สองตาของเขาเบิกกว้างเพราะมองไปเห็นผู้ชายอีกคนซึ่งหน้าตาคล้ายชาวเอเชียที่ยืนอยู่เยื้องไปด้านหลังของผู้ชายผิวดำชักมีดออกมา
...นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขากลัวตายและไม่อยากตาย...
...จะเจ็บปวดเพียงใดหากถูกกระหน่ำแทงไม่ยั้ง...
“ช่วยด้วย” ภาณุวัฒน์ตะโกน แต่เสียงกลับแผ่วเบา
...ผมยังไม่อยากตาย...
เปรี้ยง!
เสียงปืนดังขึ้น ภาณุวัฒน์สะดุ้งสุดตัว พยายามกระเสือกกระสนคลานหนีพวกคนใจร้ายทั้งสามคน เขารู้สึกโชคดีที่พวกนั้นยิงไม่ถูก แต่ก็ตระหนักได้ว่าเป็นความโชคดีที่มีเวลาเพียงแค่เสี้ยววินาทีเพราะเขารู้ว่าหากพวกมันยิงอีกครั้ง คราวนี้เขาก็คงไม่รอด
***end of chapter 8***