บทที่สิบมาแล้วคร้าบ เรื่องนี้แต่งช่วงฟุตบอลโลก อาจมีการพลิกโผ (หรือป่ะ) แต่เช็งจริงๆ นะที่เยอรมันกับบราซิลปิ๋ว ต้องม้วนเสื่อกลับบ้าน
โลกนี้มันแปลกๆ นะ บางคนเกิดมาอาภัพรัก หาเท่าไหร่ก็ไม่ได้ บางคนก็ไม่เห็นคุณค่า มีเยอะแยะแต่ไม่เลือก บางคนเลือกแล้วเลือกอีกไม่เคยพอซะที
แต่นี่แน่ๆ ผู้เขียนไม่มีให้เลือกคร้าบบ

Awoot Chapter 10
อาวุธอดอมยิ้มไม่ได้เมื่อฟังเสียงของภาณุวัฒน์ที่พูดเจื้อยแจ้วอยู่ข้างๆ เล่าถึงแผนชีวิตเรื่องการเรียนและการทำงานเพื่อหาเงิน เขาค่อนข้างแปลกใจที่เห็นภาณุวัฒน์ดูสดใสร่าเริงต่างไปจากที่เคยทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านประสบการณ์ตื่นเต้นมาไม่นาน รวมถึงเรื่องที่นอนร้องไห้เมื่อคืนที่ผ่านมา ภาณุวัฒน์บอกว่าเมื่อหาเงินได้มากพอก็จะแบ่งให้อาวุธเป็นการตอบแทน นายตำรวจรีบปรับสีหน้าให้ราบเรียบแล้วก้มหน้าลงบอกอีกฝ่ายด้วยเสียงหนักแน่นว่า
“ไม่ต้องมาตอบแทนผมหรอก คิดหรือวาจะหาเงินได้ขนาดนั้นภายในหนึ่งเทอม นี่จะได้เรียนเทอมไหนก็ยังไม่รู้ แต่พอได้เรียนก็เอาเทอมแรกให้รอดก่อนเถอะ อย่าเพิ่งคิดเรื่องทำงาน”
“พี่ช่วยผมมาเยอะ ผมต้องตอบแทนอะไรพี่บ้าง พี่ช่วยชีวิตผมด้วยซ้ำ ผมเป็นหนี้ชีวิตพี่”
“ถ้ายังงั้นตีค่าออกมาเป็นตัวเงินได้ไหมล่ะ จะต้องทำงานอีกกี่เทอมถึงจะใช้คืนได้หมด” อาวุธมองตาภาณุวัฒน์
“ผมให้ชีวิตผมเป็นของพี่ยังได้”
“ชีวิตเป็นของตัวเอง รักษาไว้ให้ดี ไม่ต้องมาคิดจะทดแทนผมด้วยชีวิต” อาวุธพูดเสียงเข้ม “เรื่องเงินไม่ต้องคิดว่าจะใช้คืน ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่ารถที่ผมจ่ายไปนั่นน่ะมันไม่ได้มากมายเท่าไหร่นักหรอก ผมไม่ได้จ่ายทุกครั้ง บางครั้งโจ้ก็จ่ายเองด้วย เลิกขอโทษ เลิกขอบคุณ เลิกพูดเรื่องที่ว่าตัวเองทำให้ลำบากได้แล้ว ไปจัดการเรื่องมหาวิทยาลัยให้เสร็จๆ”
“ผม...เอ่อ...” ภาณุวัฒน์อึกอัก หันไปมองประตูทางเข้าของตึกอิฐสีน้ำตาลเข้มซึ่งเป็นที่ตั้งของแผนกรับนักศึกษาต่างประเทศ
“พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ใช่หรือเปล่า” อาวุธถาม ภาณุวัฒน์พยักหน้าพร้อมกับยิ้มแหยๆ และอยู่ดีๆ ก็ยกมือขึ้นมาแตะริมฝีปากที่บวมเจ่อของตัวเอง
“แสดงว่าต้องลงคอร์สเรียนภาษาอังกฤษก่อนซักสามสี่เดือน บางทีอาจจนถึงซัมเมอร์ เปิดเทอมฟอลแล้วถึงจะได้เรียน”
“ฟอล” ภาณุวัฒน์ทวนคำพร้อมกับขมวดคิ้ว “เดือนอะไรครับ”
“สิงหาคมหรือไม่ก็กันยายน” อาวุธตอบ “ซัมเมอร์ของที่นี่คือมิถุนายนถึงสิงหาคม”
“โอ้โห” ภาณุวัฒน์ทำตาโต อุทานเสียงดัง “นานขนาดนั้น แล้วผมจะอยู่ยังไงละเนี่ย”
อาวุธอยากจะถอนหายใจออกมาแรงๆ เขารีบหันหน้าหนี ไม่อยากจะให้ภาณุวัฒน์เห็นสีหน้าของเขาในตอนนี้ั
...ใช่ นานขนาดนั้น ภาณุวัฒน์จะอยู่ยังไง หอพักมหาวิทยาลัยก็เข้าพักไม่ได้ จะให้ไปเช่าอพาร์ทเมนท์อยู่คนเดียวยังงั้นหรือ...
...เขาไม่อยากจะคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว ท่าทางภาณุวัฒน์ไม่รู้เรื่องอะไรเอามากๆ ถ้าจัดการทุกอย่างเองก็คงเละ แล้วคุณแจ๊คกี้อะไรนี่ที่เป็นคนจัดการทุกอย่างก็คงท่าทางจะไม่ได้เรื่อง...
อาวุธเดินนำภาณุวัฒน์ตรงไปยังประตูทางเข้า แต่เมื่อใกล้ถึงประตูเขาก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงพอๆ กับภาณุวัฒน์เดินออกมา ทำให้เขาชะงักไปชั่วอึดใจ สัญชาตญาณตำรวจของเขาทำงานทันที
...ผู้ชายคนนี้รู้จักเขา สายตาคู่นั้นแสดงความตกใจด้วยซ้ำ...
“เข้าไปรอข้างใน เดี๋ยวผมตามไป” อาวุธหันไปบอกภาณุวัฒน์ ชายหนุ่มรีบพยักหน้าแล้วเดินล่วงหน้าเข้าไปก่อนโดยไม่ต้องรอให้บอกซ้ำ
อาวุธหยุดยืน มองชายหนุ่มที่เดินออกสวนออกมาจากประตูจนอีกฝ่ายลงบันไดและก้มหน้าเดินดุ่มๆ ไปที่รถ เขาสังเกตท่าทางการเดินของชายคนนั้นและเห็นว่าฝ่ายนั้นทำท่าเหมือนอยากจะหันหน้ามามองทางด้านหลังแต่ก็พยายามฝืนตัวเองเอาไว้
...ก้าวเท้าไม่เป็นจังหวะ สั้นบ้างยาวบ้าง ไหล่ยกขึ้น กล้ามเนื้อต้นคอเกร็ง หันซ้ายหันขวาเล็กน้อยเหมือนพยายามฝืนไม่ให้ตัวเองหันกลับมามองด้านหลัง แค่นี้ก็พอจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้อยากรีบไปให้พ้นๆ หน้าเขา...
อาวุธสงสัยว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร เขามองและจดจำทะเบียนรถของฝ่ายนั้นซึ่งรีบขับออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเดินเข้าไปในอาคารของมหาวิทยาลัยเพื่อทำบทบาท 'ผู้ปกครองจำเป็น' ให้กับภาณุวัฒน์
“ผมให้เอกสารทุกอย่างไปหมดแล้ว แต่เรื่องเงินคุณแจ๊คกี้บอกว่าจะไปเอาจากคุณพ่อ เขาบอกว่าไม่ต้องห่วง จะทำทุกอย่างให้เรียบร้อย” ภาณุวัฒน์พูดเสียงเบาๆ จนอาวุธแทบจะไม่ได้ยิน วันนี้เขาพาภาณุวัฒน์มาที่มหาวิทยาลัยเพื่อติดต่อกับแผนกรับนักศึกษาเข้าเรียนแล้วพบว่าเรื่องของภาณุวัฒน์ยังไม่เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลงทะเบียนเรียนและเรื่องหอพักนักศึกษา
“ผมขอโทษ”
“บอกแล้วไงว่าอย่าขอโทษ” อาวุธพูดเสียงดุ แต่เมื่อเห็นใบหน้าเศร้าๆ และดวงตาที่เริ่มแดงระเรื่อของภาณุวัฒน์ก็ต้องถอนหายใจแล้วปรับเสียงให้อ่อนลง “กลับถึงบ้าน ให้ค้นเอกสารทุกอย่างที่ตัวเองมีแล้วค่อยมาคุยกับมหาวิทยาลัยอีกที ถ้าไม่ครบให้โทรศัพท์กลับไปที่บ้านที่เมืองไทย ให้พ่อค้นให้แล้วส่งมาด่วน”
“พ่อคงไม่...” ภาณุวัฒน์พึมพำแล้วก้มหน้า แต่อาวุธทันได้มองเห็นหยดน้ำใสๆ กำลังเอ่อขึ้นมาในดวงตาเรียวเล็กคู่นั้น
“ภาณุวัฒน์ อย่าร้องไห้ให้ผมเห็นนะ ผมไม่ชอบ” อาวุธห้าม “เรื่องแค่นี้มันแก้ไขกันได้”
“ผมคงไม่ได้เรียน”
“ได้เรียนสิ แต่เทอมนี้ไม่ทันแน่นอน คงต้องรอเทอมถัดไป เอาไว้ผมจะช่วยจัดการให้”
“ผมขอโทษ...” ภาณุวัฒน์พึมพำ ก้มหน้ามองมือของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะ
อาวุธมองภาณุวัฒน์นิ่งเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี เรื่องงานของเขาก็ยุ่งพอดู จะให้มาจัดการเรื่องการเรียนต่อของภาณุวัฒน์นั้นก็ยิ่งจะทำให้ยุ่งมากกว่าเดิม
...แจ๊คกี้ แจ๊คกี้ แจ๊คกี้ อยากจะฆ่าคนที่ชื่อแจ๊คกี้ทิ้งนัก ติดต่อมหาวิทยาลัยภาษาอะไร มั่วไปหมด...
อาวุธนิ่งคิดอย่างอารมณ์เสีย ไม่อยากจะเชื่อว่าการจัดการเรื่องศึกษาต่อต่างประเทศของแจ็คกี้ที่ทำให้กับภาณุวัฒน์นั้นจะไร้ประสิทธิภาพได้ถึงเพียงนี้ เมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมาเขาพยายามต่อรองกับมหาวิทยาลัยเรื่องหอพักแต่ก็ไม่เป็นผล มหาวิทยาลัยแจ้งว่ามีนักศึกษาลงชื่อในรายชื่อสำรองรอเข้าหอพักจำนวนมาก และภาณุวัฒน์ก็ไม่ได้แจ้งว่าต้องการพักในหอพักของมหาวิทยาลัย และที่สำคัญ คะแนนสอบ TOEFL ก็ไม่ถึงเกณฑ์ เอกสารต่างๆ ก็ไม่ครบและบางอย่างก็ไม่ใช่ฉบับจริง แต่ภาณุวัฒน์ยืนยันว่าได้มอบให้พนักงานรับส่งเอกสารของคุณแจ๊คกี้ไปหมดแล้ว
จตุพลรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก การพบกับอาวุธโดยไม่ได้ตั้งตัวทำให้เขารู้วิตกกังวล กลัวว่าจะโดนสะกดรอยตาม เขาพอจะมองออกว่าอาวุธสงสัย และหาก 'ตำรวจเก่งๆ' อย่างอาวุธสงสัยก็คงพยายามทำการสืบจนรู้ให้ได้ ซึ่งเขาคิดว่าคงไม่เกินความสามารถของอาวุธ
เขาตัดสินใจโทรศัพท์ไปปรึกษาคชานนท์ซึ่งเป็นคนวางแผน แต่เพื่อนตัวดีกลับทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
… “สบายใจได้ เชื่อหัวคชานนท์คนเก่งเถอะน่า แค่ทำตามที่บอก ทุกอย่างจะดีเอง”...
จตุพลคิดถึงคำพูดของคชานนท์แล้วต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ คชานนท์เป็นคนมั่นใจในตัวเองสูงและไม่เคยทำอะไรผิดพลาด ข้อนี้เขาต้องยอมรับ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่สุภาษิตไทยก็มีกล่าวไว้ว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
...แต่หากคชานนท์พลาดครั้งนี้ ยังไงๆ เขาก็ต้องโดนหางเลขไปด้วย โดนแบบเต็มๆ ด้วย...
จตุพลทนไมไหว รู้สึกอยากจะระบายให้ใครสักคนฟัง และคนนั้นต้องไม่ใช่คชานนท์ เขาจึงโทรศัพท์ไปคุยกับคนรัก แต่แทนที่จะรู้สึกดีขึ้น จตุพลกลับรู้สึกแย่กว่าเดิม
“ถ้าเขาเก่งระดับมือหนึ่งของ DSI และถูกส่งมาทำงานแบบฉายเดี่ยวที่นิวยอร์ค เรื่องเกมกามเทพที่คุณกับคชานนท์กำลังสมคบคิดกันอยู่นี่ อีกไม่นานก็ถูกเขาจับได้” คนที่จตุพลระบายความในใจให้ฟังแสดงความคิดเห็น
“โธ่ ที่รักจ๋า ไม่ให้กำลังใจกันบ้างเลย” จตุพลทำหน้ามุ่ยใส่โทรศัพท์ “ไอ้เจ้านนท์คนเก่งมันรับประกันดิบดี”
“อยากเห็นคชานนท์พลาดจังเลย อยากเก่งดีนัก”
“คชานนท์มีบุญคุณต่อเรานะจ๊ะ จำไม่ได้หรือ นนท์เป็นพ่อสื่อให้เราจนเรารักกันปานจะกลืนแบบนี้”
“เรารักกันหรือ” อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงเสียงเย็นชา
“อ้าวๆ พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงทูลหัว” จตุพลเริ่มจะโวยวาย
“อย่าให้รู้นะว่าแอบไปกิ๊กกับใคร ไม่งั้นเจอดีแบบสองชั้น ไม่ใช่ต่อหน้าพูดว่ารัก ลับหลังพูดอีกอย่างนะ”
“ซวยจริงเล๊ย พูดเรื่องคนอื่นทำไมมันวกเข้าหาตัวแบบนี้ล่ะ” จตุพลบ่นพร้อมกับส่ายหน้า “ต่อหน้าหรือลับหลัง จตุพลคนเดิมก็ไม่เปลี่ยนแปลงหรอกจ๊ะ”
“ให้มันจริงเถอะ ไปบินเป็นอาทิตย์ ปล่อยให้หนูร่าเริงอยู่คนเดียว ไว้ใจได้ขนาดไหนก็ไม่รู้” แฟนของจตุพลบ่นแล้วจบด้วยคำสั่งเช่นเคย “อ้อ อย่าลืมเวลาเครื่องลงนะ แล้วอย่าไปผิดสนามบินล่ะ บินยาวคราวนี้เหนื่อยจะแย่ พอถึงนิวยอร์คจะรีบกลับบ้านไปแช่น้ำอุ่น”
“จ๊า จ๊ะ จะเตรียมน้ำอุ่นไว้รอก่อนไปรับที่สนามบินเลยจ๊ะ”
“เตรียมได้ยังไง กว่าจะกลับถึงบ้านน้ำก็เย็นพอดีสิ นี่มันหน้าหนาวไม่รู้หรือ อาบน้ำเย็นก็แข็งตายกันพอดี หรืออยากให้ตายๆ ไปซะ ตัวเองจะได้หาใหม่”
“พูดตอนไหนวะ” จตุพลบ่นอุบอิบ
“อะไรนะ พูดให้ชัดๆ ซิ”
“เปล่า ไม่ได้พูดอะไร” จตุพลปฏิเสธเสียงดังฟังชัด “ที่รัก รีบไปขึ้นเครื่องเถอะ เดี๋ยวจะสาย แล้วอย่ามีเรื่องกับผู้โดยสารนะจ๊ะ”
“บ้า ใครจะไปทำแบบนั้นได้ นี่เป็นแอร์นอร์ทเวสท์นะ ไม่ใช่การบินไทย” คนรักของจตุพลกระแทกเสียงแล้วทำท่าจะบ่นต่ออีกยกใหญ่แต่จตุพลรีบจบการสนทนา
“ดุจริงเล๊ย โดนทั้งปี จตุพลนะจตุพล เกิดมาให้ใครต่อใครรังแกอยู่เรื่อย เฮ้อ” จตุพลถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียงและอดคิดถึงใบหน้าเคร่งขรึมของเพื่อนพี่ชายของจตุพลไม่ได้ “ตัวจริงดุกว่าในรูปอีก นี่เกิดพี่แกสงสัยว่าเราเป็นไอ้แจ๊คกี้มิโดนกระทืบหรือเนี่ย”
คชานนท์นั่งเท้าคางมองโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น ในใจพยายามคิดหาวิธี 'ดำเนินการ' ขั้นต่อไปเพื่อที่จะจัดการกับชีวิตรักของอาวุธ เสียงของคนรับใช้สองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ โซฟาทำให้เขานึกอะไรได้ในทันที
“แต๋วว่าพระเอกไปตามนางเอกให้กลับมาที่บ้านแน่ๆ ถ้ารู้ว่ามีตัวอันตรายไปป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้นางเอกรับรองว่าพระเอกไม่ปล่อยให้นางเอกไปเช่าหออยู่คนเดียวแน่ๆ”
“แต่นางเอกเขาน้อยใจขนาดนั้น เขาไม่ยอมกลับมาหรอก”
“ไม่ใช่ ที่นางเอกไปก็เพราะอยากให้พระเอกตาม”
“แล้วถ้าพระเอกไม่ตามล่ะ”
“ไม่ตามได้ยังไง พระเอกเขาก็ต้องไปตามนางเอกสิ ถ้าแต๋วเป็นพระเอกแล้วรู้ว่าไอ้คนที่แค้นตระกูลพระเอกไปจีบนางเอกมันก็ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแหงๆ มันทำอะไรพระเอกไม่ได้นี่ มันก็ไปทำกับนางเอกสิ พระเอกก็ห่่วงนางเอก ทีนี้ก็จะไปเอามาอยู่ด้วย”
“นางเอกเรื่องนี้มันอ่อนแอจริงๆ นะ อะไรๆ ก็ให้พระเอกช่วย”
“อ้าว ก็ต้องเป็นแบบนี้สิ พระเอกก็ต้องดูแลนางเอก จะให้ตัวอิจฉามาดูแลหรือไงเจ๊อารีย์”
คชานนท์หยิบรีโมทขึ้นมากดเปลี่ยนช่อง สาวใช้ต่างวัยสองคนรีบร้องเรียกชื่อคชานนท์ขึ้นมาพร้อมกันเพราะละครโทรทัศน์กำลังเข้มข้น
“คุณนนท์ กำลังสนุก” แต๋วทำหน้ามุ่ย
“จะดูทำไม อยากรู้ตอนจบหรือเปล่า นางเอกนั่นน่ะผมรู้จัก เคยควงด้วยต่างหาก ผู้กำกับก็เป็นลูกหนี้ผม เรื่องนี้เขาเล่าให้ผมฟังหมดแล้ว พอนางเอกไปอยู่หอ พระเอกก็เลยจะ...”
“ไม่เอ๊า ไม่อยากฟัง คุณนนท์อย่าเล่าเดี๋ยวไม่สนุก” แต๋วรีบยกมือปิดหู
“อ้าว ก็เมื่อกี้เห็นเถียงกันว่าเรื่่องจะเป็นยังไงต่อไป”
“คุณนนท์คะ กดกลับมาช่องเดิมซะที เดี๋ยวดูไม่รู้เรื่อง” อารีย์ทำหน้าอ้อนวอนเจ้านายหนุ่ม
“ยังไม่ไปถึงไหนหรอก เขากำลังเดินไปขึ้นรถ กว่าจะปิดประตู กว่าจะถอยรถ กว่าจะมีคนวิ่งไปเปิดประตู กว่าจะ...”
“คุณนนท์” สาวใช้ทั้งสองคนพร้อมใจกันอุทธรณ์
“จะมาแกล้งกันทำไมก็ไม่รู้” อารีย์กระฟัดกระเฟียด “ตัวเองก็ไม่เห็นจะดู”
“นี่ทีวีใคร”
“ทีวีคุณสิคะ ที่หลังบ้านมันแค่จอสิบสี่นิ้ว ดูไม่ชัด คุณบอกว่าจะขยายจอให้ก็ไม่เห็นจะได้ซักที”
“กำลังคำณวนเงินอยู่ ก็รู้ว่าผมขี้เหนียว ใจร้อนไปทำไป” คชานนท์อมยิ้ม
“ไอ้นนท์” เสียงห้าวๆ ดังขึ้นข้างหลัง “แกล้งแต๋วกับอารีย์อีกแล้ว เดี๋ยวมันก็โกรธแล้วแท็คทีมพากันลาออกหรอก”
“จริงค่ะคุณ ทุกทีเลย เวลาละครกำลังมันส์ๆ คุณนนท์ชอบควบคุมรีโมท”
“ผมกำลังทดสอบอะไรบางอย่างอยู่นะพ่อ” คชานนท์หันไปพูดกับอดิศัยผู้เป็นบิดาแล้วหันมาพูดกับสาวใช้ทั้งสองคน “คอยดูนะ พอกดเปลี่ยนช่องกลับมา ตอนนี้รถกำลังวิ่งอยู่บนถนนแล้วก็มีดนตรีแบ๊คกราวด์”
“เปลี่ยนช่องเดี๋ยวนี้” ผู้เป็นบิดาสั่ง
“เปลี่ยนแล้วคร้าบ” คชานนท์กดรีโมท แต่เป็นช่องข่าว สาวใช้ทั้งสองพร้อมใจกับเรียกชื่อคชานนท์อีกครั้ง
“เลขสามค่ะคุณนนท์” แต๋วแนะนำ
“คราวหลังให้มันถือรีโมท แกไม่ต้องไปยุ่ง” อดิศัยสั่ง
“ได้ไง ใครมีรีโมท คนนั้นมีอำนาจสูงสุด” คชานนท์หัวเราะแล้วกดเปลี่ยนช่องกลับมายังละครเรื่องเดิมแล้วพูดขึ้นว่า “เห็นไหม รถเพิ่งเลี้ยวออกจากปากซอย ละครช่องนี้เป็นแบบนี้ล่ะ ดูกันอยู่ได้ กว่าพระเอกจะไปตามนางเอกที่หอก็คงอีกนาน พระเอกเรื่องนี้ยืดยาดไม่ทันใจ ถ้าผมเป็นผู้กำกับผมจะให้ตัวละครอีกคนไปเร่งปฏิกิริยา”
“แกนี่จริงๆ เลย” ผู้เป็นบิดาตบไหล่ลูกชาย “กวนประสาทแม้กระทั่งคนใช้ในบ้าน”
“แต๋วไม่ใช่คนใช้ แต๋วเป็นแม่ครัว ส่วนพี่อารีย์เป็นแม่บ้าน” คชานนท์แก้คำพูดของพ่อ “พ่ออย่ามาใช้คำดูถูกกัน ใช่ไหมแต๋ว”
“เรียกยังไงก็เรียกเถอะค่ะ แต๋วไม่แคร์ แต๋วกำลังดูทีวี”
“เดี๋ยวเหอะ พ่อแกก็ไม่เว้น แกนี่มันชอบกวนประสาทคนตั้งแต่เล็กจนโต” อดิศัยนั่งลงข้างลูกชายแล้วถามเรื่องที่ตัวเองอยากรู้ “เอ่อ แล้วเรื่องไอ้วุธไปถึงไหนแล้ว”
“ถึงนิวยอร์คซิครับ” คชานนท์ยักไหล่ “พี่วุธก็วนไปวนมาอยู่ในอ่างน้ำของเขานั่นล่ะ”
“ไอ้นี่...” อดิศัยยกมือขึ้นทำท่าจะฟาดลูกชาย
“อ๊ะๆ อย่่านะครับ ผมโตแล้ว ไม่ใช่เด็กจะให้มาตบหัวได้อีกต่อไป” คชานนท์เอียงตัวหลบ
“งั้นขอแตะหน่อย แกไม่โดนไอ้คมไล่เตะมานานแล้ว โดนพ่อเตะระลึกถึงความหลังหน่อยไหมละ”
“คุณคะ” แต๋วกับอารีย์หันมาส่งเสียงใส่ผู้เป็นเจ้านายทั้งสองคนเพราะรบกวนการชมละคร
“ก็เปิดเสียงให้มันดังๆ สิวะ” อดิศัยหันไปพูดกับทั้งสองสาว
“งั้นขอรีโมทค่ะ” แต๋วยื่นมือมา
“ไม่ได้ รีโมทต้องอยู่ในมือผม” คชานนท์กำรีโมทแน่น นัยน์ตาพราวระยับอย่างนึกสนุก ก่อนจะกดลดเสียงของโทรทัศน์ลงอีกหนึ่งขีด
“ไอ้นนท์ แกนี่มันไม่รู้จักโตจริงๆ” ผู้เป็นพ่อโคลงศีรษะแล้วถามลูกชายด้วยเสียงที่เบาลงกว่าเดิมเพราะกลัวถูกคนใช้ดุ “ตกลงเรื่องไอ้วุธเป็นไง”
“ตอนนี้ผมได้ความคิดแล้ว” คชานนท์พูดเสียงเบาราวกับเป็นความลับสุดยอด “ได้ตัวอย่างจากละครเรื่องนี้ล่ะ ต้องส่งตัวก่อกวนเข้าไปเร่งปฏิกิริยา พี่วุธจะได้ทำอะไรซะที”
“ใคร”
“เดี๋ยวก็รู้” คชานนท์ยักคิ้ว
“แล้วแกแน่ใจนะว่าจะได้ผล”
“โธ่ พ่อ เคยพลาดที่ไหน ยี่ห้อคชานนท์คนเก่ง วางใจได้ เชื่อหัวผมเถอะน่า”
“พ่อก็พยายามวางใจแต่ก็อดกังวลใจไม่ได้ ไอ้คมก็เร่งมา”
“เกี่ยวอะไรกับพี่คม” คชานนท์เลิกคิ้ว ทำหน้าสงสัย แต่ทันใดก็เปลี่ยนเป็นเอือมระอา “อะไรกันพี่คมนี่ ระแวงไม่ยอมเลิก อะไรนักหนา”
“น่า นะ นนท์ลูกรัก ช่วยๆ มันหน่อยเถอะ แกก็รู้ ถ้าไม่ใช่แกแล้วใครจะทำได้ เก่งที่สุดก็คชานนท์ลูกพ่อนี่ล่ะ รู้หรือเปล่า พ่อภูมิใจในตัวแกมากนะที่มีลูกประเสริฐขนาดนี้” อดิศัยตบหลังลูกชายเบาๆ
“ครับๆ ไม่ต้องห่วง รับรองว่าคชานนท์คนเก่งจะไม่ทำให้ผิดหวัง” คชานนท์รับปากแล้วยื่นมืออีกข้างไปหยิบโทรศัพท์มากดหมายเลขพร้อมๆ กับพูดขึ้นว่า “แต๋ว พี่อารีย์ ขอโทรศัพท์หน่อยนะ”
“ไม่ได้นะคะ อย่าปิดเสียง เขากำลังเถียงกัน” อารีย์รีบห้าม
คชานนท์หัวเราะแล้วยื่นรีโมทโทรทัศน์ให้พ่อแล้วลุกขึ้นเดินออกไปยังห้องรับแขกเพื่อโทรศัพท์ไป 'สั่งงาน' 'ผู้ร่วมงาน' อีกคนที่อยู่ในนิวยอร์ค
แต่เมื่อจตุพลได้ยินคำอธิบายจากคชานนท์ก็รีบโวยวาย
“ไม่เอาแล้วโว้ย แกนี่ขยันโทรข้ามทวีปมาสั่งงานเหลือเกิน ธุรกิจการเงินร้อยล้านพันล้านไม่ทำแล้วหรือไง”
“อีกนิดเดียว แค่ให้ปีใหม่ผ่านไปอย่างราบรื่นลแล้วค่อยว่ากันอีกที” คชานนท์ต่อรอง
“ว่ากันอีกที ต้องมีว่ากันอีกทีอีกหรือวะ” จตุพลโอดครวญ “แค่นี้ก็จะแย่แล้ว นอนก็หลับไม่สนิท เอาแต่ฝันว่าจะโดนซะไม่ใช่น้อย”
“ลงเรือลำเดียวกันแล้ว จะโดดเรือหนีลงน้ำทิ้งเพื่อนไปได้ยังไง”
“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ พ่อจะโดดลงไปแล้วว่ายน้ำหนีโดยไม่หันกลับมามองเลยด้วยซ้ำ”
“ไม่แน่นะ นายอาจโดดลงไปจมน้ำตาย หรือไม่ก็เจอปลาฉลาม” คชานนท์หัวเราะเบาๆ “ในทะเลมันน่ากลัวนะเพื่อน”
“ไม่ต้องมาขู่”
“หุ้นของเอเวอร์ลีนนิวยอร์คกำลงลงนะ นายก็รู้ ถ้าหาคนซื้อที่ให้ราคาดีก่อนปีใหม่ อาจจะไม่ขาดทุนย่อยยับ”
“แกไม่ต้องมาขู่เลยนนท์” จตุพลกัดฟันพูด
“แล้วนี่พี่วุธสะกดรอยตามนายหรือเปล่า” คชานนท์เปลี่ยนเรื่อง
“อีกแค่ไม่กี่วัน แกจะหาคนซื้อได้ทันหรือวะนนท์” จตุพลยังห่วงเรื่องหุ้น
“ตอบคำถามมาก่อน”
“เปล่า”
“เปล่ามั๊ง” คชานนท์เลียนเสียงเพื่อน “ถ้าจะพูดให้ถูกต้องพูดว่าเปล่ามั๊ง แต่นายรู้จักพี่วุธน้อยไป ถ้าพี่วุธสงสัย ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงรับรองว่าผู้ต้องสงสัยไปไหนไม่รอด พี่วุธเป็นเสือชีต้า ไล่กัดไม่ปล่อย ถ้าไล่ทันแล้วก็จะใช้คมเขี้ยวเพชรฆาตแหลมๆ คมๆ ขยี้ให้ขาด”
“ไอ้นนท์ แก ไม่ ต้อง มา ขู่” จตุพลลงเสียงหนัก
“ไม่ได้ขู่ แค่เล่าให้ฟัง” คชานนท์ตอบ “ถ้าเรื่องมันผิดพลาด ถึงที่สุด เราจะเป็นคนรับผิดทั้งหมด”
“จะเชื่อแกได้ไหมเนี่ย”
“จากสถิติ นายก็เห็น คชานนท์คนเก่งไม่เคยพลาด เพราะฉะนั้น เลิกปอดแหกได้แล้ว” คชานนท์พูด
“ไอ้นนท์” จตุพลครางเสียงเบา
“ทำตามที่บอกแล้วทุกอย่างจะดีเอง นายรอดตัวไป ไม่โดนพี่วุธจัดการ แถมจะได้ความดีความชอบอีกต่างหาก ไหนจะได้ค่านายหน้า ไหนจะราคาหุ้น เราจะจัดการให้เอง เชื่อหัวคชานนท์คนเก่งสิ” คชานนท์พยายามโน้วนาวใจเพื่อน
“แกจะให้ทำยังไงอีกวะ” จตุพลทำเสียงอ่อย
“นายไปรับภาณุวัฒน์ไปอยู่ด้วย อ๊ะๆ เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งโวย ไม่กี่วันหรอก เดี๋ยวเหตุการณ์จะพลิกผัน นายไม่เสียเวลามาดูแลเด็กคนนั้นนานหรอกน่า”
“แล้ว...”
“ก่อนคุณแฟนจะกลับถึงนิวยอร์คแน่นอนไม่ต้องห่วง กว่าจะกลับก็วันที่หกไม่ใช่หรือ”
“ยังมารู้อีก” จตุพลบ่นพึมพำ
“รู้ไหมคุณจตุพล คชานนท์คนเก่งคนนี้สามารถทำให้เครื่องบินดีเลย์ยังได้” คชานนท์
“คร๊าบท่าน เชื่อแล้วครับ เชื่อแล้วว่าแกทำได้ทุกอย่าง ทุกอย่างจริงๆ ทั้งสั่ง ทั้งขู่ ทั้งโน้วน้าว ทั้งหลอกล่อ แกทำได้ทุกอย่างจริงๆ แล้วนี่ต้องคอยฟังคำสั่งคุณคชานนท์ทีละเฟส ทีละเฟส และทีละเฟส ใช่ไหมเนี่ย”
“ถูกต้องแล้วคร้าบ” คชานนท์หัวเราะ “บอกแล้วไง เชื่อหัวคชานนท์คนเก่งแล้วจะดีเอง”
***end of chapter 10***