ต้องขอโทษด้วย พิดีเซต้องไป ตจว กระทันหันไม่ได้เอาคอมฯไป

=====================================
ตอนที่ 20เสียงขว้างปากกาด้วยพลังอันมหาศาล ถ้าเทียบแรงสั่นสะเทือนที่เคลื่นตัวเป็นลูปๆแล้ว
พี่เมฆจะอธิบายให้มันลำบากตัวเองทำไมครับเนี่ย
เอาเป็นว่า มันแรงพอที่จะทำให้ผมสะดุ้งตกใจ
ในการกระทำของไอ้คนที่นอนช่วยทำงานอยู่ข้างๆนั่นแหละครับ
พระเจ้าโกหก !!!!!!!!!!!!!!!!!
ไหนใครบอกว่า “ฟ้าหลังฝน” ย่อมสดใสเสมอยังงัยหละ
แล้วนี่อะไร บรรยากาศที่เริ่มจะมาคุ นี่เรียกว่าอะไร
ใครที่คิดทฤษฎี ฟ้าหลังฝนนี่ขึ้นมา พี่เมฆฝากไปบอกด้วยว่า “ว่างๆ มาตัวต่อตัวกันหน่อย”
ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ ที่มีชื่อพี่เต้ เป็นสายเรียกเข้า จนมันดับไปและดังขึ้นใหม่เป็นครั้งที่ 3
สลับกับการมองหน้าหมาฉาน ที่ตอนแรกมันนอนคว่ำเคียงข้างผม ช่วยลงสีทำงานให้แม่ไป
จนตอนนี้ มันนอนหงาย มองหน้าผม ว่าจะจัดการ ไอ้โทรศัพท์เครื่องนี้อย่างไร
ก็แล้วทำไมพี่เมฆจะต้องกลัวลนลานละวะครับ
ก็แค่พี่เต้โทรมา เค้าอาจจะมีธุระอะไรก็ได้ แล้วเราก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน พี่เต้เค้ามาแนวเพื่อนธรรมดา
แล้วไอ้หมาบ้าที่นอนน้ำลายฟูมปาก หน้าเหี้ยม เตรียมพร้อมจะฉีกร่างผมออกมาเป็นเสี่ยงๆ แล้วเขวี้ยงเล่น
นี่หมายความว่ายังไง
อยากยักคิ้วหลิ่วตา แล้วถามมันว่า “ อา ยู หึง เหรอวะ ห๊ะ !!!!!”
คิดว่าพี่เมฆกล้าเหรอครับ
คุณคิดผิด เรียนกันตามตรงว่าผมกลัวมันมาก จนไม่กล้าเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ มากดรับเลยละครับ
แย่ แย่ พี่เมฆ แพ้ทางมันเสียแล้วครับ แล้วอย่างนี้ เวลาจับไม้สั้นไม้ยาว บ๊วบกันอีกที
พี่เมฆจะขึ้นขี่ไอ้ฉานได้งัยครับเนี่ย
“มึงไม่รับโทรศัพท์หละ” ไอ้บ้าข้างๆ มันทนสงครามเงียบไม่ไหวก่อนครับ
นัดนี้พี่เมฆชนะ แต่อย่าเพิ่งโห่ร้องดีใจครับ ดูเหมือนว่าสงครามยังไม่จบ
“มึงให้กูรับได้เหรอ” แหะ แหะ มันยังทำหน้าเหี้ยมอยู่เลย
“กูเอาตีนยันมือมึงไว้เหรอไง จะรับก็รับกูไม่ว่า แต่ถ้าลุกขึ้นไปคุยที่อื่น นี่มึงกะกูเคลียร์กันยาวแน่เมฆ”
ครับ ครับ ท่านฉานแสง มึงไม่ว่ากูด้วยวาจาครับ แต่สายตามึงหนะ รู้สึกว่า เหมือนเตรียมพร้อมจะฆ่ากูเลย
ผมหันไปจะคว้าโทรศัพท์ รอบที่ 4 ของพี่เต้ มารับ ก็กลายเป็นว่า เสียงโทรศัพท์รอบนั้นดับไปแล้ว
ผมชายตาไปมองท่าทีของไอ้หมีโคอาล่าหน้าร้อน ที่คุมเชิงผมอยู่ข้างๆ
มันเลื่อนตัวเองไปนอนพิงหัวเตียงมองผมอยู่ก่อนแล้ว
เรียกง่ายๆว่า มันจ้องผมอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ จะถูกกว่า
“โทรกลับไปสิ เร็วๆเมฆ มึงจะหวานเย็นรออะไรนักหนา กูอยากรู้ว่า ไอ้ห่าเต้นั่น มันโทรหาเมียกูทำไม”
ผมอยากจะเถียงใจจะขาดว่า เรียกท่านเมฆคนนี้ว่าเมียได้อย่างไร เมื่อครั้งต่อไป ท่านเมฆคนนี้จะขึ้นขี่ท่านฉานเป็นแน่แท้
แต่มันไม่ใช่เวลาแสดงพาวเวอร์อะไรทั้งนั้นแหละครับ
เพราะบรรยากาศไม่เป็นใจ
ผมเลยต้องกดโทรศัพท์กลับไป หาปลายทางที่โทรมา
“ฮัลโหล น้องเมฆ น้องเมฆอยู่ที่ไหนครับ พี่เต้โทรไปไม่รับสาย นี่พยายามหาเบอร์เพื่อนน้องเมฆ โทรไปถามอยู่เลยว่าบ้านน้องเมฆอยู่ไหน พี่เต้เป็นห่วง” ครับ คนที่กดโทรออกไปคือผมเอง แต่มันก็แค่นั้นแหละครับ เพราะยังไม่ทันจะพูดอะไรออกไป เสียงพี่เต้ก็แทรกมาอย่างกะน้ำที่โดนปิดวาล์วไว้ พอหมุนเปิดมันเมื่อไหร่ มันก็ทะลักไหลออกมาแบบนี้
ก่อนอื่น ผมอยากมอบตำแหน่ง “อย่างเยอะ” ให้พี่เต้เสียจริงครับ แต่ติดอยู่ที่ว่าน้ำเสียงที่แสดงความเป็นห่วงอย่างจริงใจนั้น มันทำให้พี่เมฆ เป็นคนเลว ไม่ลง
“อยู่บ้านครับ พอดีเมฆทำงานให้แม่อยู่ เลยไม่ได้ยิน พี่เต้มีอะไรหรือเปล่าครับ” แถกันแบบสดๆเลยครับ ยังอุดมไปด้วยวิตามินเลยเนี่ย สดจริงอะไรจริง
“ปิดเทอมแล้วใช่มั้ยครับ “ ผมเชื่อแน่ครับว่าก่อนถามแบบนี้ พี่เต้คงสืบมาอย่างดีแล้ว
“พอดีบ้านพี่เต้ เราจัดทัวร์ภายในครอบครัวนะครับ ไปทิเบตกัน เป็นทริปลุยๆ เลยอยากชวนน้องเมฆไปด้วย สนใจมั้ยครับ”
เอ่อ แล้วไหนว่า เป็นทริปครอบครัว แล้วมาชวนคนนอกอย่างพี่เมฆทำไมละครับเนี่ย ชั่วขณะที่กำลังคิดปฎิเสธคำตอบอย่างนุ่มนวลชวนเคลิ้มอยู่
เผลอครับเผลอ
พี่เมฆเผลอไปสบตากับไอ้หมาบ้าฉานอยู่พอดี สีหน้ามันจ้องผมเต็มไปด้วยคำถาม ที่สามารถเขียนออกมาได้ประมาณ 3 หน้ากระดาษ A4
เฮ้ออออออออ!!!!!!! เวรกรรมอะไรของกูวะเนี่ย
มีแม่ ก็มีทันทีถึง 2 คน
มีผัว เอร้ยยยยยยยยยยยยย ตอนนี้ยังไม่ใช่ ถึงแม้จะใกล้เคียง
ก็กำกับชีวิตกูจัง
ขอไว้อาลัยด้วยความอนาถใจ สองวินาที
“ขอบคุณครับพี่เต้ พอดีเมฆก็มีทริปลงใต้กับครอบครัวเหมือนกันครับ ไว้โอกาสหน้านะครับ”
ท่านเมฆสามารถหาคำปฎิเสธดีที่สุดได้แค่นี้แหละครับ
“เหรอครับ เสียดายจัง นี่บอกที่บ้านไว้ ว่าจะพาเมฆมาแนะนำให้รู้จัก” ดูเหมือนน้ำเสียงพี่เต้จะสลดลงเล็กน้อย
แต่นั่นมันไม่ทำให้ผมสนใจเท่ากับที่จะพาท่านเมฆไปแนะนำกับที่บ้านหรอกนะครับ
เจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง เอาไปแนะนำถึงที่บ้านทำไม แล้วแถมไปเป็นกรุ๊ปครอบครัวอีก
ไม่อยากจะคิด กลัวคำตอบจะเป็นไปอย่างที่ใจคิด
“ถ้างั้นน้องเมฆลงใต้วันไหนครับ ถ้าไงพี่เต้ขอไปรับมากินข้าวกะที่บ้านสักมือได้มั้ย ยังไงจะได้รู้จักกัน ถึงจะไปเที่ยวด้วยกันรอบนี้ไม่ได้” ถามแบบนี้ พี่เมฆจะตอบว่างัยดีละครับ แถมรู้สึกว่าข้างๆตัวจะร้อนวูบวาบด้วยรังสีอะไรสักอย่างจากคนข้างๆอยู่ด้วยแล้วเนี่ย
“ครับ ของเมฆยังไม่แน่ใจเรื่องวันครับ ต้องรอให้งานแม่เสร็จก่อน ในช่วงวันสองวันนี้พี่เต้สะดวกวันไหนละครับ”
ขอสาบานว่า ทุกอย่างที่พี่เมฆทำนี่ เพื่อมารยาทนะครับ อีกอย่างเกรงใจพี่เต้ด้วย อุตส่าห์มีน้ำใจมาชวน
“งั้นเย็นนี้นะครับ พี่เต้จะได้บอกที่บ้านไว้ แล้วบ้านน้องเมฆอยู่ไหนครับ เดียวพี่เต้เข้าไปรับ”
“ครับ อยู่หมู่บ้าน …………ครับ พี่เต้รู้จักมั้ย”
“รู้จักครับ หมู่บ้านใหญ่ หกโมงเย็นเจอกันนะครับ พี่เต้ไปถึงหน้าหมู่บ้านแล้วจะโทรหาอีกที”
“ครับผมพี่เต้ สวัสดีครับ”
พี่เต้วางสายไปแล้ว แต่พี่เมฆนี่สิครับ เอายังไงต่อไปดี ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองไอ้บ้าฉานเลย
“เมฆ” สะดุ้งสิครับ รู้แล้วว่าชื่อเมฆ แต่น้ำเสียงช่วยลดระดับความโหดลงนิดนึงจะได้มั้ยเล่า
“หือ พี่เต้จะมารับไปกินข้าวเย็นนี้” แบบนี้หรือเปล่าครับที่เค้าเรียกกันว่ากินปูนร้อนท้อง
“กูรู้แล้ว ฟังอยู่ ก็พอจะรู้ว่าชู้จะมาพาเมียกูหนี” เค้าบอกว่าจะมารับถึงบ้านหรอกโว้ย พาหนงพาหนีที่ไหน
“ไปด้วยกันมั้ย” ชวนมันหน่อย เผื่อความผิดจะน้อยลง
“เค้าชวนมึงคนเดียวไม่ใช่เหรอไง มึงอยากไปมึงก็ไปสิ ตัวไม่ได้ติดกันนี่ “ เอาแล้วงัย ประชดประชันกูแล้วงัย
“ก็เค้าชวนไปเที่ยวกะครอบครัวเค้า แล้วเรามีโปรแกรมล่องใต้แล้วไง เลยไปกินข้าวกับเขาเสียหน่อย จะได้ไม่เสียมารยาท”
“อืมก็ดีนะไอ้พี่เต้เหี้ยนั่นของมึง แมร่งบ้านอยู่ไกล ยังจะหาเรื่อง แล้วนี่มันคิดยังไง จะเอามึงไปเปิดตัวรึงัย โธ่เว้ยเมฆ ตอนแรกกูคิดว่ามึงไร้เดียงสา มึงคงไม่น่าจะรู้ ว่าอะไรเป็นอะไร แต่นี่มึงกะกูถึงไหนต่อไหนกันแล้ว มึงยังจะไม่รู้อีกเหรอว่าแบบนี้ไอ้เหี้ยพี่เต้มันคิดอะไร “
ไอ้หมาบ้ามันอาละวาดอะไรของมัน มันตั้งใจจะสื่อบอกผมว่าอะไร ว่าพี่เต้จีบผมงั้นเหรอ ไม่นะ มันจะบ้าหรือไง
ถึงแม้บางทีผมจะรู้สึกแปลกๆกับคำพูดของพี่เต้ แต่ก็ไม่ได้ดูเหมือนว่าพี่เค้าจะมาจีบผมนะ เค้าก็ปกติดีนี่
แล้วผมจะต้องทำยังไง ไอ้หมาบ้ามันกระฟัดกระเฟียดออกจากห้องผมไปแล้ว และคิดว่ามันคงจะหายหน้าไปสงบสติอารมณ์บ้าคลั่งของมันนั่นแหละมั้ง
แต่ที่ผมไม่รู้คือ มันจะหายหน้าไปจากผมนานแค่ไหน เท่านั้นเอง
ผมทำธุระส่วนตัวไปพร้อมกับความมึนงง ชีวิตผมมันยังสับสนไม่พออีกเหรอ
ไหนใครว่ามีแฟนแล้วโลกสดใสเป็นสีชมพูงัย แล้วรักของผมหละตอนนี้มันเป็นสีอะไร
ผมไม่เคยมีแฟน ทั้งผู้หญิงผู้ชายนั่นแหละ ใครเข้ามาใกล้ผมไม่ว่าอยากจะเข้ามาในฐานะอะไร
ถ้าไม่ผ่านการไว้วางใจกับไอ้ฉาน ก็เข้าถึงตัวผมไม่ได้
ผมไม่รู้ว่าไอ้ฉานมันคิดกับผมมากกว่าเพื่อนสนิทตอนไหน ก็ว่าสบโอกาสเมื่อไหร่
จะเอาตัวเข้าแลกแล้วหรอกถามมันดูสักที
แต่ในส่วนของความรู้สึกผม ผมยกให้ไอ้ฉานเป็นทฤษบททุกอย่างของชีวิตมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ผมอาจจะรู้สึกกับไอ้ฉานมากกว่าเพื่อนสนิทมาเป็นเวลาพอๆ กับที่ไอ้ฉานรู้สึกกับผมเลยก็ได้
เพียงแต่มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเกินไป มันจึงแยกได้ยากนัก เมื่อเทียบกับความรักของหนุ่มสาวปกติ
พี่เมฆขออธิบายแบบนี้
สารประกอบทางเคมีเกิดจากการรวมตัวของธาติสองชนิดขึ้นไป------------------เอ่อ มันจะเข้าใจยากไปเหรอ
งั้นเอาง่ายๆกว่านี้แล้วกัน
ถ้าพี่เมฆให้ผู้หญิงเป็นสี เหลือง แล้วให้ผู้ชายเป็นสีน้ำเงิน
เมื่อสีน้ำเงินและสีเหลืองถูกผสมเข้าด้วยกัน มันจะค่อยๆ กลายเป็นสีเขียว
ซึ่งหากเปรียบสิ่งนั้นเป็นความรักของผู้ชายและผู้หญิง เราจะค่อยๆมองเห็นความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นใช่มั้ย
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่สีน้ำเงินและสีน้ำเงิน มาผสมกันเองแล้วนั้น
เราจะไม่มีวันมองเห็นความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นนั้น จนกว่า
ปริมาณสีที่โดนผสมเข้าด้วยกัน จะเพิ่มมากขึ้นจนเห็นได้ชัดขึ้นมาเองในวันหนึ่ง
และนั่นคือนิยามของความรักที่คิดว่าพี่เมฆและไอ้ฉานกำลังเป็นอยู่นะ
คือค่อยๆ เพิ่มระดับความรู้สึกโดยที่เราไม่รู้ตัว
มีตัวแปรที่สำคัญคือเวลา
แต่ตอนนี้ผมว่านะ มันมีตัวแปรอีกตัวหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาแล้วทำให้รู้สึกว่า
ผมไม่ต้องการตัวแปรนี้เลย ให้ตายเถอะ ตัวแปรที่ทำให้ หมาบ้ามัน “หึง” เนี่ย
เวลาหมาบ้ามันหึง มันไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ มารองรับอาการหึงของมันเลยครับ
เหมือนเมื่อสักครูนี้ ที่มันทิ้งระเบิดไว้ แล้วปลิวหายไปกับสายลม
เกิดเป็นคนหน้าตาดีอย่างพี่เมฆ แท้จริงเป็นสิ่งลำบากครับ
ช่วงก่อนเวลานัดกับพี่เต้ในเย็นวันนั้น ไอ้ฉานไม่โผล่หน้ามาให้ผมเห็นอีกเลย
ผมเองก็ยุ่งๆกับหลายๆเรื่อง
จนเวลามันล่วงเลยมาจนใกล้ๆเวลานัดนั่นแหละครับ
ที่ผมเห็นไอ้ฉานแว่บไปแว่บมา ในกรอบสายตาบ้าง
แต่มันก็ไม่ได้เข้ามาหาผม เพียงแต่เป็นวิญญาณลอยไปลอยมาเท่านั้นเอง
พี่เต้เป็นคนตรงต่อเวลามาก หกโมงเย็นไม่ขาดไม่เกิน ที่ผมลงมาเห็นพี่เต้
นั่งคุยอยู่กับแม่นิ่มที่ห้องรับแขกแล้ว
ผมพูดคุยกะแม่นิ่มนิดหน่อย ก่อนออกไปกับพี่เต้
บ้านพี่เต้อยู่แถวๆพุทธมณฑลสายห้าครับ คิดดูว่า มันไกลกับถนนรามคำแหงแค่ไหน
ผมละไม่เข้าใจความต้องการของพี่เต้จริงๆเลยครับ ว่าตกลงพี่แก คิดกับผมอย่างที่ไอ้ฉานมันว่าไว้จริงหรือเปล่า
บ้านพี่เต้ กินอาณาบริเวณกว้างขวางมากครับ เป็นบ้านทรงยุโรป แลดูขลังๆ เพราะความใหญ่โตโอ่อ่าของมัน
ผมกำลังทวนความจำอยู่ว่า เคยเห็นบ้านหลังนี้ในทีวีเรื่องไหนหรือเปล่าอยู่พอดี
“มากันแล้วเหรอค่ะ คุณเต้ เชิญห้องอาหารได้เลยค่ะ” คนที่มาเป็นหญิงสาววัยกลางคนคนหนึ่งครับ
นั่นไม่แปลก แต่ที่แปลกคือ คนทำงานบ้านที่มียูนิฟอร์มเป็นของตัวเองที่เราเห็นทางทีวีนั้น
มีจริงครับ มันมีอยู่จริง นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมประหม่ามากที่สุด
ไม่รู้ต้องทำหน้ายังงัย เอามือวางไว้ตรงไหน และที่สำคัญ ผมมาในฐานะอะไรครับเนี่ย
ครอบครัวพี่เต้เป็นครอบครัวใหญ่มากครับ มีไม่ต่ำกว่าสิบชีวิตบนโต๊ะอาหาร
ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่รวมกัน และคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะนั้น น่าจะเป็นพ่อพี่เต้
ท่านพี่เมฆตอนนี้ เกร็งเหี้ยๆ เลยครับ
“สวัสดีครับ สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้กราดให้ครบทุกคนบนโต๊ะอาหาร กินพลังงานไปหลายแคลลอรี่อยู่ครับ
“นี่อาป๊าพี่ นี่มาหม่าใหญ่ มาหม่าที่สอง นี่หม่าม้าสาม ที่ถัดไปนั้นเป็นพี่ชายคนโตพี่ชื่อเปา ถัดไปคือแฟนพี่เปาชื่อเจ้
บลาๆๆ” พี่เต้แนะนำคนบนโต๊ะทุกคนนั่นแหละครับ แต่ผมมึน ความจำผมจบไปตั้งแต่พี่เต้แนะนำจนถึงคุณแม่คนไหนสักคนนั่นแหละครับ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็ครึกครื้นดี ทุกคนเป็นกันเองกับผมดีครับ
แต่ที่ไม่ดีคือที่นี่กินข้าวกับตะเกียบ ซึ่งเป็นสิ่งที่พี่เมฆคนนี้ ไม่ถนัดเอามากๆ ถึงมากที่สุด
วันนี้เลยเรียบร้อยมีมารยาททางสังคมเป็นพิเศษครับ เพราะกลัวว่าจะปล่อยความเสร่อออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ต่อคนในบ้านพี่เต้ ให้เจ้าตัวต้องเสียหน้า ปกติพี่เมฆก็ไม่นิยมทำร้ายใครทางอ้อมอยู่แล้วครับ
สิ้นสุดความทรมานบนโต๊ะอาหารได้ ผมก็มาทรมานต่อในห้องที่น่าจะเรียกว่า ห้องนั่งเล่นครับ
เนื่องจากบ้านนี้กินข้าวเสร็จ เค้ามีจิบน้ำชากันอีกครับ
คนรวยนี่อะไรนักหนาวะเนี่ย บนโต๊ะอาหารเมื่อกี้ยังไม่พอกันอีกเหรอ กับข้าวบนโต๊ะเท่าที่ดูด้วยสายตา
ผมว่ามันสามารถเลี้ยงคนได้ครึ่งตำบลเลยนะนั่น จะเยอะอย่างไปไหน พี่เมฆกินไปแค่รัศมีมือเอื้อมถึงเองครับ
จะว่าไปครอบครัวใหญ่ของพี่เต้ก็ดูอบอุ่นดี ดูจากเด็กๆที่แปรสภาพโถงหน้าทีวีเป็นเสมือนสวนสนุกอะไรสักแห่ง
ที่เอาลูกบอลสีๆลูกเล็กๆมาเท แล้วก็เขวี้ยงเล่น ผมมองความวุ่นวายของเด็กๆตรงหน้าด้วยแววตาแบบไหนไม่รู้ครับ
มันทำให้ผมยิ้มได้ และคิดไปถึงตอนเด็กๆ ที่เวลาจะเล่นอะไร ผมก็ต้องไปกับไอ้ฉาน วิวัฒนาการในการเล่นก็ไม่เหมือนกัน
เด็กๆสมัยนี้ มีอุปกรณ์เครื่องเล่น ไว้ให้เต็มบ้าน แต่สมัยผมกับไอ้ฉาน เรานิยมเล่นอะไรแบบลุยๆ วีรกรรมผมกับมัน
เล่าสามวันก็ไม่จบครับ กำลังมองเด็กๆเล่นกันเพลินๆ
“เป็นไงบ้างละวันนี้ หืม เห็นไม่ค่อยคุย ลำบากใจอะไรอยู่หรือเปล่า” สะดุ้งสุดตัวเลยครับ คุณป๋าของพี่เต้มายืนข้างผมตอนไหนละเนี่ย เมื่อกี้ยังเห็นนั่งอยู่บนโซฟารับแขกฝังมุขระยับไปทั้งตัวอยู่เลย
“ ครับ ไม่มีครับ ไม่ลำบากใจอะไรครับ แต่ผมเกรงใจ” รู้สึกแบบไหนก็บอกไปแบบนั้นครับ อย่างพี่เมฆ ไม่นิยมปิดบัง ถ้าไม่จำเป็น
“หน้าตาแบบนี่ นี่เองนะ ที่เจ้าเต้มันมาเพ้อให้เหล่าๆหม่าม้าฟัง แล้วรู้จักกันมานานแค่ไหนแล้ว” เอางัยดีวะครับ แต่กับผู้ใหญ่ไม่ควรโกหก ว่าแต่ เอาตามจริงผมเองก็ไม่รู้ ว่าผมกับพี่เต้รู้จักกันมานานแค่ไหน
แต่ตอนนี้พี่เมฆกำลังครั่นเนื้อครั่นตัวและอึดอัดมากมายครับ ก็คุณป๋า ถามเหมือนว่ากำลังสอบถามประวัติลูกสะใภ้อยู่เลยนะสิ อยากตบหน้าผากตัวเองสักป๊าบ จริงๆ เวลานี้พี่เมฆอยากได้ตัวช่วย ไอ้พี่เต้ไปไหนเนี่ย มันบอกจะไปส่งหลานเข้านอน
แต่มันหายไปนานประมาณว่า ไปช่วยทำคลอดหลานเสียมากกว่านะนั่น
“ อ้าวอยู่คุยกับอาป๊าเองเหรอครับ พี่เต้หาตั้งนาน อาป๊าครับ เต้ขอตัวน้องเมฆก่อนนะ มีอะไรจะให้น้องดู” ตัวช่วยผมมาจากไหนไม่รู้ครับ มาทันเวลาพอดี ผมค้อมตัวให้สัญญาณขอตัวกับผู้ใหญ่ แล้วแทบจะติดเกียร์หมาตามตูดพี่เต้ไปเลยครับ
ผมเดินตามพี่เต้มาถึงโถงบันได ที่อุว่าแม้เจ้า มันเป็นบันไดเลื้อยแบบหางมังกรครับ ที่สำคัญ มันมีสองด้านซ้ายขวา
แลดูว่าถ้ามาคนเดียวเนี่ย พี่เมฆหลงในบ้านนี้แน่ๆ ใหญ่ขนาดนี้ ควรเดินทางภายในบ้านด้วยรถกอล์ฟนะเนี่ย
พี่เต้ลากจูงผมขึ้นบันไดไปฝั่งซ้ายครับ เพราะฝั่งขวา เป็นห้องพักของอาป๊า และบรรดาหม่าม้าทั้งหลาย
พวกเด็กๆรุ่นลูก ก็อยู่ฝั่งซ้ายไป ก็เป็นสัดเป็นส่วนดี พี่เต้พาผมเข้ามาที่ห้องมุมสุดท้ายของตัวบ้านครับ
เข้าไปข้างในแทบจะกรีดร้องออกไปเป็นภาษาบาลี ห้องเหรอวะนี่ มันเหมือนบ้านอีกหลังนึงเลยครับ กว้างมาก แยกได้เป็นสัดส่วน ตั้งแต่มีแพนทรี มีห้องนั่งเล่น ห้องดูหนัง ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องเก็บของสะสม ห้องหนังสือ ห้องทำงาน
ถ้านอนตายอยู่ในห้องนี้ ผมว่า อืดอีกทีนู่นแหละครับถึงจะมีคนรู้
ผมคงด้อมๆมองๆในห้องพี่เต้อยู่นาน จึงไม่เห็นว่าพี่เต้ยืนพิงกรอบประตูห้องมองผมอยู่ตั้งแต่ตอนไหน
“ชอบมั้ยครับ”
“ชะ ชอบ ชอบอะไรครับ” ขยายความนิดนึงครับพี่ ว่าชอบอะไร วลีแบบนี้พี่เมฆตอบผิดขึ้นมาจะยุ่ง
“ห้องพี่งัยครับ เห็นมองอยู่นาน ไม่สนใจพี่เต้เลย” ก็นะ มองนิดนึง ว่าห้องของคนรวยผิดปกตินี่เป็นยังไง
“ก็ดีครับพี่เต้ สวยดี ตกแต่งแบบนี้ วัยรุ่นชอบเลยครับ” นี่พี่เมฆก็ตอบไปตามตรงนะครับ ถึงห้องพี่เต้จะตกแต่งแบบโมเดิร์นตามสมัย ขัดแย้งกับรูปแบบของตัวบ้านมากมาย แต่ในเมื่อมันเป็นแอเรียที่แยกมาส่วนตัวแบบนี้ เราจะตกแต่งแบบไหนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกครับ
“เหรอครับ วัยรุ่นชอบนี่พี่เต้รู้สึกธรรมดาครับ แต่พี่เต้อยากรู้ว่า น้องเมฆชอบหรือเปล่า” พี่เต้ไม่ได้พูดเปล่าๆนะครับ
แต่พี่เต้ย้ายร่างจากกรอปประตูห้องมาใกล้ๆตัวผมแล้วครับ
ตอนนี้ผมรู้สึกอึดอัดใจเข้าใกล้ขีดแดงแล้ว
มันแปลก ความรู้สึกมันบอกผมว่า พี่เต้ปฎิบัติกับผมแบบแปลกๆ
พี่เต้เริ่มคุยกับผมแบบแปลกๆ เริ่มมองผมด้วยแววตาแปลกๆ
นั่นทำให้ผม อยากไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
เพราะกลัวว่าถ้าความรู้สึกที่กำลังสับสนที่ตีกันอยู่ในใจตอนนี้
ยังไม่ถูกเฉลย ผมก็ไม่อยากจ้องตาอยู่กับพี่เต้แบบสองต่อสองแบบนี้
มันทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเอง
มันเริ่มรู้สึกกำลังโดนคุกคามความรู้สึกมากกว่า ความผ่อนคลาย
มันไม่เหมือนเวลาที่ผมอยู่กับไอ้ฉาน ที่ผมจะทำอะไรก็ได้ เป็นตัวของตัวเองแบบไหนก็ได้
แล้วเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ คนที่ผมคิดถึงมากที่สุด ก็คือคนที่มันหึงงอนผมอย่างไร้เหตุผลที่สุดเหมือนกัน
แต่ผมก็ยังคิดถึงมันเป็นคนแรก เวลาที่ผมอยากมีใครสักคนเป็นที่ปรึกษาอยู่ข้างๆ
พี่เต้เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าผม พร้อมทั้งเอามือมาจับมือผมเอาไว้ ก่อนที่พี่เต้จะลากผมไปไหนสักที่
{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{{RRRRRRRRRRRRRRR}}}}}}}}}}}}}}}}}}}}}}}}}}}}}}}}
มีสายเข้า
“ครอบจักรวาล ล้านแปด”
ผมรู้สึกโล่งใจยังไงก็ไม่รู้ครับ ไอ้ฉานโทรมาตอนนี้ ผมรีบสลัดมือออกจากมือพี่เต้ แล้วกดรับสายไอ้คนที่ผมอยากเจอมันสุดหัวใจตอนนี้ทันที
“ครับ ว่าไง” ตอบเรียบง่าย แต่ใจเต้นโครมครามเลยครับ
“หมดเวลาสนุกบนความทุกข์ของกูแล้วเมฆ ให้เวลาร่ำลากันห้านาที แล้วรีบลงมากูที่หน้าบ้านนี่ ก่อนที่กูจะลงไปอาละวาด
โทษฐานที่ไอ้ห่านั่น กักตัวเมียกูนานไป เข้าใจแล้วก็เร็วๆ กูรออยู่”
=====================================
กรี๊ดดดดดดดดดด ตอนหน้านุ้งเมฆเสียเลือดแน่เลย

พี่ฉานหึงโหด