Absolution Café : ร้านบำบัดรัก (SM) จบ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Absolution Café : ร้านบำบัดรัก (SM) จบ  (อ่าน 289614 ครั้ง)

ออฟไลน์ ppm

  • รักเด็กจังเลย
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 235
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
    • ppmfic yboard
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 

===============================


เรื่องสำคัญที่อยากขอทำความเข้าใจก่อนอ่าน

เนื่องจากนิยายเรื่องนี้ มีหลายอย่างต้องทำความเข้าใจกันนิดหน่อย เลยอยากให้อ่านตรงนี้ก่อนนะคะ เพื่อที่จะได้ไม่งง

1. นิยายเรื่องนี้เขียนในแบบของเรื่องสั้นจบในตอน เอามาต่อกัน ดังนั้นอ่านแรก ๆ อาจจะยังงงกับเนื้อเรื่อง และชื่อของตัวละครอยู่บ้าง ยังไงขอให้อ่านไปเรื่อย ๆ ก่อน แล้วจะเข้าใจในภายหลังเองค่ะ เพราะแต่ละตอน จะมีเนื้อเรื่องในตัวมันเอง และจะจบ ในตัวมันเองอยู่แล้ว เพียงแต่จะมาเชื่อมโยงกันภายหลัง อยากให้คิดเสียว่า กำลังอ่านหนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มหนึ่งแทน จะเข้าใจได้ง่ายกว่า

2. ตัวเรื่องเขียนในแต่ละตอน จะมีการสลับ เรทบ้างไม่เรทบ้าง แต่ตอนที่เรทในบางตอน จะค่อนข้างแรงพอสมควร กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ โดยจะเขียนคำเตือน ในตอนที่เรท เอาไว้ที่หัวตอนด้วย

3. เรื่องนี้ไม่ใช่แนวเรื่องเล่า และมีความไม่สมจริงสูง พูดง่าย ๆ ก็คือค่อนข้างออกแนวการ์ตูนอยู่มาก ดังนั้นแล้วแต่ความชอบในการอ่านแล้วกันค่ะ

4. อ่านแล้วรบกวนช่วยกันคอมเมนต์หน่อยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

5. ห้ามคัดลอก ไม่ว่าจะทั้งหมด หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของเรื่องนี้ไปลงที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก ppm อย่างเด็ดขาด ขอความร่วมมือด้วยนะคะ

6. เรื่องนี้ค่อนข้างยาวมาก ถ้าสนใจเก็บแบบเป็นรูปเล่ม จะมีการเปิดจองรีปริ้นเป็นช่วง ๆ ค่ะ สนใจส่งเมล์สอบถามได้ที่ ppmfic at yahoo.com

----------------------------------------

นิยายที่ลงไปแล้วในบอร์ดนี้ เผื่อสนใจอยากอ่านเพิ่ม: Special Triple (จบภาค), สืบเสน่หา (จบ), หรรษาฆาตกรรม (TBC)
เรื่องสั้น (จบ): ทายาทมรณะ, Full moon night, Give me your hands, เรื่องอย่างว่าของเซี่ยเอ๋อร์, เรื่องสั้นนัท-เนยซีรี่ส์
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-05-2015 22:46:29 โดย ppm »

ออฟไลน์ ppm

  • รักเด็กจังเลย
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 235
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
    • ppmfic yboard
ตอนที่ 1 Welcome to Absolution Café : ยินดีต้อนรับสู่ Absolution Café

Rate: G


(ตอนที่ 1/1)

บ้านโบราณหลังน้อยตั้งโดดเดี่ยวในตรอกตันแห่งนี้ ถูกทิ้งร้างมาเนิ่นนานจากข่าวไม่สู้ดีเกี่ยวกับประวัติอันน่าพรั่นพรึงของมัน ที่เคยมีผู้คนมากหน้าหลายตา ได้เสียชีวิตอยู่ภายในอย่างลี้ลับ ยังไม่นับถึงคดีล่าสุด ซึ่งเป็นการฆ่าล้างครอบครัวจากหนึ่งในสมาชิกของบ้าน ที่มิได้มีวี่แววจะเป็นฆาตกรมาก่อน

จากปากต่อปากและบรรยากาศโดยรอบเมื่อมองจากภายนอก จะเห็นรั้วเหล็กสีดำสนิททรงสูง มีไม้เลื้อยพันรกครึ้ม สุมทุมพุ่มไม้เป็นระยะยิ่งสร้างเงามืดและบรรยากาศชวนยะเยือกจนน้อยคนนักจะกล้าเดินผ่าน ไหนจะด้านหลังซึ่งเป็นป่ารกและติดกับพื้นที่ป่าช้าเสียด้วย ยิ่งเสริมให้ยากจะหาลูกค้ามาซื้อมันได้

ทว่าหลังจากขายไม่ออกมายาวนาน ก็ได้มีผู้ไม่ประสงค์ออกนามผู้หนึ่งซื้อมันไป เป็นเพราะโศกนาฏกรรมสยดสยองที่เกิดขึ้น จึงทำให้ราคาขายถูกเหลือเชื่อเมื่อเทียบกับพื้นที่อันอยู่ไม่ไกลความเจริญ ตัวบ้านที่ยังแข็งแรงมั่นคง และยังที่ตั้งซึ่งใกล้ชิดธรรมชาติได้ขนาดนี้
 
ในเวลาต่อมา ทีมก่อสร้างจากเมืองข้าง ๆ ก็ได้ช่วยกันทำการปรับปรุงขนานใหญ่ เปลี่ยนแปลงบรรยากาศน่ากลัวให้กลายเป็นน่ารักได้อย่างคาดไม่ถึง ชนิดที่ถ้าเจ้าของเก่ามาเห็นก็คงจำบ้านตัวเองไม่ได้แน่ ๆ

เริ่มต้นด้วยจากด้านหน้า จะพบทางเข้าทำด้วยเหล็กสีทองดัดลวดลายสวย เป็นซุ้มโค้งเหนือบานประตูโปร่ง ด้านบนนั้นแขวนป้ายใหญ่ แต่งตัวอักษรหลากสีเขียนไว้อย่างน่ารักว่า

'Welcome to Absolution Café'

ทางเดินจากประตูบานนั้น ยาวทอดสู่ตัวบ้านโรยกรวดสีขาวสะอาด ประดับด้วยตุ๊กตาปูนปั้นเจ้าหญิงเจ้าชายและเรื่องราวต่าง ๆ ในเทพนิยายเป็นระยะ ส่วนหน้ามุขชั้นล่างของตัวบ้านเก่าถูกดัดแปลงให้เป็นห้องกระจกใส สำหรับเป็นร้านคาเฟ่ขนาดกะทัดรัด สีอ่อนคลาสสิคของผนังที่ทาขึ้นใหม่บวกกับไม้ดอกกำลังงามโดยรอบทำให้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก

จากผนังบานกระจกสามารถมองทะลุเห็นภายในห้องได้ ตัวร้านแบ่งโซนด้านหน้าทาสีหวานแต่งลายดอกไม้และตัวการ์ตูน มีเคาน์เตอร์ใหญ่อยู่ริมด้านใน พร้อมผนังด้านหลังที่กั้นทางไปยังห้องครัวภายในร้าน การตกแต่งภายในทำเสร็จสมบูรณ์แล้ว รวมถึงโต๊ะเก้าอี้บุผ้านุ่มหลากสี ที่จัดวางไว้พร้อมใช้งานได้ทุกเมื่อ

เบื้องหน้าอาคารที่ตกแต่งจนเรียบร้อย ในตอนนี้มีกลุ่มคนคนห้าคน ยืนมองมันอย่างชื่นชม

“ในที่สุด ร้านของพวกเราก็พร้อมจะเปิดตัวได้แล้ว” เสียงหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ใช้เวลาไปหลายเดือนทีเดียว กว่าจะปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของบ้านน้อยให้กลายเป็นร้านคาเฟ่น่ารักขนาดนี้ได้ แผนการครั้งนี้ ก็นับว่าประสบความสำเร็จไปได้เกินครึ่งแล้ว

“ทาโนเอะ ที่นี่จะเป็นบ้านของพวกเราเหรอ?” เสียงใสเล็ก ๆ ในชุดกระโปรงระบายกว้างแนวโกธิคถามขึ้น ทำให้หญิงสาวในร่างโปร่งบาง ผู้มีผมดำตรงยาวสยายถึงกลางหลัง หันมาแย้มยิ้ม

“ใช่แล้วจ้า ยูเมะ ที่นี่แหละ จะเป็น ‘บ้าน’ ใหม่ ของพวกเรา แล้วก็เป็น ‘ร้านคาเฟ่’ ตามความใฝ่ฝันของพวกเราด้วยนะ”

ร่างป้อมมองตัวร้านอีกครั้งอย่างละเอียดกว่าเดิม ยังคงประทับใจกับตัวตุ๊กตาที่เรียงรายอยู่เบื้องหน้า ซึ่งหนึ่งในนั้น คล้ายกับตุ๊กตาเจ้าหญิงตัวน้อย ที่เธอกอดอยู่ไม่ยอมวาง
 
“ทาโนเอะ พวกเราอยู่ที่นี่ได้จริง ๆ เหรอ?” เด็กน้อยยังคงถามซ้ำ ร่างเล็ก ๆ นั้นแอบเกาะอยู่ด้านหลังหนึ่งในสมาชิกในกลุ่ม พลางมองสบตากับคนที่เหลืออย่างไม่มั่นใจ

หญิงสาวยิ้มกว้างให้อีกครั้ง “แน่นอนสิจ๊ะ เพราะ ‘คน ๆ นั้น’ ช่วยเหลือพวกเราไว้ แถมยังให้บ้านหลังนี้มาด้วย พวกเราต้องไม่ทำให้เขาผิดหวังใช่ไหมล่ะ” เธอพูดต่อไป พร้อมกวาดสายตามองสมาชิกที่เหลือ

“เราจะต้องทำตัวให้เหมือนคนปกติ แล้วก็ทำให้ร้านนี้ เป็นร้านคาเฟ่ของคนธรรมดาให้ได้!”

“อื้ม” เด็กน้อยรับคำแข็งขัน พร้อม ๆ กับสมาชิกที่เหลือ

หญิงสาวหันไปหาทุกคนอีกครั้ง พลางพูดว่า “เราเข้าไปกันเถอะ ยังมีงานที่จะต้องทำอีกมาก ก่อนร้านจะเปิดตัว พรุ่งนี้ ‘เขาคนนั้น’ จะส่งผู้ช่วยคนใหม่มาช่วยพวกเราด้วย ผู้ช่วยคนนั้นจะต้องช่วยสอนให้พวกเรากลับสู่วิถีทางการเป็นคนธรรมดาได้แน่ ๆ”

“ค่า…อ๊ะ ทาโนเอะ…เราจะดูแลลูกค้า ‘แบบพิเศษ’ บ้างได้ไหม?” เธอถามขึ้นด้วยดวงตากลมโตที่ออดอ้อน
หากทาโนเอะส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่ได้นะยูเมะ บอกแล้วไง ว่าพวกเราตั้งใจจะกลับเนื้อกลับตัวแล้ว”

“ฮึ ก็ได้ ๆ ยูเมะจะพยายามไม่เผลอนะ” เธอรับคำ ก่อนจะวิ่งนำหน้าคนทั้งหมดไปอย่างร่าเริง…สู่ร้านที่กำลังจะเปิดตัวในวันรุ่งขึ้น

…Absolution Café…


...........................................


แสงไฟสว่างขึ้นในห้องเช่าขนาดเล็กทรุดโทรมราคาถูก เมื่อร่างสูงทะมัดทะแมงย่างก้าวเข้าไปภายใน สภาพห้องที่ค่อนข้างรกขาดการดูแล ทำให้เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาเก่าคร่ำคร่าไม่ต่างกัน ห้องราคาเท่านี้ เขายังลำบากที่จะเช่าด้วยซ้ำ เพราะเขาตกงานเสียแล้ว

งานในบาร์ยามค่ำคืนรายได้ดี แต่มันแย่ตรงที่เขานั้นมีอายุเพียงแค่ 17 จะหลอกยังไง สุดท้ายความก็แตกจนได้ เด็กหนุ่มหลับตาลงอย่างเซ็ง ๆ ถ้าไม่ไปมีเรื่องกับรุ่นพี่ในร้าน คงไม่โดนแฉหรอก แต่ช่างมันเถอะ เขาก็ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง ไม่จำเป็นที่จะมานั่งเสียใจสักนิด

งานน่ะ ไม่ได้หายากสักหน่อย เขาพยายามปลอบใจตัวเอง

แต่ก็ปลอบได้ครู่เดียว ก็หลุดถอนหายใจยาวอีกรอบเสียแล้ว ใบหน้าอ่อนเยาว์ของวัยรุ่น ที่มีเค้าอ่อนโยนคล้ายผู้เป็นบิดา เหม่อมองไปตรง ๆ อย่างไร้จุดหมาย

...เฮ้อ... คงต้องคิดเรื่องหางานใหม่แล้วสินะ...

เห็นทีเขาจะต้องทำงานกลางวัน แล้วเรียนกลางคืนดีกว่า งานกลางวัน คงจะเปิดกว้างให้กับเด็กอย่างเขาได้มากกว่านี้ มือคล่องแคล่วพลิกเปิดหาที่รับสมัครงานอย่างเซ็ง ๆ โชคดีที่ปิดเทอมแล้ว เขาอาจจะถือโอกาสนี้ ย้ายโรงเรียนเสียเลย ถ้าเป็นโรงเรียนภาคค่ำ คงไม่น่าจะสมัครได้ยากเย็นนัก

ร่างสูงเอนตัวลงบนโซฟา ก่อนที่ดวงตาสีเข้มจะพริ้มหลับลง ยิ่งคิดยิ่งเหนื่อย เมื่อนึกย้อนถึงสภาพชีวิตช่วงนี้

กลางวันที่ยังต้องเรียนหนังสือ กลางคืนที่ต้องทำงาน ชีวิตที่แสนจะยากจนข้นแค้น แต่ฝันไปเถอะ ที่เขาจะยอมตามเจ้าพ่อบ้านั่นไปแอฟริกาด้วย

เสียงกริ่งโทรศัพท์รุ่นโบราณที่โต๊ะข้างโซฟาดังขึ้นจนคนอยู่ในภวังค์แทบสะดุ้ง มือควานหาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะคว้าหูขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ยังไม่ลืมตาเสียอย่างนั้น

“ไง ไอ้ลูกชาย สบายดีมั้ยล่ะ” เสียงตามสายทักห้วนสั้นสนิทสนม …จะใครเสียอีก ถ้าไม่ใช่คนที่กำลังนึกถึงอยู่เมื่อครู่ โทรมาได้เวลาเหมือนหยั่งรู้ดินฟ้าอากาศเชียวนะ เด็กหนุ่มคิดแกมประชดในใจ

“ก็ดีฮะ” เขาตอบอย่างเฉยชา

“กำลังกรอบอยู่สิท่า?” คนถามเหมือนจะรู้ทันไปเสียทุกอย่าง “มาอยู่กับพ่อซะก็สิ้นเรื่องแล้ว”

“ที่กันดารขนาดนั้น ไปก็บ้าแล้ว พ่อนั่นแหละ กลับมาซะทีเถอะน่า แม่จะได้กลับบ้านบ้าง” เขาพูดต่ออย่างอดไม่ได้

“ไว้เจ้าหนี้ลืม ๆ พ่อก่อนละกันนะ” ผู้เป็นบิดาพูดกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เล่นเอาคนฟังคิ้วขมวด

“แม่แกสบายดีรึเปล่า พ่อล่ะคิดถึงหุ่นเซ็กซี่บั้นท้ายดินระเบิดนั่นจัง ฝากบอกด้วยล่ะ ว่าพ่อกลับได้ จะไปปั่มป๊ามถึงเตียงเลย”

“เรื่องแบบนั้น ไว้พูดกันเองเหอะพ่อ ถ้าจะมาคุยแค่นี้ ผมวางแล้วนะ” เขาตัดบทอย่างรำคาญ

“แหม เรย์จิ อย่าตัดรอนกันอย่างนั้นซี่ พ่อโทรมาก็ต้องคิดถึงอยู่แล้ว”

“แต่ผมไม่คิดถึงหรอกนะ คิดถึงข้าวเย็นหรู ๆ ยังจะดีกว่า” เรย์จิรับคำแบบซังกะตายเล็กน้อย จนคนฟังแอบขำอีกรอบ แทบจะคาดเดาสภาพลูกชายที่รักได้เลยทีเดียว แต่ด้วยความที่เลี้ยงแบบปล่อย ๆ มาเนิ่นนานแล้ว เขาเลยไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงสักเท่าไหร่ เพราะรู้ดีว่าเรย์จิดูแลตัวเองได้

“ก็บอกแล้ว ว่ามาอยู่ด้วยกัน ท่าทางตอนนี้แกจะจนสุด ๆ เลยสินะ”

“เรื่องอะไรล่ะ ไกลขนาดนั้น แถมสาวแต่ละคนก็ดำปิ๊ดปี๋ จ้างให้ซักล้านก็ไม่ไปหรอก สเปคผมมันต้องขาว ๆ อวบ ๆ อึ๋ม ๆ สิ” คนพูดหลับตาพริ้ม จินตนาการถึงแม่สาวอกโตจากในนิตยาสารปลุกใจเสือป่า ที่ไม่เคยมีปัญญาหาจีบได้สักที

เสียงหัวเราะตามสายยังมีต่อเนื่อง “แกนี่นะ สมกับเป็นลูกพ่อจริง ๆ จะไม่มาก็ตามใจ แต่พ่อมีข่าวดีมาบอก”

“อะไรเหรอฮะ ถ้าจะส่งเงินมาให้ล่ะก็ รีบ ๆ หน่อยล่ะ ผมจะอดตายแล้ว”

“ใครบอกล่ะ ถ้าพ่อมีเงิน หาเมียใหม่ไปนานแล้ว..อ๊ะ ล้อเล่นนะ อย่าไปฟ้องแม่แกล่ะ” เขารีบแก้อย่างรวดเร็ว บ่งบอกได้ถึงความเคารพบูชาภรรยาเป็นที่หนึ่ง ซึ่งเรย์จิรู้ดี แม้พ่อของเขาจะลามกไปเรื่อย แต่กับแม่ ยังคงมาเป็นอันดับแรกเสมอ

“ผมไม่ต้องบอกแม่ก็คงไม่สนใจหรอก คงยุ่งกับธุรกิจพันล้านอยู่เหมือนเดิมนั่นล่ะ แทนที่จะแบ่งเงินมาให้บ้าง” แม่ของเขาก็แบบนี้ แม้จะรวยแค่ไหน ก็ถือคติว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เขาเองโดนไล่ออกมาหาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่จำความได้ด้วยซ้ำ โดยพูดง่าย ๆ ขำ ๆ ว่า ก็เหมือนสิงโตที่ผลักลูกลงจากหน้าผา ให้หัดพึ่งตัวเองนั่นแหละ

ตระกูลเขามีแต่พวกแบบนี้หรือไงก็ไม่รู้ แต่เขาก็ชินชาพอสมควรแล้ว จะว่าไปมันก็อิสระดีกว่าบางบ้านที่กระทั่งจะทำอะไร ก็โดนผู้ปกครองคอยชี้นำแกมบังคับอยู่ตลอด

“เออน่า พ่อเข้าใจ ข่าวดีที่ว่าคือ พ่อมีงานดี ๆ ให้แกทำ สนใจรึเปล่า”

“ไม่เอาฮะ” คนฟังปฏิเสธทันควัน โดยไม่ต้องคิด “งานของพ่อ มีแต่งานการกุศล หรือไม่ก็มีอะไรแอบแฝงทุกที คราวก่อนผมเกือบโดนกระเทยปล้ำเลยนะพ่อ ถ้าเป็นงานพวกนั้นอีกล่ะก็ ผมไม่เอาเด็ดขาด

“แหม ริซ่าเขาบอกพ่อว่า แกออกจะมีเสน่ห์ในหมู่หนุ่ม ๆ นะ น่าภูมิใจดีไม่ใช่เหรอ ยิ่งซิกแพ็คของแก ใครเห็นก็ตาวาวกันทั้งนั้น” แน่ล่ะว่ามันเป็นผลพลอยได้จากงานหนักที่ทำเพื่อหาเงินเลี้ยงปากท้องของเขานั่นเอง

เด็กหนุ่มเอนตัวลงบนโซฟาอีกครั้งอย่างขำไม่ออก พร้อมกับถอนหายใจยาว ยังสยองไม่หายเมื่อนึกถึงเรื่องคราวก่อน “มีเสน่ห์ในหมู่กระเทยควายอย่างริซ่าของพ่อน่ะ ผมไม่ดีใจด้วยหรอกนะ”

“เออน่า งวดนี้ไม่ใช่แบบนั้นหรอก อย่างน้อย…ก็น่ารักกว่าจมล่ะน่า แกสนใจจะทำงานในคอสเพลย์คาเฟ่มั้ย..เพื่อนพ่อกำลังต้องการผู้ช่วยเพิ่ม อ้อ คงรู้จักใช่มั้ย คาเฟ่ที่เสิร์ฟชา กาแฟ หรู ๆ แล้วก็มีแม่สาวน่าหม่ำแต่งตัวน่ารัก หรือไม่ก็แต่งเมดมานั่งเป็นเพื่อนนั่นแหละ”

ดวงตาคนฟังเริ่มเป็นประกาย คาเฟ่แบบนั้น ในฝันเลยด้วยซ้ำ นึกถึงสาวน่ารักน่ากอดมานั่งตักแล้วถามว่า ‘จะรับชาหรือกาแฟดีคะ?’ แค่นึกก็อยากจะหม่ำไปทั้งตัวแล้ว!

“ตกลงฮะพ่อ!”

ผู้เป็นพ่อชะงัก “นี่แกจะไม่คิดหน่อยเรอะ แกต้องทำสัญญาอย่างต่ำ 1 ปีนา”

“ให้สาวในนั้นน่ารักจริงเถอะ จะให้ผมทำกี่ปีก็ได้ จะให้ขนของ ล้างจาน ทำครัว หรือทำบัญชี ผมทำได้หมดแหละ แต่ว่า…พ่อต้องให้ผมเห็นหน้าสาว ๆ พวกนั้นก่อนนะ ผมถึงยอมเซ็น” เรย์จิต่อรอง

“เออ รอบคอบสมกับเป็นลูกพ่อ รับรอง แกต้องติดใจแน่ ฮ่า ๆ ๆ เออนี่ ยกเลิกห้องเช่าของแกไปเลยนะ แล้วพรุ่งนี้ ย้ายไปตามที่อยู่นี่” เขาหยุดค้นของบนโต๊ะอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะอ่านสิ่งที่จดไว้ให้เด็กหนุ่มฟัง

“ที่นั่นมีห้องให้แกอยู่ได้แบบกินนอนฟรี มีค่าจ้างรายเดือน แล้วก็ทิปแยกต่างหากด้วย คงแก้โรคกินแกลบของแกไปได้อีกสักพัก เอ้อ ถ้าแกจะย้ายไปเรียนภาคค่ำด้วยก็ดีนะ กลางวันจะได้ทำงานแทน ถ้าแกตกลง พ่อจะฝากเข้าโรงเรียนใหม่ให้เอง ผอ. ที่นั่นเป็นคนรู้จักพ่อ ดังนั้นไม่ต้องห่วง”

พูดมาเหมือนล่วงรู้ความคิดของเขาอีกแล้ว เด็กหนุ่มเผลอยิ้มด้วยความยินดี การจะย้ายที่เรียนไม่ได้ทำง่ายนัก สำหรับเด็กอย่างเขา แต่ถ้ามีพ่อจัดการให้ เขาจะได้ตัดปัญหานี้ออกไปได้อีกเปลาะ

“ผมก็กะอย่างนั้นเหมือนกันฮะ ถ้าพ่อช่วยได้ก็โอเค ส่วนเรื่องงาน พรุ่งนี้ผมจะลองไป เอ้อ…งวดนี้คงไม่มีอะไรแอบแฝงอีกนะพ่อ” คนถามชักเริ่มไม่ไว้วางใจ งานแสนดีแสนสะดวก เงินก็มากแถมสบายขนาดนี้ ลงท้ายด้วยเรื่องยุ่งยากตามมาประจำ เขารู้จักพ่อตัวเองดี แต่ที่ยังลังเลก็เพราะเป็นคอสเพลย์คาเฟ่หรอกนะ

ถ้าพนักงานในนั้นหน้าตาดีไม่พอ อย่าได้หวังเลยว่าเขาจะตกลง เด็กหนุ่มดีดลูกคิดรางแก้วต่อไป

“เออน่า ไปถึงแกก็รู้เอง ตัดสินใจเองก่อนเซ็นสัญญาจ้างล่ะ อ๊ะ พ่อไปก่อนนะ เหมือนเจ้าหนี้จะมาทวงเงิน” ว่าแล้วโทรศัพท์ก็ถูกวางดังโครมใหญ่ เล่นเอาเด็กหนุ่มอดส่ายหน้าอย่างระอาไม่ได้ มารดาที่ตั้งหน้าตั้งตาหาเงิน แต่ไม่ยอมแบ่งใคร กับบิดาที่ตั้งหน้าตั้งตาใช้เงิน จนหนี้ท่วมหัว ก็ยังแจกไม่เลิกรา ไม่รู้ทำไมถึงโคจรมาพบกันได้ แต่สุดท้าย ก็ต่างคนต่างอยู่อยู่ดี แม้จะรู้ดีว่าทั้งสองรักกันมากเพียงใด

…มีแต่คนประหลาด ๆ…

เขาคิดพลางถอนใจอีกครั้ง

เอาเถอะ อย่างน้อยพรุ่งนี้ เขาก็จะมีที่อยู่ใหม่แล้ว หวังว่าชีวิตนี้คงจะสบายกว่าเดิมล่ะน่า!
เด็กหนุ่มคิดในใจ ก่อนจะเอนตัวลงนอนหลับไปบนโซฟาทั้งอย่างนั้นด้วยความเหนื่อยอ่อน


..........................................




เช้าวันรุ่งขึ้นที่รอคอยมาถึงสักที เรย์จิแต่งตัวด้วยชุดที่ดูหล่อที่สุดเท่าที่เขาจะค้นได้ ก่อนจะเร่งรีบออกเดินทางไปตามแผนที่แต่เช้า พ่อของเขาไม่ได้บอกเวลานัดที่แน่นอน แต่เขาก็ถือคติว่า รีบไปก่อนย่อมได้เปรียบ

เด็กหนุ่มตั้งใจว่าจะไปแอบมองทำทีเป็นลูกค้าเสียก่อน เพื่อความชัวร์ว่าสาวน้อยในร้านจะหน้าตาดีจริง ๆ!

ประสบการณ์เลวร้ายหลายหนจากพ่อตัวแสบของเขา เล่นเอาจะลืมก็ลืมไม่ลงเลยทีเดียว แต่งวดนี้ เขาจะไม่พลาดอีกแน่ เรื่องอะไรจะยอมทำงานในร้านที่ไม่เจริญหูเจริญตา แถมสัญญานั่น ยังบังคับตั้งปี ไม่รู้จะมีอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า

ร้านตามที่อยู่นั้น อยู่ในเมืองตรงย่านที่ไม่จอแจนัก แต่ก็ยังมีคนเดินเข้าออกตามตรอกซอกซอย ที่ล้วนแล้วแต่มีร้านค้าสำหรับจับจ่ายซื้อของ ร่างสูงเดินมองป้ายบอกทางไปเรื่อย จนมาถึงตรอกแห่งหนึ่ง ที่ดูจะลับตากว่าที่อื่น ป้ายชื่อบอกตรงกับที่ระบุไว้ตามที่อยู่ที่จดมา เขาจึงเลี้ยวเข้าไปตามทางนั้น ตรอกแคบเดินเข้าไม่ลึกนัก ก็เห็นรั้วสีสดที่มีป้ายร้านต้อนรับแล้ว

ไม่มีผู้คนผ่านร้านนี้สักคน หรือจะพูดให้ชัดกว่าเดิมก็คือ ตรอกนี้ราวตรอกร้าง จริง ๆ ก็ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะทำเลที่ตั้งที่จงใจหลบมุมขนาดนี้ ราวกับต้องการซุกซ่อนความลับบางอย่างไว้

อดคิดไม่ได้ ว่าทำไมมาแอบอยู่แถวนี้ แล้วแบบนี้จะมีลูกค้าเข้าร้านหรือ?

แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาของเขา และอีกอย่าง ตราบใดที่ร้านค้ามีสาวน้อยน่ารักพอล่ะก็ ต่อให้อยู่ไกลสักแค่ไหน บรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ ก็ต้องแวะเวียนไปไม่เว้นว่างเป็นแน่

ก็แต่งร้านได้สวยดีอยู่หรอกนะ ดวงตาคมเข้มสำรวจรอบ ๆ ที่นี่จะเป็นบ้านใหม่ของเขาอย่างต่ำก็ 1 ปีเช่นกัน ถ้าตกลงเงื่อนไขตามสัญญานั่น

เดี๋ยวก็รู้…!

เขาคิดในใจด้วยความตื่นเต้น ขณะตัดสินใจเปิดบานประตูกระจก ที่แขวนป้ายว่าร้านเปิดแล้วเข้าไป

เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังกังวานใส ภาพตรงหน้าทำให้ใจเขาเต้นแรงอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อสายตาสบกับสาวน้อยน่ารักเข้าเสียก่อน ในชุดกระโปรงบานตัวจิ๋ว ผ้ากันเปื้อนสีชมพูอ่อนผืนน้อยที่ปิดกระโปรงสั้นจู๋นั้นแทบไม่มิด ยิ่งเน้นขับให้เรือนร่างกระฉับกระเฉงดูมีชีวิตชีวานั้นดูน่ารักแกมซุกซน ผมบลอนด์ซอยสั้น รับกับผิวที่ขาวผ่อง สดใสจนคนมองแอบเคลิบเคลิ้ม ท่าทางพึ่งจะวัยแรกแย้ม กะจากสายตาคงราว ๆ  13-14 ปี เท่านั้น

ที่โต๊ะด้านข้างของเธอคนนี้ มีเด็กผู้หญิง 8 ขวบตัวเล็ก ๆ นั่งอยู่ที่เก้าอี้ เธอเกล้าผมแกะสองข้าง ทิ้งผมสีน้ำตาลหยิกลอนเป็นเกลียวระสองไหล่ ดวงตากลมโตราวตุ๊กตาชั้นดีจับจ้องเขาตาไม่กระพริบ ก่อนที่ริมฝีปากสีสดจิ้มลิ้มจะเริ่มส่งรอยยิ้มน่าเอ็นดูเป็นที่สุดมาให้ ขนาดเขาไม่ได้ชอบเด็กเป็นพิเศษ แต่ก็อดมองอย่างชื่นชมไม่ได้

แต่คนที่ทำให้เขาใบ้รับประทานพูดไม่ออก กลับเป็นสาวใหญ่ที่อยู่หลังเคาน์เตอร์นี่เอง เธอคนนี้คงราว ๆ เบญจเพส เป็นหญิงสาวเต็มตัวที่ดูเพรียบพร้อมมากมาย เพียงแค่เธอแย้มยิ้ม โลกก็คล้ายจะหยุดหมุน เขาแทบอยากจะตรึงเวลาวินาทีนั้นไว้ให้นานที่สุดเลยด้วยซ้ำ

ผมตรงดำคลับยาวถึงกลางหลัง ท่าทางนุ่มสลวยน่าลูบไล้เสียเหลือเกิน ไหนจะยังรูปร่างที่สมส่วน ใบหน้าหวานแกมซึ้ง ที่พออยู่ในชุดกระโปรงเรียบร้อยคาดผ้ากันเปื้อนแล้ว ก็เหมือนเป็นพี่สาวใจดีในอุดมคติของเด็กหนุ่มหลาย ๆ คน

แน่นอน รวมถึงเขาคนนี้ด้วย!

สวรรค์จริง ๆ !!!

“มีแขกมาแล้ว! รับอะไรดีคะ?” เสียงหวานระคนตื่นเต้นของเธอก็ใสไม่เบาเสียด้วย รอยยิ้มหวานที่โปรยมา ทำเอาใจเขาหล่นหายไปที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ เด็กหนุ่มยืนละล้าละลังชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวตะกุกตะกักว่า “เอ้อ ผม…”

เสียงลงบันไดมาของใครบางคน ทำให้เขาหันไปมองแก้เขิน ไม่อยากสบตาจัง ๆ กับดวงตาน้ำตาลอมเทาคู่งามนั้นนานนัก เพราะเกิดอาการทำตัวไม่ถูกเสียแล้ว

“มีลูกค้ามาแล้วเหรอ!” คำถามแกมตื่นเต้นพอ ๆ กัน ถูกถามขึ้นจากคนที่เดินลงมา พอมองตามต้นเสียงขึ้นไป เขาก็ยิ่งตาค้าง คนที่ถามเป็นหญิงสาวร่างสูงสวยสง่า เกล้าผมทรงสูงสีดำสนิท มือข้างหนึ่งถูกชายหนุ่มผู้ยืนนอบน้อมด้านข้างประคองอยู่ ราวกับการเชิญเสด็จของเจ้าหญิง รองเท้าส้นเข็มสูงปรี๊ด และถุงน่องตาข่าย ไหนจะยังกระโปรงหนังตัวแคบผ่าลึกสีแดงสดนั่นอีก ภาพรวมที่เห็นจึงดูเหมือนเธอกำลังเดินลงมาพร้อมกับองครักษ์สุดหล่อที่ราวกับหลุดออกมาจากในนิยายเลยทีเดียว

พอมองได้ชัดตาก็พบว่า คนที่ยืนเคียงข้างนั้นเป็นชายหนุ่มรูปงามผิวขาวสะอาดในชุดสูทสีขาวเรียบกริบ เขาคนนั้นมีใบหน้าสวยแอบหวาน แม้นัยน์ตาเรียวยาวจะดูดุเล็กน้อยแกมเย็นชา ผมยาวตรงสีดำสนิทถูกรวบไว้ด้านหลัง รูปร่างสูงโปร่งผอมบางเสียจนเรย์จิแอบคิดว่าดูเป็นหญิงไปนิด จากที่เห็นคงรุ่นราวคราวเดียวกับเขา อาจจะอ่อนกว่าเล็กน้อยก็เป็นได้

แต่คนที่เขาสนใจ ไม่ใช่คนผู้นี้ หญิงสาวที่ทำตัวดุจราชินีด้านข้างต่างหาก เธอดูเหมาะกับชุดนี้ราวกับเกิดมาเพื่อเป็นราชินีเสียจริง แทบนึกถึง ‘การลงทัณฑ์อันแสนหวาน’ ได้เลยทีเดียว

จากท่วงท่ามั่นอกมั่นใจ การแต่งหน้าจัดจนยากจะคาดเดาอายุ รวมถึงการแต่งกายของเธอคนนี้ ดูยังไง…ก็ดูเหมือนราชินี SM มากกว่า

คอสเพลย์…ลืมไปเลย ว่าที่นี่คือคอสเพลย์คาเฟ่ พ่อของเขาพูดถูก ที่ร้านนี้ มีแต่คนน่ารักจริงด้วย!

คนทั้งหมดมารุมล้อมเขาราวกับเป็นตัวประหลาด ต่างคนต่างจ้องราวกับว่าเป็นของแปลกที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เล่นเอาบรรยากาศเปลี่ยนเป็นอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด

“เอ่อ…คือว่า…คือ….” ปกติเรย์จิเป็นคนมั่นใจในตัวเองมากอยู่ แต่คราวนี้กลับติดอ่างเสียได้

“รับอะไรดีคะ!” ทุกคนถามเกือบจะพร้อมกัน ในน้ำเสียงนั้นเคอะเขินไม่เบา ราวกับว่าเขาเป็นลูกค้าคนแรก นับตั้งแต่เปิดร้านมา

ขณะที่หนุ่มคนเดียวในกลุ่ม กลับยืนแยกตัวอยู่ห่าง ๆ แต่ยังคงมองมาด้วยสายตาที่ไม่อาจแปลความหมายได้

“คือ…ผมมาสมัครงานครับ”

รอยยิ้มตื่นเต้นของทุกคนสลายหายไปอย่างรวดเร็ว “ว้า ไม่ใช่ลูกค้าหรอกเหรอ” เด็กน้อยบ่นแกมเซ็ง ๆ “ยูเมะรอจนเบื่อแล้วน้า ทาโนเอะจัง เมื่อไหร่ลูกค้าจะมาล่ะ”

“เฮ้อ งั้นชั้นไปนอนก่อนดีกว่า ถ้ามีลูกค้ามาจริง ๆ ค่อยปลุกนะ” ริมฝีปากที่ทาลิปสีแดงสดเชิดน้อย ๆ ราชินีในชุด SM ว่าพลางหันหลังก้าวฉับ ๆ จากไป ทิ้งให้เรย์จิผู้ใจยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ได้แต่มองอย่างอึ้ง ๆ

“เอาน่า ยูเมะจัง อีกไม่นานคงมีลูกค้ามานั่นแหละ เรามาทักทายสมาชิกใหม่ของเรากันก่อนดีกว่า เอ้อ เธอคือ ยามาโนะ เรย์จิคุงสินะ?” หญิงสาวผู้ดูจะเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม เริ่มบทสนทนาก่อนอย่างอ่อนโยน

“ทาโนเอะ เขาจะมาเป็น ‘ครู’ ให้เราสินะ?” เด็กน้อยเอียงคอถาม ตัวป้อมน่าเอ็นดูแอบอยู่ด้านหลังสาวน้อยในชุดผ้ากันเปื้อนกระโปรงสั้นคนนั้นด้วยท่าทีเขินอายเล็กน้อยกับสมาชิกใหม่ที่จู่ ๆ โผล่ขึ้นมา

“อื้ม ทำนองนั้นแหละจ้า” เธอรับคำ

เป็นครู? เรย์จิมองสองคนนั้นอย่างไม่เข้าใจ

“จริงสิ ต้องถามความสมัครใจของเธอก่อนนี่นะ เรย์จิคุง เธอว่ายังไงล่ะ แค่ช่วยงานในร้าน กับดูแลเด็ก ๆ พวกนี้ เธอจะรับทำไหมจ๊ะ?”

“ทำครับ!” คำตอบทันควันกระตือรือร้นเป็นที่สุด ทำให้สาวน้อยกระโปรงสั้นด้านข้างแอบหัวเราะคิก

“ซานะจัง อย่าเสียมารยาทสิจ๊ะ จริงสิ ยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลย ฉันชื่อ มัตสึโตะ ทาโนเอะจ้า เป็นคล้าย ๆ หัวหน้าครอบครัวของที่นี่ เรียกทาโนเอะได้เลยนะ”

“อ่ะ..ครับ คุณทาโนเอะ”

หญิงสาวหยิบใบสัญญาจากหลังเคาน์เตอร์มาส่งให้ ด้วยความที่มัวแต่มองคนงาม ๆ เด็กหนุ่มจึงเซ็นชื่อไปอย่างรวดเร็วโดยแทบจะไม่ได้อ่านเลย รอยยิ้มพึงใจปรากฎวูบหนึ่งที่มุมปากบอบบางนั้น พริบตาเดียว เธอก็กลับมาเป็นพี่สาวแสนดีอย่างรวดเร็วโดยที่กระทั่งเรย์จิเอง ก็ยังไม่ทันสังเกตเห็น

“ในเมื่อเธอตัดสินใจร่วมงานกับพวกเราแล้ว ขอแนะนำสมาชิกในนี้คร่าว ๆ ก่อนละกันนะจ๊ะ เด็กคนนี้คืออาคาริยะ  ยูเมะจัง เป็นพี่น้องกับซานะจัง” เธอว่าพลางผายมือไปทางเด็กสาวในชุดผ้ากันเปื้อนที่แอบขำเขาเมื่อครู่ มิน่าล่ะ หน้าถึงได้คล้ายกันอยู่บ้าง ผมบลอนด์นั้นน่าจะเป็นวิกผม เพราะสีมันไม่เป็นธรรมชาติเท่าไหร่ จะอย่างไร ชุดที่แต่งก็เป็นสาวเมดคอสเพลย์ การใส่วิกจึงไม่ใช่เรื่องแปลก

“ส่วนคนที่ดูราชินีหน่อย ที่พึ่งขึ้นไปชั้นสองเมื่อกี้ คือมามิยะ อายาเมะ หรือเรียกง่าย ๆ ว่า อายะจัง แล้วก็…” เธอหันไปพยักเพยิดกับชายหนุ่มในชุดสูทสุดเท่ด้านข้าง ที่ยืนราวเป็นใบ้มานานแล้ว “มิซึฮิโกะ ซากุระคุง เขาพูดไม่ค่อยเก่ง แต่ก็หวังว่าคงเป็นเพื่อนที่ดีกับเรย์จิคุงได้นะ”

“พวกเรามีกันแค่ห้าคนเท่านั้นเอง เธอจะมาเป็นสมาชิกคนที่หกของบ้านหลังนี้ ยินดีต้อนรับนะจ๊ะ”

“พรุ่งนี้เริ่มงานเลยละกัน อย่าลืมย้ายของมาด้วย ห้องของเธออยู่ชั้นบน ซากุระคุงจะพาเธอไปเอง”

“ถ้าอย่างนั้น ผมจะแวะมาเย็นนี้นะครับ วันนี้ผมจะต้องไปเคลียร์เอกสารกับทางโรงเรียน จะได้ทำเรื่องย้ายที่เรียนไปเรียนโรงเรียนสอนภาคค่ำ ทีนี้คงจะช่วยงานคุณทาโนเอะได้สะดวกมากขึ้นตอนกลางวันแล้ว”

ทาโนเอะยิ้มรับ เธอรู้ดีว่า ‘คน ๆ นั้น’ คงจะจัดการทุกอย่างให้แล้ว เพราะรอบคอบในเรื่องพวกนี้เสมอมา และไม่มีอะไร ที่เขาคนนั้นรับปากแล้ว จะทำไม่ได้

“ถ้าอย่างนั้น เจอกันเย็นนี้นะครับ” เรย์จิว่า ก่อนจะเอ่ยคำอำลาคนทั้งหมด แล้วเดินออกมาด้วยหัวใจที่พองโต ชีวิตของเขาคงจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีแน่

อย่างน้อย...ก็มีอะไรเจริญหูเจริญตาให้มองทุกวัน
เป็นใครก็มีความสุขมาก ๆ แน่นอนอยู่แล้ว!

“คน ๆ นี้งั้นเหรอ ที่เป็นลูกของ ‘เขาคนนั้น’” เสียงรำพึงแผ่วเบาดังมาจากหนุ่มในชุดสูท ดวงตาคมกริบยังคงมองไล่หลังร่างสูงนั้นจนลับตาไป ผมสีดำสนิทตัดสั้นทรงนักเรียน...และแผ่นหลัง ที่ดูกว้างกว่าที่คิด ไหนจะยังดวงตาสีดำสนิทที่ดูเอื้ออารีย์อยู่เสมอนั่นอีก

มันทำให้เขารู้สึกไม่ถูกชะตาด้วยนัก ตั้งแต่แรกเจอ อาจจะเพราะความคล้ายคลึงมากเกินไปนี่เอง

คล้ายกันมากเกินไป...!

“ใช่แน่นอนล่ะ ยามาโนะ เรย์จิ...นามสกุลยามาโนะเหมือนกันเลย” ดวงตากลมใสปิ๊งของซานะ ผู้มายืนอยู่ด้านข้างมองส่งตามอีกคนตั้งแต่เมื่อครู่ อ่านสิ่งที่อยู่ในมืออย่างคล่องแคล่ว

บัตรนักเรียนของเรย์จิ มาอยู่ในมือของเธอตั้งแต่เมื่อใด ไม่มีใครรู้

“ซานะจัง เอาอีกแล้วนะ” เสียงทาโนเอะปรามไม่จริงจังนัก ใบหน้าสวยมีรอยยิ้ม

“แหม ทาโนเอะล่ะก็ มันชินนี่นา” ซานะพึมพำแก้เขิน

“อย่าไปทำแบบนี้กับลูกค้าก็แล้วกัน”

“หึ…ทาโนเอะเองก็เถอะ อย่าแกล้งคนอื่นมากนักล่ะ โดยเฉพาะกับเรย์จิคุงน่ะ” ซานะแลบลิ้นล้อเลียนอย่างรู้ทัน

หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ ดวงตาที่เป็นประกายยามมองมา อาจทำเอาคนถูกมองใจหายวาบเอาง่าย ๆ ท่าทางของเธอดูคล้ายนักล่าที่กำลังไล่ต้อนเหยื่ออย่างสนุกสนานไม่มีผิด ทว่าบุคลิกที่เปลี่ยนไปในพริบตาเดียวไม่ได้ทำให้คนที่เห็นบ่อยครั้งอย่างซานะแปลกใจมากนัก

“ก็เด็กคนนั้นน่ารักนี่นา เป็นแบบที่ชอบเสียด้วย”

“จริงค่า ยูเมะเห็นด้วย เรย์จิคุงคนนั้น ‘น่าแกล้ง’ จริง ๆ เขาจะเป็น ‘ครู’ ให้พวกเราได้แน่จริง ๆ เหรอ” ยูเมะถามต่ออย่างสงสัย

“นั่นสินะ…คงต้องดูกันต่อไป จะยังไง…เราก็มีสัญญาฉบับนี้อยู่” ทาโนเอะพูดต่ออย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม

“ถึงเขาจะเห็นตัวตนที่แท้จริงของพวกเราแล้ว เขาก็หนีไม่ได้อยู่ดี!”

คนทั้งสามหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ในขณะที่หนุ่มคนเดียวในกลุ่ม ก็ยังคงไม่พูดไม่จาอยู่เช่นเดิม นอกจากดวงตาคู่นั้น ที่ดูวาววับกว่าที่เคย โดยไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่


.......................................

TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-04-2011 21:32:20 โดย ppm »

ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
^
^
^
^
เปิดซิง  :m20: :laugh:

เข้ามาต้อนรับเรื่องใหม่


namtaan

  • บุคคลทั่วไป
 :mc4: ต้อนรับเรื่องใหม่
บวก 1 แต้ม เป็นกำลังใจจ้า

แฟนตาซีหรือป่าวนะ
ท่าทางสนุกไม่น้อย
รออ่านต่อจ้า

ออฟไลน์ a_tapha

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4981
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +397/-1
 :mc4:เย้ๆ เรื่องใหม่

ออฟไลน์ ppm

  • รักเด็กจังเลย
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 235
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
    • ppmfic yboard
ตอนที่ 1/2 (จบตอน)


ป้ายปิดร้านแขวนไว้หน้าบานกระจกแล้ว ตอนเรย์จิกลับมาอีกครั้งพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าใบโต กว่าเขาจะเคลียร์ของและคืนห้องเช่าเรียบร้อย ก็ปาเข้าไปยันค่ำ สายนิดหน่อยแต่คิดว่าคงไม่เป็นไร เพราะรับปากไว้ว่าจะเริ่มงานพรุ่งนี้ คาเฟ่ปิดไฟส่วนใหญ่แล้ว เหลือเพียงไฟตรงส่วนหน้าเคาน์เตอร์เท่านั้น ที่ยังเปิดอยู่

ทาโนเอะยังคงนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ จัดนู่นจัดนี่อย่างเพลิดเพลิน เมื่อเสียงกระดิ่งที่บานประตูดังขึ้น ใบหน้าอ่อนโยนเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มหวานไปให้

“มาแล้วหรือจ๊ะ เรย์จิคุง” ท่าทางของเธอเห็นได้ชัดว่ารอเขาอยู่นั่นเอง เด็กหนุ่มหัวใจเต้นแรงอีกครั้ง ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีสาวสวยรอคอยการกลับมาของเขามาก่อน แถมยังน่ารักขนาดนี้ด้วย นึกขอบคุณผู้เป็นพ่ออยู่ในใจอย่างปลาบปลื้ม โชคดีจริง ๆ ที่ได้มาทำงานที่ร้านนี้

เด็กหนุ่มวางกระเป๋าเสื้อผ้าลงข้างตัวแล้วทรุดตัวลงนั่งที่ฝั่งตรงข้าม พลางทักทาย “วันนี้ลูกค้าเยอะมั้ยครับ”
หญิงสาวถอนใจพลางส่ายหน้า “หลังจากเธอไปแล้ว ก็ยังไม่มีใครมาอีกเลย เล่นเอายูเมะงอนไปแล้วที่ต้องรอเก้อ”

คำตอบนั้นเล่นเอาเด็กหนุ่มอึ้ง แต่ก็ไม่น่าแปลกใจนัก ร้านที่อยู่หลบมุมขนาดนี้ ไม่แปลกเลยที่จะไม่มีใครล่วงรู้ แถมท่าทางแต่ละคน ดูมือสมัครเล่นเอามาก ๆ เสียด้วย ขนาดเขาเองไม่ได้เคยขายของเปิดร้านมาก่อน แต่เขาก็ทำงานพิเศษตามร้านค้ามาหลายประเภทแล้ว จึงรู้ดีว่าร้านนี้มีจุดอ่อนอย่างไร

“เอ่อ ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ”

“จ้า”

“พวกคุณไม่เคยเปิดร้านมาก่อนใช่มั้ยครับ”

ทาโนเอะนิ่งไปครู่ ก่อนจะตอบอย่างเขิน ๆ ว่า “วันนี้เป็นวันแรกน่ะ สำหรับร้านของพวกเรา และก็เป็นครั้งแรกสำหรับทุกคน ที่จะได้เป็นพนักงานขาย ‘แบบธรรมดา’ ด้วย”

“ถึงว่าล่ะ…” เด็กหนุ่มอุทาน แอบงงกับคำว่า ‘แบบธรรมดา’ นิดหน่อย แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรมาก สาวสวยหลังเคาน์เตอร์ก็ขยับเข้ามาใกล้จนชิดเสียแล้ว เล่นเอาเรย์จิแทบผงะ ด้วยใบหน้าที่แดงฉาน

“เธอรู้ใช่มั้ยจ๊ะ ว่าเราต้องทำยังไง ถึงจะมีคนเข้าร้าน” เสียงที่ถามกระตือรือร้นเต็มที่ มือขาวสะอาดคว้ามือแข็งแรงของเขาไว้ เล่นเอาใจเต้นแรงอีกครั้ง

“…คือ..จะว่าพอรู้ก็ได้มั้งครับ”

“ร้านนี้ไม่ดีตรงไหนเหรอ คนถึงไม่ยอมเข้ามา หรือว่า..เพราะตกแต่งร้านไม่สวยพอ?” เสียงที่ถามดูกังวลจนน่าสงสาร ท่าทางคงจะจริงจังกับการทำร้านนี้เอามาก

“ร้านน่ะดีทุกอย่างเลย แต่ขาดการโฆษณาน่ะครับ ถ้าเราไม่บอกว่าแถวนี้มีร้าน คนก็คงจะไม่รู้หรอก” เด็กหนุ่มตอบง่าย ๆ

“จริงสินะ! แหม ทำไมเรื่องแค่นี้เราพลาดกันไปได้! ถ้าอย่างนั้น เธอคงจะช่วยเรื่องนี้ได้ใช่มั้ยจ๊ะ”

ดวงตากลมโตตื่นเต้นกระตือรือร้นขนาดนี้ มีหรือเขาจะปฏิเสธได้

“ได้สิครับ ก็ผมเป็นพนักงานของที่นี่แล้วนี่นา อะไรที่ทำเพื่อที่นี่ได้ ก็ต้องทำอยู่แล้ว”

ร่างบอบบางโผเข้ากอดเต็มรัก ทำเอาเรย์จิแข็งทื่อไปแล้ว “เธอน่ารักจริง ๆ เลย ฉันดีใจมากนะ ที่เราได้ทำงานร่วมกัน”

“เอ้อ..อ้า..ครับ ผมก็…ก็ดีใจ” เด็กหนุ่มชักติดอ่าง หญิงสาวเห็นแล้วก็แอบหัวเราะเบา ๆ
 
“เธอเป็นคนดีจริง ๆ เหมือนกับเขาคนนั้นไม่มีผิด” ทาโนเอะพึมพำอย่างปลาบปลื้ม

“ใครเหรอครับ”

ใบหน้าของเธอเริ่มแดงเรื่อ ดวงตากลมหลุบต่ำอย่างเขินอาย “เขาคนนั้น ช่วยพวกเราทุกอย่าง เป็นคนที่ดีมาก ๆ แล้วก็ยัง…ทำให้พวกเรา มีทุกวันนี้ได้ด้วย”

ท่าทางที่ดูเหมือนสาวน้อยอยู่ในห้วงรัก ทำให้เรย์จิอดอิจฉาผู้ชายคนนั้นไม่ได้

“เขาคนนั้น…คุณเรอิจิ …ยามาโนะ เรอิจิ คุณพ่อของเธอยังไงล่ะ”

“อ๊ะ” เด็กหนุ่มหลุดอุทาน เจ้าพ่อบ้านั่น…แอบไปมีกิ๊กจริง ๆ หรือเนี่ย

“อ้อ…อย่าเข้าใจผิดนะ ฉันชอบเขาข้างเดียวนั่นล่ะ พ่อเธอ..เป็นคนน่ารักมาก เหมือนเธอนี่ล่ะ” ทาโนเอะพูดราวล่วงรู้ แต่อย่างว่า สีหน้าของเด็กหนุ่ม คิดอะไรก็แสดงออกมาหมด ไร้เดียงสาจนน่าแกล้งจริง ๆ

ขณะเรย์จิกำลังก้มหน้างุดบดบังความร้อนผ่าวบนใบหน้านั้น ก็สบสายตากลมโตที่จ้องแป๋วมองขึ้นมาพอดิบพอดี มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย เด็กหนุ่มเริ่มอายมากขึ้นไปอีก ทั้ง ๆ ที่คนมองเป็นแค่เด็กเท่านั้น

ยูเมะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ตรงเข้าไปหาหญิงสาวแทนอย่างออดอ้อน “ทาโนเอะ ยูเมะหิวแล้ว”

“จ้า เดี๋ยวจะเตรียมอะไรให้ทานนะ”

“ผม…อืม..อ๊ะ ใกล้จะมืดแล้ว ผมว่า…ผมขอตัวไปที่ห้องพักดีกว่ามั้ยครับ ผมจะได้เตรียมตัว แล้วจะได้คิดแผนการโฆษณาวันพรุ่งนี้ด้วย” เรย์จิว่าแก้เขิน เพราะสายตาจากดวงตากลมโตไร้เดียงสานั้น ยังแอบจับจ้องเขาอย่างสังเกตสังกาไม่เลิกราจนรู้สึกได้

“ก็ได้จ้า ซากุระคุง…อยู่มั้ยจ๊ะ” เธอเรียกเด็กหนุ่มอีกคน พริบตาเดียว เขาก็มาโผล่ด้านข้าง แบบไม่ให้สุ้มให้เสียง ราวกับว่าอยู่ในห้องนี้มาเนิ่นนานแล้ว เล่นเอาเรย์จิสะดุ้งอีกรอบ

“ซากุระคุง พาเรย์จิคุงไปที่ห้องนั้นหน่อยนะ อ้อ ขอโทษนะจ๊ะเรย์จิคุง คงต้องให้อยู่ห้องคู่ เพราะห้องของเรามีไม่พอน่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่ได้สบายมาก” เขาตอบรับ ไม่แปลกนักที่จะอยู่ห้องคู่ ตึกน้อยหลังนี้ ขนาดไม่ได้ใหญ่มากมาย เขาซึ่งเป็นผู้ชายคนที่สอง ก็คงหนีไม่พ้น ต้องนอนห้องเดียวกับซากุระคนนี้แน่ ๆ

ซากุระเดินนำเด็กหนุ่มขึ้นไปชั้นสอง โดยไม่พูดไม่จาเช่นเคย เรย์จิขยับจะชวนคุย แต่สายตาดุ ๆ แปลก ๆ แกมไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่นั้น ทำให้เขาหยุดคำถามไว้จนได้

ร่างผอมสูง ที่ดูจะเตี้ยกว่าเขาเล็กน้อย ดูบอบบางแต่กลับสอดแทรกความแข็งแกร่งที่มองไม่เห็นเอาไว้จนรู้สึกได้ บางอย่างรอบตัวของคนผู้นี้ ทำให้เรย์จิรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่เข้าใกล้ อาจจะเพราะเป็นคนไม่ค่อยพูด ก็เลยดูเหมือนจะคบอยากอยู่สักหน่อย

จากที่มองเห็นภายนอก คน ๆ นี้คงรุ่นราวคราวเดียวกับเขาแท้ ๆ แต่แววตาคู่นั้น กลับดูคล้ายมีประสบการณ์มายาวนานกว่าที่เห็นภายนอกเสียอีก ไม่รู้ว่าทำไม

เดินไปไม่ไกลนักกับห้องไม่กี่ห้องที่อยู่ติดระเบียงชั้นสอง ซากุระก็มาหยุดที่หน้าประตูห้องห้องหนึ่ง

“ห้องนี้แหละ” เสียงเพราะกว่าที่คิดดังขึ้น หวานจนถ้าไม่รู้ว่าเป็นชาย คงเข้าใจว่าเป็นสาวน้อยเลยทีเดียว เสียงนั้นเล่นเอาเขาเกือบสะดุ้ง เพราะมัวแต่เคลิ้มกับการคิดถึงเรื่องเมื่อครู่กับสาวสวยที่หน้าเคาน์เตอร์นั้น

“อื้ม” เรย์จิรับคำ ก่อนจะก้าวเข้าไป ห้องนั้นเป็นห้องที่ค่อนข้างกว้าง มีเตียงคู่ขนาดใหญ่เพียงเตียงเดียวตั้งอยู่มุมด้านหนึ่ง และข้าวของจำเป็นต่าง ๆ ที่วางไว้เป็นระเบียบแยกไว้อีกด้าน คงเพราะรู้ว่าเขาจะมา จึงกันที่เอาไว้เรียบร้อย

ขยับจะหันไปถามคนพามา ก็พบแต่ความว่างเปล่า ซากุระคนนั้นหายไปแล้ว ผลุบ ๆ โผล่ ๆ ได้ราวกับนินจาจริง ๆ ฝีเท้าเงียบเชียบราวแมวเดิน บวกกับดวงตาเรียวสวยสีดำสนิท ที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่นั้น ทำให้เขาหนาว ๆ ร้อน ๆ เอาการ

แต่ช่างเถอะ…เขาเองมีพรสวรรค์ในการเป็นมิตรกับทั้งคนและสัตว์มากพอตัว เรย์จิยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก อีกไม่นานก็คงผูกมิตรได้ วันนี้พึ่งวันแรก มันก็แบบนี้แหละ เขาเจอมาเยอะแล้ว กับหลากหลายที่ทำงานในอดีต

ที่ด้านหนึ่งของเตียง มีกองผ้าห่มผืนใหญ่วางอยู่ สงสัยจะวางคลุมหมอนข้างอยู่ เพราะมันใหญ่ใช่เล่น แต่ด้วยความที่วันนี้วิ่งไปวิ่งมาทั้งวัน เขาจึงขี้เกียจจะไปยุ่งกับมัน ร่างสูงโปร่งของเขา จึงทรุดตัวลงนั่งที่อีกฝั่งใกล้ตัว แล้วเอนตัวนอนลงไปทั้งอย่างนั้น

เตียงเพียงเตียงเดียว…ก็หมายความว่า เขาต้องนอนกับซากุระคนนั้นคืนนี้สินะ?

หรือจะนอนข้างล่างดี?

ไม่สิ นอนด้วยกันข้างบนนี่แหละ จะได้สนิทสนมกันได้ไว ๆ

ก็แค่นอนเฉย ๆ มันจะมีอะไรมาก

เขาคิดในใจก่อนจะหลับตาลงเคลิ้มหลับไปทั้งอย่างนั้น


..........................................


ครัวของร้าน เป็นครัวทำอาหารทานในบ้านไปในตัว มีโต๊ะตัวใหญ่สำหรับหกที่วางอยู่ด้านข้าง ส่วนเคาน์เตอร์ครัวมีทุกสิ่งพร้อมสรรพสำหรับการทำอาหาร ซึ่งในตอนนี้ ร่างโปร่งบางในชุดคาดทับผ้ากันเปื้อน กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมมื้อเย็น โดยมียูเมะนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ไซด์พิเศษตัวเล็กของเธอ รอคอยอย่างเงียบเชียบ มีตุ๊กตาตัวเดิมอยู่บนตัก มือน้อย ๆ ลูบไล้ผมสีทองเส้นละเอียดเล็กของตัวหุ่นนั้นแผ่วเบาอย่างทะนุถนอม

ทาโนเอะละสายตาจากผักที่กำลังหั่นอยู่ เมื่อรู้สึกว่ามีสมาชิกใหม่ก้าวย่างเข้ามาภายใน พอเห็นเป็นคนที่คาดคิดก็ส่งยิ้มให้

“เรียบร้อยแล้วเหรอจ๊ะ ซากุระคุง?”

“อืม” เสียงรับคำแผ่วเบา ก่อนที่ร่างสูงโปร่งคล่องแคล่วนั้น จะเริ่มลงมือทำอาหารแทนที่หญิงสาว ผู้ตระเตรียมเครื่องปรุงไว้รอให้อย่างชำนาญ

“หิวจังเลย ซากุระคุง วันนี้มีอะไรทานฮะ” ร่างบอบบางที่วิ่งเข้ามาใหม่ โผเข้ากอดเอวคนทำอาหารอย่างสนิทสนม

“อีกเดียวน่ะ” ซากุระตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติ นิ้วเรียวยาวหยิบจับอย่างคล่องแคล่วชำนาญชนิดที่คนอื่นมาเห็นคงแอบประหลาดใจ ที่คนทำกับข้าวตัวจริง หาใช่ทาโนเอะไม่

ในเวลาไม่นาน อาหารน่าทานหลายอย่างก็วางพร้อมบนโต๊ะ ขณะกำลังปรุงจานถัดไป มือซน ๆ มือหนึ่ง ก็เริ่มแอบเลื้อยมาใกล้จานอย่างเงียบเชียบ พร้อมกับหยิบลูกชิ้นเนื้อนุ่มเข้าปากอย่างอร่อย ก่อนจะเริ่มลองจานถัดไป

เสียงตีดังเพี้ยะ เล่นเอาคนทำสะดุ้ง

“อย่าแอบกินก่อนสิจ๊ะ เด็กดี” จอมซนผู้กำลังแอบชิมอาหารรีบกลืนของกลางลงคอรวดเดียวแทบเกือบสำลัก ก่อนจะหันมายิ้มแห้ง ๆ กับสายตาดุนิด ๆ ของทาโนเอะ โดยไม่กล้าที่จะแอบชิมต่อ หญิงสาวยิ้มอย่างพอใจ รู้ดีว่าต้องสอนอีกมาก แต่เด็ก ๆ ก็ดูจะเชื่อฟังดี เพื่อจะได้เป็น ‘คนปกติ’ เหมือนคนอื่นได้เสียที

“ซานะจัง กินไม่แบ่งก็แบบนี้แหละ” เสียงแขวะดังมาจากเก้าอี้ตัวเล็ก เด็กหญิงแอบค้อนให้เล็กน้อย เพราะหิวอยู่เหมือนกัน แต่ยังไม่ได้กิน

“ยูเมะจังล่ะก็ แอบกินนิด ๆ หน่อย ๆ เอง เดี๋ยวซานะแบ่งให้ก็ได้”

“ซานะจัง” เสียงเข้มของทาโนเอะดุอีกครั้ง “อย่าเอายูเมะเป็นพวกเลยน่า”

เด็กสาวตัวน้อยแลบลิ้นให้ผู้เป็นพี่แกมล้อเลียน ทาโนเอะมองทั้งคู่อย่างเอ็นดู ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“จริงสิ แล้วอายะจังไปไหนล่ะ? ไม่เห็นตั้งนานแล้ว” หญิงสาวพึมพำ เริ่มรู้สึกแปลกใจ คงเพราะมัวแต่เห่อร้านใหม่ จนลืมไปเสียสนิทว่าสมาชิกคนหนึ่งหายไปนานแล้ว

“ก็หลับอยู่ไงฮะ ในห้องตั้งแต่เมื่อเช้านั่นล่ะ” คนถูกดุเอนตัวพิงพนัก พลางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก

“ตายล่ะ ในห้องนั้นเหรอ? แล้วนี่เรย์จิคุงรู้รึเปล่า ซากุระคุง?”

ไม่มีคำตอบ นอกจากรอยยิ้มแกมขบขันจากริมฝีปากคู่นั้น

“เดี๋ยวคงมีอะไรสนุก ๆ ดูแน่” ซานะว่าพลางหัวเราะคิก พอจะคาดเดาเรื่องได้ราง ๆ แล้ว

พูดไม่ทันขาดคำ เสียงร้องว้ากดังลั่น ก็ดังมาจากชั้นสอง…


..............................................


ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังเคลิ้มจนใกล้จะหลับแล้ว กลับรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวบนเตียงนุ่มที่นอนอยู่นั้น มือของใครบางคน ขยับป่ายพาดมาตรงไหล่ ก่อนที่ใบหน้างามนั้น จะเข้ามาใกล้จนชิด ลมหายใจอุ่น ๆ ทำให้เขาลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง

ในห้องที่ยังไม่ได้ปิดไฟ ทำให้เขาเห็นหน้านั้นอย่างชัดเจน หน้าขาวละเอียดที่งดงาม แม้จะไร้ซึ่งเครื่องสำอางประทินผิว แต่เขาก็จดจำได้ดี

“คะ…คุณอายาเมะ?”

มือที่ดันร่างใกล้ตัวนั้นออกไปโดยสัญชาตญาณแทบจะชักกลับด้วยความตกใจ เมื่อพบว่าใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ที่ปกคลุมนั้น อายาเมะไม่ได้สวมอะไรเลย

แรงผลักทำให้คนงัวเงียชันตัวขึ้นในท่ากึ่งนั่ง ลำตัวที่สูงใหญ่กว่าที่คิด แทบจะคร่อมเขาเอาไว้ทั้งหมด

ดวงตาหยาดเยิ้มที่ดูว่ายังไม่ได้สติสมบูรณ์ จับจ้องเรย์จิที่กำลังตื่นตกใจพลางตีสีหน้าหงุดหงิด ลิ้นนุ่มไล้เลียริมฝีปากอิ่มด้วยทีท่าหิวกระหายคุกคาม
   
“ชั้นยังนอนไม่พอเลยนะ เดี๋ยวก็ปล้ำซะนี่”

ว่าแล้วก็โน้มร่างลงบนตัวเขา จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเย้ายวน ฟีโรโมนหอมกรุ่นที่ชิดเข้ามา ทำเอาเรย์จิเริ่มขนลุก

ปากสีสดใกล้เข้ามาจนเกือบจะแตะแล้ว...

“ว้าก!!!” เรย์จิร้องขึ้นสุดเสียงอย่างตื่นตระหนก

…ถ้าเป็นสาวจริง เขาก็คงยินดีหรอก

แต่นี่มัน…

เพราะเมื่อครู่นั้นได้เห็นจะ ๆ แล้ว ท่อนบนที่เปลือยเปล่า ปรากฎต่อสายตาชัดเจน หาได้มีทรวงอกอวบอิ่มเหมือนตอนแต่งชุดราชินีเมื่อเช้าไม่ แผ่นอกขาวนวลที่มีกล้ามเนื้อพองาม เอวคอดได้รูปชวนเคลิ้มฝัน

สำหรับสาว ๆ คงกรี๊ดอยู่ แต่ไม่ใช่กับคนอย่างเขาแน่ ๆ เพราะร่างได้สัดส่วนงดงามของอายาเมะคนนี้เป็น...

...เป็นรูปร่างของผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์!!!

เท้าที่เป็นอิสระ ยันร่างที่คร่อมอยู่ออกไปสุดกำลังดังโครมใหญ่ ก่อนที่เรย์จิจะเผ่นลงชั้นล่างด้วยสติที่แตกกระเจิง


.......................................

   
ร่างสูงหอบหายใจถี่ ขณะโผล่มาที่ประตูห้องครัว ด้วยหัวใจที่เต้นแรงไม่หยุด ขยับจะถาม หากภาพที่เห็นในครัว กลับทำช็อคกว่าเก่าเสียได้

สาวน้อยเมื่อตอนเช้า…ซานะจัง…อยู่ในชุดกางเกงขาสั้น และเสื้อกล้ามตัวบางเข้ารูป ร่างเพรียวผอมบาง ที่ไม่มีหน้าอก ไหนจะยังผมสีน้ำตาลตัดสั้นเหมือนนักเรียน ที่ไม่ว่าดูยังไง ก็ยังเป็นเด็กผู้ชายอยู่ดี

“อ้าว มาแล้วนั่นไง ดีฮะ เรย์จิคุง” ซานะทักทายก่อน ด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่สาวเลยสักนิด

“ซะ...ซานะจัง? ทำไมแต่งตัวแบบนั้น…เธอ..ไม่ใช่ผู้หญิงหรอกเหรอ…แล้ว..คุณอายา..อายาเมะ….คุณอายาเมะ...” เขาเริ่มพึมพำแบบจับใจความไม่ได้อย่างช็อค ๆ

ทุกคนแอบขำแม้จะรู้สึกสงสารเรย์จิอยู่บ้าง แต่ท่าทางนั้น ทำให้ทั้งหมดลงความเห็นตรงกันว่า ช่างเป็นคนที่ ‘น่าแกล้ง’ เสียนี่กระไร!

“ก็ตอนนี้ร้านปิดแล้วนี่ พวกเราก็กลับเป็นแบบปกติสิฮะ” ซานะพูดง่าย ๆ หลังจากเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อีกครั้งอย่างสบายอารมณ์ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับทีท่าตื่นตกใจของอีกฝ่าย แต่ในใจนั้นแอบฮาไปเต็ม ๆ

“กลับมาเป็นแบบปกติ?” เรย์จิทวนคำอย่างช็อคเล็กน้อย ภาพสาวน้อยน่ารักกระโปรงสั้น ในชุดผ้ากันเปื้อนผืนน้อย…ละลายหายวับไปกับตา
   
“เอ้อ ขอโทษนะจ๊ะ ที่เมื่อกี้ไม่ได้บอก เรย์จิคุง อายะจังน่ะ จะเป็นเพื่อนร่วมห้องกับเธอ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจ้ะ” ทาโนเอะเข้ามาไขข้อข้องใจ

เรย์จิมองหน้าหญิงสาวอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ สาวน่ารักคนเดียวที่เหลืออยู่…คงไม่หรอกมั้ง…???

แต่ก่อนจะได้ถามอะไรออกไป เสียงตึงตังลงมาจากชั้นสอง พร้อมร่างที่ใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียวก็เดินลงมาอย่างขัดใจ มือข้างหนึ่งยังคงคลำหัวป้อย ๆ คงโดนกระแทกเมื่อตอนโดนถีบตกเตียงเมื่อครู่

“ทาโนเอะ ใครเข้าไปยุ่งตอนชั้นกำลังนอน?” เสียงห้วน ๆ แบบของขึ้นถามทันที

นิ้วชี้จากหลายคน ชี้ไปยังเรย์จิโดยพร้อมเพรียง

ร่างสูงเพรียวก้าวเข้าตรงเข้าหา ก่อนจะกระชากคอเสื้อเด็กหนุ่มขึ้นมา อายาเมะที่ดูราชินีเมื่อเช้า กลับสูงพอ ๆ กัน แถมแรงเยอะกว่าเขาอีก เรย์จิใบ้รับประทานไปแล้ว เมื่อดวงตาคู่งามจ้องมองเขาจนแทบจะละลายกลายเป็นน้ำ ด้วยสายตาอันเกรี้ยวกราด

“นายบังอาจถีบชั้นตกเตียงงั้นเรอะ”

“เอาน่า อายะจัง เรย์จิคุงเขาไม่ได้ตั้งใจ” ทาโนเอะไกล่เกลี่ยอีกครั้ง อายาเมะถลึงตาใส่เด็กหนุ่ม ก่อนจะปล่อยร่างนั้นลง

“กะ…ก็นาย…” เสียงว่าตะกุกตะกัก ใบหน้าเริ่มแดงเรื่อ “นายจะ…จูบชั้นนี่นา”

“เฮอะ ก็ใครให้นายไปนอนเตียงเดียวกับชั้นล่ะ!” อายาเมะยังไม่ยอมแพ้

“ฉัน…ไม่เห็นนี่” เรย์จิพยายามโต้

“เรย์จิจะอยู่ห้องเดียวกับเธอตั้งแต่วันนี้นะอายะจัง เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ” ทาโนเอะว่าเรียบ ๆ หากมันทำให้อายาเมะหยุดโทสะลงได้อย่างประหลาด

ดูทุกคนจะเชื่อฟังทาโนเอะเป็นพิเศษ เพราะเพียงแค่เธอพูดเท่านี้ อายาเมะก็สงบลงอย่างเห็นได้ชัด

“ชั้นไม่ได้อยากอยู่กับนายหรอกนะ แต่เพราะทาโนเอะขอร้อง ดังนั้นคราวหน้า ทำตัวดี ๆ หน่อยล่ะ!” หลังจากส่งสายตาดุ ๆ จนคนมองเสียววาบไปให้แล้ว อายาเมะก็ทรุดตัวลงที่เก้าอี้ แล้วเริ่มต้นนั่งกิน โดยไม่รอใครทั้งนั้น

ไม่มีใครขัดตอนราชินีกำลังโมโหได้ และทุกคนก็รู้ดี

ทาโนเอะจึงหันไปหาเรย์จิ แล้วชวนทานข้าวเปลี่ยนบรรยากาศแทน “มาทานข้าวดีกว่านะจ๊ะ ฝีมือของซากุระคุงน่ะ ชั้นยอดเลยนา”

ฝีมือซากุระ?

เด็กหนุ่มเหลือบมองเจ้าของผลงานชั้นเลิศบนโต๊ะอาหารอย่างทึ่ง ๆ แล้วความคิดอย่างหนึ่งก็เข้ามาแทนที เขาหันไปหาทาโนเอะ แล้วถามว่า

“เอ้อ…คุณทาโนเอะ คือว่า…ถ้าคุณอายะไม่ชอบ ผมนอนห้องเดียวกับคุณซากุระแทนก็ได้นะครับ”

ทุกคนกำลังเริ่มต้นทานอาหารแล้ว ในตอนนั้น ทว่าพอเรย์จิพูดจบ ก็มีเสียงช้อนกระทบจานดังแกร๊ก เด็กหนุ่มใจหายวูบ เมื่อรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตจากฝั่งตรงข้าม

“ถ้านายไม่อยากตายตั้งแต่ยังหนุ่ม อย่าได้พูดแบบนี้อีก!”

นั่นเป็นคำพูดประโยคเดียวจากซากุระ ที่แม้เสียงนั้นจะยังหวานเหมือนเดิม แต่มันกลับดูน่ากลัวกว่าเดิมหลายร้อยเท่า

เรย์จิหน้าซีด ก้มหน้าก้มตามองจานอาหารตัวเองแทนที่

“เอ้อ…ผมนอนกับคุณอายะเหมือนเดิมก็ได้ครับ”

คราวนี้ราชินีเองชักจะหงุดหงิดรอบสองอีกแล้ว ดวงตาคู่งามคมกริบส่งมาให้อย่างไม่พอใจ “เฮอะ อดีตโฮสต์ชื่อดังอย่างชั้นคนนี้ อุตส่าห์ให้เกียรตินายได้นอนร่วมเตียง มีคนตั้งมากมาย อยากทำแบบนี้แต่ไม่เคยได้ทำ ถ้านายยังเรื่องมากอีกล่ะก็…”

เรย์จิได้แต่รับคำโดยดุษฎี ไม่กล้าที่จะโต้แย้งอะไรอีก

สวรรค์เมื่อเช้า กลายเป็นนรกตอนเย็นไปเสียแล้ว

แผนการของพ่อ…ต้องใช่แน่ ๆ!

เด็กหนุ่มผู้น่าสงสาร จึงได้แต่นั่งกินข้าวเงียบ ๆ พลางนึกสาปแช่งพ่อตัวเองในใจ อย่างไม่อาจทำอะไรได้ดีไปกว่านี้…

   
- จบตอนที่ 1 -

SPY

  • บุคคลทั่วไป
น่าสนุกดีครับ
เพราะเป็นเรื่องสั้นจบในตอน
และยังเพิ่งเป็นตอนแรก เลยยังไม่เข้าใจนัก
แต่น่าติดตามมากครับ เนื้อเรื่องก็แปลกดีด้วย

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
น่าสงสารเรย์จิคุงจริงๆ
จากสาวน้อยกลายเป็นหนุ่มน้อยไปซะนี่
กำลังสนุกเลย รออ่่านต่อจ้า


ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
สวรรค์ที่มีแต่สาวน้อยของเรย์จิคุง ล่มซะแล้ว

แถมยังต้องไปนอนกับราชนีจอมวีนอีก

น่าสงสารเรย์จิ  :jul3:

ตอนแรกจบแล้ว แต่ก็ยังมึนๆอยู่

รออ่านตอนต่อไปล่ะกัน  :L2:

ออฟไลน์ ppm

  • รักเด็กจังเลย
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 235
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
    • ppmfic yboard
หมายเหตุก่อนอ่านตอน 2: อ่านแล้วจะงงแน่ ๆ ว่าเกี่ยวอะไรกับตอนที่ 1 แต่ขอให้อ่านโดยคิดว่าเป็นเรื่องสั้นอีกเรื่องที่เราเอามาแปะแล้วกันค่ะ
แล้วมันจะค่อย ๆ เฉลยไปเอง ว่าเกี่ยวข้องกันยังไง ในภายหลัง ไม่ต้องบ่นว่างงกันหรอกนะคะ ^^


........................................................


ตอนที่ 2 Liar : โกหก

Rate: NC-17, SM

(ตอนที่ 2/1)

สายลมอ่อน ๆ พัดผมซอยระไหล่สีน้ำตาลอ่อนปลิวน้อย ๆ เมื่อร่างในชุดโค้ทยาว ยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างของชั้นที่ 15 ของตึกสูง คนผู้นั้นกำลังมองไปที่ลานจอดรถเบื้องล่างอย่างตั้งใจ ด้านข้างเป็นชายหนุ่มอีกคนในชุดสีดำสนิท ที่มองลงไปข้างล่างเช่นกัน พร้อมกับกล้องส่องทางไกลในมือ

“สายของเรารายงานว่า ‘เป้าหมาย’ ระวังตัวมาก” ชายในชุดสีดำพูด

“ดูสิ คนที่ยืนข้างรถสีดำนั่นแหละ” เขาพูดต่อพลางส่งกล้องให้   

มือเรียวยาวรับกล้องไปส่องดูบ้าง ภาพที่เห็นผ่านเลนส์ เป็นชายที่ดูแกร่งสมชายผู้หนึ่ง ใบหน้ากร้าวดูหยาบหากแฝงความหยิ่งทะนงและเข้มแข็งไว้ภายใน ดวงตากลมโตที่จับจ้องจากทางไกล ตวัดมือกวาดสายตาผ่านกล้องไล่ลงต่ำ จากใบหน้าคมสันไล่เรื่อยลงยังแผ่นอกหนา ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อจนซ่อนรูปไม่มิด ลงไปยังเอวแคบและช่วงขาแข็งแรงมั่นคง

เผลอมองจริงจังอยู่เป็นครู่ ก่อนเผยอยิ้ม “จะให้ลงมือเมื่อไหร่”

คนด้านข้างมีรอยยิ้มจาง ๆ รู้ได้ดีว่าเป้าหมายถูกชะตาคนของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ทันทีที่พร้อม”

“ตกลง แล้วชั้นจะจัดการเอง” เขารับคำแล้วหยิบแว่นตามาสวม ก่อนจะเดินออกจากห้องนั้นไป


..........................................


ที่ลานจอดรถ ผู้เป็นเป้าหมายเมื่อครู่ขยับนั่งอยู่บนรถแล้ว ในตอนที่เห็นคนผู้นั้นเดินเข้ามา ร่างบอบบางนั้นก้าวย่างอย่างมั่นคง ตรงเข้ามาหาอย่างชัดแจ้ง จนการ์ดที่ยืนอยู่ซ้ายขวาที่เห็นการมานั้นแต่แรก เริ่มขยับตัวเข้ามาใกล้ในระยะระวังภัย หากกลับถูกเจ้าของรถห้ามปรามให้กลับไปประจำที่เสียก่อน

จากประสบการณ์อันยาวนานของเขา บ่งบอกได้ว่า อีกฝ่ายมาแบบไร้อาวุธ

“รถสวยดีนี่” ใบหน้างามที่สวมแว่นตาดำทักขึ้น ราวกับไม่เห็นบอดี้การ์ดที่ยืนขนาบอยู่ด้านข้าง

ชายหนุ่มผู้ถูกทัก ซึ่งตอนนี้ยังคงนั่งอยู่ในรถหรูคันงามเงยหน้ามอง พลางขมวดคิ้ว

“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นก็ได้ บอกตามตรง ชั้นเป็นคนน่าสงสัยมาก” คนแปลกหน้าคนนั้นพูดยิ้ม ๆ พลางถอดแว่นตาออก ดวงตากลมโตคู่นั้นงดงามจนคนบนรถได้แต่เหม่อมองเคลิบเคลิ้ม จากที่เห็นนั้น แขกไม่ได้รับเชิญ กลับดูอ่อนเยาว์กว่าที่คิด อายุคงไม่ถึง 20 ปีเป็นแน่

ใบหน้าสวยคลี่ยิ้มรับ ขยับเสื้อคลุมตัวยาวถอยร่นลงไปเล็กน้อยอย่างจงใจ โชว์ไหล่ขาวน่าลูบไล้ ดวงตาสีดำสนิทของชายหนุ่มบนรถ มองโลมเลียอย่างไม่เกรงใจอะไรทั้งสิ้น

“อยากพิสูจน์มั้ย ว่าชั้นไว้ใจได้หรือเปล่า เปิดประตูก่อนสิ”

ไม่ต้องขบคิดให้มากความ ประตูรถก็เปิดออกด้วยมือแข็งแรงนั้น เรียวขาคู่งามก้าวขึ้นไปอย่างมั่นใจ ก่อนจะเอนตัวเข้าไปหาจนแทบชิด ลมหายใจระอุอุ่นทำคนด้านข้างหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้ยินเสียงหวานใกล้ ๆ

“คืนนี้อยู่กับชั้นนะ ชั้นจะทรยศคุณให้ดู”

คนฟังหันมามองแขกปริศนาอย่างเต็มตา ดวงตาคมกริบจ้องทะลุราวล่วงรู้ เสียงมั่นคงตอบกลับไปแกมท้าทาย

“ฉันยอมให้ทรยศเลย แต่ก่อนจะทำแบบนั้น…ต้องพิสูจน์ตัวเองก่อนนะ ว่ามีค่าพอที่ฉันจะเสียใจ เมื่อโดนทรยศหรือเปล่า” เสียงกลั้วหัวเราะดังมาจากร่างสูงแข็งแกร่งนั้น

ริมฝีปากอิ่มจุ๊บเบา ๆ ที่ข้างแก้มสากนั้น พลางกระซิบตอบเสียงแผ่วเบา “ถ้าทำให้ชั้นเลิกคิดทรยศคุณได้ ชั้นจะเป็นของคุณ”


....................................


เรือนร่างเร่าร้อนบนเตียงนุ่มครางเสียงแผ่วหวาน เมื่อมือแกร่งลูบไล้ตามจุดอ่อนไหวอย่างช่ำชอง ดวงตางามพริ้มหลับเคลิ้มชวนฝัน เมื่อถูกปากอุ่นจุมพิตฝากรอยรักย้ำที่เนินไหล่ ไซ้คอขาวขบติ่งหูนุ่ม พลางกระซิบสอบถาม

“ทำไมเมื่อกี้ ไม่บอกว่าเป็นผู้ชายล่ะ”

“สำคัญด้วยเหรอ?” เสียงกระเส่าถามทั้ง ๆ ที่ยังหอบถี่ ปลายลิ้นนุ่มชื้นที่ซอกซอนไปทั่ว ทำให้ร่างกายของเขาปั่นป่วนกว่าที่เคย..ครั้งแล้ว…ครั้งเล่า

“ไม่สำคัญนักหรอก..ถ้ามีร่างกายที่วิเศษขนาดนี้” เสียงทุ้มนุ่มตอบกลับ

“อา…ในเมื่อไม่สำคัญ ก็ไม่เห็นต้องบอกเลย” เขาว่าเหมือนไม่ใส่ใจนัก หากคำตอบกลับเรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่ายอย่างพึงใจ

“หึ นายนี่…ไม่น่าไว้ใจสักอย่างเลยนะ” สายตาค้นหาคำตอบยังจับจ้องไม่วางตา

ร่างบอบบางยิ้มรับคำท้า “ใช่ ชั้นมันคนน่าสงสัย จับตาดูชั้นสิ…ดูให้ลึกถึงข้างในเลย” ว่าพลางแหวกเรียวขาออกอ้ากว้าง เชิญชวนอย่างเห็นได้ชัด คนมองได้แต่ชะงักค้างเพลิดเพลินกับสายตาตัวเองเมื่อมองเห็นร่างบอบบางบีบเจลใสลงบนแก่นกายที่ตื่นตัวนั้น พลางเคล้นคลึงโดยรอบปลุกเร้า นิ้วเรียวแทรกเข้าทางคับแคบ ขยับไล้เล้าโลมแกมกระตุ้นจุดเพลิงเสน่หาด้วยตัวเอง เชิงโชว์ให้อีกฝ่ายเห็นจะ ๆ เรียกร้องความสนใจให้เพิ่มเป็นทวีคูณ

“อึ้ก…อื้อ…” มืออีกข้างเค้นเร่งเร้าแก่นกาย สลับกับปล่อยให้ปลายนิ้วแทรกลึกถึงภายใน ร่างกายที่ปั่นป่วนส่งฟีโรโมนเข้มข้นชวนลุ่มหลง

มือหนากดแผ่นหลังงามลงกับเตียงนุ่มก่อนจะจับขาเรียวยกพับขึ้นให้อ้ากว้าง นำร่องด้วยนิ้วแกร่งแทรกลึก เรียกเสียงใสจากร่างบนเตียงได้ชะงัดนัก มือที่ล่วงรู้เบิกทางสู่ห้วงหฤหรรษ์จนอีกฝ่ายเกือบไปถึงก่อนกาลอันควรเลยทีเดียว เสียงหวานห้ามปรามกึ่งสมยอมดังเป็นระยะ เรียกร้องการกระทำที่รุนแรงกว่าเดิม

“อ๊า..ตรงนั้น….อา…อีกสิ”

นิ้วที่แช่ค้างขยับแรงขึ้นอีก เสียงเคร่งเครียดดุดันกระซิบห้วนถาม “บอกก่อนสิ ว่าใครใช้นายมา”

“อื้อ!” คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความเจ็บปวดแทรกเข้า มือเรียวโอบเอวหนา พลางพูดเสียงแผ่ว “ชั้นก็บอกแล้ว…ว่าจะทรยศนาย…จะถามทำไมกัน” ใบหน้าชื้นเหงื่อที่ซีดขาวพูดต่อ ไม่ได้มีวี่แววแห่งความหวาดกลัวแม้แต่น้อย

“ไม่เคยมีใคร…พูดกับฉันแบบนี้ แล้วรอดจากความตายไปได้!”

ร่างบนเตียงกลับยังคงยิ้มได้ สร้างความประหลาดใจให้กับคนมองกว่าเดิม

“ถ้าอย่างนั้น ก็ฆ่าชั้นสิ!”

“อ๊า!!” ในความเจ็บกลับแทรกความสุขสันต์ นิ้วถูกดึงออกเปลี่ยนเป็นความแข็งแกร่งจากอีกฝ่าย ถาโถมเข้าหาราวพายุลูกโตที่กำลังบ้าคลั่ง

คลื่นความทรมานที่แทรกเข้ามาเป็นริ้ว ๆ ทั้งกระแทกกระทั้น ทั้งรุนแรงจนยากจะต้านทาน ...นานแค่ไหน สมองอันพร่ามัวไม่อาจจดจำได้ ในความเจ็บปวดและสติที่เลือนราง ริมฝีปากนุ่มนั้น ก็ยังโน้มขึ้นไปจูบร่างแกร่งอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหมดสติไป

สัมผัสนุ่มละมุนที่ปลายลิ้นยังคงอยู่ แม้คนด้านล่างจะไม่มีสติแล้ว หว่างขาที่เต็มไปด้วยเลือด ทำให้ชายหนุ่มชะงัก ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ ถอนตัวออกแม้ยังไม่เสร็จสิ้น อารมณ์ที่ค้างคา ถูกกระตุ้นอีกครั้งด้วยร่างที่หมดสตินั้น มือแกร่งเร่งเร้าแก่นกายที่ยังตื่นตัวของตนเอง พลางมองคนบนเตียงด้วยอารมณ์ที่ขึ้นสูง

เขาหอบหายใจถี่เมื่อรู้สึกถึงการปลดปล่อย สายน้ำที่ฉีดพุ่ง เปรอเปื้อนร่างบอบบาง ขาขาวที่ตัดย้อมด้วยคราบเลือดและคราบแห่งกามารมณ์

...กลิ่นคาวเลือด...กลิ่นอายแห่งการสังหาร

อันตราย มักมาพร้อมความเย้ายวนเสมอ หากพลั้งพลาด ย่อมหมายถึงชีวิต
คนที่อยู่ในระหว่างความเป็นความตายมาตลอดอย่างเขา รู้ซึ้้งเป็นอย่างดี

กับคนที่จู่ ๆ ก็เข้ามาเช่นนี้

...ไว้ใจไม่ได้...

มองคนบนเตียงพร้อมถอนใจยาว ไม่ว่าคน ๆ นี้จะเป็นใคร เข้ามาใกล้ชิดด้วยจุดประสงค์อะไร
แต่มันก็ดึงความสนใจจากเขาได้ไปเต็ม ๆ แล้ว

นายเป็นใครกันนะ? ...คนแปลกหน้าที่ไม่รู้ชื่อคนนี้?


.........................................


แสงไฟในห้องยังสว่างอยู่ เมื่อร่างที่บอบช้ำยันตัวขึ้นจากเตียง ร่างกายในตอนนี้ สวมเสื้อผ้าเรียบร้อย และยังมีผ้าห่มคลุมกายอยู่ด้วย แม้จะยังมึนไปหมด แต่เขาก็ยังอมยิ้ม

ทุกอย่างยังเป็นไปตามแผน

ห้องนี้เป็นห้องหนึ่งในโรงแรมมีระดับ ที่เขาและเป้าหมายเข้ามาเมื่อวาน...น่าจะเมื่อวาน สมองอันสับสนบอกได้แค่บางอย่าง ในตอนนั้น เขาจำได้แค่ตอนเริ่มต้นเท่านั้น พอหลังจากถูกคาดคั้นเรื่องผู้จ้างวานอย่างรุนแรง เขาก็จำอะไรไม่ได้อีก แต่ที่แน่ ๆ มืออาชีพระดับเขา ไม่มีทางแพร่งพรายเรื่องใดออกไปอยู่แล้ว

ร่างกายยังคงเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ มือเรียวค่อย ๆ เสยเส้นผมที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อยให้เข้าที่ รู้สึกเหมือนจะมีไข้ด้วย แต่ตอนนี้คงค่อยยังชั่วแล้ว เขาก้มมองตัวเองพลางปลดกระดุมออกสำรวจร่างกาย เสื้อผ้าชุดนี้ ไม่ใช่ชุดเมื่อวาน แสดงว่าถูกเปลี่ยนให้ตอนยังไม่ได้สติ ภายใต้ผ้าตัวบาง เผยให้เห็นผิวขาวละเอียดที่มีรอยฟกช้ำและรอยประทับตราหนัก ๆ ด้วยจุมพิตเต็มไปหมด

ไหนจะสะโพกที่ขยับก็เจ็บแปลบ คน ๆ นั้น รุนแรงน่าดู

กระดุมถูกกลัดกลับอีกครั้งอย่างใจเย็น ร่างกายเจ็บแค่นี้น่ะเรื่องเล็ก ถ้างานจะเดินต่อได้

และอีกอย่าง...ไม่ว่าจะทำให้คน ๆ นั้นติดใจได้หรือไม่ เขาก็ยังรู้สึกว่า เซ็กส์ครั้งนี้ไม่เลวอยู่ดี

เป็นคนที่น่าสนใจจริง ๆ

น่าเสียดาย...ที่เขาคงต้อง...


เสียงประตูเปิดเบา ๆ คนบนเตียงล้มตัวลงทำทีเป็นหลับอีกครั้ง ร่างสูงของใครบางคนเดินเข้ามา มือหยาบอังที่หน้าผากเนียน แล้วถอนใจยาว ไข้ลดลงไปเยอะแล้ว ถ้าเทียบกับคืนนั้น

ไม่เข้าใจตัวเองนัก ถ้าเป็นปกติ เขาคงโยนเงินปึกโตทิ้งไว้ให้ แล้วปล่อยร่างที่สลบไสล อยู่ในสภาพนั้นโดยไม่คิดจะใส่ใจอีก แต่คราวนี้...กลับไม่ใช่

ทำไม เขาต้องอุ้มคนหมดสติไปอาบน้ำทำความสะอาดให้
ทำไม เขาต้องจับเปลี่ยนชุดใหม่ให้
ทำไม เขาต้องห่มผ้าให้ เมื่อเห็นร่างนั้นหนาวสั่นด้วยพิษไข้

แล้วที่สำคัญ ทำไม จนกระทั่งไข้ก็ลดแล้ว แต่เขายังไม่จากไปเสียที

ทั้ง ๆ ที่สัญชาตญาณเตือนอยู่ตลอดเวลา ว่าคน ๆ นี้ จะต้องนำอันตรายมาให้แน่ ๆ

"อืม.." เสียงพึมพำเบา ๆ จากร่างนั้น ทำให้เขาสลัดเรื่องในหัวอันยุ่งเหยิงออกไป มือที่อุ่นน้อย ๆ แต่ไม่ร้อนจัดเหมือนวันก่อน จับที่มือเขาไว้

"ฉันบอกว่าฉันจะทรยศนาย ทำไมยังกลับมาอีก?"

ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งที่ข้างเตียง "ฉันไม่ชอบนอนกับคนที่ฉันไม่รู้จัก" เขาพูดต่อ "ดังนั้น...ฉันเลยรอถามชื่อจากนายก่อน"

ใบหน้าขาวซีดมีรอยยิ้ม "งั้นเหรอ แต่ชั้นชอบนอนกับคนแปลกหน้านะ ดังนั้น ถ้าเราจะไม่รู้จักกันต่อไป สำหรับชั้นแล้ว ก็ไม่มีปัญหา"

ชายหนุ่มอดขำไม่ได้ คนตรงหน้า เข้าหาเขาด้วยวิธีการแปลกประหลาด จนกระทั่งในตอนนี้ ก็ยังพูดคุยด้วยเรื่องแปลก ๆ อีกเช่นเคย

"ถ้านายไม่อยากรู้จักฉัน ก็ไม่เป็นไร แต่ฉันอยากรู้จักนายนี่ บอกแค่ชื่อคงได้ใช่มั้ย"

ร่างบนเตียงถอนหายใจ "น่าเสียดาย ที่ชั้นรู้จักชื่อนายเสียแล้วน่ะสิ ส่วนชื่อของชั้น...ถ้าอยากจะรู้ ก็ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยน" เขาว่าเรื่อย ๆ

ดวงตาคนฟังเป็นประกายวูบหนึ่ง ก่อนจะหันไปถาม "ต้องการอะไรล่ะ"

ไม่มีใครที่เข้าหาเขา โดยไม่มีจุดประสงค์แอบแฝง

มันเป็นเรื่องที่เขาชินชาเสียแล้ว

"ชั้นหิว...ขออาหารอร่อย ๆ ของที่นี่สักมื้อ เป็นการแลกเปลี่ยนได้มั้ย"

คนฟังยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่ดูดีเสียจนร่างบนเตียงเองยังเผลอมองเพลิน "เลี้ยงมากกว่ามื้อนี้ด้วยก็ยังได้"

"ถ้าอย่างนั้น...ขอกินก่อน แล้วค่อยว่ากัน" ร่างบอบบางพูดง่าย ๆ อีกฝ่ายจึงขยับลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์ และสั่งรูมเซอร์วิสขึ้นมา

ในเวลาไม่นาน รอบเตียงก็เต็มไปด้วยอาหารขึ้นชื่อของทางโรงแรมแล้ว

คนบนเตียงกินเก่งเกินคาด ระหว่างที่นั่งกินบนเตียงนั้น ชายหนุ่มก็พยายามชวนคุย แต่อีกฝ่ายกลับตัดบทว่า

"กินด้วยกันสิ ไหน ๆ มันก็เงินของนาย" คนปากยังไม่ว่างพูดต่อไป ก่อนจะยื่นจานใส่อาหารใบหนึ่งให้ คนยืนมองได้แต่มอง ไม่ยอมรับมา ทำให้คนส่งยื่นมาตรงหน้าอีกครั้งอย่างตั้งใจ

"ไม่วางยาหรอกน่า ชั้นแค่บอกว่า จะทรยศนาย ไม่ได้บอกว่าจะวางยานายหรอกนะ"

"อืม ฉันรู้ แต่ตอนนี้ ฉันอยากรู้ชื่อของนายมากกว่า ไหนบอกว่ารู้ชื่อฉันแล้ว แบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลย"

ร่างบอบบางเอนตัวพิงหมอนนุ่มที่วางขวางไว้ให้นั่งได้ พลางตอบว่า "ในโลกนี้ ไม่มีอะไรยุติธรรมอยู่แล้ว...ริวยะ นายคือ ทสึกิ ริวยะ ใช่มั้ยล่ะ หัวหน้ายากูซ่าแก๊งใหม่ที่กำลังมีชื่ออยู่ตอนนี้"

คนฟังคิ้วขมวด รู้จักชื่อเขา..จริง ๆ ซะด้วย สายตาที่มองมา ระมัดระวังกว่าเดิม

"แล้วนายล่ะ"

"อืม...ถ้านายคือริวยะ งั้นชั้นเป็น...ฮาคุโช ละกัน" คนตอบเล่นลิ้น

"ตั้งแต่ตอนนี้ไป นายเรียกชั้นว่า ฮาคุก็ได้"

ริวยะถอนหายใจยาว รู้ดีว่าคนตรงหน้า จงใจตั้งชื่อใหม่ ให้คล้องกับชื่อของเขาเอง

...มังกรริวยะ กับหงส์ฮาคุโช...

"เอาเถอะ ฮาคุก็ฮาคุ"

"เอาล่ะ ตอนนี้เราก็รู้จักกันแล้วนี่ นายจะไปหรือยังล่ะ" ฮาคุถามง่าย ๆ

"นี่มันห้องฉันนะ" ริวยะตอบยิ้ม ๆ

"อ้อ จริงสิ ถ้างั้นชั้น..." ร่างบอบบางพยายามลุกขึ้นจากเตียง แต่ก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ จนชายหนุ่มต้องห้ามไว้

"ไม่ต้องไปหรอก อยู่ด้วยกันนี่แหละ จนกว่านายจะหาย" ริวยะว่าพลางนั่งลงข้างเตียง

"ไม่เอา ชั้นไม่ชอบอยู่กับคนที่ไม่แปลกหน้า ตอนนี้เรารู้จักกันแล้วนี่" ฮาคุตอบอย่างดื้อดึงราวเด็ก ๆ

"เรายังไม่รู้จักกันดีเลย ดังนั้นอยู่ไปก่อนเถอะ" ชายหนุ่มหว่านล้อม

ดวงตากลมโตจ้องมองมาจริงจัง "ถ้ารู้จักกันดีกว่านี้ ...ชั้นต้องทรยศนายนะ อยากให้อยู่ด้วยจริง ๆ เหรอ?"

คนฟังนิ่งคิดไปครู่ แล้วตอบว่า "ก็ดีกว่าคนที่บอกจะเป็นเพื่อน แล้วอยู่ ๆ ก็มาหักหลังกัน นายบอกฉันไว้ก่อนแบบนี้ ฉันจะได้ระวัง แล้วเราก็จะอยู่อย่างสบายใจได้ไง ยังจำที่นายพูดไว้ก่อนหน้านี้ได้มั้ยล่ะ"

ฮาคุนิ่งคิด แล้วส่ายหน้า "ชั้นพูดว่าอะไร?"

"นายบอกว่า ถ้าฉันทำให้นายเลิกคิดจะทรยศฉันได้ นายจะเป็นของฉัน"

ร่างบอบบางเงียบไปพักใหญ่ "ถ้านายคิดว่านายทำได้ ก็ลองดู ชั้นจะอยู่เล่นกับนายอีกสักพักก็ได้" เขาว่าพลางลูบท้องเบา ๆ แล้วแย้มยิ้มอย่างน่ารัก "อย่างน้อย อาหารที่นี่ก็ไม่เลว"


...............................................


เวลาผ่านไปสามวันแล้ว นับตั้งแต่ฮาคุมาอยู่ด้วย หนุ่มน้อยไม่ทำอะไรเลย นอกจากรออยู่บนเตียง รอคอยเขากลับมา มีเซ็กส์ด้วย แล้วก็หลับไปยันเช้า กิจกรรมวนอยู่แค่นี้โดยที่เจ้าตัวดูคล้ายจะพึงพอใจ กับการอยู่แบบนี้ราวเป็นชีวิตประจำวันตามปกติ

เป็นคนที่แปลกมาก

มาถึงวันนี้ เขาก็ไม่รู้จักคน ๆ นี้ มากกว่าแค่ชื่อที่เจ้าตัวบอกเลย

ไม่ว่าจะใช้อำนาจและเงินตราที่มี สั่งให้ลูกน้องตรวจสอบแค่ไหน

ราวกับว่า คน ๆ นี้อยู่ดี ๆ ก็โผล่มา แล้วก็อาจจะจากไปอย่างไร้ร่องรอยได้ ในยามที่เขาไม่อยู่

ริวยะสั่งให้คนคอยจับตาดูห้องของเขาไว้ แต่ไม่ได้ห้าม หากหนุ่มน้อยผู้นี้จะจากไป เพียงแต่ให้สังเกตพฤติกรรม และคอยติดตามว่าออกไปที่ใดเท่านั้น

ทว่าจากคำตอบของคนสนิท สามวันมานี้ ฮาคุไม่ได้ไปไหนเลย นอกจากนอนกลิ้งรอเขาบนเตียง

คำพูดตั้งแต่แรกเจอที่ว่าจะทรยศเขา ทำให้เขาไม่อาจวางใจได้

ใช่...มันดูตอกย้ำจนเกินไป

แต่เขาก็มีศัตรูเยอะมาก มากจนไม่รู้ว่า ถ้าเป็นศัตรูจริง ใครจะเป็นผู้ส่งมา

ร่างสูงระบายลมหายใจยาวออกมา ก็แค่ให้ฮาคุจากไป มันก็แค่นั้น เขาจะยื้อเอาไว้ เพื่ออะไร เพื่อคำท้าทายนั้นหรือ?

เขาเองก็ตอบไม่ได้


.....................................


"คิดอะไรอยู่เหรอ" ร่างเปลือยเปล่าแสนงามของฮาคุ ยังอยู่บนร่างเขา ผิวเรียบลื่นชื้นเหงื่อ ยังคงไม่หยุดขยับ ยิ่งเคลื่อนไหว ยิ่งบีบรัด ยิ่งทำให้เขาตื่นเต้นกับภาพที่เห็น

ผิวขาวนวลน่าสัมผัส อยู่ใกล้แค่เอื้อม ไม่อยากจะคิดเลย ว่าฮาคุต้องการเพียงแค่มีเซ็กส์กับเขาเท่านั้น จึงไม่ยอมจากไป

"กำลังคิดว่า...วันนี้..นายจะเลิกคิดทรยศฉันแล้วหรือยัง" เขาตอบไปตามจริง

คนฟังอมยิ้ม "อื้อ..." สะโพกบางกดลงลึกแทนคำตอบ "...ทำให้...มากกว่านี้สิ..อา..นั่นล่ะ.. แล้วชั้นจะ...อื้อ...จะรับไว้พิจารณา..อีกที"

คำตอบแม้ขาดห้วง แต่ยังคงสอดแทรกความนัยไว้แกมเชิญชวน สีหน้าเสียวซ่านแกมสุขสันต์ ทำให้คนด้านล่างนึกอยากทำให้มากขึ้นไปอีก..นับร้อย นับพันเท่า...อยากเห็นร่างน่าสัมผัสนี้ มีความสุขเพราะเขาแต่เพียงผู้เดียว

"ถ้าอย่างนั้น...ก็ทบทวนใหม่ซะ เพราะเดี๋ยวฉันจะทำให้ถึงใจเลย" มือแกร่งโน้มไหล่บางเข้ามาจูบ ลิ้นร้อนผ่าวแตะรับแลกความอบอุ่นของกันและกัน ความอ่อนโยนที่ได้รับ ช่วยปลุกเร้าทุกส่วนสัดให้ตื่นตัวกว่าเดิม มือเรียวกอดคอริวยะไว้ปลายลิ้นนุ่มที่ผละออก ไล้เลียริมฝีปากสีสดแล้วพึมพำ "ชั้นชอบ...จูบกับนายจัง"

"ถ้าชอบก็จูบเยอะ ๆ สิ" คนพูดไม่พูดเปล่า กลับแกล้งขยับสวนร่างขึ้นจนคนด้านบนครางเสียงสูง

"อื้อ..ลึก...ฮ้า...." ร่างที่สั่นไหวสะท้านเฮือก กดสะโพกสวนทางกลับไม่มียั้ง เร่าร้อนจนเขาไฟติดเหมือนทุกครั้งที่มีความสุขร่วมกัน

"ขี้โกงนี่..อ๊ะ...อื้อ....ทำแบบนี้ จะจูบได้ยังไง" ฮาคุท้วงงอน ๆ

ชายหนุ่มหัวเราะพลางจับคางเรียวขยับเข้าหา ริมฝีปากอุ่นประกบจูบแนบแน่นให้อีกครั้งตามคำขอ ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบรับอย่างว่าง่าย

ความสุขที่สอดแทรกเข้ามายามสองร่างแนบชิดกัน...มันมากกว่าทุกคน...ที่เขาเคยรู้จัก..เคยสนิทสนมด้วย

มากกว่าจนไม่อาจหาอะไรมาแทนที่ได้


ทรยศ...จะเป็นไปได้ยังไง

ท่าทางของฮาคุ ดูจริงใจกว่าใครทั้งสิ้น..ที่เขาเคยพานพบมา


จะดูคนต้องดูบนเตียง

เขาเคยได้ยินมาเช่นนั้น ในสภาพที่อารมณ์พุ่งไปจนถึงจุด คนเราย่อมแสดงท่าทีออกมาแตกต่างกัน และนั่น..ก็สามารถบอกได้ ว่าคน ๆ นั้น..จริงใจแค่ไหน


ร่างกายที่ตอบรับอย่างไม่มีปิดบัง ร้อนแรงน่ะใช่ แต่มันมากกว่านั้น

เขารู้สึกได้ ถึงภาษากายที่แสดงออก

มันคือความต้องการเขา ต้องการ...จากเบื้องลึกของหัวใจ

ใช่...เขาอยากคิดเช่นนั้น

ฮาคุต้องการเขา


............................................

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
พักเรื่องเรย์จิและหนุ่มน้อยในคาเฟ่ไว้ก่อน

มากรี๊ดหงส์เหนือมังกรดีกว่า

รออ่านตอนต่อไปน๊า

ออฟไลน์ ppm

  • รักเด็กจังเลย
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 235
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
    • ppmfic yboard
(ตอนที่ 2/2 จบตอนที่ 2)


วันนี้วันที่ห้าแล้ว

ฮาคุมองปฏิทินภายในห้อง

วันที่ห้า หมายถึง วันที่ตกลงกันไว้ เพื่อจัดการเป้าหมาย

ร่างบอบบางหลับตาลง บนเตียงที่เขาทั้งคู่ มีความสุขร่วมกัน หลับตาแล้วคิดถึง..ความร้อนแรงของเขา...อารมณ์ที่พุ่งสูงของเขาคนนั้น...ความอบอุ่น ที่เคยให้มาตลอดสี่วันมานี้

เต็มอิ่มแล้วใช่มั้ย? เขาถามตัวเอง

ใช่...วันนี้แล้ว ที่เขาจะต้องลงมือ


......................................................


ประตูเปิดออกเมื่อร่างสูงเดินเข้ามา พร้อมห่อข้าวของที่มักซื้อมาฝากเป็นประจำทุกวัน ทั้งเสื้อผ้า ทั้งเครื่องประดับ ริวยะรู้ดี ว่าฮาคุไม่ได้สนใจราคาค่างวด หรือการแต่งกายนัก ฮาคุชอบที่จะไม่ใส่อะไรเลยมากกว่า

ของที่เขาให้ ฮาคุก็รับมันมาอย่างว่าง่าย

แต่ยังอดทิ้งท้ายย้ำทุกครั้งไม่ได้เช่นเดิมว่า "แค่นี้ไม่ทำให้ชั้น เลิกคิดจะทรยศนายได้หรอกนะ"

ชายหนุ่มก็ได้แต่ยิ้มแล้วพยักหน้ารับ "ถ้างั้นฉันจะพยายามต่อไป"

หากในวันนี้ ไม่เหมือนทุกวัน การโอบกอดที่ร้อนแรง...มันร้อนแรงกว่าทุกครั้ง ฮาคุไม่พูดไม่จา ต่างจากครั้งอื่น ๆ ที่มักจะพูดเรื่องต่าง ๆ ให้เขาหัวเราะ

เขายังคงถาม ถามคำถามเดิมเหมือนทุกครั้ง เมื่ออยู่บนเตียงด้วยกัน

"นายจะเลิกคิดทรยศฉันแล้วหรือยัง?"

หากคำตอบวันนี้ กลับเป็นความเงียบ

ท่าทางที่เฉยชากว่าทุกครั้ง ทำให้เขาแปลกใจ ชายหนุ่มนั่งลงข้างเตียง พลางถามว่า "ไม่สบายหรือเปล่า?"

คนฟังได้แต่ส่ายหน้า

"ชั้นจะไปแล้ว" เขาตอบง่าย ๆ ขณะที่กำลังแต่งตัว

ริวยะใจหายกับคำพูดประโยคนั้น "ทำไมล่ะ?"

"เพราะชั้น...ไม่อยากโกหกนาย" เขาตอบ หน้าหวานหันมาสบตาอย่างจริงจัง "ถ้านายไม่ฆ่าชั้นตอนนี้ นายจะเสียใจ"

ริวยะอึ้งไปกับคำพูดนั้น ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อ หรือไม่เชื่อดี หากดวงตาจริงจัง กลับไม่ดูว่าเป็นการล้อเล่น

เขานิ่งไปเป็นครู่ ก่อนระบายลมหายใจยาว "นายไปเถอะ ฉันไม่เคยเสียใจ และฉันจะไม่ฆ่านาย"

"นายจะต้องเสียใจ...จริง ๆ นะ ที่นายไม่ฆ่าชั้น"

ฮาคุทิ้งท้าย ก่อนจะเปิดประตูเดินออกไป

"ไม่ต้องตาม" เสียงริวยะสั่งคนด้านนอก แล้วปล่อยตัวเองนั่งจมอยู่ในความคิดเพียงลำพัง

เกิดอะไรขึ้นกับฮาคุ เขาไม่เข้าใจเลย คน ๆ นี้ อยู่ดี ๆ ก็มา แล้วจู่ ๆ ก็ไป

จะทรยศ หรือจะฆ่าเขาก็ช่าง เขาไม่สนใจเลยสักนิด ถ้าเพื่อคน ๆ นี้


หากท่าทางที่ดูไม่ปกติของฮาคุ ทำให้เขากลัว...ใช่ คนอย่างเขา ก็กลัวเป็นเหมือนกัน

ท่าทางนั้น ดูราวกับตั้งใจจะไปตายเองก็ไม่ปาน

หรือว่า...ฮาคุตั้งใจจะช่วยเขา โดยยอมตายเอง ไม่แน่นัก ว่าคนที่ว่าจ้าง อาจจะกดดันฮาคุ จนไม่อาจจะมีทางเลือกอื่นได้

ฮาคุตั้งใจจะตาย?

'ชั้นไม่อยากโกหกนาย'

ใช่...ฮาคุไม่เคยโกหกเขาเลย ไม่เคยมาก่อน ฮาคุตั้งใจจะมาเพื่อทรยศ เพื่อหักหลังเขาอยู่แล้ว ร่างบอบบางบอกเขาไว้เช่นนั้น ตั้งแต่แรกพบ จนกระทั่งวันที่จากไป

จากไป...

ไม่นะ เขาจะปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้!

ริวยะรีบลุกขึ้น แล้วผลุนผลันออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว


....................................


ข้างนอกดึกแล้ว แถมฝนก็ยังตก ในความมืดด้านนอก ทำให้เขามืดแปดด้าน นี่เขาจะไปตามฮาคุได้ที่ไหน

ร่างสูงวิ่งไปตามถนน ไม่ใส่ใจต่อสายฝนที่ซัดสาดลงมา ชายหนุ่มสอดส่ายสายตาหาร่างในชุดขาว ใช่...ฮาคุใส่ชุดขาว เขาจำได้ดี

และในตอนนั้นเอง ที่เกาะกลางถนน เขาก็เห็นฮาคุ

ร่างบอบบางยืนโดดเดี่ยว ท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก สัญญาณไฟ ที่กำลังเปลี่ยนไป เป็นสีเขียวแล้ว

ทัศนวิสัยที่แย่ ทำให้รถมองได้ไม่ชัดเท่าไหร่

ร่างบอบบางนั้น หลับตาลง ปล่อยสายฝนให้ระใบหน้า แล้วไหลลงไปเบื้องล่างโดยไม่ใส่ใจจะเช็ดออก

"ฮาคุ!!!" ริวยะตะโกนเรียกสุดเสียง แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฮาคุหันมา

"ลาก่อน ริวยะ" ในเสียงแผ่วเบาราวกระซิบกลับมีรอยยิ้ม ขณะที่ก้าวเท้าลงไป สู่ถนนเบื้องล่าง ตอนสัญญาณไฟ เปลี่ยนเป็นสีเขียวพอดี

"ไม่นะ ฮาคุ!!!" ไวเท่าความคิด ชายหนุ่มพุ่งตัวเข้ามา แล้วผลักฮาคุออกไปพ้นทางรถ โดยเอาตัวเข้าขวางเอง

เสียงโครมดังลั่นเมื่อรถปะทะกับร่างของเขาเต็มแรง ร่างที่กระเด็นไปไกลเจ็บรวดร้าวไปทั้งตัว เลือดจำนวนมากไหลรินออกจากร่าง ลมหายใจที่ติดขัด บ่งบอกได้ดีว่าสาหัส

เขารู้ดี ว่าตัวเองคงไม่รอดแน่ หากดวงตาที่ลืมขึ้นได้อย่างยากเย็น ยังคงมองหาคน ๆ หนึ่ง

"ฮะ...ฮาคุ..." เสียงอ่อนล้าพึมพำแผ่วเบา มือของเขายื่นออกไป พยายามจะไขว่คว้า...หาคน ๆ นั้น

ภาพพร่าเลือนชัดเจนขึ้นแล้ว เมื่่อได้เห็นฮาคุยืนอยู่เหนือร่างเขาในตอนนี้

ยังปลอดภัย...ยังมีชีวิตอยู่!

ริวยะยิ้มให้อย่างยากเย็น ดีใจเป็นที่สุด...ที่รักษาชีวิตของฮาคุเอาไว้ได้

ทว่าเสียงจากอีกฝ่าย กลับทำให้ดวงตาที่หรี่ปรือต้องเบิกกว้าง ก่อนที่ความรู้สึกทั้งมวลจะหมดไปจากร่างนี้

...ชั่วนิรันดร์...

"ขอโทษนะ ที่วันนี้ ชั้นโกหกนาย" เสียงราบเรียบดังขึ้นจากหนุ่มน้อย "ลาก่อนริวยะ...ลาก่อน...ตลอดกาล"

ร่างบอบบางหันหลังให้ชายหนุ่มผู้นอนจมกองเลือด แล้วเดินจากไป ท่ามกลางสายฝนอันมืดมิด


ข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์เช้าทุกฉบับลงเรื่องการตายของหัวหน้ายากูซ่าชื่อดัง ทสึกิ ริวยะ ซึ่งเสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุทางท้องถนน เมื่อคืนก่อน

ดวงตากลมโตมองภาพข่าวนั้นนิ่งนาน ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรหัส

"ยืนยันผลการทำงาน เป้าหมายถูกจัดการเรียบร้อยแล้วครับ"

...และแล้วงานของเขา ก็จบลงด้วยความสำเร็จอีกงาน...


รหัสของเขาครั้งนี้คือฮาคุโช...แต่ครั้งต่อไป จะเป็นอะไรนั้น แล้วแต่การกำหนด

เพราะเขาเป็นนักฆ่า..และเขา...ไม่เคยโกหก

ถ้าไม่จำเป็น!


- จบตอนที่ 2 -

ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
นักฆ่ากับเหยื่อ แอบสงสารริวยะอ่ะ

หลงหงส์ตัวนี้เข้าเต็มๆ สุดท้ายก็โดนทรยศ

ยังหาความเชื่อมโยงระหว่าง 2 ตอนนี้ไม่ได้

รอคนแต่งมาเฉลยอยู่น๊า

+1 เป็นกำลังใจให้ :L2: :L2:

shine

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 1 นี่ออกจะฮาๆ น่ารักๆ อยู่เลย แต่ไหงตอนที่ 2 เปลี่ยนอารมณ์เป็นเครียดแบบสุดๆ ได้ละเนี่ย o22

แต่แอบคิดว่าน่าจะเป็นอดีตของใครสักคนในหมู่ห้าคนนี้แน่เลย จะเป็นซากุระรึเปล่าน้า


ออฟไลน์ ppm

  • รักเด็กจังเลย
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 235
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
    • ppmfic yboard
ตอนที่ 3 Sin and Purification : บาปและการชำระล้าง

Rate: G

(ตอนที่ 3/1)


ยามเช้ามาเยือนร้านคาเฟ่หลังน้อย ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนสดชื่นที่หน้าร้าน เรย์จิในชุดลำลองสบาย ๆ ออกกำลังกายตอนเช้าเป็นที่เรียบร้อย และเตรียมพร้อมจะเริ่มงานแล้ว เด็กหนุ่มหายใจเข้าลึก สูดอากาศบริสุทธิ์ที่ไม่น่าจะพบพานได้ในเขตใกล้ตัวเมืองเช่นนี้ ด้วยเพราะที่ตั้งอันหลบมุมและติดกับป่ารกด้านข้าง ทำให้พื้นที่แถบนี้ ยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่มาก

ไม้กวาดในมือกวาดอย่างคล่องแคล่วด้วยความกระตือรือร้น เด็กหนุ่มทำความสะอาดลานหน้าบ้านไป ครุ่นคิดไปถึงคืนก่อน เมื่อวานนี้หลังจากเวลาอาหารเย็นที่เริ่มต้นด้วยความอึดอัด พอท้องอิ่ม หลาย ๆ คนก็อารมณ์ดีขึ้น รวมถึงอายาเมะที่หงุดหงิดเพราะถูกปลุกแบบเจ็บ ๆ ในตอนแรก

“คืนนี้ชั้นไม่กลับ นายจะนอนบนเตียงก็ตามสบาย” อดีตโฮสต์ราชินีพูดง่าย ๆ แล้วแต่งตัวอย่างเนี้ยบออกไปท่องราตรีตามลำพัง อายาเมะกลับมาในตอนรุ่งสาง และในตอนนี้ก็เข้านอนแทนไปเรียบร้อยแล้ว โดยทิ้งท้ายว่า จะนอนเพียงสองชั่วโมงแล้วจะตื่นเอง แถมขู่ห้ามใครเข้าไปปลุกอย่างเด็ดขาด ถ้าไม่อยากโดนปล้ำ

เรย์จิอดส่ายหน้าอย่างขำ ๆ ไม่ได้ ใครจะไปอยากเสี่ยงอีกรอบ ปฏิเสธไม่ได้หรอก ว่าตอนนั้นเขาเองก็เกือบเคลิ้ม

ไม่นะ เขาไม่มีทางชอบเรื่องพรรค์นั้นแน่!

เด็กหนุ่มไล่ความคิดฟุ้งซ่านนั้นออกไป ก่อนจะเผลอคิดถึงคนอีกคน

ซากุระ หลังจากกล่าวประโยคชวนขนลุกเมื่อคืนแล้ว ก็ไม่พูดไม่จาอะไรอีก เรย์จิเองก็พอจะคุ้นเคยกับท่าทางเงียบ ๆ และไปมาราวกับวิญญาณได้ในระดับนึงแล้ว หากไม่โผล่พรวดพราดมาให้ตกใจ เขาก็พอจะรับมือได้อยู่

ไม่รู้ทำไม แต่คำพูดเมื่อคืนของซากุระ เขากลับคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ คน ๆ นี้ท่าทางพูดจริงทำจริงเสมอ จนบางครั้งเขาอดจะขนลุกไม่ได้

ไหนจะการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วผิดคนธรรมดาสามัญนั่นอีก

ทุกคนในบ้านนี้ จากที่รู้สึกได้ ก็ไม่ธรรมดาเลย คล้ายกับปิดบังอะไรอยู่

มีแต่เรื่องน่าสงสัย แต่เขาเองกลับไม่กล้าถาม


................................


“ตื่นเช้าจังเลยนะจ๊ะ” เสียงใสทักทายเมื่อก้าวลงมาจากประตูกระจกหน้าร้าน เป็นหญิงสาวในชุดกระโปรงยาวน่ารัก ผมยาวเรียบลื่นของเธอ ปลิวน้อย ๆ ตามลม ทาโนเอะดูเป็นสาวเต็มตัว แต่คงอายุไม่เกิน 25 ปีหรอก เด็กหนุ่มคาดคะเนในใจ ร่างบอบบางที่ได้รูป รับกับใบหน้าสวยอ่อนหวาน เล่นเอาคนมองเกือบเคลิ้ม

“คุณทาโนเอะ อรุณสวัสดิ์ครับ” เรย์จิทักทาย

คนนี้ก็อีกคน ที่จนแล้วจนรอด เขาก็ไม่กล้าถาม ‘ตกลงคุณเป็นชายหรือหญิงครับ’ คำถามแบบนี้…ใครจะกล้าถามเจ้าตัวกัน

จากสาวน้อยน่ารัก และราชินีสาวสุดเซ็กซี่ ที่อยู่ ๆ ก็กลายมาเป็นเด็กชายอายุ 13 และชายหนุ่มที่อายุมากกว่าเขา..จากที่เห็น น่าจะซักสองสามปีไปได้

เรื่องไม่คาดคิดที่จู่โจมเข้ามา เล่นเอาเขามึนไปหมด กว่าจะตั้งหลักได้ ก็ยามเช้ามาเยือน

“พอจะคุ้นเคยกับที่นี่แล้วใช่มั้ย” หญิงสาวชวนคุยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“อ่ะ…ครับ ขอโทษนะครับที่เมื่อวาน ทำให้ทุกคนตกใจ”

ร่างบอบบางหัวเราะอย่างขบขัน “ทางนี้ต่างหาก ที่ต้องขอโทษ เพราะชุดคอสเพลย์ตอนเช้า ทำให้เธอเข้าใจผิดหมดเลย”

“เอ้อ…ไอเดียแต่งชุดพวกนั้น คนที่แนะนำ…คงไม่ใช่…”

ทาโนเอะหัวเราะอีกครั้ง “เธอเข้าใจถูกแล้ว คุณเรอิจิ แนะนำมาเอง เขาบอกกับพวกเราว่า ถ้าแต่งชุดแบบนั้น เธอจะต้องยอมทำงานที่นี่แน่ ๆ พวกเราก็เลย…”

“เธอคงไม่โกรธพวกเราใช่มั้ยจ๊ะ” ทาโนเอะถามพลางขยับเข้ามาใกล้ เล่นเอาเรย์จิต้องถอยไปก้าวหนึ่งอย่างลืมตัว

“มะ..ไม่หรอกครับ ผมแค่ตกใจนิดหน่อย วันนี้ก็โอเคแล้ว…ที่สำคัญ แผนการนั่นมาจากเจ้าพ่อบ้าของผมเอง ไม่ใช่เพราะพวกคุณสักหน่อย นี่เขาคงแนะนำว่า ถ้าจะเปิดคาเฟ่ ก็ต้องเป็นคอสเพลย์สาว ๆ น่ารักเท่านั้น ใช่มั้ยครับ”

“สมกับเป็นพ่อลูกกันจริง ๆ” ทาโนเอะว่าอย่างประหลาดใจ “เขาพูดแบบนั้นแหละ และพวกเราก็…ยินดีจะทำตามที่เขาบอก ร้านนี้เป็นร้านแรกของพวกเรา เป็นโอกาสแรก ที่จะทำให้พวกเรามีชีวิตได้อย่างคนธรรมดา จะยังไง ฉันก็ต้องพยายามรักษามันเอาไว้”

‘คนธรรมดา’ หลายครั้งแล้วที่ทาโนเอะพูดเช่นนี้ แต่ท่าทางของเธอทำให้เขาไม่อยากถาม

ทาโนเอะมองเด็กหนุ่มอย่างครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจถามว่า “เธอสงสัยใช่มั้ยล่ะจ๊ะ ว่าทำไมถึงพูดแบบนี้”

เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบอะไร นอกจากรับฟัง ทั้งคู่เดินเล่นตามทางกรวดสีขาวที่โรยทอดยาวไปยังประตูใหญ่ ทาโนเอะหยุดยืนที่หน้าป้ายสีทองนั้น หญิงสาวมองมันอยู่ครู่หนึ่ง จึงเล่าต่อไป

“คาเฟ่ที่นี่ ชื่อ Absolution Café เธอรู้มั้ยว่าเพราะอะไร”

“Absolution…การให้อภัยต่อบาป…ใช่ พวกเราทั้งห้า ล้วนมีบาป ที่ต้องการให้ใครสักคน ให้อภัยกับเรา” น้ำเสียงของเธอเริ่มเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาคู่งาม มองไปยังป้ายหน้าร้านอย่างเงียบงัน

“ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรหรอกครับ” เรย์จิพูดต่อ “ผมพอจะรู้แล้ว ว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กเลย สำหรับพวกคุณ”

ทาโนเอะมองเด็กหนุ่มอย่างตะลึงงัน ท่าทางที่ดูเข้าใจในตัวเธอ ช่างคล้ายกับเขาคนนั้นเสียจริง

เรย์จิส่งยิ้มให้ “…มันเป็นเรื่องที่..ถ้าอยากเล่า ค่อยบอกออกมา น่าจะสบายใจกว่า ใช่ไหมล่ะครับ”

หญิงสาวยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “เธอนี่นะ เหมือนกับพ่อเหลือเกิน ถ้าฉันพร้อมเมื่อไหร่ ฉันจะเล่าให้เธอฟังเอง ส่วนเรื่องของคนอื่น ๆ เขาก็คงบอกออกมาเอง เมื่อพร้อมเช่นกัน เธอคงจะรอได้สินะ”

“แน่นอนครับ ผมรอได้เสมอ” เขาตอบรับแข็งขัน

ทาโนเอะอมยิ้ม นึกเอ็นดูเด็กหนุ่มไม่น้อย

“เราจะมาเป็นสมาชิกบ้านเดียวกันแล้วนะ เรียกฉันว่าทาโนเอะก็พอ เหมือนกับคนอื่น ๆ น่ะ ได้ไหม”

“มะ…มันไวเกินไปหรือเปล่าครับ” เรย์จิชักจะติดอ่าง หน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นแดงฉาน การเรียกชื่อห้วน ๆ เหมือนกับเรียกเป็นคนรักเลยทีเดียว แล้วแบบนี้ เขาจะเรียกได้งั้นหรือ

“แหม ไม่ต้องเกรงใจหรอกจ้ะ”

“เอ้อ ขอเป็นว่า เมื่อผม ‘พร้อม’ ก็แล้วกันครับ” เขาว่าแก้เขิน ซึ่งมันก็เรียกเสียงหัวเราะได้อีกครั้ง

“จริงสิ เมื่อวานบอกว่า จะคิดวิธีโฆษณาร้านให้ใช่มั้ยจ๊ะ เธอได้ไอเดียบ้างหรือยังล่ะ” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่ใบหน้าใสของเด็กหนุ่ม จะแดงฉานไปกว่านี้

“ไม่ยากหรอกครับ เดี๋ยวพอทุกคนพร้อม เราก็เริ่มกันได้เลย คุณมีชุดคอสเพลย์อยู่เยอะใช่มั้ยครับ ผมคิดว่า ‘คน ๆ นั้น’ ของคุณ ต้องเตรียมไว้ให้มากพอแน่ ๆ” เด็กหนุ่มว่าต่อ อดแขวะผู้เป็นพ่อไม่ได้ ท่าทางนั้นทำให้หญิงสาวแอบขำ

“มีอยู่เยอะเลยเชียวล่ะ ส่วนใหญ่ก็น่ารักมากด้วย”

พ่อนะพ่อ เวลาขอเงินล่ะไม่เคยมี เวลาให้เงินสาวล่ะทุ่มสุดตัวเชียว เด็กหนุ่มแอบคิดในใจ แต่เพราะสายตาสนอกสนใจเบื้องหน้า ทำให้เขาต้องปรับสีหน้าให้เป็นปกติอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

“…ผมขอกระดาษสีกับปากกาเมจิกหลาย ๆ สีด้วยนะครับ เราอาจจะเสียเวลาช่วงเช้าทำงานนี้นิดหน่อย แต่ช่วงบ่ายรับรองว่ามีลูกค้ามาแน่ครับ”

“ไม่มีปัญหาจ้า ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะ จะไปเตรียมไว้ให้เธอเลือก จะได้เสร็จไว ๆ” ว่าแล้วเธอก็เดินจากไปอย่างกระฉับกระเฉง ปล่อยให้เด็กหนุ่มมองบั้นท้ายสวยเดินจากไปอย่างเคลิบเคลิ้ม

…สะโพกงามขนาดนี้ คงไม่ใช่ผู้ชายหรอกน่า… เรย์จิปลอบใจตัวเอง


..........................................


ร้านยังไม่เปิดทำการ แต่สมาชิกกำลังขะมักเขม้นเต็มที่กับการแต่งตัวเต็มยศ เรย์จิเลือกชุดต่าง ๆ ออกมาให้ทุกคนแต่ง โดยทาโนเอะอาสาเฝ้าร้านไว้ เมื่อทุกคนแต่งตัวเสร็จ ป้ายที่เด็กหนุ่มกับทาโนเอะช่วยกันเขียนด้วยเมจิกหลากสีก็พร้อมพอดี

“พวกคุณ…เอ่อ มีความสามารถพิเศษกันใช่มั้ยครับ” เรย์จิถามตรง ๆ

ทั้งห้ามองหน้ากัน แม้จะยังไม่มีใครบอกอะไร แต่เรย์จิกลับรู้ได้มากกว่าที่คิด

“อะไรที่สามารถนำมาใช้เรียกคนดูได้ จัดการได้เลยนะครับ” เขาพูดต่อพร้อมกับยิ้มให้ “ผมรู้ว่าทุกคนทำได้ เพื่อร้านของเรา”

“ผมกับยูเมะจังเล่นกลได้ฮะ” ซานะจังเสนอ มือที่คล่องแคล่วฝึกปรือมาอย่างดี ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถล้วงกระเป๋าเรย์จิเอาบัตรนักเรียนไปได้โดยเจ้าตัวยังไม่รู้สึกอะไร

“เราเคย…เล่นกลหาเงินเลี้ยงปากท้องมาก่อน” ซานะมองยูเมะด้วยสายตาที่ขมขื่นเล็กน้อย แต่ใบหน้าหม่นก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เป็นรอยยิ้มกว้าง “ดังนั้นทำได้แน่ฮะ”

ชุดปีเตอร์แพนกับจิงเกอร์เบล รับกับเด็กทั้งสองเป็นอย่างดี ดูน่ารักน่าเอ็นดูเป็นพิเศษ

“ซากุระคุง…เอ้อ ขอเรียกแบบนี้นะ ฉันอยากให้ใช้ความสามารถที่สามารถเคลื่อนไหวได้ว่องไว แสดงบทเจ้าชายแสนเย็นชา โชว์แจกดอกไม้นี่ให้กับสาว ๆ แบบที่ทำให้แปลกใจแล้วก็ประทับใจกันคงได้ใช่ไหม” ซากุระในชุดเจ้าชายสีขาวสุดเท่ ด้านข้างห้อยดาบยาวสวมฝักหรู ที่แค่เดินผ่านคงทำคนหลายคนใจละลายแล้ว

ความเงียบคือคำตอบรับ เรย์จิยิ้มแล้วพยักหน้าขอบคุณ ก่อนจะหันไปหาตัวยุ่งอีกคนแทนที่

“อายะคุง เอ่อ…งวดนี้จะทำแบบคราวก่อนก็ได้ครับ คุณไม่ต้องทำอะไร แค่เดินเฉย ๆ ก็พอ คุณมีเสน่ห์มากอยู่แล้ว ถ้าคุณจะมองผู้ชายแบบเอ้อ…”

“นายไม่ต้องมาสอนชั้นหรอก เรื่องแบบนั้นน่ะ” อายาเมะขัดขึ้น ถึงจะยังไม่ญาติดีด้วยเท่าไหร่ แต่ก็หมดพยศไปเยอะแล้ว เมื่อได้นอนตอนเช้าโดยไม่มีใครรบกวน

ซานะอมยิ้มพลางตบบ่าเรย์จิอย่างขำ ๆ “เอาน่า อายะจังเขามือโปรเรื่องนี้อยู่แล้ว นายไม่ต้องห่วง”

“โอเค งั้นเราไปกันเถอะครับ อย่าลืมแจกใบปลิวนี่ ให้กับคนที่สนใจ พร้อม ๆ กับดอกไม้แล้วก็ขนมนี่ด้วยนะครับ” เรย์จิว่าพลางส่งกระเป๋าสะพายใส่ของแจกให้กับทุกคน ก่อนจะหยิบชุดจอมโจรขึ้นมาสวมใส่บ้าง มือแข็งแรงหยิบหน้ากากสีเงินมาคาดทับ สาเหตุที่เลือกชุดนี้ เพราะเด็กหนุ่มเริ่มสำนึก ว่าไม่อาจมีออร่าเปี่ยมเสน่ห์เทียบคนพวกนี้ได้

แต่ละคน…ช่างเกิดมาเพื่อเป็นจุดเด่นกันเสียจริง

“ผมจะถือป้ายร้านนำขบวนเอง ไปกันเถอะครับ”

สายตาราบเรียบมองมายังเรย์จิในชุดจอมโจรสวมหน้ากาก ก่อนจะพูดว่า “นายดูชำนาญกับเรื่องพวกนี้จังนะ”

เรย์จิชะงัก หันไปมองอย่างแทบไม่เชื่อหู เมื่อได้ยินเสียงจากซากุระ คน ๆ นี้…ชวนเขาคุยงั้นเหรอ?

อดตื่นเต้นไม่ได้เลยทีเดียว

“ซากุระคุง…เอ้อ ผมก็แค่ ทำงานหาเลี้ยงตัวเองมาแต่เด็ก อะไรที่ลองทำแล้วได้เงิน ผมก็ลองมาหมดแหละ ไม่ได้พิเศษอะไร” เด็กหนุ่มยิ้มแห้ง ๆ

“งั้นเหรอ นี่สินะ คือวิถีทางแห่งคนธรรมดา” ซากุระรำพึงแผ่วเบา “ฉันจะลองกับนายสักพักก็ได้ ถึงจะไม่รู้ ว่ามันจะช่วยให้คนเข้าร้านได้ยังไงก็เถอะ”

“จะมีคนเข้าร้านแน่ครับ ผมรับรอง” เขาว่าพลางส่งยิ้มให้ ดวงตาเรียวยาวจ้องใบหน้าหน้ากระตือรือร้นนั้น โดยไม่พูดอะไรอีก
   

....................................


ขบวนของร้าน Absolution Café ได้รับความสนใจตั้งแต่ก้าวออกจากตรอกที่เงียบเชียบนั้น ถัดไปอีกไม่กี่ซอย ก็มีผู้คนพลุกพล่านแล้ว จึงไม่ยากอะไร ที่ทั้งหมดจะดึงดูดสายตาฝูงชนที่ผ่านไปมาได้เป็นอย่างดี

“Absolution Café ของเรา มีทั้งเจ้าหญิง เจ้าชาย แถมยังเด็กน้อยน่ารัก พร้อมจะบริการทุกคนอยู่ครับ มาภายในเดือนนี้พร้อมใบปลิวที่เราแจก จะลด 10% ให้กับทุกท่านด้วยครับ ร้านของเราจะเปิดตอนบ่ายโมงตรงวันนี้เป็นต้นไป อย่าลืมแวะมาให้ได้นะครับ!” เสียงกังวาลของเรย์จิประกาศไปเรื่อย ๆ ดึงดูดผู้คนเข้ามา

รอยยิ้มจากราชินีผู้ทรงเสน่ห์ ทำให้หนุ่มแถวนั้นอ่อนยวบกันเป็นแถว แม้จะไม่มีใครล่วงรู้ ว่าคนที่เห็นคือผู้ชายต่างหาก ส่วนกลของซานะกับยูเมะ ก็ดึงความสนใจและความเอ็นดูจากพ่อแม่รวมถึงเด็กเล็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งสองเข้าขากันดีสมกับที่บอกว่าเคยแสดงกลหาเลี้ยงชีพมาก่อน

เรย์จิหันไปมองซากุระ ไม่รู้ทำไม เขาจึงได้สนใจคน ๆ นี้เป็นพิเศษ แม้ว่าท่าทางนิ่ง ๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจาอะไรกับใคร แต่การคงอยู่ของเขา กลับทำให้สมาชิกทุกคนวางใจอย่างบอกไม่ถูก

ซากุระที่เพียงแค่เดินตัวตรงผ่านไป ก็ถูกสาว ๆ รุมล้อมเสียแล้ว แม้สีหน้าของเขาจะยังราบเรียบเช่นเดิม แต่กลับเรียกเสียงกรี๊ดจากคนผ่านไปผ่านมาได้ดีจริง ๆ

เวลาผ่านไปครึ่งวัน เขาก็พาทุกคนไปหยุดพักที่ร่มไม้ใกล้ ๆ ใบหน้าชุ่มเหงื่อถอดหน้ากากออก ดูสดใสและมีเสน่ห์จนคนมองด้านข้างสนใจไปเรียบร้อยแล้ว ซานะมองซากุระแล้วอมยิ้ม น้อยคนนัก ที่จะทำให้ซากุระสนใจขนาดนี้ได้

ส่วนหนึ่งคงเพราะเป็นลูกชายของคน ๆ นั้น

แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร มันคงทำให้พวกเขา ใช้ชีวิตได้อย่างปกติเหมือนคนทั่วไปได้เสียที


...........................................

ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
นั้นแน่!!! ต่งตนต่างแอบสนใจซึ้งกันและกัน

มีแอบมองกันด้ววยอ่า น่ารัก :-[

รออ่านตอนต่อไปอยู่น๊า

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่อ่านตอนแรกจบ ยังไม่แน่ใจว่า "คนธรรมดา" ที่คนเหล่านี้อยากเป็นคืออะไร
เกือบเข้าใจผิด แหวกแนวไปด้านอื่น

แต่พออ่านตอนที่ 2 เริ่มคิดอะไรได้นิดนึง

พอมาอ่านตอนที่ 3 ก็เริ่มปะติดปะต่อภาพได้หน่อยนึง

เดาทั้งนั้น รอลุ้นดีกว่า ว่าที่คิดไว้ใช่ป่าว

ยิ่งอ่านยิ่งสนุก แต่งเก่งมากจ้า  o13
บวกให้อีก 1 แต้มนะจ๊ะ จุ๊บๆ

ออฟไลน์ ppm

  • รักเด็กจังเลย
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 235
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
    • ppmfic yboard
(ตอนที่ 3/2 จบตอน)


ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นไม่ห่างไปนัก “ช่วยด้วยค่ะ ลูกสาวของชั้น! ช่วยด้วย!!!”

สายตาทุกคู่หันไปมองเป็นตาเดียว ไกลออกไปแต่ยังพอมองเห็นได้ เป็นถนนสายไม่ใหญ่นัก ตรงริมฟุตบาท ภาพที่เห็นคือผู้หญิงในชุดทำงานกระโปรงยาว ใบหน้าของเธอซีดเผือด มืออันสั่นเทาชี้ไปยังชายร่างผอม ที่อยู่ห่างออกไปเพียง 2-3 เมตร ท่าทางของคนผู้นั้นดูจะไม่ปกตินัก สภาพร่างกายผอมแห้งซอมซ่อ สายตาที่เลื่อนลอยดูคล้ายคนอยู่ในโลกเพ้อฝัน หากในมือยังคงมีมีด และเด็กน้อยที่เธอบอกว่าเป็นลูกสาวในตอนนี้ ถูกดึงตัวไว้ในอ้อมแขนผอมเกร็งนั้นแล้วเป็นตัวประกัน

ชายผู้นั้นยังคงโวยวาย ตวาดไล่ไม่ให้ใครเข้าใกล้ได้ ด้วยการกวาดมีดไปรอบ ๆ ตัวอย่างคลุ้มคลั่ง

เด็กหญิงในอ้อมแขนนั้นอายุราว ๆ 5 ขวบเท่านั้น เมื่อถูกคุกคามด้วยอารมณ์รุนแรงก็ร้องไห้จ้า มันยิ่งทำให้อารมณ์ที่ไม่แน่นอนของคนติดยาปั่นป่วนกว่าเดิม นัยน์ตาแดงก่ำมองตาขวาง เสียงตวาดลั่นขู่ทำร้ายเด็ก กันคนไม่ให้ใครกล้าเข้าไปใกล้แม้กระทั่งตำรวจ มารดาของเด็กน้อยร่ำไห้ขอความช่วยเหลือ และพยายามจะเข้าไป แต่ถูกพลเมืองดีช่วยกันจับเธอไว้ ก่อนจะบุ่มบ่ามทำอะไรจนเด็กเป็นอันตรายได้

“เราต้องช่วยเด็ก!” เรย์จิร้องบอกคนในกลุ่มทันทีที่เข้าใจสถานการณ์แล้ว และผลุนผลันออกไปอย่างรวดเร็ว

คนที่เหลือมองหน้ากัน ด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า

“มันไม่ใช่เรื่องของพวกเราไม่ใช่เหรอ” อายาเมะว่า ด้วยทีท่าเหมือนจะไม่ใส่ใจนัก

“เป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์เสียจริง” ซากุระพูดอย่างไม่รู้สึกอะไร หากดวงตาเรียวยาวนั้น กลับมองตามหลังเด็กหนุ่มไปไม่คลาดสายตา

“ทีเวลาเราเดือดร้อน ยังไม่เห็นมีใครช่วยเราเลย” ยูเมะพึมพำ มือของเธอกอดตุ๊กตาตัวโปรดแนบแน่น ดวงตากลมโตหลุบต่ำมองพื้นนิ่งงัน

ทุกคนอยู่ในความเงียบ ความหนักอึ้งบางอย่างถาโถมเข้ามาจนทำให้ตัดสินใจไม่ถูก ว่าจะทำเช่นไร

“แต่…ผมว่าไปดูกันดีกว่านะฮะ” ซานะตัดสินใจพูดขึ้น แม้จะเข้าใจความรู้สึกของยูเมะ แต่เขาก็สนใจเรย์จิขึ้นมาแล้ว “ทาโนเอะเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเรย์จิจะสอนพวกเรา…ให้กลับเป็นคนธรรมดาได้”

เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองคนอื่น ๆ พลางถามว่า “พวกเรา…อยากจะเป็นเหมือนคนปกติ ไม่ใช่หรือฮะ?”

ความเงียบปกคลุมคนทั้งหมดอีกครั้ง

“ก็ได้” ทุกคนพยักหน้ายอมรับกับเหตุผลนั้นในที่สุด แล้วตัดสินใจตามไปยังที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว


.........................................


มีดในมือผอมสะท้อนแสงแดดวาบ เมื่อถูกกวัดแกว่งเหวี่ยงสุ่มไปมา ความคมของมันเห็นได้ชัดจากประกายสะท้อนนั้น แต่ถึงจะไม่คมนัก แต่ในระยะใกล้เช่นนี้ หนูน้อยที่โดนยึดจับ ก็ใช่ว่าจะรอด

ความคลุ้มคลั่งนั้นทำให้คนที่มามุงดู กระจายวงล้อมถอยออกไปค่อนข้างกว้าง เรย์จิแหวกกลุ่มฝูงชนเข้าไปจนเกือบถึงกลางวง จนเห็นร่างของคนทั้งคู่นั้นอย่างชัดเจน

“เอายามาให้ชั้นเดี๋ยวนี้นะ ชั้นอยากได้ยา…มากกว่านี้ เร็วเข้า! ไม่งั้นไอ้เด็กนี่ตายแน่!” เสียงหยาบกร้าวตะโกนขู่ ดวงตาขวางจับจ้องคนโดยรอบแล้วหัวเราะอย่างเป็นต่อ ท่าทางสติคงมีเหลือไม่ถึงครึ่ง กรณีแบบนี้อันตรายกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

ขณะที่คนอื่นกำลังลังเลนั้น เรย์จิก็ก้าวเข้าไปใกล้กว่าคนอื่น ในมือเขามีห่อผ้าห่อหนึ่ง มันคือห่อถุงใส่ใบปลิวเมื่อครู่ ที่แจกใบปลิวจนหมดแล้วนั่นเอง

“ยามาแล้วครับ” เขาตะโกนกลับไป

“เข้ามานี่ซิ ใกล้ ๆ ช้า ๆ นะ ตุกติกล่ะก็…”

มีดนั้นยังเหวี่ยงไปโดยรอบ ก่อนจะกลับมาจ่อที่คอแม่หนูน้อย

“ถ้าอยากเป็นคนธรรมดา ต้องช่วยเด็กคนนั้นใช่มั้ย ซานะจัง” ยูเมะกระซิบถาม คณะจากคาเฟ่ทั้งสี่ ตามมาถึงในระหว่างที่ทั้งสองกำลังจับจ้องกันอยู่

“น่าจะใช่ล่ะมั้ง” ซานะตอบอย่างไม่แน่ใจ ใบหน้าอ่อนเยาว์มีรอยยิ้ม “งั้นให้ยูเมะจัดการนะ ซากุระคุง ฝากที่เหลือด้วยได้มั้ย”

ร่างสูงของซากุระที่ยืนอยู่ด้านข้างพยักหน้ารับ โดยไม่ได้พูดอะไรอีก

เด็กน้อยในอ้อมแขนยังร้องไห้จ้าและดิ้นรน ชายผู้นั้นยึดจับอย่างลำบาก จนเกือบจะละความสนใจต่อคนรอบข้างไป

เรย์จิจับจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอ พุ่งตัวเข้าชาร์ต ทว่ามีดในมือนั้น กลับพุ่งสวนเข้ามา

เด็กหนุ่มเบี่ยงตัวหลบทันทีที่เห็น หากปลายมีดก็เฉี่ยวแถวบริเวณท้องไปจนได้เลือด เสียงกรีดร้องตกใจดังมาจากในฝูงชน แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้มากขึ้น มีเพียงซานะ ที่รีบเข้าไปดูเรย์จิและพยุงหลบออกมาดูบาดแผล

“แกกล้าหลอกชั้นเรอะ ชั้นไม่โง่หรอกนะเฟ้ย แต่งตัวประหลาดขนาดนั้น ใครเชื่อก็บ้าแล้ว ฮ่า ๆ ๆ” หัวเราะแล้วก็คิ้วขมวด หันไปตวาดเด็กในอ้อมแขนแทนที่ “นังเด็กนี่ เลิกดิ้นได้แล้ว เดี๋ยวก็เชือดซะหรอก!”

ความสนใจของทุกคนยังอยู่ที่เด็กน้อย ซึ่งในตอนนี้ ยิ่งร้องไห้จ้ากว่าเดิม อย่างขวัญเสีย คนอุ้มก็ชักจะเริ่มรำคาญและอยากโยนภาระนี้ทิ้งเสียที แต่ทำไม่ได้เนื่องจากใช้เด็กเป็นโล่อยู่

“พี่ชาย เอาหนูไปแทนเด็กคนนั้นมั้ยคะ หนูไม่ทำเสียงโหวกเหวกน่ารำคาญ แถมน่ารักกว่าด้วย” เด็กหญิงกระโปรงบาน ในชุดสาวน้อยจิงเกอร์เบลมีปีกน่ารัก เกล้าผมสองข้างปล่อยยาวระไหล่ เดินเข้ามาใกล้ตั้งแต่ตอนไหนไม่มีคนรู้ ดวงตากลมโตของเธอ คล้ายสะกดคนตรงหน้าให้นิ่งเงียบไปได้ในพริบตา

คนดูมองพลางซุบซิบกัน เป็นห่วงก็เป็นห่วงแต่ไม่รู้จะทำเช่นไร เสียงพึมพำหาพ่อแม่เด็กผู้มาใหม่ ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ทำไมจึงปล่อยให้ออกมาเจออันตรายเช่นนี้

“ยูเมะ!” เรย์จิอุทานอย่างตกใจ แทบจะพุ่งตัวเข้าไปขวาง หากโดนซานะที่ทำแผลให้อยู่ ดึงตัวเอาไว้

“ยูเมะไม่เป็นอะไรหรอก มีซากุระคุงอยู่ทั้งคน” เด็กชายกระซิบ ท่าทางเชื่อมั่นฝีมือซากุระเต็มหัวใจ เรย์จิมองคนทั้งคู่เบื้องหน้าอย่างไม่มั่นใจนัก ซากุระคุงอยู่ไหน เขาก็ยังไม่เห็นเลย

“หนูน่ารักกว่า…ใช่มั้ยคะ ปล่อยเด็กคนนั้นแล้วเลือกหนูดีกว่าน่า” ยูเมะส่งยิ้มหวานไปให้ ดวงตากลมโตของเธอดูสดใสและมีประกายอย่างประหลาด วูบนั้นเรย์จิคิดว่า ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเธอ กลับมีประกายทองแบบแปลก ๆ ออกมาด้วย

“อื้อ หนูน่ารักกว่าจริง ๆ” ชายคลั่งขาดยาว่า ตาของเขาจ้องยูเมะจนเคลิบเคลิ้ม พร้อมกับปล่อยเด็กที่จับไว้ลง ก่อนจะคว้าร่างบอบบางนั้นแทนที่

เด็กน้อยร้องไห้จ้า โผเข้าหามารดาที่รออยู่ ทั้งคู่กอดกันแนบแน่น จนยูเมะที่มองตามเผลออมยิ้ม ดวงตาคู่นั้นเศร้าลงนิดหน่อยกับภาพที่เห็น แต่ไม่มีเวลาจะซาบซึ้งกันมากนัก ด้วยร่างเล็ก ๆ ของเธอ ยังอยู่ในมือของคนร้าย

ชายติดยาหันมาสนใจคนรอบข้างอีกครั้งอย่างย่ามใจ มีดในมือเงื้อง้าง พร้อมขู่สำทับรอบสอง “พวกแกต้องส่งยามาซะดี ๆ ไม่งั้นเด็กคนนี้…”

ตอนนั้นเอง ยูเมะในอ้อมกอดก็มองเห็นซากุระเคลื่อนไหววูบผ่านไปในฝูงชนด้านข้าง เธอรู้ดีว่าซากุระคงจะเข้าทางด้านหลัง ยามอีกฝ่ายผลั้งเผลอเป็นแน่ เด็กน้อยจึงแกล้งดิ้นอย่างแรง ทำให้มือที่ถือมีด ต้องเลื่อนมาช่วยรับน้ำหนักด้วยกลัวจะลื่นหล่น

พริบตานั้น มีดกลับไปอยู่ในมือของยูเมะ ราวกับเล่นกล

ครู่หนึ่งมือที่เคยถือมีดก็รู้สึกตัว “มีด! มีดของชั้นไปไหน!”

คนเมายาเริ่มสับสน สมองนั้นมึนงงอยู่แล้ว ยิ่งมึนหนักกว่าเก่า ชั่วขณะที่ละความสนใจจากฝูงชน เขาก็สะดุ้งเฮือก เมื่อรู้สึกถึงวัตถุเรียวยาวเย็นเยียบที่คอของตน

“อยู่ตรงนี้ไง” เสียงราบเรียบดังขึ้นเบื้องหลัง ลำคอผอมถูกพาดด้วยดาบเปลือยฝัก ที่มีด้านคมกริบแนบอยู่ตรงตำแหน่งจุดตายในเสี้ยววินาที เงียบเชียบว่องไว เกินกว่าใครจะมองทัน ว่าคน ๆ นี้ มาจากที่ใด คนดูเงียบสนิทตะลึงตะลานไปแล้วเช่นกัน กับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นติด ๆ กันเช่นนี้

แววตาอำมหิตฉายวูบ ข้อมือนั้นเกือบจะตวัดอย่างรวดเร็วแล้ว ถ้าไม่มีเสียงห้ามขึ้นเสียก่อน

“อย่านะ ซากุระคุง!” เสียงเรย์จิตะโกนห้ามแทบจะในทันที ก่อนที่ร่างผอมเกร็งนั้น จะทรุดฮวบลง ด้วยสันมือที่ว่างอยู่ทดแทน

ซากุระในชุดเจ้าชายสุดเท่ ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะเก็บดาบเข้าฝักด้วยท่าทางชำนาญเป็นที่สุด  ท่ามกลางเสียงกรี๊ดของบรรดาสาว ๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น

เรย์จิยังคงนั่งอยู่กับพื้น แผลที่ท้องแค่เฉี่ยว ๆ แต่ซานะก็ฉีกผ้าจากป้ายที่ถือ มาพันให้อย่างคล่องแคล่วเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มถอนหายใจโล่งอก ที่เรื่องทุกอย่างจบลงด้วยดี แม้ตัวเขาเอง จะแทบไม่ได้ทำอะไรเลย แถมยังรนหาเรื่องเจ็บตัวอีกต่างหาก

ใจของเขายังเต้นแรง รู้สึกว่าตอนนั้นถ้าห้ามไม่ทัน ซากุระคนนั้น คงจะลงมือฆ่าจริง ๆ เสียแล้ว จะล้อกันเล่น ก็น่าจะให้มันมีขอบเขตบ้างสิ

แต่ซากุระคุง ไม่เคยล้อเล่นนี่นา...

คิดแล้วชักเหงื่อตก คนพวกนี้ เป็นใครกันแน่นะ?

ดาบที่เหมือนดาบของเล่นที่มากับชุดคอสเพลย์ กลายเป็นดาบจริงได้ยังไงกัน...

ในตอนนั้นเอง มือเรียวยาวของใครอีกคน ก็ยื่นลงมา

เรย์จิมองตามขึ้นไป เห็นเป็นอายาเมะ ที่ยืนอยู่ด้วยท่วงท่าสุดแสนจะราชินีเช่นเคย

“ลุกซะทีสิ ชั้นอยากกลับร้านจะแย่แล้วนะ” เสียงห้วน ๆ แกมออกคำสั่ง ยังคงเหมือนเดิม ดวงตาคมบาดใจคู่นั้น กวาดมองขึ้นลงสำรวจสภาพคนบนพื้นอย่างพินิจพิเคราะห์ พอเห็นว่าปลอดภัยดี ก็ลอบยิ้มอย่างพอใจ

“อื้อ…อ๊ะ” มือของเรย์จิกำลังจะส่งให้ หากอีกฝ่ายชักมือหนีซะงั้น

“ไม่ได้เป็นอะไรมากนี่ เดินไปเองละกัน เร็ว ๆ เข้าล่ะ” อายาเมะว่าพลางหันตัวเดินกลับไปยังร่มไม้ที่วางข้าวของไว้ ปล่อยให้เรย์จิที่ยื่นมือมาให้เก้อ เอามือลงอย่างเก้ ๆ กัง ๆ

“ไม่เป็นอะไรนะฮะ เรย์จิคุง” ซานะจังเข้ามาประคองแทน เด็กชายตัวเล็กนิดเดียว เลยไม่สามารถพยุงอะไรได้สักเท่าไหร่

“ไม่เป็นไร” เรย์จิยิ้มแห้ง ๆ ดีที่เขาแข็งแรงและแผลไม่ลึก จึงสามารถยืนเองได้

ร่างบางของซากุระคุงเดินผ่านไป ราวเห็นเขาเป็นอากาศธาตุ มียูเมะที่ปลอดภัยไร้กังวล อยู่ในอ้อมแขนเรียบร้อย เด็กน้อยหันมาส่งยิ้มให้เรย์จิอย่างน่ารัก ซึ่งเขาได้แต่ยิ้มเฝื่อน ๆ รับ โล่งไปเยอะที่สุดท้ายแล้วทุกคนก็ปลอดภัย

คนทั้งหมดเก็บของที่ทิ้งไว้เมื่อครู่ ก่อนตั้งท่าจะเดินทางกลับร้าน เรย์จิที่เขินเล็กน้อย จึงได้พึมพำเสียงเบา แค่ได้ยินในกลุ่มว่า “เอ้อ…ยังไงฉันก็ ขอบคุณทุกคน แทนแม่ลูกคู่นั้นด้วยนะ”

“ก็แค่ลองทำตัวให้เป็นเหมือนคนธรรมดาเท่านั้นแหละ” ซากุระตอบกลับ

ไม่รู้ว่ามันเหมือนคนธรรมดาตรงไหน...เรย์จิแอบคิดในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาพอจะคุ้นกับเรื่องพวกนี้บ้างแล้ว คนพวกนี้จะทำอะไรผิดชาวบ้านบ้าง ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก

มิน่าล่ะ ถึงได้พยายามจะเป็น 'คนธรรมดา' กันจัง

รู้รึเปล่านะ ว่าคนธรรมดาน่ะ เขาไม่ทำแบบนั้นกันหรอก

เด็กหนุ่มแอบขำในใจ

ขบวนคอสเพลย์คาเฟ่จึงเดินทางกลับร้านในลักษณะนั้น ซึ่งตอนนั้นก็ใกล้ถึงเวลาเปิดพอดิบพอดี ทิ้งความโกลาหลและการเคลียร์สถานการณ์ ไว้ให้ตำรวจที่ยังมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กับความตื่นเต้นของฝูงชน ต่อกลุ่มคนประหลาดในชุดคอสเพลย์ ที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน

นักข่าวเริ่มตามมาอย่างรวดเร็ว แต่กลับพบว่า คนทั้งห้าที่มาช่วยเคลียร์สถานการณ์นั้น ได้หายตัวไปเสียแล้ว...


....................................


เสียงกระดิ่งดังที่ประตูร้าน ทำให้หญิงสาวที่หน้าเคาน์เตอร์หันไปมองด้วยความยินดี ทุกคนกลับมาแล้ว มีทีท่าเพลียกันเล็กน้อย อาจจะเพราะสภาพอากาศที่ร้อนภายนอกด้วย พอเข้ามาถึง ต่างคนต่างหาที่พักเปลี่ยนอิริยาบถตามความคุ้นเคยของตน เรย์จิที่ยังมีผ้าพันแผลอยู่ที่ท้อง เดินตามทุกคนเข้ามาด้วยท่าทางที่ปกติ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง แต่ทาโนเอะก็ยังสังเกตเห็น

“ตายจริง ไปโดนอะไรมาเนี่ย” เลือดที่ยังซึมอยู่ ทำให้เห็นได้ชัดว่าเป็นแผล เธอหันไปหากล่องพยาบาลมาเปิดอย่างรวดเร็ว และเริ่มต้นแกะผ้าที่พันไว้เบื้องต้นนั้นออกสำรวจบาดแผลนั้น

แผลที่เห็นมาจากของมีคมเป็นรอยยาว แม้จะไม่ลึกเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้เธอมองมันอย่างไม่สบายใจนัก

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไกลหัวใจจะตาย” เด็กหนุ่มพยายามปลอบยิ้ม ๆ หากคนทำแผลกลับไม่ยิ้มด้วย ดวงตาจริงจังของเธอ จ้องมองเรย์จิพลางพึมพำ

“ถ้าพ่อเธอรู้ว่าพวกเราดูแลเธอไม่ดีแบบนี้ เขาคงจะผิดหวังมาก”

นิ้วคล่องแคล่วตัดผ้าพันแผลแล้วค่อย ๆ แปะทับลงไป หลังจากทำการเช็ดเลือดที่ซึมออกมาอีกและทายาฆ่าเชื้อแล้ว ดูท่าทางชำนาญไม่น้อยไปกว่าซานะเมื่อตอนกลางวัน

“ห่วงแต่พ่อผมเหรอเนี่ย” เด็กหนุ่มแกล้งอุทธรณ์ด้วยเสียงน่าสงสาร

“ห่วงหมดนั่นล่ะจ้า ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นเหรอ ถึงได้เจ็บตัวแบบนี้” ทาโนเอะมองไล่เบี้ยไปยังสี่คนที่เหลือทีละคน เล่นเอาแต่ละคนซีดไปเล็กน้อย จนไม่กล้าต่อคำกับเธอเลยสักคน

“ผมไม่ระวังเองนั่นแหละครับ ไม่มีอะไรหรอก” เรย์จิพยายามไกล่เกลี่ยบรรยากาศมาคุนั้น

“ก็แค่ทำเรื่องไร้ประโยชน์ ‘ของคนธรรมดา’ เท่านั้นแหละ” ซากุระพูดขึ้นลอย ๆ ยังมีความไม่พอใจหลงเหลืออยู่บ้าง

“เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังหน่อยสิจ๊ะ” ทาโนเอะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ อย่างตั้งใจรับฟังเต็มที่ พอพูดถึงเรื่อง ‘คนธรรมดา’ ทาโนเอะดูจะสนอกสนใจเป็นพิเศษจริง ๆ

ยูเมะอมยิ้มแล้วชิงบอกขึ้นก่อนว่า “วันนี้ยูเมะได้ลองทำตัวเป็นคนธรรมดาด้วยล่ะ ทาโนเอะ”

หญิงสาวลูบผมนุ่มสลวยนั้นเบา ๆ พลางรั้งร่างน้อยเข้ามากอด “จริงเหรอจ๊ะ ยูเมะเด็กดีจริง ๆ”

เรย์จิจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทาโนเอะฟังโดยมีคนที่เหลือ นิ่งฟังเฉย ๆ ไม่ได้พูดโต้แย้งอะไร พอเล่าจบ หญิงสาวก็สรุปขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้น เธอก็เป็นคนช่วยแม่ลูกคู่นั้นไว้สินะ”

“ผมไม่ได้ทำอะไรเลย มีแต่ยูเมะกับซากุระคุง ที่เป็นคนจัดการเจ้านั่นจนเรียบร้อย ส่วนผมเองออกจะไร้ประโยชน์อย่างที่ซากุระคุงว่าจริง ๆ นั่นล่ะ” เด็กหนุ่มหัวเราะแหะ ๆ

“แต่เธอก็ห้ามซากุระคุงไว้ได้ทัน” ทาโนเอะรำพึงแผ่วเบา แต่เรย์จิก็ยังคงได้ยิน

“เจ้านั่นสมควรตายแล้ว จะห้ามทำไมกัน” เสียงไม่สบอารมณ์นักของซากุระแทรกเข้ามา

ใช่…ถ้าห้ามไม่ทัน อาจจะจบลงที่การฆาตกรรมผู้ชายคนนั้นก็เป็นได้

ซากุระตั้งใจจะทำอย่างนั้นจริง ๆ

ถ้าเป็นอย่างนั้น คนพวกนี้ ก็น่ากลัวเกินไปแล้ว…

เรย์จิจ้องหน้าซากุระแน่วแน่ “คนทำผิดก็ต้องได้รับโทษ นั่นเป็นความจริง แต่เราไม่มีสิทธิ์ จะตัดสินชีวิตใคร เพียงเพราะรู้ว่าเขาทำผิดนะครับ”

หากเสียงราบเรียบกลับแย้งขึ้นทันที “ไม่มีใครให้อภัยกับคนที่ทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้ได้หรอก คนที่ทำผิด...ก็ทำได้แค่อดทนต่อไป เพื่อรอคอยการตัดสิน เพื่อรอวันตาย...อย่างเดียวดายเท่านั้น”

“การได้ตายเสียตั้งแต่ตอนนี้ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วไม่ใช่เหรอ” ซากุระพูดต่อ นับเป็นประโยคแสนยาว ที่เขาพึ่งได้ยิน จากคน ๆ นี้ ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นจ้องมองเขาแน่วแน่จนรู้สึกได้

“มันไม่ใช่แบบนั้นแน่ ๆ การมีชีวิตอยู่เพื่อการแก้ไขสิ่งที่ผิด การอยู่..เพื่อคนที่รักเรา ไม่ว่าจะต้องอดทนต่อตราบาปนั้นแค่ไหน นั่นคือสิ่งที่ดีกว่านะครับ!” เรย์จิพยายามแย้ง

“ถ้าไม่ได้เจอเอง จะพูดอะไรก็พูดได้สิ” อายาเมะพูดขึ้นลอย ๆ แม้ท่าทางของเขาจะเหมือนไม่ได้สนใจฟังมากนัก แต่ก็แทรกเข้ามาได้ถูกจุดเสียจริง ๆ

“ผมไม่รู้หรอกนะครับ ว่าพวกคุณเจออะไรมา” เรย์จิพูดต่ออย่างจริงจัง “แต่ว่าไม่ว่าใคร ก็เคยทำเรื่องไม่ดีได้ ดังนั้น…เราควรจะต้องเข้าใจเขาหน่อยสิครับ การจะไปตัดสินว่าเขาควรตาย มันไม่ยุติธรรมเสียหน่อย”

“ไม่เคยมีใครเข้าใจเราเลย!”   ยูเมะท้วงขึ้น ดวงตากลมโตของเธอมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอ ซานะกอดร่างสั่นน้อย ๆ ของเธอไว้ ราวกับต้องการปลอบประโลม แม้ตัวเองจะอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกัน

“ไม่ว่าพวกเราจะทำถูก หรือทำผิด…ก็ไม่เคยมีใคร…”

ภาพตรงหน้าช่างทรมานใจนัก กับเด็กตัวเล็ก ๆ เพียงแค่นี้..ก็ต้องเจอเรื่องเลวร้ายขนาดนั้นแล้วงั้นหรือ เรย์จิมองยูเมะ เขาอยากยื่นมือให้เด็กคนนี้ อยากช่วยประคับประคองจิตใจที่บอบบางนี้ไว้ ไม่ให้แตกสลาย

“ถ้าอย่างนั้น ผมจะพยายามเข้าใจเอง...ถ้าไม่มีใครบอกว่าสิ่งที่ทำ มันถูก หรือผิด ผมจะบอกเอง!”

ทุกคนมองเขาเป็นตาเดียว

“คนนอกอย่างพวกเรา ใครจะสนใจขนาดนั้น ส่วนใหญ่ก็ดีแต่พูดนั่นแหละ” อายาเมะว่า ก่อนจะหันหลังทำทีจากไป แต่คำพูดของเรย์จิ ทำให้เขาต้องหยุดชะงักลงอีกครั้ง

“จะไม่เชื่อก็ได้ครับ แต่ไม่ว่าเรื่องอะไร ผมก็พร้อมจะรับฟัง ถ้าคุณพร้อมที่จะเล่า…ถ้าไม่มีใครอภัย ให้กับบาปของพวกคุณ…ผมนี่ล่ะ จะอภัยให้เอง”

“การชดใช้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ” เสียงราบเรียบจากซากุระพูดขึ้น

“มันไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน แต่ว่า…ถ้าพวกเราช่วยกัน มันก็เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ใช่หรือครับ”

ทุกคนนิ่งเงียบไปอีกครั้ง และในที่สุด ก็มีคนทำลายความเงียบขึ้น

“ก็ได้…พวกเราจะรอดูต่อไป” อายาเมะว่า ก่อนจะเดินจากไปจริง ๆ “ชั้นจะนอนแล้ว ไม่ต้องปลุกล่ะ”

ทาโนเอะถอนหายใจยาว พลางลุกขึ้นจากโต๊ะข้างตัวเรย์จิ บรรยากาศอึมครึมนั้นคงยากจะชะล้างไปได้ แต่จะอย่างไร เธอก็หวังว่าฟ้าที่สดใส จะตามมาหลังเมฆหมอกครึ้มบดบัง หากในตอนนี้ คงไม่มีประโยชน์ที่จะสนับสนุนหรือโต้แย้งอะไรอีก

หญิงสาวจึงตัดบทขึ้นว่า “บ่ายแล้ว อีกไม่นานลูกค้าคงจะมา เลิกคุยเรื่องพวกนี้ แล้วมาเปิดร้านกันเถอะ”

สายตาอีกสามคู่ ที่ยังคงมองไปที่เรย์จิ หันกลับมาทันที แทบจะลืมเรื่องที่ขุ่นข้องใจเมื่อครู่ไปหมด

“ลูกค้าจะมาแล้วแน่นะ?” ยูเมะถามหญิงสาว ในดวงตามีประกายแห่งความตื่นเต้น

“ถ้ายูเมะเชื่อมั่นในตัวเรย์จิคุง ลูกค้าก็ต้องมาแน่จ้า” ทาโนเอะตอบรับ

เด็กน้อยมองหน้าเรย์จิ เขาพยักหน้าให้อย่างมั่นใจ ใบหน้าใส ๆ จึงมีรอยยิ้มอย่างยินดี

“ค่า ยูเมะ…เชื่อเรย์จิคุงนะ ห้ามหลอกยูเมะล่ะ”

เด็กหนุ่มกอดร่างเล็ก ๆ นั้นแล้วตอบว่า “ผมไม่หลอกยูเมะจังแน่นอน แล้วก็นะ วันหลัง ห้ามทำเรื่องอันตรายแบบนี้อีก ถึงยูเมะจะเก่งแค่ไหน ก็ต้องรู้ไว้อย่างนึงนะ”

“คะ?”

“พวกเราทุกคน เป็นห่วงยูเมะ ซานะก็เหมือนกัน ที่เป็นห่วงยูเมะมากที่สุด ดังนั้นห้ามทำอะไรเสี่ยง ๆ อีกนะ ยูเมะยังเด็ก ถึงจะเก่งยังไง ผู้ใหญ่ที่โตมาก่อน ก็ต้องจัดการทุกอย่างก่อนอยู่ดี"

เขายิ้มให้อย่างอ่อนโยนพลางลูบผมนุ่มสลวยของเด็กน้อยเบา ๆ "ไว้รอให้ยูเมะโตเป็นผู้ใหญ่ คราวนี้ยูเมะจังก็ต้องช่วยเหลือเด็กแทนแล้ว ดังนั้นตอนนี้ที่เรายังเป็นเด็ก ยังสบายอยู่ เราก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องเกินแรงของเรา เข้าใจมั้ยครับ”

เด็กน้อยฟังตามก่อนจะยิ้มรับ “ค่า ยูเมะจะเชื่อเรย์จิ แล้วก็จะเป็นเด็กดี ยูเมะรักทุกคนเลย” ว่าพลางโผเข้ากอดร่างสูงของเรย์จิไว้แน่น

“พวกเราก็รักยูเมะ รักซานะจังด้วยนะ” มือของเขาลูบผมเด็กชายแผ่วเบาราวต้องการแบ่งปันความรักไปให้

เด็กชายมองเรย์จิแล้วยิ้ม นานแล้วที่เขาไม่ได้เห็นน้องสาวสดชื่นได้ขนาดนี้ “ขอบคุณนะฮะ เรย์จิคุง”

ดวงตาเย็นยะเยือกคู่นั้น ยังคงจับจ้องเขาจนรู้สึกได้ “ชั้นยังไม่เชื่อนายหรอกนะ เรายังต้องพิสูจน์กันต่อไป” ซากุระว่า ก่อนจะหันหลังจากไปเตรียมอาหารสำหรับลูกค้าในครัว

“อืม แล้วเราจะได้รู้กัน” เรย์จิตอบรับ พลางมองร่างนั้นเดินไปจนลับตา


.........................................


ทั้งหมดแยกย้ายกันไปแล้ว เด็ก ๆ ไปเปลี่ยนชุดใหม่ ซากุระไปเตรียมอาหาร ในขณะที่อายาเมะไปนอน ไม่มีใครอยากจะยุ่งกับราชินีตอนหงุดหงิด ก็เลยปล่อยให้นอนต่อไป ท่าจะดีกว่า

เรย์จิช่วยหญิงสาวจัดโต๊ะรอรับลูกค้า โต๊ะสีสันสดใส ที่ยังใหม่เอี่ยมยังไม่เคยถูกใช้มาก่อน เมื่อได้มองมาก็อดตื่นเต้นไม่ได้ พอนึกถึงยามบ่ายที่จะมีลูกค้าทยอยกันเข้ามา

ร่างบอบบางจัดดอกไม้แจกันน้อยบนโต๊ะแต่ละตัวให้เข้าที่ ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้เด็กหนุ่ม แล้วกระซิบเบา ๆ

“ขอบคุณมากนะ เรย์จิคุง”

เรย์จิหันมามองหน้าเธออย่างประหลาดใจ “ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ”

ทาโนเอะส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่หรอก อย่างน้อย เธอก็ทำให้ทุกคน…ได้รู้สึกว่า มีคนคอยรับฟังเขาแล้ว ถึงเขาจะยังไม่ไว้ใจเธอเท่าไหร่ก็เถอะ”   

เรย์จิระบายลมหายใจยาว เขานิ่งไปครู่ ก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้นว่า “ถึงผมจะไม่เข้าใจ ว่าการรู้สึกผิด เมื่อได้ทำสิ่งเลวร้ายลงไป แล้วไม่มีใครเลยสักคน ที่จะยอมอภัยให้ มันเป็นเรื่องโหดร้ายขนาดไหน แต่อย่างน้อย…ผมก็เข้าใจนะครับ…ว่าการต้องอยู่ตามลำพังโดยไม่มีใครเลยน่ะ มันเหงาแค่ไหนกัน”

...สำหรับเขา ที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ครอบครัวที่ต่างคนต่างอยู่ จะอย่างไร มันก็ไม่อาจจะเติมเต็มช่องว่างแห่งความว้าเหว่ได้หรอก เขารู้...ว่ามันทรมานแค่ไหน ที่จะต้องทำตัวเข้มแข็ง และพยายามยืนหยัดอยู่ให้ได้

ความเหงา มักจะแทรกซึมเข้ามาทุกครั้ง เมื่อยามไม่มีใคร

สายตาอ่อนโยนของทาโนเอะมองมายังเด็กหนุ่มอย่างต้องการปลอบประโลม “ฉันรู้จ้า แต่ว่านะ…ไม่ว่าบาปที่พวกเราเคยทำไว้ มันจะหนักหนายังไง แต่ในตอนนี้พวกเรา ยังมีกันและกันอยู่ พ่อของเธอ บอกกับฉันอย่างนี้เสมอ”

มือของเธอบีบมือเขาไว้แผ่วเบา พลางยิ้มให้กำลังใจ “และในตอนนี้ ถึงคุณเรอิจิจะไม่อยู่กับพวกเราแล้ว แต่เขาก็ยังส่งเธอ...ที่เข้าใจพวกเราดีขนาดนี้มาให้”

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็ต้องฝ่าฟันมันไปให้ได้ ใช่มั้ยล่ะจ๊ะ เพราะพวกเรา ไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว”

เด็กหนุ่มรู้สึกฮึดขึ้นกว่าเดิมมากมายนัก…มือนุ่มนิ่มนั้น…จับมือเขา แถมให้กำลังใจอีกแน่ะ เขากล่าวต่ออย่างแข็งขันขึ้นว่า

“แน่นอนครับ ผมพร้อมจะช่วยทุกอย่างอยู่แล้ว”

สาวใหญ่ส่งยิ้มให้อีกครั้ง “คุณเรอิจิจะต้องภูมิใจมาก ที่มีลูกชายที่น่ารักอย่างเธอ”

เด็กหนุ่มก้มหน้าอย่างเขิน ๆ แม้จะแอบคิดค่อนขอดในใจว่า ถ้าทาโนเอะเลิกคิดถึงเจ้าพ่อบ้านั่นของเขาซักวัน แล้วหันมาคิดถึงแต่เขาแทน เขาคงจะน่ารักกว่านี้หลายร้อยเท่าแหง ๆ !



- จบตอนที่ 3 -

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องเริ่มเข้มข้นขึ้นอีกแล้ว
สนุกมากๆค่ะ
ขอบคุณมากนะคะ

ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
ซากุระคุงแอบโหดนะเนี่ย

ชอบหนุ่มที่ทำกับข้าวเป็นจัง :m3:

+1 ให้เป็นขวัญและกำลังใจ รออ่านตอนต่อไปอยู่นะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ppm

  • รักเด็กจังเลย
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 235
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
    • ppmfic yboard
ตอนที่ 4 Mirage : ภาพลวง

Rate: NC-17, SM

(ตอนที่ 4/1)

ประตูฝืด ๆ เปิดออกสู่ดาดฟ้ากว้างของตึกสูงหลังหนึ่ง เผยให้เห็นร่างได้รูปที่กำลังเดินออกมาอย่างคล่องแคล่วมั่นใจ ดวงตากลมโตมองไปรอบ ๆ หาคนตามนัดหมาย ซึ่งในตอนนี้ ได้ยืนรออยู่ก่อนแล้ว เนื่องจากเลยเวลานัดมาเล็กน้อยด้วยความจงใจ จากนิสัยเสียอีกอย่างของตัวเขา ที่ชอบให้คนอื่นมารอตน มากกว่าจะเป็นผู้รอคอย

ชายในชุดดำผู้ยืนรออยู่ก่อนแล้วเข้าใจเรื่องนี้ดี จึงไม่เคยปริปากบ่น ตราบใดที่อีกฝ่าย ทำงานที่สั่งได้เสร็จลุล่วงด้วยดี เขาก็ยินดีจะรอคอย ถึงต้องรอนานกว่านี้ เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ

ดวงตาใต้แว่นดำกำลังมองอย่างครุ่นคิดไปยังตึกฝั่งตรงข้ามอยู่ในตอนนั้น จวบจนรู้สึกได้ถึงการมาถึงของคนที่รอ เขาจึงหันกลับไปหา พลางพยักหน้าทักทาย

ใบหน้าสวยยิ้มหวานตอบโดยไม่มีเคอะเขิน สมกับการแต่งตัวสุดมั่น เสื้อผ้าแบรนด์เนมชื่อดัง ออกแบบแปลกตาแต่เข้ารูปพอดิบพอดี ความงามที่แฝงเร้น รูปร่างที่ยากแยกแยะเพศ เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้ที่ได้ใกล้ชิด อดเคลิบเคลิ้มคล้อยตามมิได้

“คราวนี้เป็นใครล่ะ” คำถามรวบรัดตรงประเด็น

ชายชุดดำตอบช้า ๆ แต่ชัดเจนเหมือนทุกครั้ง “เป้าหมายครั้งนี้ ไม่มีการคุ้มกัน จัดการง่ายมาก…”

“หืม?” คนฟังเริ่มแปลกใจ เพราะถ้าเป็นงานที่เบื้องบนระบุให้เขาจัดการ มันจะต้องไม่ใช่งานสังหารทั่วไปแน่

การลอบสังหารใครสักคนนั้นง่าย แต่การเรียกเขามา นั่นหมายถึง การฆ่านั้น ต้องทำให้จบ …โดยหาผู้กระทำผิดไม่ได้เลย

ทุกอย่าง ต้องทำเป็นความลับ

ใกล้ชิด และหว่านเสน่ห์
ทำให้รัก ทำให้ไว้ใจ
ทำให้เป้าหมาย ก้าวสู่ความตาย ด้วยความยินยอมพร้อมใจของเจ้าตัวเอง

นั่นล่ะ คืองานของเขา!

“แต่คราวนี้…มีเงื่อนไขเพิ่ม”

หน้างามหันมามองอย่างสนใจ

“หาตราประทับของผู้ถือหุ้นสูงสุด จากคน ๆ นี้มาให้ได้”

มือนั้นส่งรูปผู้ชายคนหนึ่งให้ดู เป็นชายวัยราว ๆ 25 ปีที่ดูกระฉับกระเฉงผู้หนึ่ง กำลังอุ้มเด็กผู้หญิงตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน ผมตัดสั้น การแต่งตัวดูง่าย ๆ ท่าทางเป็นคนสบาย ๆ ที่ออกจะอ่อนโยนอยู่มาก สังเกตได้จากแววตาในภาพที่มองไปยังเด็กคนนั้น

“เอ็นโด ฮิโรอากิ ทายาทเพียงคนเดียวของบริษัทเครือเอ็นโดกรุ๊ป เขาเป็นคนฉลาดมาก และซ่อนตรานั้นไว้อย่างดี เราพยายามค้นหาแล้ว ล่อลวงให้เขาบอกมาหลายวิธีแล้วด้วย แต่ยังไม่เคยสำเร็จ”

จากภาพไม่น่าเชื่อเลย ว่าจะเป็นทายาทที่ร่ำรวยขนาดนั้น แต่อย่างว่า…

เสียงราบเรียบเปลี่ยนเป็นเน้นคำ “เอาของสิ่งนั้นมาให้ได้ แล้วจัดการเขาซะ อย่าให้เหลือร่องรอยเหมือนเดิม ให้เวลา 2 สัปดาห์ รหัสครั้งนี้ของนาย คือ ‘คิระ’”

เขาว่าพลางยื่นเอกสารปึกหนึ่งส่งให้ “นี่เป็นรายละเอียดของเป้าหมาย ส่วนที่อยู่…”

นิ้วของเขาชี้ไปยังตึกฝั่งตรงข้าม “ชั้นที่ 25 ของตึกนั้น ทั้งชั้นเป็นที่อยู่ของเขา”

“รับทราบ” เขาตอบรับ ก่อนจะมองไปยังตึกตรงข้ามอีกครั้ง

…ตึกสูงที่ออกแบบอย่างมีสไตล์ ที่เอ็นโดกรุ๊ปเป็นเจ้าของ และเป็นที่พำนักส่วนตัวของ เอ็นโด ฮิโรอากิ!

………………………………………………………………………
   
ตึกหลังนั้นมีประตูทางเข้าแบบเสียบการ์ดพร้อมกดรหัส แต่เมื่อยามเอ็นโด ฮิโรอากิ เดินผ่านเข้ามา มันกลับเปิดอัตโนมัติ พร้อมคำทักทาย ‘ยินดีต้อนรับค่ะ ท่านฮิโรอากิ’

นวัตกรรมใหม่แสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีของเครือเอ็นโด ทางด้านการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ภายในอาคารได้ดี หากคนเดินเข้าไปกลับไม่ได้สนใจมันมากนัก เพราะตัวลูกเล่นนี้ เขาเป็นคนออกแบบปรับปรุงเองกับมือ และเห็นจนชินชาแล้ว

ในชั้นที่ 25 ซึ่งเป็นชั้นส่วนตัวของชายหนุ่มทั้งหมด มีห้องติดหน้าต่างวิวสวย ตัวห้องไม่กว้างขวางนัก ตรงกลางมีโต๊ะทำงานตัวกว้าง จัดวางเอกสารไว้เต็มไปหมด

มันคงไม่แปลกนัก ถ้าเป็นขนาดของห้องทำงานลูกจ้างทั่วไป แต่สำหรับห้องประธานบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเขาแล้ว ห้องนี้กลับดูคับแคบเกินกว่าใครจะคาดคิดเลยทีเดียว

แต่ฮิโรอากิไม่เคยใส่ใจ เขาชอบที่มันจะดูคับแคบ
การตีกรอบตัวเองอยู่ในพื้นที่แคบ ๆ กลับทำให้สมองเขาแล่นกว่าการอยู่ในที่โล่งกว้างมากมายนัก

ชายหนุ่มตรงไปที่โต๊ะ แล้วเริ่มทำงานอย่างคุ้นเคย หลายปีมาแล้ว ที่บิดาและเขา ร่วมกันก่อร่างสร้างมันขึ้นมา จนบริษัทเติบโตและยิ่งใหญ่จนถึงปัจจุบันนี้ มันเป็นงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่เขารัก...และถึงตอนนี้ เขาก็ยังชอบทำงานนี้อยู่

เป็นที่รู้กันว่าเวลาทำงาน เขาชอบอยู่เพียงลำพัง และมักจะห้ามไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนโดยไม่จำเป็น

ทว่าในวันนี้ ความสงบนั้นกลับถูกทำลายลงเสียแล้ว เมื่อร่างคล่องแคล่วของคนผู้หนึ่ง ก้าวเดินแผ่วเบาผ่านประตูที่เปิดออกโดยไร้เสียงเข้ามา ดวงตากลมโตสอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยความสนใจอย่างเห็นได้ชัด

เพราะห้องนั้นไม่กว้าง เข้ามาจึงเห็นโต๊ะทำงานเลย และแน่นอน เห็นคนที่นั่งทำงานอยู่ด้วย ตั้งเอกสารจำนวนมากบนโต๊ะ ยังไม่อาจบดบังร่างสูงดูโดดเด่นของเอ็นโด ฮิโรอากิ ผู้กำลังนั่งอ่านข้อความในกระดาษอย่างมีสมาธิไปได้

แขกผู้มาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญ มองไปยังคนที่กำลังง่วนกับการทำงานตรง ๆ จงใจยืนมองการทำงานของเจ้าของห้องอยู่พักใหญ่ โดยไม่พูดหรือส่งสัญญาณใด ๆ ให้รู้ถึงการมาของเขา

หากสายตาที่จับจ้องมาอย่างไม่มีปิดบัง ทำให้คนที่กำลังยุ่งรู้สึกตัวจนได้ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่อย่างสงสัย

“มีธุระอะไรหรือครับ” เขาถามอย่างเป็นงานเป็นการ คนเบื้องหน้างดงามกว่าที่คิด แม้มองคร่าว ๆ น่าจะไม่ใช่ผู้หญิง แต่เขาก็ไม่แน่ใจนัก

ร่างบอบบางได้รูป ส่งยิ้มเปิดเผยเชิญชวน รูปลักษณ์ภายนอกที่งดงามและคงยากจะลืมเลือนได้ แม้เพียงพบพานเพียงชั่วเวลาไม่กี่นาที เป็นจุดเด่นแรกที่เห็นได้ชัด เขานิ่งคิดไปเล็กน้อย ก็มั่นใจได้ว่า ไม่เคยพบคน ๆ นี้มาก่อนอย่างแน่นอน

ชายหนุ่มมองแผ่นกระดาษที่อ่านค้างในมือครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจวางมันลง นึกสงสัยไม่น้อย ว่าเลขาหน้าห้องมัวทำอะไรอยู่ ถึงได้ปล่อยแขกเข้ามาขัดจังหวะการทำงาน โดยไม่ได้แจ้งเขาล่วงหน้าเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่ได้มีอยู่ในกำหนดการนัดหมายของวันนี้เสียด้วย

แขกผู้มาใหม่ยิ้มหวาน นิ้วเรียวจุ๊ที่ปากอิ่มเบา ๆ เชิงบอกใบ้ให้เจ้าของห้องเงียบ “ชั้นจะเข้ามาขโมยของน่ะ”

คำพูดผิดคาด เล่นเอาคนฟังเงียบไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้ถาม สายตาที่มองตอบไปยังขโมยผู้ไม่ได้รับเชิญ กลับไม่ได้มีวี่แววแห่งความประหลาดใจมากนัก ชายหนุ่มเอนตัวพิงกับเก้าอี้ทำงานหนังตัวนุ่มที่นั่งอยู่ ด้วยท่าทางที่ดูผ่อนคลายผิดคาด

“เชิญค้นตามสบาย แล้วกรุณาเก็บของเข้าที่ด้วยนะครับ”

ร่างบอบบางขยับไปนั่งที่ขอบโต๊ะทำงานนั้นอย่างไม่ใส่ใจว่าคนที่ทำงานอยู่จะคิดยังไง ขาเรียวยาวสวยคู่นั้นพาดไขว้ เจตนายั่วยวน ก่อนจะถามว่า “คุณจะไม่ช่วยชั้นหาหน่อยเหรอ?”

“ถ้าช่วยผมเก็บ ผมอาจจะช่วยคุณหา” เขาตอบพลางถอนใจยาว “สองสามวันมานี้ คนของผมคงเบื่อจะเก็บข้าวของที่พวกคุณมาแอบรื้อกันจะแย่แล้ว ถ้ายังไงฝากบอกพวกเขาด้วย ว่าอยากจะค้นก็ตามสบาย แต่ช่วยเก็บให้เนียนหน่อยได้ไหมครับ”

“คุณนี่ขี้โกงจัง จะให้ขโมยเป็นคนเก็บของอีกเหรอ ของก็หาไม่เจอแท้ ๆ” แขกแปลกหน้าบ่นอุบอิบ

“ผมไม่เอาเปรียบคุณหรอกน่า ถ้าคุณช่วยผมเก็บหลังจากรื้อแล้ว ผมเลี้ยงข้าวกลางวันคุณตอบแทนด้วยก็ได้” เขาพูดง่าย ๆ

“งั้นถ้าชั้นไม่รื้อของคุณ คุณจะเลี้ยงข้าวชั้นรึเปล่า” ร่างบอบบางถามต่ออย่างกระตือรือร้น

คนตอบคลี่ยิ้มรับ “ยินดีสิครับ นาน ๆ ทีจะมีคนน่ารัก ๆ มาทานข้าวเป็นเพื่อน ผมก็ชอบอยู่แล้ว แต่ว่า…ให้ผมรู้จักชื่อของแขกวันนี้หน่อยได้ไหม จะได้เชิญอย่างเป็นทางการหน่อย”

มือเรียวน่าลูบยื่นมาให้จับ พลางเน้นชื่อคู่สนทนาอย่างจงใจ “เรียกว่าคิระก็ได้ คุณเอ็นโด ฮิโรอากิ”

“ชื่อดูลึกลับดีจัง คุณขโมยผู้น่ารัก ถ้าจะมาขโมยหัวใจล่ะก็ ผมยินดีให้ขโมยนะ” ชายหนุ่มพูดติดตลก ด้วยใบหน้าที่ยังคงยิ้มแย้ม

“ถ้าให้เรียกว่าฮิโระคุง ชั้นอาจจะลองขโมยมันดู” คนตอบจ้องตาเขาจริงจัง ด้วยท่าทางราวจะกลืนกิน ก่อนจะส่งยิ้มแบบทีเล่นทีจริงไปให้

คนฟังหัวเราะขบขัน “ได้สิ คิระ” เขาต่อให้อย่างสนิทสนมรวดเร็ว

คิระมีรอยยิ้มน่ารัก เมื่อพูดต่อไปว่า “คุณนี่เข้าใจอะไรง่ายดีนะ”

“ผมก็ว่าผมออกจะเข้าใจอะไรง่าย ๆ นะ แต่บางคนกลับไม่คิดแบบนั้น…เอาเถอะ ผมว่า ผมจะพักแล้ว เราไปหาอะไรทานกันดีกว่ามั้ย ผมอยากรู้จักคุณมากกว่านี้จัง” เขาว่าพลางส่งมือให้อีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล “เชิญครับ”

…………………………………………………………..

ในความมึนงง เรือนร่างบางกลับรู้สึกเหมือนถูกอุ้มพาดหลัง พาตัวมาราวกับเป็นกระสอบใบใหญ่ คนอุ้มดูจะไม่ปรานีปราศรัยนัก เห็นได้ชัดจากการโยนคนที่เอาตัวมาลงบนเตียงนุ่มดังโครมใหญ่ พร้อมกับกระเป๋าใบย่อมอีกหนึ่งใบ ที่อีกฝ่ายถือติดมาแต่แรก

เสียงครางแผ่วแกมละเมองัวเงีย ดวงตากลมโตนั้นยังคงหรี่ปรือด้วยความง่วง ก่อนจะพลิกตัวแล้วนอนต่อ ท่าทางน่าเอ็นดูราวเด็กขี้เซาคนหนึ่ง

ปฏิกิริยานั้นทำให้คนที่ยืนมองอดจะยิ้มแกมขำ ๆ ไม่ได้

นี่เหรอ คนที่ทางนั้นว่าจ้างมา?

…น่าแปลก…ทำไมดูไร้เขี้ยวเล็บกว่าทุกที แถมยังโดนมอมยาได้ง่ายขนาดนี้ด้วย?

สายตาระแวดระวังสำรวจทั่วร่างของอีกฝ่าย ยังคงไม่ไว้ใจนัก จะให้ไว้ใจได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าตัวประกาศชัด ว่าจะมาขโมยของ

จะบอกว่า หลังจากที่พวกนั้นพยายามมานับสิบ ๆ ครั้ง ด้วยพวกมืออาชีพ แล้วไม่สำเร็จ เลยส่งมือสมัครเล่น มาหลอกเขาแทนงั้นรึ?

กระเป๋าใบน้อยกลิ้งเอียงอยู่ด้านข้าง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจสำรวจมันก่อน  ทว่าเมื่อได้เปิดกระเป๋าใบนั้นดู กลับเจอแต่ของแปลก ๆ ที่คาดไม่ถึงทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นกุญแจมือติดโซ่หลายเส้น แส้สั้นขนาดพกพา เทียนยาวพร้อมไฟแช็ค ไหนจะขดเชือกสีแดงสด และของอื่น ๆ ที่หาดูได้จากหนังโป๊แนวซาดิสม์

ของพรรค์นี้ จะเอามาเล่น SM หรือยังไง?
ล้อเขาเล่นรึเปล่า?

…ก็ดี แล้วเราจะได้รู้กัน…

ดวงตาวาวโรจน์จับจ้องเรือนร่างอันแสนเย้ายวนใจนั้นเป็นครู่ เขาทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง มือแกร่งปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด ผิวขาวผ่องภายในร่มผ้าละเอียดใสน่าลูบนัก

แม้จะเป็นศัตรูอย่างแน่นอน แต่เขาเองก็ปฎิเสธไม่ได้ ว่าแค่มอง…ก็ยากจะละสายตาไปได้แล้ว

นิ้วยาวสำรวจจนทั่ว นอกเหนือจากของในกระเป๋านั้นกับเสื้อผ้าที่สวมอยู่แล้ว เขาไม่พบอะไรเลย

ไม่มีอาวุธ ไม่มีหลักฐานแสดงตัวตนใด ๆ

คน ๆ นี้ มาตัวเปล่าจริง ๆ

ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งที่เตียงด้านข้างซึ่งยังว่างอยู่ แล้วโน้มตัวเข้าใกล้คนบนเตียงอีกครั้งเพื่อสำรวจให้แน่ใจ แผงขนตาสีดำสนิท ตัดกับผิวหน้าขาวผ่องจนยากจะห้ามใจไม่ให้คิดอกุศล ความใกล้ชิดจนแทบรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย สร้างความปั่นป่วนให้ตัวเขาได้ไม่น้อย

จะมาไม้ไหนกันหนอ…

ขณะกำลังเผลอคิดอย่างเคร่งเครียด มือเรียวยาวก็โอบรอบคอเขาแล้ว เล่นเอาคนอยู่ในภวังค์ถึงกับสะดุ้ง ริมฝีปากอุ่นจู่โจมก่อนด้วยความจงใจจากคนบนเตียง ไม่ทันได้ต้านทาน เรียวลิ้นนุ่มก็แทรกแกมรุกเร้าเข้าหาแล้ว ปลายลิ้นตวัดกวาด เชิญชวนชาญชำนาญนัก ไม่ได้มีวี่แววแห่งความง่วงงุนที่เห็นในตอนแรกหลงเหลืออยู่เลย

ยานอนหลับของเขา…ใช้ไม่ได้ผลงั้นหรือ?

ทว่าจู่ ๆ ร่างสูงก็ชะงัก เมื่อพบว่าอยู่ดี ๆ กลับเป็นร่างกายเขาเองที่ร้อนกว่า…ร้อนและอึดอัดไปหมด ทั้งรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ปลาบแปลบแปลก ๆ ยามโดนสัมผัส จากนั้น...ร่างกายก็เริ่มชาด้านไปทั้งแถบราวเป็นอัมพาต แม้จะยังมีสติอยู่ครบถ้วน แต่เขากลับไม่อาจขยับได้แม้ปลายนิ้ว

คนด้านล่างอมยิ้ม เมื่อเห็นได้ว่า ท้ายที่สุดแล้ว ร่างหนาก็ล้มลงบนเตียงด้านข้างนั้น อย่างยากจะบังคับตัวเองได้อีกต่อไป
 
ในภาวะนั้น สมองของฮิโรอากิยังพอคาดคิดถึงบางอย่างได้…

…ยาปลุก?

ถึงเขาจะไม่เคยกินมันมาก่อน แต่สภาพร่างกายในตอนนี้ ทำให้เขาแน่ใจได้ทันที

มือสมัครเล่นที่คาดคิด หาใช่มือสมัครเล่นจริงไม่

แต่เป็นมืออาชีพต่างหาก!


...........................................


หลังจากจับคนหมดแรงนอนลงแทนที่แล้ว มือคล่องแคล่วก็จัดการล็อคแขนขาเอาไว้ด้วยกุญแจมือกับเสาข้างเตียง โชคดีนักที่เตียงที่นี่มีเสาสี่มุมด้วย ไม่ว่ารสนิยมเจ้าของห้องจะเป็นใจ หรือเพราะมันบังเอิญ เขาก็อดจะชื่นชมท่าทางที่จัดแจงเสร็จเรียบร้อยนั้นไม่ได้อยู่ดี

ลักษณะซ่อนรูปเห็นได้ชัด ยามเสื้อเชิร์ตถูกปลดกระดุมออกจนเปิดอ้า แผงอกและกล้ามเนื้อสมบูรณ์แบบ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป แถมยังยืดหยุ่นเมื่อถูกสัมผัส แสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นคนทำงานนั่งโต๊ะ แต่ฮิโรอากิ ยังคงออกกำลังกายสม่ำเสมอ เป็นความแข็งแกร่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน ที่เพียงแค่ได้เห็น ก็สร้างความพึงใจให้ร่างบางได้ไม่น้อย

คนด้านบนไล้เลียริมฝีปากสีสดของตนเองอย่างกระหาย เจตนาเปลื้องผ้าตนเองออกทีละชิ้น ท้าทายสายตาคนด้านล่าง ที่แม้จะขยับไม่ได้ แต่ยังคงจ้องมองเขม็งมายังเขาตลอดเวลา

ทุกอิริยาบถที่เคลื่อนไหว ร่างบอบบางกระชับได้รูปขาวผ่องนั้น ยิ่งเชิญชวน

ร่างงดงามที่เปลือยเปล่า คร่อมเหนือลำตัวชายหนุ่ม นิ้วเรียวปลดตะขอกางเกงคนโดนขึงอย่างชำนาญ ไม่ได้ใส่ใจจะดึงเสื้อผ้าอีกฝ่ายออกให้หมด เพียงแค่ปลดแล้วดึงร่น สัดส่วนใต้ร่มผ้าก็ขยับขยายจนยากจะซุกซ่อนไว้ได้มิดแล้ว มือคล่องแคล่วลูบไล้แผ่วเบาที่ด้านล่าง ความเป็นชายที่เริ่มแข็งขืนตื่นตัวด้วยฤทธิ์ยา อึดอัดกระสับกระส่ายยากระงับ เพียงแค่ปลายลิ้นนุ่มนั้นแตะสัมผัส เขาก็แทบจะปลดปล่อยออกมา

“ยังหรอก…คุณคงยังไม่อยากเสร็จเร็วขนาดนี้หรอกใช่มั้ย” ริมฝีปากนุ่มขยับยิ้มยั่ว บั้นท้ายงามนั่งคร่อมบนตัวแกร่ง ที่แขนขาถูกพันธนาการด้วยกุญแจมือติดโซ่ยากต่อต้านได้

เชือกเส้นเล็กถูกจับขึงให้ตึงด้วยมือทั้งสอง ก่อนจะลากแนวขวางครูดเบา ๆ ขึ้นลง เสียดสีกับส่วนที่ชูชันอย่างจงใจ เสียงครางหนัก ๆ จากอีกฝ่ายเรียกรอยยิ้มหวานกว่าเดิม ก่อนที่มือนั้นจะจัดการจับเชือกมัดรัดส่วนโคนไว้แน่นเชิงห้ามปลดปล่อย

“อา…อย่ะ…” เสียงร้องแหบแห้งพยายามจะห้าม ใบหน้าแกร่งนิ่วลงเล็กน้อย ร่างสูงขยับตัวอย่างยากเย็น แม้สภาพอากาศไม่ได้ร้อน เนื่องจากมีเครื่องปรับอากาศอย่างดีในห้อง แต่ภายในตัวเขา กลับรู้สึกร้อนผ่าวจนมึนไปหมด มันเป็นความร้อนที่ต้องการการระบายออกเสียด้วย

…ยาที่ได้รับนั้นแรงจริง ๆ แถมตอนไหน เขาก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ!

เสียงกระซิบแผ่วที่ข้างหูพร้อมปลายลิ้นชื้นนุ่มที่แทรกเข้ามาทำให้เขาสะดุ้ง “ถ้าถ่ายวีดีโอคุณโดนทำ SM ไว้แบล็คเมล์ คงจะสนุกดีนะ?”

“คิดว่า…แค่นี้ จะให้ฉันบอกที่ซ่อนของได้งั้นเหรอ” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา แม้ลมหายใจระอุอุ่นปะปนด้วยความต้องการยังบงการร่างกายเขา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาคิดจะยอมแพ้

เรื่องนี้เท่านั้น…ที่เขายอมไม่ได้

“ก็คงต้องลองดู” คนตอบยิ้มหวานรับ

“อยากจะทำอะไรก็ทำ จะถ่ายคลิปวิตถารลงเน็ตก็ตามสบาย ผมจะประกาศไปเอง ว่านี่คือรสนิยมของผม คุณทำไปก็ไม่มีผลอะไรหรอกน่า”

คนฟังหัวเราะคิก “คุณนี่ยอมรับอะไรได้ง่าย ๆ จริงซะด้วย ไม่หรอก ชั้นไม่ทำแบบนั้นแน่”

“ปล่อย..ผม…นะ!” เขาย้ำทีละคำด้วยเสียงเข้ม

“ถ้าปล่อย คุณก็ข่มขืนชั้นพอดีสิ ยานี่น่ะ…แรงไม่เบาหรอกนะ คนพูดมองเบื้องล่างที่ตื่นตัวจนน่าอึดอัดแทนของชายหนุ่ม ส่วนปลายที่ปริ่มน้ำสั่นระริก ยามถูกดีดเบา ๆ ด้วยนิ้วเรียว ร่างหนาก็กระตุกเฮือก

“ตอนแรกชั้นกะจะมาแค่ขโมยของ แต่คุณกลับจะวางยา…และ…นี่คือวิธีการตอบโต้อย่างสมน้ำสมเนื้อ…ไม่เกี่ยวกับการขโมยที่ตั้งใจไว้ ดังนั้นสบายใจได้ ถ้าชั้นพอใจเมื่อไหร่ คุณก็เป็นอิสระ”

“จะให้ผมเลี้ยงข้าวขโมยฟรี ๆ แล้วบอก เชิญเอาทุกอย่างไปเท่าที่ต้องการได้เลย แทนงั้นเหรอ”

“หึ ชั้นไม่หวังขนาดนั้นหรอก…ก็แค่…จะมาขโมยหัวใจของคุณก็เท่านั้น”

“ใครจะไปเชื่อ!”

“เดี๋ยวพิสูจน์ให้ดูก็ได้” คนว่ายังคงยิ้มหวาน มือเรียวดึงแส้ออกมาจากในกระเป๋า ใช้ปลายแส้ไล้ไปทั่วแผ่นอกแกร่ง

“รูปร่างของคุณนี่…ดีจริง ๆ นะ ไม่คิดเลย ว่าจะซ่อนรูปได้ขนาดนี้” ว่าพลางตวัดแส้ในมือดังเพียะ สร้างรอยแดงตัดขวางที่หน้าท้องแบนราบ เล่นเอาอีกฝ่ายกัดฟันกรอด

“คุณกำลังคิดว่า อย่าให้หลุดไปได้นะ …ใช่มั้ย” ว่าพลางเหวี่ยงแส้ลงบนอกกว้างนั้นอีกไม่ยั้ง เรียกเสียงร้องจากอีกฝ่ายได้ชะงัดนัก

ร่างบนเตียงหอบหายใจถี่ แนวยาวสีแดงพาดซ้ำซ้อนจนแทบห้อเลือด เจ็บ…นั้นไม่เท่าไหร่…แต่เจ็บ แล้วมันยิ่งกระตุ้นความต้องการของเขา ให้มากขึ้นกว่าเดิม…สิ่งนี้ต่างหาก ที่เขาจะทนไม่ไหว

“ร้อนแรงยังไม่พอ?” ปลายแส้ที่กดต่ำ ถูไถส่วนตื่นตัวเบื้องหน้าไปมา จะขยับหนีก็ไร้หนทางไป ได้แต่จำยอมอดทนอดกลั้นต่อไปอีก

หากอีกฝ่ายกลับไม่ยอมเว้นช่วงให้หายใจ เมื่อเริ่มหยิบเทียนในกระเป๋าขึ้นมา แล้วจ่อจุดด้วยไฟแช็คจนสว่างวาบ

มือคล่องแคล่วเอนเอียงตัวเทียนจนเปลวของมันแทบจะจ่อกับร่างกายเบื้องล่าง ร้อน…วูบวาบไปหมด น้ำตาเทียนที่หยาดหยดลงไป ทีละหยด…แข็งตัวรวดเร็ว แต่ทิ้งความแสบลึก ชายหนุ่มร้องสุดเสียง เมื่อมือข้างนั้น เลื่อนลงต่ำ จดจ่อปลายเทียนที่ส่วนอ่อนไหวที่ตั้งชันนั้น

คราบแผ่นเทียนที่หยดลงถูกแกะออกทีละน้อย ก่อนไล้เลียซ้ำด้วยลิ้นนุ่ม ร่างกายที่พยายามข่มกลั้น ยิ่งเริ่มหมดความอดทน บั้นท้ายสวยก้าวคร่อมเหนือร่างเขาอีกครั้ง ปลุกเร้าแก่นกายตื่นตัวนั้นด้วยปลายลิ้น สะโพกแข็งแรงเกร็งแน่น อึดอัดกว่าเดิมหลายร้อยเท่า

คราวนี้สติของเขาเริ่มไม่หลงเหลือแล้ว มีเพียงความต้องการที่บดบังทุกอย่างไปจนหมดสิ้น ร่างกายที่ต่อต้านอย่างรุนแรงดิ้นรน ฉุดกระชากแขนขาที่ไม่สามารถขยับได้ดังใจนั้นตลอดเวลาจนแทบได้เลือด คิระมองคนบนเตียงอยู่เป็นครู่ รู้ดีว่าตอนนี้ คงพูดจากันไม่รู้เรื่องแล้ว

ร่างบางโน้มตัวลงจูบที่ข้างแก้มพลางพึมพำ “ไม่ต้องห่วงนะ ชั้นจะช่วยคุณเอง” ใบหน้าสวยยิ้มให้ ก่อนจะค่อย ๆ ไขกุญแจปลดปล่อยคนคลุ้มคลั่งนั่นให้เป็นอิสระ

ทันทีที่เคลื่อนไหวได้เป็นปกติ ฮิโรอากิที่โดนวางยา ก็ทำตามความปรารถนาที่ซ่อนเร้นทันที ร่างบอบบางที่เปลือยเปล่าถูกกดลงกับเตียงโดยแรงตามกระแสความบ้าคลั่ง สัญชาตญาณดิบที่เก็บกดมานานเริ่มแสดงออก นิ้วหยาบแทรกลึกรวดเดียวจนคนบนเตียงแทบหวีดร้อง  ขาที่โดนตรึงด้วยแขนแข็งแรงราวคีมเหล็ก ทำให้ไม่ว่าจะดิ้นรนสักเพียงใด ก็ไม่อาจจะหลุดจากเงื้อมมือนั้นได้

แต่เขาไม่ได้คิดจะดิ้นรน

ไม่ได้คิดจะหนีด้วย

เพราะการปลดปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ ผลของมัน เขาย่อมรู้ซึ้งเป็นอย่างดี ยาชนิดนี้แรงมาก…และคนที่ได้รับยานี้ ก็จะไม่หยุด…จนกว่าราตรีกาลจะผ่านพ้น

การปล่อยอีกฝ่ายออกมา จึงดูราวกับจงใจฆ่าตัวตายเสียอย่างนั้น
แต่คิระคิดจะทำอะไร คงมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้…

ร่างบอบบางปล่อยให้อีกฝ่ายจัดการตามความปรารถนานั้น อย่างรุนแรง..และไม่มีการหยุดยั้งแม้เพียงเสี้ยววินาที

“อ๊า!!!” เสียงใสกรีดร้องครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างกายที่บอบช้ำไม่ได้ต่อต้านเลยสักนิด รู้ดีว่าหากยิ่งไม่ให้ความร่วมมือ จะยิ่งทรมานกว่านี้หลายเท่านัก เขาเคยเห็นกระทั่งว่า คู่นอนของคนที่ได้รับยา ถูกบีบคอจนตายคามือ

แรงกระแทกที่ถาโถมเข้าใส่สร้างความเจ็บปวดแค่ไหน เขาไม่ได้ใส่ใจ จวบจนสติเลือนราง อีกฝ่ายก็ยังคล้ายไม่เลิกรา หน้าใสเหยียดยิ้มเย็นชาให้กับตัวเอง ความทรมานแค่นี้ ไม่ทำให้เขาพังทลายลงไปได้

นี่เป็นเกม…และการเดิมพันของเขา

ยิ่งเสี่ยง โอกาสชนะยิ่งสูง

และ..ท้ายที่สุด เขาจะต้องเป็นผู้ชนะ!

คิระหัวเราะเสียงแผ่วเบา ก่อนจะหมดสติไปทั้งอย่างนั้น


…………………………………………….


กว่าฮิโรอากิจะรู้สึกตัวอีกครั้ง ยามเช้าก็มาเยือนแล้ว เขาขยับตัวอย่างอึดอัด รู้สึกปวดแปลบไปทั้งร่าง สมองมึนงงแทบจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอชายหนุ่มลืมตามองก็แทบสะดุ้งผุดลุกขึ้นนั่ง สภาพเตียงที่ยุ่งเหยิง และร่างบอบบางที่บอบช้ำและไม่ได้สติ

นี่เขาทำอะไรลงไป?

สภาพอีกฝ่ายที่เห็น ทำให้เขาคิดหนัก ในความทรงจำอันรางเลือนเมื่อคืน หลังจากที่อยู่ดี ๆ ก็ถูกปลดล็อคออกมา เขาก็จำอะไรไม่ได้แล้ว

รู้แค่ว่า คิระเป็นคนไขกุญแจนั่น…ทั้ง ๆ ที่รู้ ว่าอันตรายมาก

คน ๆ นั้น ทำแบบนี้เพื่ออะไรกัน เรียกคะแนนความสงสารงั้นเหรอ?
ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย ทำไมต้องลงทุนอะไรมากขนาดนี้ด้วย?

และแล้ว..ความอยากรู้อยากเห็นก็ชนะทุกอย่าง ชายหนุ่มถอนใจยาว ก่อนจะตัดสินใจโทรตามหมอที่รู้จักกัน


………………………………………………….

ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
 :pighaun: :m25: :jul1:

เคะราชินี ช่างยั่ว


namtaan

  • บุคคลทั่วไป
อีกคนนึงแล้ว

เหยื่อ!

บวกไปอีก 1 แต้มเช่นเคยจ้า
ขอบคุณนะ

ออฟไลน์ ppm

  • รักเด็กจังเลย
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 235
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
    • ppmfic yboard
(ตอนที่ 4/2)

นัยน์ตางามลืมขึ้นช้า ๆ เจ็บระบมไปทั้งตัว ทั้งข้างนอกข้างในจนถึงส่วนลึก แขนขาแผ่นอก ทั่วร่างที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนขบกัดจนเป็นแผล แต่ทุกส่วนได้รับการรักษาและปิดผ้าพันแผลไว้แล้ว แขนข้างหนึ่งถูกโซ่รั้งเมื่อพยายามจะขยับ พอมองให้เต็มตา ก็พบว่ากุญแจมือติดโซ่ยาวของเขา ถูกใช้เป็นเครื่องพันธนาการตัวเขาเองเสียแล้ว

“ฟื้นแล้วงั้นเหรอ” ร่างสูงที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียงมองมา ด้วยท่าทีที่ไม่ว่างใจกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าคงนั่งมองเขามานานแล้ว

“อึก...” เสียงครางแผ่วเมื่อเขาพยายามขยับตัว จนอีกฝ่ายอดไม่ได้ ต้องจับร่างนั้นกดลงไปให้นอนต่อ

“ปล่อยสิ…ชั้นจะกลับแล้ว” เขาพึมพำเสียงอ่อนแรง แม้จะพยายามลุกอย่างไร ก็สู้แรงจากฮิโรอากิไม่ได้ แต่ถึงชายหนุ่มปล่อยมือ ก็ยังไปไม่ได้อยู่ดี เพราะกุญแจมือนั่น ยังล็อคแขนขาวของเขาอยู่

“เรื่องอะไรจะปล่อย” คนด้านข้างตอบเรียบ ๆ ก่อนกลับไปทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ดังเดิม

ดวงตากลมโตวาววาบขู่ฟ่อ ดุจแมวน้อยถูกต้อนยามโดนรังแก “ปล่อยชั้นเดี๋ยวนี้เลย ถ้าไม่อยากเข้าคุก ชั้นไม่ได้ขโมยอะไรเลยนะ แล้วตอนนี้…เป็นคนที่โดนคุณข่มขืนด้วย ไม่ว่าจะไปตรวจร่างกายที่ไหน คุณก็โดนข้อหาเต็ม ๆ”

คนมองมาแย้มยิ้มขบขัน “นายต่างหาก ที่เป็นคนบุกรุกบ้านฉัน”

“อ้อ งั้นเหรอ ถ้าชั้นให้การว่า นายวางยาชั้นที่ร้านอาหาร มีพยานและกล้องวงจรปิดถ่ายไว้ด้วย แถมยังอุ้มกลับมาบ้าน แล้วข่มขืนซ้ำอีก หลักฐานขนาดนี้ คงดิ้นไม่หลุดหรอก" ว่าพลางหันมาต่อรองด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ "แต่ถ้านายปล่อยชั้นล่ะก็…ชั้นจะถือว่าเราสมยอมกัน”

ร่างสูงถอนใจยาว คนเบื้องหน้าไม่ว่าจะทำอะไร ก็แปลกเกินคาดคิดไปหมด “ไม่…จนกว่านายจะบอกฉัน ว่าตอนที่ฉันกำลังคลั่ง นายปล่อยฉันทำไม”

“ก็นายดูทรมานมาก” คนตอบ ตอบโดยไม่ต้องคิดให้มากความ

“แล้วไง? ไม่เห็นมีเหตุผลเลย?” ชายหนุ่มยังไม่เข้าใจ

ร่างบอบบางยิ้มน้อย ๆ “เพื่อความเสมอภาคไงล่ะ นายวางยาชั้น…ชั้นก็วางยานายกลับ ชั้นเล่นซาดิสม์กับนาย ชั้นก็ยอมให้นายระบายออกหลังจากนั้น มันก็แค่นี้เอง”

“และเพราะชั้นมันเป็นคนมาโซ แถมไม่มีเหตุผลด้วย ดังนั้น…สิ่งที่นายทำ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”

หากฮิโรอากิยังไม่หมดคำถาม จะว่าไปแล้ว เขามีคำถามตั้งมากมายอยากถามคนเบื้องหน้า แต่ก็ยังรู้อีกว่าถึงจะถามไป อีกฝ่ายก็คงไม่ตอบอยู่ดี

“แล้วเรื่องขโมย…?”

คนบนเตียงจ้องกลับมาแล้วถามอย่างจริงจัง “หัวใจนายยังอยู่รึเปล่าล่ะ”

คนฟังอึ้งไปเล็กน้อยกับคำถาม ไม่แน่ใจนัก ว่าคิระหมายถึงอะไร “ถ้าหมายถึงหัวใจที่เต้นอยู่ตอนนี้ มันก็ยังอยู่”

คิระหัวเราะเบา ๆ อย่างขบขัน “ก็แสดงว่า ชั้นยังขโมยไม่สำเร็จ มันก็แค่นั้น” เขาตอบอย่างง่ายดาย ก่อนจะเอนกายลงบนเตียงอีกครั้งพร้อมถอนใจยาว กุญแจมือที่ล็อคแขนอยู่ ก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะเลิกใส่ใจแล้ว

"เฮ้อ...จะว่าไป เตียงนี่ก็นอนสบายดีนะ ในเมื่อนายไม่ยอมปล่อย ชั้นก็ขอยึดสักระยะก็แล้วกัน ถือเป็นค่าทำขวัญก็ได้"

หากฮิโรอากิยังตีสีหน้าเคร่งเครียด “ฉันไม่เข้าใจ ถ้าฉันควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วฆ่านายตายคาเตียงขึ้นมา นายจะว่ายังไง”

“ชั้นก็แค่ตาย คนตายยังไงก็บ่นไม่ได้อยู่แล้วนี่” คนถูกถามตอบง่าย ๆ แล้วหันไปส่งยิ้ม

“แต่ตอนนี้ ชั้นไม่ได้ตาย ดังนั้น…นายต้องรับผิดชอบชีวิตชั้น จนกว่าจะหายดี ได้มั้ยล่ะ” เขาว่าพลางส่งยิ้มหวานกลับมาให้

ดวงตาระแวดระวังมองมาอีกครั้ง “ตั้งใจจะใช้ช่วงเวลานี้ ขโมยของล่ะสิ” ชายหนุ่มพูดดักคอ

“ใช่” คนบนเตียงตอบรับไม่มีปิดบัง “ก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว …ว่าแต่จะให้อยู่รึเปล่าล่ะ”

"ถ้ามีค่าตอบแทนให้บ้าง อยากจะอยู่นานแค่ไหนก็ตามใจ" ฮิโรอากิตอบในที่สุด ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มเช่นกัน "เผลอ ๆ ระหว่างที่นายกำลังพยายามขโมยของ ๆ ฉัน ไม่แน่นะ ฉันอาจจะขโมยหัวใจนายสำเร็จก่อนก็ได้"

"ก็ลองดูสิ ว่าใครจะขโมยของใครได้ก่อนกัน" คิระตอบยิ้ม ๆ "ส่วนค่าตอบแทน...ชั้นให้ได้แค่ร่างกายนี้ อยากจะกอดตอนไหนก็เชิญตามสบาย" เขาว่าพลางหลับตาลงอีกครั้ง ก่อนจะผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วจนอีกฝ่ายไม่ทันจะได้โต้แย้งใด ๆ คงเพราะสภาพร่างกายที่ยังไม่ฟื้นคืนดีด้วยนั่นเอง

คนมองส่ายหน้าอย่างระอาเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ว่าคนผู้นี้...ทำให้เขาสนใจจริงจังขึ้นมาแล้ว!


....................................


วันรุ่งขึ้นมีพิธีแถลงข่าวซอฟแวร์ตัวใหม่ของบริษัท ที่เขาเองต้องเป็นประธานในงาน แม้จะไม่อยากออกไปโดยทิ้งคิระไว้ลำพัง แต่มันก็จำเป็น ฮิโรอากิในชุดสูทสีขาว หันไปมองดวงตากลมโตที่อยากรู้อยากเห็นนั้น พลางพูดขึ้นว่า “ชั้นจะออกไปข้างนอก นายรออย่างสงบเสงี่ยมในห้องนี้ก็แล้วกันนะ”

“นั่นน่ะ ก็ได้อยู่ แต่ทำไมชั้นต้องใส่ชุดแบบนี้ด้วยล่ะ?” เสียงใสถามแย้งขึ้น มีแววแห่งความหงุดหงิดเล็กน้อย ที่ไม่ได้ทำตามใจชอบอย่างที่คิด

“ก็นายบอกเองนี่นา ว่าตอบแทนได้แค่ร่างกาย นักธุรกิจอย่างฉัน ก็ต้องหาทางใช้ร่างกายนี้ให้คุ้มค่าสิ” ฮิโรอากิพูดหน้าตาเฉย ดวงตาคมมองคนตรงหน้าอย่างตั้งใจ มือแข็งแรงผูกปลอกคอห้อยกระดิ่งให้ที่คอ ตัวปลอกคอนั้นมีโซ่ยาวติดอยู่ด้วย

ร่างบอบบางบนเตียงในตอนนี้ จึงสวมแค่กางเกงตัวจิ๋วแนบเนื้อที่มีหางยาวสีดำสนิทต่อเชื่อมเพียงตัวเดียว แถมยังมีหูแมวเสียบอยู่ด้านบนอีกต่างหาก

“หึ เล่นด้วยก็ได้” หนุ่มน้อยในชุดแมวเหมียวฉีกยิ้มหวาน แววตาท้าทายนั่น มองทีไรฮิโรอากิก็นึกอยากจะกำหราบให้อยู่หมัด ให้นอนหมดสภาพใต้ร่างเขาซะทุกที

“แต่งแบบนี้แหละดี จะได้หนีไปไหนไม่ได้” เขาพูดต่อแกมหัวเราะ จนอีกฝ่ายแอบค้อนให้อย่างงอน ๆ “ที่สำคัญ คนป่วยน่ะ ต้องนอนนิ่ง ๆ เฉย ๆ ไม่งั้นจะไม่หายนะ” เขาพูดต่อเรื่อย ๆ ขณะกำลังแต่งตัว ดูมาดดีไม่เลวเลยทีเดียว ผิดกับท่าทางที่เห็นในรูป หรือชุดสบาย ๆ ที่ใส่ตอนทำงานลิบลับ

“รู้แล้วน่า แต่ว่า…แต่งแบบนี้…มันหนาวนะ…แล้วก็…ทำให้มีอารมณ์ด้วย” แมวหนุ่มน้อยในตอนนี้พึมพำเสียงแผ่ว มีหอบปะปนน้อย ๆ อีกด้วย จนคนมองเริ่มแอบหมั่นไส้ มือหนาคว้าหมับที่โซ่เส้นสั้นติดปลอกคอ ซึ่งเจ้าตัวสวมอยู่ ดึงขึ้นมา

“แง้ว!”

“นายนี่ อย่าซนเชียวนะ” ว่าแล้วก็ล็อคปลายโซ่เส้นนั้นอีกด้านเข้ากับเสาหัวเตียง

คนโดนล่ามพึมพำกระปอดกระแปด “นายห้ามแมวไม่ให้ซนไม่ได้หรอกน่า เออนี่  แล้วเขาก็ไม่เอาปลอกคอล่ามแมวกันหรอกนะ นั่นมันของหมาต่างหาก”

“กับแมวเชื่อง ๆ ก็ไม่ต้องหรอก แต่กับนาย…ไว้สักพักค่อยว่ากันอีกที” เขาว่าพลางเปิดประตูออกไป “เป็นเด็กดีอยู่เฉย ๆ ล่ะ แล้วฉันจะรีบกลับ”

“เมี้ยว!” แมวน้อยตอบรับ เล่นเอาคนกำลังจะก้าวออกจากห้อง หลุดขำออกมาจนได้

ประตูปิดลงอีกครั้ง คนบนเตียงถอนใจยาวพลางหยิบหางที่ยาวนั้นมาหมุนเล่น “ฮึ ของสั่นได้ออกจะเร้าใจกว่า ทำไมไม่หามาให้ใส่บ้าง”

“นอนดีกว่า” เขาพึมพำอีกครั้งราวแมวขี้เซา ก่อนจะซุกตัวลงบนที่นอนหนานุ่มนั้น โดยไม่ใส่ใจจะทำอะไร กระทั่งหาของตามที่ได้รับมอบหมาย

…เพราะคิระรู้ดี ว่าหากคนขององค์กรยังหามันไม่เจอ เขาที่ไม่ได้ชำนาญทางด้านนั้น ไม่มีทางหาเจอ
นอกซะจากว่า…ฮิโรอากิ จะบ่งบอกที่ซ่อนออกมาเอง
และนั่น…คือหน้าที่ของเขา

ร่างบอบบางในชุดแมว จึงนอนขดตัวหลับปุ๋ยอย่างสบายบนเตียงนั้น ฆ่าเวลาเพื่อรอการกลับมาของฮิโรอากิในห้องอย่างสบายใจ

ในตอนนั้น ฮิโรอากิที่เปิดประชุมในฐานะประธานเรียบร้อยแล้ว ก็แอบมองสภาพห้องตัวเอง ผ่านทางโน้ตบุ๊ค ที่เชื่อมสัญญาณกับกล้องวงจรปิดในห้องอย่างตั้งใจ

ภาพที่เห็นในคอม ฉายส่วนเตียงชัด โดยเฉพาะร่างที่ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ เจ้าแมวน้อยของเขา…ที่ยังคงไม่ได้ลุกออกจากเตียงเลยสักก้าว

ช่างนอนได้มีความสุขดีแท้

ดูได้สักพัก เขาก็เริ่มสังเกตสิ่งผิดปกติบนเตียง ใต้ผ้าห่มร่างนั้นเริ่มนอนอยู่ไม่สุข มีการขยับไปมา แม้ไม่รู้ว่าทำอะไร แต่สีหน้าแดงเรื่อนั้นก็ได้ใจไปเต็ม ๆ คนดูเริ่มร้อนผ่าว ราวกับว่าคิระ รู้ว่ามีกล้องแอบถ่ายอยู่ภายใน ผ้าห่มผืนหนาถูกตลบพับไปอีกข้าง เผยให้เห็นร่างบนเตียงชัดเจนขึ้นอีก

“อึก…ฮิ…โระ…” นิ้วเรียวลูบไล้ผ่านผ้าผืนน้อยนั้นเนิบช้า ขยับลูบไล้ไปมาจนเคลิบเคลิ้ม

ลิ้นนุ่มเลียปลายนิ้ว ดูดดึงยั่วยวนจนเปียกชื้น ร่างบอบบางพลิกตัวคว่ำลง ยกสะโพกขึ้นสูงก่อนนิ้วแสนซนนั้นจะแทรกเข้าผ่านกางเกงตัวน้อยนั้น ลึกเข้าไปภายในร่างกายอย่างช้า ๆ โชว์เต็ม ๆ ราวรู้ตำแหน่งกล้องแอบถ่ายเป็นอย่างดี

“แง้ว…อือ…” สะโพกสวยยักย้ายส่ายไปมา หางแมวที่ขอบกางเกงกวัดไกวยั่วยวนกลาย ๆ

เสียงใสแกล้งร้องแบบแมวเข้าไปอีก เล่นเอาชายหนุ่มที่แอบเสียบหูฟังดูภาพอยู่แทบสะดุ้ง แมวอะไร ยั่วได้ขนาดนี้ คนดูกลืนน้ำลายฝืด ๆ ลงคอเอื้อกใหญ่ รู้สึกหน้าร้อนผ่าว ร้อนลึกไปถึงข้างในกางเกงเลยทีเดียว

ในที่สุดเขาก็อดรนทนไม่ได้ มือปิดคอม แล้วผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง

“ท่านประธานครับ จะไปไหนน่ะครับ” เลขาคนสนิทกระซิบถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายลุกออกจากที่ก่อนเวลาตามกำหนดการ

ชายหนุ่มพูดหน้าตาย “ฉันลืมแมวทิ้งไว้ในห้อง แล้วไม่ได้ให้อาหารไว้น่ะ ฝากจัดการที่นี่ต่อด้วยนะ” ว่าแล้วเขาก็ผลุนผลันออกไปอย่างรวดเร็ว ดีที่งานเปิดตัวนี้ จัดในตึกที่พักเขาเอง แต่เป็นชั้นล่าง เขาจึงไม่ได้ใช้เวลาในการมาถึงห้องส่วนตัวมากนัก
 
ประตูห้องนอนเปิดออกอีกครั้ง คนบนเตียงเริ่มมีรอยยิ้ม เสียงร้อง “เมี้ยว” ทักขึ้นทันที ทั้ง ๆ ที่มือยังไม่หยุดขยับในท่าเดิม ลมหายใจอุ่น ๆ ขาดห้วงน้อย ๆ แกมหอบ เร้าอารมณ์คนฟังได้ดีเป็นพิเศษเลยทีเดียว

หนุ่มเจ้าของห้องมองร่างบนเตียงด้วยสายตาดุ ๆ พลางพึมพำ “นายนี่นะ…”

เสียงร้องแง้วดังกว่าเดิม ดวงตากลมโตที่มีน้ำตาคลอน้อย ๆ ส่งมาให้อย่างออดอ้อนเชิงยั่วยวน

เสื้อสูทถูกเหวี่ยงออกไปจากตัว ตามด้วยเสื้อและกางเกง เมื่อฮิโรอากิก้าวขึ้นบนเตียงราวโดนดึงดูด คนตรงหน้า…ช่างยั่วได้เก่งเสียจนเขาแทบคลั่ง แม้จะยังไม่ไว้ใจแม้แต่น้อย แต่เขาก็ไม่อาจละความสนใจจากคน ๆ นี้ไปได้เลย

ไม่เลยแม้เพียงเสี้ยววินาที!

คงเพราะเจ้าชุดนั่น ดึงดูดและปลุกอารมณ์ให้กับเขาเป็นพิเศษ เจ้าแมวน้อยแสนสวยของเขา …ช่างเหมือนแมวจริง ๆ เอวคอดกิ่วคลานสี่ขา ยกสะโพกสูงส่ายไปมาจนเขาแทบจะหยุดใจตัวเองไม่ได้

ทั้ง ๆ ที่คราวนี้ ไม่ได้มีการใช้ยาใด ๆ

เพียงแค่ลูบไล้ ร่างกายนั้นก็ยิ่งตอบรับ มือเขาค่อย ๆ แทรกเข้าทีละน้อย แล้วจึงพบว่า ช่องทางที่เปิดกว้างจากการใช้นิ้วผ่อนคลายเมื่อครู่ พร้อมกว่าที่คิด โดยไม่ต้องรีรอสิ่งใดอีก ชายหนุ่มตัดสินใจเข้าหาจากทางด้านหลังอย่างเชื่องช้าหยั่งเชิง

“แง้ว!!!” เสียงใสร้องเป็นเสียงแมวอีกแล้ว..ช่างน่ารักน่าแกล้ง น่าทำรุนแรงเสียจริง

แผ่นหลังที่ขาวเรียบลื่นน่าลูบไล้ที่แนบชิดขยับเสียดสีแผ่นอกเขาไปมาเนิบช้าตามการขยับตัวของเขาเอง บั้นท้ายกระชับยกสูงรับ เมื่อการล่วงล้ำจากด้านหลังนั้นแทรกเข้าสู่เบื้องลึก กระแทกกระทั้นไปจนสุดทางคับแคบ เสียงหวานครางแผ่วแทบไม่เป็นภาษา เพราะใบหน้าเนียนใสนั้นยังคงซุกลงกับหมอนนุ่ม แถมกัดงับบางส่วนของหมอนนั้นไว้เชิงห้ามเสียง

“อื้อ!!..อื้อ!!!” ดวงตาหวานฉ่ำไปด้วยน้ำตาคลอ ความเป็นชายที่ตื่นตัวเต็มที่ในร่างกายเขา ทั้งสร้างความอึดอัดและวาบหวามสุดจะทน สะโพกบางเกร็งน้อย ๆ ทั้งบีบรัดโอบล้อม สัมผัสอุ่นระอุเริ่มร้อนผ่าว เมื่อความต้องการสูงกว่าเดิม

แขนบอบบางพยายามทรงตัวยันกายขึ้นต้านทานอย่างยากเย็น หากถูกมือแกร่งกดหัวไหล่ของเขาแนบกับที่นอนจนยากจะดิ้นหลุด แรงสวนกลับนั้นมาไม่มียั้ง ความอึดอัดที่แทรกเข้า บีบบังคับขาสั่นระริกในท่ากึ่งคุกเข่าขยับอ้ากว้างกว่าเดิม

เจลใสถูกบีบราดเพิ่มลงที่ร่องก้น ก่อนมือหนาจะบีบเค้นบั้นท้ายเนียนแกมกระตุ้นซ้ำ เร่งเร้าเติมไฟร้อนในอารมณ์ การขยับที่รุนแรงเสียดสีจนเริ่มชา หากจอมมาโซด้านล่างเองกลับต้องการมากกว่านี้

“อ๊า…แรงอีก!” สะโพกเนียนขยับยกสูงขึ้นท้าสู้รับ คนทำด้านบนผ่อนลมหายใจยาว ก่อนแทรกเข้าหาถี่กว่าเดิม

มือแกร่งโอบเอวบางแนบชิด กดบั้นท้ายแข็งแรงดันแทรกลึก เรียกเสียงกรีดร้องแหลมได้อีกชะงัด เขาคว้าโซ่ที่ปลอกคอดึงรั้งให้เงยขึ้น ปากระอุอุ่นแนบชิดปากแดงเรื่อ ขยี้บดเบียดซ้ำ ลิ้นชำนาญแทรกเข้าหาลิ้มรสชาติหอมหวานภายในจนทั่ว จูบแล้วผละออก มือนั้นกลับดึงโซ่รั้งไว้ แล้วจูบซ้ำอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า

ร่างบางผ่อนลมหายใจออก ค่อยระบายความต้องการภายในที่อัดแน่น มืออีกข้างที่ว่างของคนด้านบน ล้วงลึกผ่านกางเกงตัวน้อย เค้นคลึงแกมรูดรีดเร้นส่วนไวต่อสัมผัสเบื้องหน้าของร่างด้านล่างไม่มีหยุด เสียงร้องขาดห้วงดังเป็นระยะ เมื่อจุดวิกฤติใกล้มาเยือน

“อ๊า..อึก…อื้อ….!!” สะโพกแกร่งสวนเข้าหาหนักหน่วง ยามช่วยกระตุ้นข้างหน้าของอีกฝ่ายไปพร้อม ๆ กัน สัมผัสที่เร่งเร้าถึงสองทาง เล่นเอาคนด้านล่างแทบทรงตัวไม่อยู่ จึงถูกรั้งขึ้นมานั่งตักแทน ริมฝีปากอุ่นจูบไซร้ซอกคอขาว ประทับรอยย้ำซ้ำรอยเก่า ที่ทิ้งไว้ในคราวก่อน

เรือนร่างบอบบางกระตุกเฮือก เสียงร้องแทบหลุดหาย พอ ๆ กับเรี่ยวแรงที่ลดลงหลังการเกร็งกระตุกจนปลดปล่อยไปพร้อม ๆ กัน ร่างหอบถี่ซบแนบไหล่กว้าง ดวงตาหรี่ปรือแทบลืมไม่ขึ้น ไร้สิ้นเรี่ยวแรงโดยสิ้นเชิง

“หมดแรงแล้วเหรอ เจ้าแมวน้อย” เสียงแซวข้างหู เล่นเอาหูแมวแทบกระดิก ดวงตาดุ ๆ ค้อนควับ แทบจะหันไปงับอีกฝ่ายเอาถ้าแรงเหลือ

“ขี้โกงนี่นา…คราวหน้า…ไม่ยอมให้ทำแบบนี้แน่” คนโดนแหย่พูดฝากไว้ ก่อนจะหลับใหลไปทั้งอย่างนั้น

คนบนตักเงียบไปแล้ว เมื่อร่างแกร่งช้อนตัวคนหลับขึ้นมาวางนอนบนหมอนอีกครั้ง

“หลับง่ายจริงเชียว” เขาพึมพำ มือเกลี่ยไรผมเปียกชื้นยุ่งน้อย ๆ นั้นให้เข้าที่ ก่อนจะปล่อยให้นอนต่อโดยไม่รบกวนอีก

ดวงตาอ่อนโยนลงมองไปยังร่างนั้น…ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เขาถูกใจคนผู้นี้…มากกว่าที่คิด

กับดักรึเปล่า? หรืออะไรกันแน่?

แต่ไม่ว่าคิระคนนี้ จะเข้าใกล้เขา ด้วยจุดประสงค์อะไร
ในตอนนี้ คิระ ก็เป็นของเขา

ใช่…ยังเป็นของเขา อีกสักระยะ

จะอย่างไร เขาก็ยังกำไรอยู่ ชายหนุ่มคิดแล้วยิ้มให้กับตัวเองอย่างเยือกเย็น

………………………………………………………………………


เป็นเวลานานแล้ว ที่ฮิโรอากิยังคงง่วนอยู่กับคอมพิวเตอร์ตรงหน้าโดยแทบจะลืมเลือนคนบนเตียงด้านข้างไปแล้ว แม้ว่าจะถูกจับจ้องด้วยดวงตาคู่งามนั้นอยู่ตลอดเวลา คิระที่นอนอยู่บนเตียง ยังคงสวมปลอกคออยู่เหมือนเดิม แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้บ่นแต่อย่างใด นอกจากจะยืดตัวแล้วบิดร่างกายน้อย ๆ อย่างเกียจคร้าน ไม่ต่างไปจากแมวตัวหนึ่ง แล้วขดตัวนอนตาปรือ มองเขานั่งทำงานอยู่เงียบ ๆ

ตาคมลอบมองหนุ่มน้อยคิระ ที่ตอนนี้ ดูเหมือนแมวมากกว่าคนเสียอีก อย่างครุ่นคิด

กว่าจะหมดฤทธิ์…

ที่คิดเช่นนั้นก็เพราะเมื่อคืนเขาโดนเจ้าแมวจอมยุ่งปลุกกลางดึก แถมยังต้องตื่นมาอาบน้ำให้อีกต่างหาก จะไม่รับผิดชอบก็กระไรอยู่ เพราะตัวเขาเอง เป็นสาเหตุให้เจ้าแมวน้อยจอมซน รู้สึกอึดอัดภายในจนนอนต่อไม่ได้

แต่มันคงจะไม่เหนื่อยมากนัก ถ้าเจ้าแมวตัวน้อยไม่ยั่วเขาในห้องน้ำ จนต้องเหนื่อยอีกรอบ

ภาพคนตรงหน้าที่แสนจะยั่วยวนในห้องน้ำ ทำให้คนอย่างเขา…เสียแรงกว่าที่คิด

แต่นั่นก็ทำให้เขาได้ไอเดียงานชิ้นใหม่มาด้วย

และสาเหตุนั้น….จึงทำให้ชายหนุ่ม เอาแต่สนใจคอมพิวเตอร์มากกว่าเจ้าแมวตัวโปรดของเขาในยามนี้

“เมี้ยว~” เสียงแมวของเขายั่วอีกแล้ว  แถมกำลังจะเริ่มร้องประท้วงหนักกว่าเก่า เพราะถูกละความสนใจไปเสียด้วย

“เลิกร้องเป็นแมวได้แล้ว” เขาอดรนทนไม่ได้ ต้องเริ่มบทสนทนาก่อน คนคิดเกมแมวเหมียวนี่คือตัวเขา กะว่าจะแกล้งแก้เผ็ดอีกฝ่ายสักเล็กน้อย แต่ที่ไหนได้ กลับโดนเอาคืนเสียจนหมดเรี่ยวแรง

“ไม่ชอบงั้นเหรอ” เสียงใสถาม ดวงตากลมโตจ้องมองเขาตรง ๆ ร่างบนเตียงผุดลุกขึ้นนั่ง สายโซ่ที่ไม่ยาวนัก ทำให้อาณาเขตของคิระอยู่แค่บนเตียง ซึ่งเจ้าตัวก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทุกข์ร้อน

เป็นคนที่แปลกจริง ๆ

“ถ้านายยั่วฉันน้อยกว่านี้หน่อย ฉันก็ชอบอยู่หรอก” เชาพูดต่อเรื่อย ๆ นิ้วคล่องแคล่ว ก็ยังคงง่วนอยู่กับคีย์บอร์ด โดยไม่มีขาดตอน

ร่างบางเอนตัวลงบนหมอนนุ่มอีกครั้ง เสียงพึมพำแผ่วเบาตอบกลับ แทบจะไม่ได้ยิน

“ก็…ชั้นเหงานี่”

มือที่กำลังพิมพ์หยุดชะงักลง ท่าทางคนบนเตียง ดูซึมไปนิดหน่อย “นายไม่ให้ชั้นกลับบ้าน ก็ไม่เป็นไร จะล่ามชั้นไว้ ก็ไม่เป็นไรอีกเหมือนกัน แต่ว่า…อย่าทิ้งชั้นไว้คนเดียว…โดยไม่สนใจแบบนี้ จะได้ไหมล่ะ”

ดวงตากลมโตนั่นดูน่าสงสารนัก ฮิโรอากิได้แต่ทำเป็นมองไม่เห็น เขาไม่อยาก...จะใจอ่อนเลย

“ขโมยก็ขี้เหงาได้เหมือนกันเหรอ” ชายหนุ่มพูดลอย ๆ บ้าง

“ฮึ ชั้นยังไม่ได้ขโมยอะไรเลยนะ” คนพูดเริ่มงอน ก่อนจะหันไปคว้าหมอนนุ่มมากอดไว้ พลางหันหลังให้

นั่นก็จริง…แล้วทำไม เขาถึงไม่ยอมปล่อยคิระไปล่ะ ทั้ง ๆ ที่แน่ใจ ว่าคิระ ไม่มีทางได้ของสิ่งนั้นไปจากเขาแน่ ๆ

แถมทำไมถึงต้องล่ามเอาไว้แบบนี้ เขากลัวคิระจะจากไปอย่างนั้นหรือ?

ไม่ใช่หรอกน่า เขาก็แค่ ต้องการจะจับตาดูผู้ต้องสงสัยคนนี้อย่างใกล้ชิด มันก็เท่านั้น

ความคิดที่น่าอึดอัดและยากจะเข้าใจของตัวเอง ทำให้เขาอดรนทนไม่ได้ ร่างสูงผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ บิดตัวแก้เมื่อยขบ ก่อนจะหันมาหาคนบนเตียงอีกครั้ง “ฉันหิวแล้วล่ะ เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า”

“นายก็หาสิ เกี่ยวอะไรกับชั้นล่ะ เจ้านายที่ดี ก็ต้องหาอาหารมาให้สัตว์เลี้ยงกินอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” เจ้าแมวน้อยจอมซนว่า พร้อมกับกระดิกขานอนรอ ดูสบายอารมณ์เสียจนน่าหมั่นไส้

“จะให้เสิร์ฟถึงเตียงเลยหรือไง” ฮิโรอากิถามเรียบ ๆ

ร่างบอบบางอมยิ้ม “ก็นายยังไม่เอาปลอกคอนี่ออก ถ้าไม่ทำแบบนั้น แล้วชั้นจะกินได้ยังไงล่ะ”

“ทำโทษอดข้าวอดน้ำสัตว์เลี้ยงซักสองสามวันดีมั้ยนะ เผื่อจะเลิกฮีทลงบ้าง” เขาแกล้งพึมพำให้ได้ยิน

“ถ้าสัตว์เลี้ยงอดข้าวอดน้ำจนตาย นายน่ะ บาปนะ จะบอกให้”

“ฉันไม่สนใจหรอก เรื่องพรรค์นั้น” เขาว่าพร้อมกับตั้งท่าจะออกไป ก่อนจะหันมาพูดยิ้ม ๆ “สัตว์เลี้ยงที่ฉลาดน่ะ ถึงเจ้านายไม่ให้ข้าวกิน ก็ต้องรู้จักขอเป็นใช่มั้ยล่ะ”

คนฟังนิ่วหน้า พลางจ้องตากลับอย่างดุ ๆ “สัตว์เลี้ยงบางประเภท ก็ยินดีที่จะอดตาย ถ้าต้องขอความกรุณาจากเจ้านายเลือดเย็นแบบนี้” ว่าแล้วก็ซุกตัวลงในผ้าห่มอีกครั้ง โดยไม่ยอมพูดจาอะไรอีก

ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจ เขารู้ซึ้งแล้ว…ว่าจะอย่างไร ก็คงต้องประเคนถึงที่จริง ๆ …ไม่ว่าจะอาหาร หรือแม้แต่ร่างกายของตัวเขาเอง เพื่อให้อีกฝ่ายพอใจ

…และทั้งหมดนั่น...ก็เพื่อให้ตัวเขาเอง พอใจด้วย…


……………………………………………………………


โต๊ะทำงานตัวเดิมที่เต็มไปด้วยเอกสาร ยังคงมีร่างสูงของฮิโรอากินั่งทำงานอยู่ พักนี้เขาไม่ค่อยได้เข้ามาทำงานในนี้สักเท่าไหร่ เพราะย้ายไปทำงานในห้องนอนแทน งานประเภทออกแบบซอร์ฟแวร์ เพียงแค่มีโน้ตบุ๊คอยู่ด้วย เขาก็สามารถทำงานได้แล้ว

แต่นาน ๆ ที เขาก็ยังต้องมาจัดการกับเอกสารมากมายก่ายกองนี้สักครั้ง ตามประสาประธานบริษัทที่ดีนั่นเอง

“ทางผู้ผลิตซอร์ฟแวร์ รายงานมาว่า เกมใหม่ล่าสุดที่เป็นไอเดียของท่าน ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก”

ร่างสูงเอนตัวพิงพนักเก้าอี้พลางอมยิ้ม “งั้นเหรอ ไม่แปลกหรอก ที่จะเป็นที่นิยม” มันคือเกม…ต้นแบบ ที่เขาเขียนขึ้น จากชีวิตจริงสด ๆ ร้อน ๆ ในสัปดาห์นี้

หากเลขาหนุ่มยังคงมองมาอย่างสงสัย พลางถามต่อ “ตอนนี้ท่านประธานเลี้ยงแมวหรือครับ”

“หะ..หา อ๋อ ใช่ พอดีเก็บได้จากแถวนี้น่ะ” ชายหนุ่มแก้ตัวทันควัน พลางมองคนฝั่งตรงข้าม อย่างกลัวว่าอีกฝ่ายจะสงสัย

“มิน่าล่ะ คาแรกเตอร์ของมันถึงได้…สมจริงขนาดนี้” คนถามพูดต่ออย่างชื่นชม เล่นเอาคนฟังหันมามอง

“อย่าบอกนะ ว่ากระทั่งนาย…ก็ติดเกมนี้ด้วย? คุโรยาชิ?”

เลขาหนุ่มเกาแก้มอย่างเขิน ๆ พลางพึมพำ “แมวที่ร้อนแรงขนาดนี้…เป็นใคร ก็อยากได้เป็นเจ้าของทั้งนั้นแหละครับ”

“นั่นสินะ” ชายหนุ่มรับคำอย่างเลื่อนลอย ด้วยจินตนภาพกำลังลอยไปไกล…ถึงบนเตียงในห้องส่วนตัวแล้ว

“ฉันว่าจะพักสักหน่อย แล้วคืนนี้ จะออกแบบเกมเวอร์ชั่นสองเพิ่ม ไอเดียกำลังมา ต้องทำให้ต่อเนื่อง คุโรยาชิ ฝากจัดการงานที่เหลือด้วยนะ” ฮิโรอากิสั่งอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะรีบจากไปโดยทิ้งท้ายไว้ว่า “ต้องรีบไปให้อาหารแมวด้วย พักนี้มันกำลังกินกำลังโต”

ท่าทางเหมือนคุณพ่อมือใหม่ ทำให้เลขาส่วนตัวอดขำไม่ได้ เมื่อเห็นร่างสูงก้าวฉับ ๆ อย่างเร่งรีบจากไป เจ้าแมวตัวนั้น….คงเสน่ห์แรงไม่เบาสินะ จะยั่วได้สักครึ่งหนึ่งของเกมใหม่นั่นรึเปล่าก็ไม่รู้ เขาคิดต่อในใจ พลางแอบฝันหวานถึงเจ้าแมวยั่วที่เป็นคาแรกเตอร์หลักในเกมนั้นอย่างมีความสุข

“เมี้ยว” เสียงตอบรับยามเปิดประตูเข้าไป ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า ทำให้เขาสดชื่นกว่าเดิมมากมายนัก

ปลอกคอยังติดโซ่และล็อคคล้องอยู่กับเตียงเช่นเคย เมื่อร่างสูงเข้ามา เขาก็ปลดกุญแจนั้นออก ร่างบอบบางนั้นโผเข้าหา พลางเลียที่ข้างแก้ม เหมือนสัตว์เลี้ยงที่ยินดียามเจ้าของกลับมา

“พอ…พอเลย คิระ” เขากันใบหน้างามนั้นไว้ พลางทรุดตัวลงนั่ง โดยมีเจ้าแมวน้อย เอนอิงอยู่บนตักราวต้องการออดอ้อนเอาใจ

“ชั้นหิวแล้ว ฮิโระคุง…” เสียงหวานยังคงอ้อนต่อ

“อื้ม เดี๋ยวจะสั่งอาหารขึ้นมานะ” ชายหนุ่มรับคำ

“ไม่เอา ชั้นจะกินนาย” คนพูดไม่พูดเปล่า แต่ขึ้นคร่อมร่างเขาแล้ว ชายหนุ่มถอนหายใจ ก็เล่นหิวแบบนี้นี่นะ เขาจะพูดอะไรได้

นอกจากปล่อยให้เจ้าแมวน้อยกินจนเต็มอิ่ม…เหมือนทุกวันที่ผ่านมา

เจ้าแมวน้อยหลังกินจนอิ่มเอม ก็เอนตัวนอนกลิ้งบนเตียงอย่างมีความสุข มองดูแล้วช่างน่าอิจฉาเสียจริง ฮิโรอากิมองมาพลางครุ่นคิด ก่อนจะถามขึ้นเบา ๆ ว่า “นายคิดจะอยู่ที่นี่อีกนานมั้ย”

ร่างบอบบางผุดลุกขึ้นนั่ง ดวงตากลมโตจับจ้องที่หน้าของเขาจ้องหน้าเขา…นิ่งนาน ก่อนจะถามกลับว่า

“นายรักชั้นรึยังล่ะ”

คำถามตรง ๆ เล่นเอาฮิโรอากิอึ้งไปครู่ใหญ่ คิระเอนตัวกลับลงบนเตียงแล้วหลับตา “ถ้านายยังลังเล คำตอบก็คือ…ชั้นจะยังอยู่ต่อ” เขาพูดง่าย ๆ

“ถ้าฉันบอกว่า ฉันรักนาย แล้วล่ะ” ชายหนุ่มถามต่อ

คนบนเตียงถอนหายใจ “ถ้านายรักชั้นแล้วจริง ๆ…มันก็คงถึงเวลาที่…”

คิระหยุดพูดเอาดื้อ ๆ แล้วซุกหน้าลงกับหมอน

“ถึงเวลาอะไร?”

“ไว้นายรักชั้นจริง ๆ แล้ว ถึงตอนนั้น…ก็รู้เองนั่นแหละ” เสียงพึมพำเบา ๆ ดังมาจากร่างนั้น ก่อนจะไม่ยอมตอบคำถามใด ๆ อีก แล้วหลับใหลไปอย่างรวดเร็ว

ฮิโรอากิจ้องมองคนกำลังนอนอย่างสบายอารมณ์นั้น โดยไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกตัวเองอย่างไรดี

เขาเริ่มตกหลุมรักเจ้าแมวน้อยตัวนี้แล้วหรือยัง?

กระทั่งตัวเอง ก็ยังตอบไม่ได้


………………………………………………………….


namtaan

  • บุคคลทั่วไป
ฮิโรอากิผู้น่าสงสาร ถ้ารักคิระเมื่อไรก็ต้องตายเมื่อนั้นแน่ๆเลย

ยาวสะใจ สนุกมากๆ ขอบคุณนะคะ  :L2:

ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
หลอกให้รักแล้วฆ่าทิ้งหรอ เจ็บปวดดีจัง

รอลุ้นว่าคิระจะล่วงความลับจากฮิโระยังไง

ดูท่าตอนนี้ก็หลงหัวปักหัวปำล่ะ

แมวน้อยช่างยั่วเหลือเกิน น่ารัก :-[

ออฟไลน์ ppm

  • รักเด็กจังเลย
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 235
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
    • ppmfic yboard
(ตอนที่ 4/3)

เวลาผ่านไปเร็วนัก สัปดาห์หนึ่งมาแล้ว ที่เขาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเจ้าแมวน้อยตัวนี้ เป็นสัปดาห์ที่เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มีความสุขมากจริง ๆ

แต่นั่น…ก็เพียงแค่ความสุขทางกายเท่านั้น เอ็นโด ฮิโรอากิ พยายามเตือนตัวเอง ในภาวะเช่นนี้ เขาไม่คิดจะไว้ใจใครอยู่แล้ว โดยเฉพาะกับคนที่ไม่มีทั้งที่มาและที่ไป และยังไม่สามารถสืบหาประวัติส่วนตัวใด ๆ ได้ด้วย อย่างคิระ

น่าแปลก ที่คิระเข้ามาหาเขา โดยไม่ได้ทำอย่างอื่นที่น่าสงสัยเลย คิระไม่เคยค้นข้าวของของเขา ไม่เคยลงจากเตียง ถ้าเขาไม่ปลดล็อคกุญแจให้ ทั้ง ๆ ที่เขาพอจะคาดเดาได้อยู่แล้ว ว่าหากจะมาขโมยของ ตอนเขาไม่อยู่ จะต้องปลดล็อคกุญแจปลอกคอนั่นได้ เพราะมันไม่ได้ออกแบบไว้อย่างแน่นหนาแต่อย่างใด และคาดเอาไว้ว่า หลังปลอดคน จะต้องคอยขุดคุ้ยค้นหาของสำคัญเป็นแน่

แต่คิระก็ไม่เคยทำ ร่างบอบบางเพียงนอนขดอยู่บนเตียง รอคอยการกลับมาของเขาอยู่ทุกวันเท่านั้น
รอคอยราวสัตว์เลี้ยงที่รอเจ้าของมาเล่นด้วย
รอ…ด้วยความเหงาลึก ๆ ในใจ

อันนี้เขาปฏิเสธไม่ได้ ว่าแววตางามคู่นั้น เป็นเช่นนี้จริง ๆ

แต่ว่า…จะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรกัน

แค่มาทำสนิทสนมด้วย…หรือมาหว่านเสน่ห์…มาทอดกายให้ ก็ไม่ทำให้เขาเปลี่ยนใจได้
ถึงจะทำให้เขาตกหลุมรักได้ มันก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะยินยอมบอกที่ซ่อนของสำคัญ

ไม่มีวันยอมคล้อยตามเด็ดขาด

จะแก้คืนด้วยการหลอกใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า ก่อนจะทำลายทิ้งไปด้วยมือของเขาเอง อย่าได้คิดเลยว่าจะมาหลอกลวงกันได้ง่าย ๆ ชายหนุ่มตั้งปณิธานไว้กับตัวเองอย่างแน่วแน่

เพื่อครอบครัวที่รักของเขา ที่ต้องจากไป… เขาไม่มีวันจะเชื่อใคร มากไปกว่าตัวเองอีกแล้ว

“ท่านประธานครับ?” เสียงเลขาหนุ่มเรียกเบา ๆ ซ้ำเป็นรอบที่สาม ชายหนุ่มผู้อยู่ในภวังค์ชะงัก แล้วหันไปมองอย่างงง ๆ

“หืม มีอะไรล่ะ คุโรยาชิ?”

“คุณมิซาโกะยังคงโวยวายไม่เลิกเรื่องพินัยกรรมเลยครับ จนวันนี้ ก็ยังเดินเรื่องทั้งบนดินใต้ดิน เพื่อยื่นคำร้องต่อศาล ในฐานะทายาทอันชอบธรรมอยู่เลย”

ฮิโรอากิระบายลมหายใจยาว คน ๆ นั้นอีกแล้ว…คิดเหรอ ว่าเขาจะยอม พินัยกรรมต้องถูกสับเปลี่ยนแน่ จะอย่างไรก็ไม่มีทางยกบริษัทนี้…ที่ก้าวหน้ามาจนถึงปัจจุบัน ด้วยการบริหารงานของเขา ให้กับคนที่คิดแต่จะฮุบกิจการคนอื่น แค่ถือดีว่าเป็นภรรยาใหม่ที่มีทะเบียนสมรสของพ่อ แถมยังมีคนรู้จักที่มีอำนาจทางการเมือง แล้วจะมาบีบคนอย่างเขาได้งั้นหรือ

“เฮอะ ตราบใดที่ตราประทับผู้ถือหุ้นสูงสุด ยังคงอยู่กับเรา มันไม่มีทางจะครอบครองหุ้นทั้งหมดของบริษัทได้หรอก” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ “ถึงมันจะค้นจนทั่วทั้งบริษัท ทั้งบ้านพัก ทั้งตู้เซฟ …พวกมันก็ไม่มีทางเจอ”

เขาไม่กลัวมิซาโกะคนนั้นนักหรอก หากรู้ดีว่า…หญิงสาวนั้นเป็นเพียงหัวโขน ให้กับองค์กรที่มีอำนาจเหนือกว่า อย่างลับ ๆ เพราะหุ้นของบริษัทเขาในตอนนี้ ทำเงินได้มหาศาล

และนั่น…ทำให้เขาโดนหมายหัวแล้ว
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขากลัวได้

คนที่สูญเสียจนไม่มีอะไรจะเสียได้อีกแล้ว มีหรือจะต้องกลัวอะไรอีก

“ถึงฉันคนนี้จะตาย หุ้นทั้งหมด ถ้าไร้ซึ่งตราประทับ ก็จะโอนไปให้ผู้ดูแลพิเศษ ซึ่งจะบริหารงานแทนและโอนรายได้ให้การกุศลตามโครงการของพ่อ คนอย่างมัน….ฉันไม่มีทางแบ่งหุ้นของพ่อให้อยู่แล้ว…มันทำได้กระทั่งเด็กตัวเล็ก ๆ อย่างซายะจัง ชั้นไม่มีวันอภัยให้มันแน่!”

ดวงตาคมมีแววกร้าว เมื่อคิดถึงอดีตแสนเศร้าที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อปีก่อน มันเป็นความโกรธ ที่แปรเปลี่ยนเป็นความแค้น เมื่อต้องมาจัดงานศพให้ทั้งพ่อและน้องสาวสุดที่รักเพียงคนเดียวของเขา เอ็นโด ซายะ เด็กสาวอายุเพียงห้าขวบ ที่เสียชีวิต…เพราะอุบัติเหตุ พร้อมกับบิดาอย่างปริศนา

และฮิโรอากิเองก็รู้…ว่ามันเป็นการตายอย่างมีเงื่อนงำ เนื่องจากก่อนตาย เอ็นโด ฮิโรยะ ผู้เป็นบิดา ได้ฝากฝังตราประทับนี้เอาไว้ให้เขา ราวล่วงรู้ว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับตนเอง

เขาจะไม่มีวันให้ใครได้มันไป

ใครก็ตาม…ที่จะมาขโมยของสิ่งนี้ ก็เท่ากับว่า เป็นศัตรูของเขา

ศัตรูที่ฆ่าพ่อ…และซายะจัง

เขาไม่มีวันอภัยให้!

ใช่…ถึงแม้ว่า คน ๆ นั้น…จะคือคิระก็ตาม!


……………………………………………………………


ฮิโรอากิกลับมายังห้องอีกครั้งตอนค่ำ งานมากมายรอการสะสางทำให้เขาใช้เวลานานเกินที่ตั้งใจไว้ และอีกอย่าง เขาก็อยากจะรู้ ว่าคิระจะทำอะไร ยามที่เขาไม่อยู่เนิ่นนานขนาดนี้

ในตอนนี้ เขาเลิกใช้กล้องแอบดูแล้ว เพราะรู้ดีว่า คิระนั้นล่วงรู้มาตั้งแต่แรก ว่ามีกล้องอยู่ แต่คิระก็ไม่ได้ใส่ใจกับมัน นอกจากจะอาศัยมุมกล้อง ทำท่าทางยั่วยวนเขา ให้ตบะแตกก่อนกาลอันควรระหว่างแอบดูตอนทำงานเท่านั้น

ประตูเปิดออก ภายในกลับมืดสลัวกว่าที่เคย ร่างบอบบางนั้น ยังคงนอนอยู่บนเตียง แต่ไม่มีปฏิกิริยากระตือรือร้นเหมือนทุกครั้ง ที่ได้ยินเสียงเขากลับมา

ในความสลัวของห้อง ทำให้เห็นเพียงราง ๆ ว่ายังคงนอนอยู่ โดยไม่ได้รับรู้ใด ๆ

หลับอยู่งั้นหรือ? ชายหนุ่มคิดในใจ แต่เขาก็ยังจำได้ดี ว่าทุกครั้งที่เข้ามา ไม่มีครั้งใด ที่เจ้าแมวของเขา จะไม่รู้ว่าเขามา

ฮิโรอากิตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะเปิดไฟข้างหัวเตียงให้สว่างขึ้น สีหน้าซีดขาวของคนที่กำลังหลับ และหยาดเหงื่อที่ผุดพรายทั่วใบหน้า ทำให้เขารีบตรงเข้าไปดูอาการทันที

“คิระ…นายเป็นอะไรเนี่ย”

ร่างกายที่ร้อนผ่าว และดูอึดอัดทรมานสั่นน้อย ๆ ดวงตาพร่าจางลืมขึ้นอย่างเชื่องช้าเมื่อถูกเขย่าตัว

“อือ…ไม่…ไม่เป็นไร ปล่อยชั้นไว้แบบนี้แหละ เดี๋ยวก็หายเอง” เสียงแผ่วเบาพยายามบอก ในน้ำเสียงยังคงทรมานไม่น้อย

“ฉันจะตามหมอนะ” ฮิโรอากิผุดลุกขึ้นอย่างร้อนใจ

“ไม่! ไม่…ไม่มีประโยชน์หรอก เดี๋ยวก็หาย” มือบอบบางพยายามรั้งตัวเขาไว้

“ทำไมล่ะ แล้วนี่เป็นอะไรบ้าง ปวดหัว ปวดท้อง หรือเป็นอะไร บอกมาให้ละเอียดเร็ว ยาอยู่ไหนเนี่ย” ร่างสูงหันรีหันขวาง กระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด

“ขอพัก…ซักหน่อย ก็ดีเอง หมอมา…ก็ช่วยไม่ได้หรอก”

คนมองจ้องเขม็ง ก่อนคาดคั้น “นายเป็นอะไรกันแน่”

“โรคประจำตัวน่ะ” คิระตอบง่าย ๆ ก่อนจะเงียบไปทั้งอย่างนั้น

หมอถูกตามมาจนได้ ฮิโรอากิที่ยืนไม่ติดที่ สอบถามอาการเสียถี่ยิบ หากคนตรวจได้แต่ส่ายหน้า “ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร ร่างกายน่ะ ผิดปกติมาก แต่หาสาเหตุไม่ได้”

“แล้วตอนนี้ล่ะ”

“ตอนนี้….ดูเหมือนจะดีขึ้นแล้ว” นายแพทย์ผู้นั้นบอก ชายหนุ่มคุยกับหมออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะให้ออกไปก่อน เพราะเท่าที่ได้ข้อมูลมา คงทำได้เพียงรักษาตามอาการเท่านั้น และจู่ ๆ อาการที่ว่า ก็หายไป ราวกับไม่ได้เคยเป็นมาก่อน เหลือเพียงความรู้สึกอ่อนแรง ที่คงจะเป็นอยู่อีกสักพักใหญ่เท่านั้น

โรคประหลาดจริง ๆ

“ชั้นไม่เป็นไรแล้ว บอกแล้วไง ว่าเดี๋ยวก็ดีเอง” เสียงคนป่วยแทรกขึ้นมา

ร่างสูงทรุดตัวนั่งข้างเตียง ลูบผมนุ่มของคนไม่สบายเบา ๆ อย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ดวงตาคู่นั้นดูเศร้าลงเล็กน้อย “อย่าเป็นอะไรไปก็แล้วกัน….ฉันไม่อยาก…เห็นใครทรมานแบบนั้น….เหมือนซายะจัง อีกแล้ว”

“ใครคือซายะจัง” คนป่วยถามทันที

“น้องสาวฉันเอง เธอพึ่งจะห้าขวบเท่านั้น…อุบัติเหตุจากรถยนต์ เราพยายามช่วยเธอแล้ว…แต่มันสายเกินไป” น้ำเสียงนั้นดูเศร้าจนน่าใจหาย มือที่สั่นน้อย ๆ ของชายหนุ่ม ทำให้คนบนเตียง รู้สึกแปลก ๆ ไปกว่าเดิม

มือที่ยังเย็นเฉียบจับมือเขาไว้ ดวงตาคู่งามมองมาอย่างจริงจัง “ขอโทษนะ ที่ทำให้นายต้องคิดถึงเรื่องแบบนั้นอีก”

“ช่างมันเถอะ นอนพักดีกว่านะ” เขาตัดบท  คนบนเตียงรับคำเสียงแผ่ว ก่อนจะหลับตาลง แล้วหลับลึกไปอย่างรวดเร็ว คงเป็นเพราะสภาพร่างกาย ที่ต้องการการพักฟื้นนั่นเอง

ร่างสูงมองคนหลับอยู่เงียบ ๆ

ไม่อยากจะคิดเลย ว่าที่ซายะจังตายไป เป็นเพราะ…คนที่สั่งให้คิระ มาอยู่กับเขา

แล้วแบบนี้ เขาจะทำอย่างไรดี?

ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจจะใช้ประโยชน์จากฝ่ายตรงข้ามให้คุ้มค่า แต่เพียงแค่คิระป่วยเพียงเท่านี้ ใจเขาก็ว้าวุ่นแล้ว

จะต้องเข้มแข็งกว่านี้

ต้องเด็ดขาดกว่านี้สิ ฮิโรอากิ

ชายหนุ่มพร่ำบอกตัวเอง ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไป

ร่างสูงออกไปครู่ใหญ่แล้ว คงไปสั่งให้คนของเขา ส่งหมอกลับไป ในตอนนั้นเอง คนบนเตียง ที่ดูเหมือนจะหลับไปแล้ว กลับผุดลุกขึ้นนั่งอย่างเงียบงัน ในความมืดของห้อง ที่ไฟปิดไว้

“เหลือเวลาอีกไม่ถึงอาทิตย์แล้วนะ…ฮิโระคุง” เสียงพึมพำดังคล้ายรำพึงกับตัวเอง

“ถ้าเป็นไปได้….นายอย่าหลงรักชั้นเลย” ดวงตากลมโตที่อยู่ในความมืดนั้น คล้ายเศร้าลงวูบหนึ่ง

คิระกำลังคิดอะไรอยู่

ไม่มีใครบอกได้

………………………………………………………….


ร่างแกร่งที่หลับใหลบนเตียงนุ่มเคียงข้างร่างบอบบางนั้นยังคงหลับ หลังจากเสร็จภารกิจให้อาหารแมวรายวัน ที่พักนี้ดูจะหิวโหยเป็นพิเศษ บทรักยาวนาน บนเรือนร่างแข็งแรงของอีกฝ่าย สร้างความอบอุ่นในใจของคนกำลังมองในยามนี้มากนัก มอง…แล้วหวนคิดถึง เรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาในชีวิตของตนเอง

กำหนดเวลาเส้นตายใกล้มาถึง….อีกไม่นานแล้วสินะ ที่จะมีใครสักคน ต้องเป็นฝ่ายไป

ดวงตากลมโตหม่นหมองลง นิ้วเรียวลากไล้ที่แผ่นอกตรงหน้าเบา ๆ คนกำลังหลับคงจั๊กจี้ เลยขยับตัวเล็กน้อยก่อนที่จะรั้งร่างที่เอนอิงเคียงข้าง มากอดไว้ใกล้ชิดกว่าเดิม

ลมหายใจอุ่น ๆ ที่อยู่ในระยะประชิดขนาดนี้ ทำให้คนถูกกอดซุกตัวนิ่ง ร่างบอบบางนั้นสั่นเล็กน้อย ปลุกคนกำลังหลับให้ตื่นจนได้

“นายไม่เหนื่อยหรือไง นอนซะเถอะ” เสียงชายหนุ่มถามเบา ๆ

“ชั้นนอนไม่หลับ” คนตอบพึมพำแผ่ว

“หืม? ทุกทีเห็นหลับเป็นตาย ทำไมวันนี้นอนไม่หลับซะล่ะ?” ฮิโรอากิแซวยิ้ม ๆ "หรือว่านายรู้สึกไม่ค่อยดีอีก ฉันจะได้รีบตามหมอ" สีหน้าเขาเริ่มกังวล เพราะช่วงนี้ คิระจะอาการกำเริบในบางวัน ทำเอาเขาแทบหัวปั่นไปหมด

“ไม่หรอก...ชั้นไม่ได้เป็นอะไร เพียงแต่ว่า...มันมีเรื่องให้ต้องคิดน่ะสิ” ร่างบอบบางตอบ

“เรื่องอะไรงั้นเหรอ” ชายหนุ่มถามทันที ชักเริ่มสนใจมากขึ้น นาน ๆ ที…ที่คิระ จะเปิดเผยความในใจ ซึ่งเขาย่อมต้องการจะรู้มากเป็นพิเศษอยู่แล้ว

“นายรักฉันหรือยัง?” ดวงตากลมโตจ้องมองจริงจัง ยังคงเป็นคำถามเดิม

“จะขโมยหัวใจของฉันอีกแล้วล่ะสิ” เขาตอบกลั้วหัวเราะ “ฉันไม่ยอมให้ใครขโมยมันง่าย ๆ หรอกนะ”

…ใช่ ถ้าขโมยได้แล้วต้องจากไป ใครจะยอมกันล่ะ

ให้เข้าใจว่ายังไม่สำเร็จ แล้วอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่ดีกว่าหรือ…

ฮิโรอากิไม่ตอบชัด แต่เขากลับคิดเช่นนั้น ลึก ๆ รู้สึกว่า หากงานนี้สำเร็จ คิระคงจากไปจริง ๆ

แต่ในตอนนี้ เขาคงทำได้เพียงปฏิเสธเข้าไว้ เพื่อที่จะ…รั้งคนด้านข้างไว้แนบกาย ให้นานกว่าเดิม

“ถ้าชั้นตาย นายจะร้องไห้มั้ย” คนถามพึมพำแผ่วเบาเปลี่ยนเรื่องจนคนฟังตามแทบไม่ทัน น้ำเสียงที่ได้ยิน คล้ายราวเป็นการรำพึงกับตัวเองเท่านั้น

มือแกร่งโน้มใบหน้าสวยเข้ามาใกล้ ดวงตาอ่อนโยนจับจ้องมาพลางตอบว่า “นายคิดว่า หัวใจของฉัน ตอนนี้ใครเป็นเจ้าของกันล่ะ” ชายหนุ่มตอบเป็นนัย

คิระถอนหายใจ “ชั้นไม่ใช่นาย จะรู้ได้ยังไงกัน”

“ถ้าสัตว์เลี้ยงตายลง เจ้าของก็เศร้าเป็นนะ” เขาพึมพำอย่างเขิน ๆ แกมบอกใบ้

“ถ้าแมวที่เลี้ยงไว้ตายลง ถึงจะเสียใจ ถึงจะร้องไห้ แต่แค่ไม่กี่วัน แผลใจนั้นก็คงจางหาย” คิระพึมพำ “สัตว์เลี้ยงตัวเก่า ถึงจะตายไป ก็หาตัวใหม่ทดแทนได้”

“ฉันจะไม่เลี้ยงแมวอีก…ไม่มีแมวตัวไหน ที่ฉันรักเท่าแมวตัวนี้อีกแล้ว” เขากอดร่างบอบบางไว้แนบแน่นกว่าเดิม ดวงตากลมโตพริ้มตาลง

“คงไม่มีเจ้าของคนไหน ยอมตายแทนสัตว์เลี้ยงหรอก แม้ว่า…สัตว์เลี้ยงบางตัว จะยินดีตายเพื่อเจ้าของของมันก็ตาม”

คนฟังขัดขึ้นทันที “นายเข้าใจถึงจิตใจเจ้าของสัตว์เลี้ยงมากแค่ไหนกัน”

“ชั้นไม่เข้าใจหรอก ก็ชั้นเป็นแค่…สัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง เท่านั้นนี่นา”

คิระว่าแล้วนิ่งเงียบไป โดยไม่คิดจะชวนคุยอีก ถึงตอนนี้….ต่างคนก็ต่างเงียบ เพราะมีความคิดเป็นของตัวเอง

…เป็นความคิดที่ไม่อาจบ่งบอก ให้อีกฝ่ายรับฟังได้…


.................................................


หลังจากวันนั้น โรคแปลกประหลาดของคิระ กลับเริ่มรุนแรงขึ้น อาการที่กำเริบถี่ โดยที่หมอไม่อาจช่วยเหลือได้ ทำให้ฮิโรอากิ ได้แต่มองอย่างเจ็บปวดใจ เมื่อเห็นร่างบอบบางที่สั่นสะท้าน ปวดแปลบไปทั่วร่าง บิดตัวอย่างอึดอัด...กระสับกระส่าย

ดวงตาคู่นั้น ทอแววปวดร้าว เมื่อมองมายังเขา แล้วทำได้เพียงส่ายหน้าเบา ๆ มือเย็นเฉียบ ที่จับกับมือแกร่ง บีบน้อย ๆ ราวโหยหาที่พึ่งพิง

"อยู่กับชั้นนะ...ได้ไหม ชั้นไม่อยาก...จะอยู่คนเดียว" คิระพึมพำด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน

ฮิโรอากิพยักหน้า ระยะนี้เขาแทบไม่ได้ไปห่างเตียงเลย ยามที่อาการไม่กำเริบ คิระจะอ้อนเขา..ราวลูกแมวตัวหนึ่ง มือผอมบาง มักจะเหนี่ยวรั้ง ทุกครั้งที่เขาทำท่าจะจากไป

แววตาที่มองมานั้น คล้ายต้องการสื่ออะไรบางอย่าง

มันคล้ายบอกกับเขาว่า...เหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว

แต่ยามใดที่มันกำเริบขึ้นอีกครั้ง เขาก็ได้แต่ปล่อยให้คิระทรมาน โดยช่วยอะไรไม่ได้เลย

ได้แต่เฝ้ามอง โดยไม่อาจช่วยเหลือ มันเจ็บปวดยิ่งกว่า

ความทรมานของคนที่รัก ย่อมเป็นความทรมานของเขาเช่นกัน

หากเจ็บแทนได้ ก็คงจะดี

ในตอนนี้ เขาเริ่มเข้าใจแล้ว

คิระ ไม่ใช่คนแปลกหน้า ไม่ใช่ศัตรูของเขาอีกต่อไป

ใครล่ะ จะทำร้ายคนป่วยแบบนี้ได้ลงคอ แถมคิระเอง ก็ไม่ได้ขโมยสิ่งใดจากตัวเขาไปได้ด้วย

…นอกจาก หัวใจ…

‘ฉันมาขโมยหัวใจของนาย’

นั่นคือสิ่งที่คิระ บอกกับเขาไว้ ตั้งแต่วันแรกที่เจอ

มือแกร่งเผลอจับหน้าอกตัวเองอย่างครุ่นคิด หากเดิมพันของคิระ คือหัวใจของเขาเล่า?

แล้วเขาจะทำอย่างไร เขาเอง สามารถช่วงชิงใจของคิระมาได้เช่นกันหรือเปล่า

หรือทุกอย่าง เป็นแค่คำลวง? ร่างบอบบางนี้กำลังคิดอะไรอยู่ จนแล้วจนรอด เขาก็ไม่อาจล่วงรู้ได้...


...........................................

ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
ฮิโระ นายไม่รู้ชั้นก้ไม่รู้เหมือนกัน :really2:

แมวน้อยป่วยเป็นอะไรเนี่ย เป็น 1 ในแผนการขโมยของคิระรึป่าวเนี่ย

กด + ให้แล้วน๊า  :L2: :L2:

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
น่าสงสารทั้งคู่เลย

แต่สุดท้ายใครที่จะรอดกันแน่

บวก 1 แต้ม ตามลุ้นต่อค่ะ ขอบคุณนะคะ

shockoBB

  • บุคคลทั่วไป
สนุกมากเลย  มาต่อเร็วๆนะ

+1 เป็นกำลังใจให้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด