ต่างคนต่างมีความรู้สึก เพราะอย่างงี้ อีกไม่นาน
พี่นาย เกิน 1500 แล้วนะครับ ไหนโชว์ตัวหน่อยสิ ภรรเมียนะอยู่ไหน ( อย่าทำลืม )
พร้อม +1 อีกด้วย
เมียมีเมียพี่ต้องมา เมียไม่มาก็เพราะว่าเมียไม่มี (จะมีใครรู้จักเพลงนี้ไหมเนี่ย แต่คงมีเนอะ เพราะคนอ่านน่าจะอายุถึง)
เพลิงรัก บทที่ 15
“เราว่ายุทธนาชอบนาย" เอกภพพูดขึ้นหลังจากวางจานอาหารลงบนโต๊ะและนั่งลงตรงข้ามกับนายแพทย์ชาลีซึ่งนั่งหน้าบึ้งอยู่นานแล้ว
“ยุทธนาไหน" ชาลีแกล้งทำหน้าสงสัย "ยุทธนาห้องแล๊ปนะเหรอ"
“มีกี่ยุทธนาล่ะ" เอกภพตักอาหารเข้าปากแล้วทำหน้าเหยเก แทบจะคายสิ่งที่อยู่ในปากทิ้ง "โอ๊ย เปรี้ยว เค็ม ไม่อร่อยเลย อาหารในโรงพยาบาลนี่ไม่ได้เรื่อง"
“เขาไม่เรียกว่าไม่ได้เรื่อง" ชาลีแย้ง "เขาเรียกว่า ไอ้ตูบไม่อยากชิม แล้วชวนมากินในโรงพยาบาลทำไม" ชาลีเบ้ปาก เขี่ยอาหารในจานของตัวเองอย่างเซ็งๆ
“วันนี้คนไข้เยอะ ต้องรีบกลับวอร์ด นายก็เยอะไม่ใช่หรือ คนไข้พิเศษคนนั้นด้วย ตกลงเขาเป็นอะไร" เอกภพถามถึงเจตริน
“มะเร็ง"
“ต่อมลูกหมาก" เอกภพเลิกคิ้วถาม
“อยากจะให้เป็นจะแย่" ชาลีตาลุกวาบ
“คนนี้ใช่ไหมชาลี" เอกภพยื่นหน้าเข้ามากระซิบกระซาบราวกับว่าพูดความลับ "ตกลงนายจะทำจริงๆ หรือ เราว่ามันไม่ค่อย...”
“ไม่ค่อยเหมาะ ไม่ควร ไม่ถูกต้อง ไม่ดี" ชาลีเต็มเสียงห้วน "คนไข้ของตัวเองเป็นมะเร็ง เราจะเอาให้ถึงตายก็ยังได้ แต่เราไม่ให้เขาตายหรอกเอก คนแบบนี้ไม่ควรตาย คนแบบนี้ควรจะอยู่ และอยู่ให้นานๆ ด้วย อยู่อย่างทรมาน จนถึงวันที่ตายเองตามธรรมชาติก็ยังรู้สึกทรมาน"
“เฮ้อ มันจะได้อะไรขึ้นมาน๊อ ชาลี" เอกภพถอนหายใจ "เราพยายามเข้าใจความรู้สึกของนายนะ เรารู้ว่ามันเจ็บปวด และเรารู้ว่ายังไงเราก็รู้สึกเหมือนที่นายรู้สึกไม่ได้หรอก เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นกับเรา แต่การมุ่งที่จะแก้แค้นแบบนี้ ท้ายที่สุดใครจะทุกข์ล่ะชาลี"
“ช่าง" ชาลีเบ้ปาก ยักไหล่ วางช้อนลงบนจาน "ไม่กินมันแล้ว กระเดือกไม่ลง เราจะไปคุยกับ ผ.อ. ว่าอาหารในร้านอาหารโรงพยาบาลนี่ห่วยมาก แบบนี้จะให้แพทย์มีแรงที่ไหนไปตรวจคนไข้"
“มันเกี่ยวอะไรกันด้วย" เอกภพส่ายหน้า “รู้ไหมว่าตัวเองดูเครียด หงุดหงิด แล้วก็...”
“เปลี่ยนจากหมอเด็ก มาเป็นหมอจิตเวชตั้งแต่เมื่อไหร่"
“ตอนนี้อยากเป็นหมอพ่อสื่อมากกว่า" เอกภพยิ้มแล้วหันไปมองอีกฟากหนึ่งของร้านอาหาร "เรารู้นะว่ายุทธนาชอบนาย เขาเป็นคนดีนะชาลี ท่าทางจริงจัง รักสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ถ้าชาลีลองมองเขาซักนิด ไม่แน่ อาจจะเจอคนที่ใช่
“นายก็รู้ว่าเราคิดยังไงกับความรัก"
“เมื่อไหร่จะเลิกซะที รักแล้วทิ้งแบบนี้ มันดีตรงไหน พอเริ่มมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง นายก็รีบสลัดมันทิ้ง เพราะต้องการความสะใจเฉยๆ สาเหตุจากเรื่องในอดีต หรือที่จริงแล้วกลัวจะผูกพัน" เอกภพพูดเสียงหนักแน่น ต่างไปจากที่เคย
“เอก" ชาลีจ้องตาเพื่อน
“ชาลี ขอเจตรินเป็นคนแรกและคนเดียวเถอะ ถ้ายังไงๆ ก็ต้องแก้แค้นให้ได้ ขอแค่คนเดียวได้ไหม แล้วจากนั้น ให้โอกาสตัวเอง เราว่าชาลีต้องเจอคนที่ใช่แน่ๆ คนที่เขารอนายอยู่ อย่าปล่อยให้เขาผ่านไป"
“ใครที่รอ ยุทธนานะหรือ"
“ก็อาจใช่ หรืออาจจะเป็นคนอื่น คนที่เข้ามาในชีวิตนายก็หลายคน คนที่นายทิ้งไป หนึ่งในจำนวนนั้นอาจเป็นคนที่นายอาจจะรักได้จนวันตาย แต่มันก็ต้องผ่านไป เพราะไอ้เรื่องนี้ เรื่องที่มันกำลังจะเป็นสนิมกัดกินใจอยู่นี่"
“เอก ไม่ต้องพูดแล้ว" ชาลีกระแทกเสียง
“นะ ชาลี เราขอร้อง เราไม่ได้ขอร้องให้หยุดตอนนี้หรอก แต่เราขอร้องให้ทำกับเจตรินแค่คนเดียว จบเรื่องนี้แล้วก็ให้โอกาสตัวเอง พิจารณายุทธนาเถอะ เอาคนใกล้ตัวนี่ล่ะ ดีที่สุด" เอกภพทำหน้าอ้อนวอน "อย่่างน้อย นายก็จะได้ผลแล็ปเร็วกว่าหมอคนอื่น แล้วได้ผลเป็นกระดาษด้วย"
“บ้า ไปรู้มาจากไหน ใครกล้าไปพูดให้ฟัง" ชาลีทำหน้าไม่พอใจ
“ในโรงพยาบาลนี่ก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดพรายกระซิบทำงานไม่สำเร็จนะชาลีนะ"
“ยุทธนาหรือ ถ้าดีนัก ทำไมไม่เก็บไว้เองเลยล่ะ"
“เราเสียสละให้เพื่อน" เอกภพหัวเราะ หันไปมองยุทธนาซึ่งกำลังลุกขึ้นจากโต๊ะ "หน้าตาก็ดีนะ มาดแมน หุ่นนักกีฬา อบอุ่น จริงจัง มั่นคง มีชีวิตสมถะ รักความสงบ เป็นคนธรรมดาๆ ไม่ฟุ้งเฟ้อ รักสุขภาพ เราสังเกตว่าเขากินผักใบเขียวแทบทุกวัน"
“เอาเข้าไป มองยุทธนาได้ทะลุปรุโปร่งแบบนี้เอาเองซะเลยสิ" ชาลีลุกขึ้น เตรียมตัวกลับไปทำงน สายตามองไปยังคนที่เขากับเพื่อนพูดถึง เป็นจังหวะเดียวกันที่ยุทธยามองมาพอดี
“ปิ๊ง" เสียงเอกภพดังเบาๆ "รู้สึกปิ๊งๆ หรือเปล่าชาลี"
“เงียบไปเลยเอก" ชาลีกระแทกเสียงเลินเดินไปยังประตูทางออกของร้านอาหารช้าๆ ตั้งใจรอให้ยุทธนาเดินออกจากห้องไปก่อน แต่ฝ่ายนั้นกลับยืนเลือกขนมขบเคี้ยวอยู่ใกล้ๆ ประตู รอจนชาลีเดินมาถึงจึงหันมายิ้มให้และพูดว่า
“ผลแล๊ปของคนไข้เมื่อวานนี้เสร็จแล้วนะครับ จะให้ผมปริ้นท์ให้เลยไหมครับหมอ"
“ประชดหรือเปล่าคุณยุทธ"
“เปล่าครับ" ยุทธนาส่ายหน้า "ผมรู้ว่ายังไงๆ เย็นนี้หมอก็คงเดินไปตื๊อผมที่แล๊ป"
“รับรองผมเลี้ยงข้าวแน่ ไม่ต้องห่วง" ชาลีทำหน้านิ่งแล้วเดินออกจากประตู
“ขอไม่ใช่ที่นี่นะครับ เพราะอาหารไม่ได้เรื่อง"
“เพิ่งรู้หรือ เห็นกินทุกวัน" ชาลีพึมพำแล้วเร่งเท้าก้าวเร็วขึ้น
“ก็ต้องกินนี่ครับ ไม่อร่อย แต่มันก็จำเป็นสำหรับชีวิต ไม่กินก็ตาย"
ชาลีหันไปมองคนที่พูดด้วยน้ำเสียงราวจะยอมรับในชะตาชีวิตของตัวเอง ก่อนจะเร่งเท้าเดินเร็วขึ้น ทิ้งยุทธนาไว้เบื้องหลัง แต่หูได้ยินเสียงเอกภพดังขึ้นมาแว่วๆ
“อาหารอร่อยไหมครับคุณยุทธ"
“อร่อยครับ แล้วหมอล่ะครับ"
“อร่อยครับ ได้ทานกับเพื่อนสนิท อาหารอะไรก็อร่อยทั้งนั้น คุณยุทธล่ะ ว่าไง" เสียงเอกภพถามอย่างอารมณ์ดี
“ผมก็คงเหมือนหมอล่ะครับ แต่ผมทานคนเดียว"
“อ้าว ทานคนเดียวจะอร่อยได้ยังไง" เอกภพทำเสียงสงสัย "แต่ อ๋อ ผมรู้แล้ว เพราะมีอาหารตาใช่ไหมล่ะเลยอร่อยได้"
...บ้าจริงๆ เอก อย่ามาบ้าทำตัวเป็นกามเทพตอนนี้นะ...
...เขาไม่มีเวลาให้ใคร เขาต้องมุ่งไปที่เจตรินเท่านั้น วอกแวกไม่ได้เด็ดขาด...
...หากเขาแก้แค้นเจตรินให้จบไป คนเดียวเท่านั้นแล้วก็พอ ไวโรจน์กับพี่ทินให้ถือว่าอโหสิกันไป จากนั้นก็ให้โอกาสตัวเอง มีความรักที่จริงจังและยาวนาน...
...กับยุทธนา คนใกล้ตัวงั้นหรือ เอกมองว่ายุทธนาเป็นคนที่น่าจะใช่สำหรับเขา...
...แล้วกัณต์ล่ะ...
...กัณต์ไม่ใช่คนแบบที่จะจริงจังกับความรัก ไม่ใช่คนที่ต้องการมีความสัมพันธ์แบบชีวิตคู่ หัวใจของผู้ชายคนนั้นก็คงด้านชาเหมือนๆ กับเขานี่ล่ะ เขาพอจะรู้สึกได้...
...จะให้กัณต์มารักเขางั้นหรือ...
...ไม่มีทาง...
...แล้วจะให้เขาไปรักกัณต์?...
...มันจะเป็นไปได้ยังไง...
เจตรินมองชาลีอย่างคิดคำนึง จนนายแพทย์หนุ่มรู้สึกว่าโดนจ้องจึงละสายตาจากการอ่านผลตรวจที่ถืออยู่ในมือ เงยหน้าขึ้นมอง 'คนไข้' ซึ่งนั่งอยู่ข้างโต๊ะ
“ถ้าให้เดา คุณพยายามนึกว่าเคยเจอผมที่ไหน เพราะผู้ดูคุ้นตา" ชาลีพูดเสียงเรียบ แต่ใบหน้ายังระบายยิ้มเช่นเคย "ใช่ไหมครับ หรือว่าผมคล้ายคนในอดีตคนใดคนหนึ่งของคุณ"
“เอ อดิศวงศ์" เจตรินพึมพำ
“ใครครับ"
“ช่างเถอะครับ คุณไม่รู้จักหรอก" เจตรินส่ายหน้าช้าๆ
...อดิศวงศ์ วงศ์วิริยาธร เด็กหนุ่มที่น่าสงสาร คนที่บูชาความรักเหนือสิ่งใด คนที่เชื่อมั่นในตัวคนรัก คนที่ถูกทำร้ายทั้งกายและใจ ทำไมจะไม่รู้จัก...
...อดิศวงศ์ตายไปแล้วล่ะ เจตริน...
“เล่าให้ฟังหน่อยสิครับ" ชาลีพูด
“ผมจำไม่ค่อยได้แล้ว" เจตรินส่ายหน้า
“จำไม่ค่อยได้ หรือไม่อยากจำ" ชาลีเอียงหน้ายิ้ม "ผมเดาว่าต้องเป็นรักแรกของคุณตอนสมัยเรียน ใช่หรือเปล่าครับ"
“ไม่" เจตรินตอบสั้นๆ แล้วหัวเราะเบาๆ เบือนหน้าออกไปมองด้านข้างชั่วครู่ก่อนจะหันกลับมา
“ชักอยากจะเจอตัวฝาแฝดของผมซะแล้วสิ อยากจะรู้นักว่ายังจะมีใครเหมือนนายแพทย์ชาลีชื่อเชยๆ คนนี้หรือเปล่า"
“ใครว่าคุณชื่อเชย ผมว่าชื่อเท่ดีต่างหาก" เจตรินแย้ง มองตาชาลีนิ่ง ขณะนี้นายแพทย์หนุ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้เขามาก นัยน์ตากรุ้มกริ่มของนายแพทย์ผู้ร่าเริงจ้องตอบเขานิ่งเช่นกัน
“แต่อดีตก็คืออดีตใช่ไหมครับ อนาคตสิสำคัญ สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่างหากล่ะที่จะมีความหมายต่อชีวิตคนเรา" ชาลีทำเสียงหนักแน่น "เพราะฉะนั้น มองผมใหม่ดีกว่า ผมไม่อยากให้ใครมองผมแล้วเทียบกับคนในอดีต แม้จะมีบางมุมที่เหมือนกันก็เถอะ"
“ผมคิดว่าตาคุณเหมือนคนที่ผมเคยรู้จัก โครงหน้าก็คล้ายๆ"
“แต่นึกไม่ออกว่าใคร"
...หรือไม่อยากนึก...
...แต่อย่าพึ่งนึกออกตอนนี้เลยนะ ขอร้องเถอะ รออีกซักหน่อย เขาจะ 'ขุด' ทุกอย่างในอดีตมาทำให้ 'ระลึกได้' เลยล่ะ...
“ตกลง หมอแน่ใจนะครับว่าผมเป็นมะเร็ง" เจตรินเปลี่ยนเรื่อง น้ำเสียงค่อนข้างเศร้า
“แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ" ชาลีพยักหน้า ขยับออกห่างเจตริน แล้วพลิกกระดาษผลตรวจในมือไปมา "หมอพูดกับคนไข้แบบนี้ดูใจร้ายไปหน่อยนะ แต่ผมเป็นคนแบบนี้ล่ะ ตรงไปตรงมา หลายคนอาจจะไม่ชอบ"
“ผมชอบ"
“ชอบที่ตรงไปตรงมา หรือว่า...” ชาลีถามแต่รีบเปลี่ยนประเด็น "แต่ถ้าคุณยอมรักษาตัวตามที่ผมแนะนำ คุณต้องหาย ถ้าไม่หาย มาฆ่าผมได้เลย"
“ถ้าผมไม่หาย ผมก็ตายสิครับ แล้วจะมาฆ่าคุณได้ยังไง" เจตรินแย้ง "แต่ไม่ถึงกับต้องฆ่าแกงกันหรอกครับ ผมไม่ใช่คนใจร้ายขนาดนั้น"
“คุณต้องหายครับ เชื่อผมนะ" ชาลีพูดเสียงหนักแน่น มองเจตรินนิ่ง
“คุณจะอยู่ข้างผมได้ไหมครับหมอ" เจตรินพูดขึ้นหลังจากเงียบไปหลายอึดใจ
“ผมไม่ทิ้งคุณแน่ รับรองได้เลย จะไม่ปล่อยให้คุณไปหาหมอคนอื่นเลย" ชาลีตอบ "ตราบเท่าที่คุณมีเงินจ่ายค่าตรวจรักษา"
เจตรินหัวเราะกับอารมณ์ขันของแพทย์ผู้ที่กำลังทำหน้าเคร่งขรึมต่างกับคำพูดประโยคหลัง ชาลีเก็บผลตรวจของเจตรินเข้าแฟ้มแล้วทำนัดครั้งต่อไป
“เราจะเริ่มคีโมอาทิตย์หน้า"
“คีโม" เจตรินเลิกคิ้ว
“เคมีบำบัดครับ" ชาลีตอบ "เปรียบง่ายๆ เหมือนกับเอาเตารีดนาบเซลล์มะเร็งให้มันหงิกงอตายไปทีละตัวสองตัว"
“คุณพูดซะเหมือนมะเร็งเป็นหนอนยังงันล่ะ"
“มะเร็งเป็นเนื้อร้าย เป็นสิ่งที่ไม่ดีซึ่งงอกขึ้นมาอยู่ในร่างกายมนุษย์ มันก็น่าขยะแขยงไม่ต่างจากหนอนหรอก" ชาลีเบ้ปาก "แต่ว่า ไม่ต้องห่วงครับ สิ่งเลวร้ายต้องโดนกำจัด แพทย์มีวิธีของแพทย์ที่จะทำลายเนื้อร้ายแบบนี้ ต้องเอาให้สิ้นซาก ชนิดไม่ให้ผุดให้เกิดมาอีกเลยล่ะ"
“ฟังเหมือนกำลังจะทำสงครามเลยนะครับ" เจตรินส่ายหน้า
“ครั้งสองครั้งแรกไม่เท่าไหร่หรอกครับ แค่ยิงกันโป้งป้างๆ แต่ครั้งที่สามสี่เหมือนสงครามจริงๆ ล่ะ พอๆ กับสงครามเวียดนามเลยทีเดียว แต่ไม่น่าจะถึงขนาดสงครามโลก ตอนนั้นผมอยากให้คุณพาคนที่รักคุณมาด้วยเพราะครั้งหลังๆ จะค่อนข้างทรมาน เขาจะได้มาให้กำลังใจ"
“หมายความว่าไงครับ"
“มันจะเจ็บ เจ็บมาก เจ็บถึงกระดูก ร้อนมากด้วย เหมือนๆ เอาไดร์เป่าผมขนาดใหญ่เป่าให้ทั่วตัว แล้วเอาเข็มเบอร์ใหญ่ๆ หลายๆ เล่ม แทงๆ ให้ถึงกระดูก เราต้องฆ่าเซลล์มะเร็ง ก็เลยต้องหนักมือหน่อย ทีนี้เซลล์ดีๆ ที่อยู่ในร่างกายก็ต้องได้รับผลกระทบด้วย"
“คุณพูดซะน่ากลัว นี่ถ้าผู้อำนายการโรงพยาบาลมาได้ยินหมอพูดกับคนไข้แบบนี้"
“ก็คงไล่ผมออก" ชาลีหัวเราะ "แต่ไม่ต้องห่วงครับ ผมเป็นหมอฝีมือดี ไม่เชื่อถามใครในโรงพยาบาลนี้หรือที่ศิริราชก็ได้ คุณรู้ไหม ผมจบแพทย์ท๊อปเท็นของรุ่นเชียว คนไทยคนเดียวในจำนวนสิบคนที่ได้คะแนนสูงสุด เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัว เชื่อมือผมได้เลย คุณเพิ่งเริ่มเป็น แค่นี้สบายมาก"
“แต่วิธีที่อธิบายให้ผมฟังนี่ดูไม่ค่อยสบาย"
“ถึงได้บอกให้พาคนมาด้วยเพื่อให้กำลังใจไงครับ แฟนก็ได้ คนที่ผมไปเจอที่ทะเลคราวนั้นไง"
“บอกแล้วไงครับว่าไม่...”
“สนิทกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟน" ชาลีแทรก สังเกตได้ว่าเจตรินรีบแย้งเสียงเข้ม "อ๋อ เข้าใจแล้ว คงเหมือนผมมั๊งครับ ดูเหมือนว่าจะคบกัน แต่ก็ไม่ไปถึงไหน เฮ้อ สรุปแล้ว ชีวิตนี้ก็คงต้องโดดเดี่ยวเดียวดายแน่ๆ เลย"
“อย่าเพิ่งพูดเร็วไปสิครับหมอ ใครจะรู้ ซักวัน หมออาจจะเจอคนที่ใช่"
...คุณไง เจตริน เมื่อเกือบสิบเอ็ดปีก่อน ผมเคยบอกตัวเองวาคุณคือคนที่ใช่ แล้วเป็นไงล่ะ คุณถีบหัวส่งผมอย่างไม่ใยดี ฝากแผลให้ผมดูต่างหน้าอีกต่างหาก ทั้งแผลกายและแผลใจ...
กัณต์ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมมายืนดักรอชาลีอยู่ที่หน้าโรงพยาบาล เขาพยายามบอกตัวเองว่าเพราะต้องการพิสูจน์เสน่ห์ของตัวเอง ไม่มีใครเคยรอดจากเขาได้ซักคน คนที่เขาต้องการ ไม่ว่าใคร เขาต้องได้ และเขาก็ไม่เคยเก็บไว้
แต่ทว่า อีกใจหนึ่งก็แย้งว่า...ไม่รู้ว่าทำไม
...ทำไมล่ะ ทำไม...
...ทำไมมาทำอะไรแบบนี้...
ชาลีเห็นเขาแล้ว รอยยิ้มมุมปากนั้นแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจมาก และไม่ได้หวั่นเลยว่าจะเห็นเขายืนอยู่ตรงนี้
...มาสู้กันหน่อยนะ หมอชาลี...
“มาถึงคุณคงเดินตรวจหาว่าผมจอดรถตรงหน้าโรงพยาบาถึงได้มายืนดักอยู่ตรงนี้ สมกับเป็นตำรวจสืบสวนสอบสวนจริงๆ จะมาชวนผมไปทานข้าวใช่ไหมครับ" ชาลีพูดยิ้มๆ เดินเข้ามายืนอยู่หน้านายตำรวจ
“แล้วก็ดูหนังฟังเพลง" กัณต์ตอบยิ้มๆ เช่นกัน
“ทำไม" ชาลีเปลี่ยนเป็นสีหน้านิ่งเรียบ
“เพราะผมหิว"
“ทำไม"
“เพราะผมไม่ได้เจอคุณหลายวันแล้ว" กัณต์ยักไหล่
“ทำไม"
“คุณจะเล่นเกมถามคำถามอีกคำถามครับคุณหมอชาลี" กัณต์ทำเสียงเข้ม "คุณเป็นคนตรงไปตรงมาไม่ใช่หรือ ก็ได้ ผมจะตอบคำถามคุณตรงๆ"
“คุณคิดจะชวนผมไปนอนด้วย" ชาลีหรี่ตา พูดตรงไปตรงมาแบบที่คนฟังไม่เคยคิดจะเดาว่าจะพูดแบบนี้
“ฮึ" กัณต์ยิ้มมุมปาก ทำเสียงเยาะๆ ในลำคอ
“ผมอ่านความคิดคุณออก" ชาลีเลื่อนสายตาขึ้นไปมองหน้าผากของนายตำรวจร่างสูง
“อ่านใจผมดีกว่า อย่าพยายามอ่านความคิดผมเลย"
“ใจคนเหมือนเถาวัลย์"
“ตกลงไปไหมครับ" กัณต์เลิกคิ้ว "หรือจะยืนอ่านผมต่อ"
“อ่านแค่นี้ก็พอแล้ว" ชาลียักไหล่แล้วเดินนำหน้ากัณต์ออกไปยังลานจอดรถ "คุณเป็นคนอ่านง่าย แค่นี้ก็รู้แล้วว่าคุณต้องการอะไร คุณฉุนที่ใช่เสน่ห์ของคนเจ้าชู้กับผมไม่ได้ คุณคิดว่าผมคือความท้าทายเพราะไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่คุณเคยคบ คุณอยากจะได้ผม เพื่อจะได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ"
“ผมว่าคุณเปลี่ยนไปเป็นหมอจิตวิทยาดีกว่า"
“คุณกะจะปิดเกมให้ได้ในเร็ววัน" ชาลีหันไปทำหน้าเรียบนิ่งกับกัณต์ซึ่งเดินตามมาติดๆ "เพราะคุณกลัวจะแพ้"
“ไม่แน่ อาจจะเป็นคุณที่กลัว" กัณต์ยังทำเสียงอย่างคนใจเย็น
“เพราะคุณกลัวแพ้ คุณถึงได้ตามผมแบบนี้ คุณรอเวลาไม่ไหวแล้วถึงได้เปิดเกมรุก"
“เท่าที่ผมจำได้ คุณเปิดเกมก่อน ไม่งั้นคงไม่กลับไปตอแยกับผมหรอก ทั้งที่คุณก็ดูไม่ค่อยจะอยากญาติดีกับผมเท่าไหร่ ความจริง เราก็ควรจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันตั้งแต่วันที่คุณไปชี้ตัวอยู่ต้องหาแล้ว คดีปิด ทุกอย่างจบ เราก็ไม่มีความจำเป็นต้องเจอกันอีก"
“งั้นหรือ" ชาลีเลิกคิ้ว
“แต่คุณก็ขึ้นโรงพักไปแจ้งความว่ารถถูกทุบกระจก เรื่องนั้นเป็นการแจ้งความเท็จ ผมไม่ได้คิดจะเอาผิดกับคุณหรอก คุณจงใจจะสานความสัมพันธ์ แต่พอผมทำท่าจะเดินหน้า คุณก็ถอย แล้วจู่ๆ คุณก็ชวนผมไปเที่ยวทะเล"
ชาลีเดินถึงรถ ยกมือขึ้นกดรีโมทเปิดล๊อครถคันงาม กัณต์เท้ามือกับประตูรถด้านคนขับแล้วพูดเสียงต่ำ
“คุณจงใจปั่นหัวผม แล้วตอนนี้คุณก็เลี่ยง ผมรู้ว่าเพราะอะไร เหตุผลข้อที่หนึ่ง คุณต้องการทุ่มเวลาไปกับการแก้แค้นแฟนเก่าของคุณ และข้อที่สอง...” กัณต์หยุดพูด จ้องหน้าชาลีนิ่ง หายใจแรงเพราะอารมณ์เริ่มพุ่งพล่านทั้งที่เมื่อครู่พยายามทำเป็นใจเย็น เขาไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้มีปัญหาในการควบคุมตนเองเช่นนี้
“ข้อสอง คุณให้ผมเก็บไปนอนคิดเป็นการบ้านงั้นสิ" ชาลีเชิดหน้าขึ้นท้าทายกัณต์
“คุณเลี่ยงผมหรือเปล่า ชาลี" กัณต์เลิกคิ้ว นิ่งไปชั่วครู่ แล้วพูดช้าๆ ว่า "อดิศวงศ์"
“ผมไม่ใช่อดิศวงศ์" ชาลีเสียงกร้าว ถลึงตาใส่กัณต์อย่างเอาเรื่อง "เด็กหน้าโง่คนนั้นตายไปตั้งนานแล้ว แต่ถ้าคุณอยากไปเตือนผู้ชายคนนั้นก็เชิญเลย"
...เดินหมากผิด เขาเดินหมากผิด ตั้งใจจะสานสัมพันธ์กับชาลี แต่เขากลับเสียการควบคุมตัวเอง...
...มันกำลังเกิดอะไรขึ้นกับเรากันนี่...
คิดถึงนะครับ