ตอนที่87 เตือนตัวเอง เพื่อ..ตัวเอง
“กูต้องกลับบ้านอีกแล้ว มึงไม่คิดถึงกูรึไง”
“...............”
“เซ็งเลยอ่ะ ขี้เกียจกลับแล้วด้วย”กูบ่นไม่เลิก
“อนาคตมึงนะ”แม่ง ประโยคเดียว จุกเลยไหมครับพี่น้อง
“รู้แล้วน่า ถึงได้เทียวไปเทียวมาอยู่นี่ไง แต่มึงกับกูไม่ได้เจอกันมาเป็นอาทิตย์แล้วนะ แล้วเดี๋ยวนี้เราก็ไม่ได้ตึ๋งโป๊ะกันด้วย”กูพูด
“ตายซะป่ะ”มันพูด
“โด่..ก็จริงนี่ เครื่องมาแล้ว ไปแล้วนะ ถึงแล้วจะโทรหา”กูบอก
“อืม”มันตอบแค่นั้น
“วางนะครับ”กูพูด
“อืม อย่าไปสะดุดขาแอร์ล้มล่ะ”มันพูด
“หึ..”กูหัวเราะตอบ เพราะรู้ดีว่านี่เป็นการอวยพรอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นคนปกติทั่วไปคงอวยพรว่า “เดินทางปลอดภัย” หรือ “เดินทางดีๆนะ” หรืออะไรเถือกนี้ แต่สำหรับเมียกู “อย่าสะดุดขาแอร์ล้ม” คงหมายความประมาณว่า “โชคดีนะ” นั่นแหละมั้ง กร๊าก
วันนี้เป็นอีกวันที่กูต้องกลับไปช่วยงานพ่อ ตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ช่วงนั้นกูค่อนข้างใช้ชีวิตกับสลิ่มมันบ่อยมากๆ แต่หลังจากนั้นก็แทบไม่ได้เจอกันเลย เพราะกูต้องทำโปรเจคจบแล้วก็ต้องเตรียมสอบให้ตัวเองต้องผ่านหมดทุกตัวโดยที่ไม่ติดอะไรทั้งสิ้น เพราะไม่งั้นมันจะเสียอยู่ตรงที่ใบจบกูด้วยอ่ะนะ ส่วนสลิ่มมันก็เตรียมสอบ จนยิ่งประมาณเดือนมีนาคมนี่ได้เห็นหน้ากันแค่สองครั้งเองมั้ง พากันออกไปกินข้าวก็แค่นั้นเอง หลังจากสอบเสร็จทั้งกูและสลิ่มก็ต่างคนต่างต้องทำหน้าที่ของตัวเองไป ปิดเทอมสลิ่มมันต้องเรียนพิเศษแบบหนักสุดๆ เห็นว่ามันบอกว่าไหนๆก็ได้หยุดยาวสบายแล้วกับการเรียนและการสอบได้ทำเต็มที่แล้วมันก็เลยตั้งใจอยากจะทำอะไรเพื่อตัวเองอีก มันลงเรียนกีตาร์กับอาจารย์มันต่อหลังจากที่หยุดมานาน ไปเรียนวาดรูปติวสอบด้วยเห็นว่ามันจะเอาดีไปด้านนี้ แต่มันยังไม่ยอมบอกกูว่าจะเลือกคณะอะไร มันบอกว่ามันคาใจอยากเลือกอยู่สามคณะ กูก็ตามใจไม่คาดคั้นเรื่องแบบนี้มันต้องตัดสินใจสักระยะ ค่อยเป็นค่อยไป มันต้องลงเรียนพิเศษวิชาอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งเวลาแค่จะโทรหากันนี่แทบจะไม่มี เพราะเวลาของกูและมันไม่ค่อยตรงกันนัก กูกับไอ้โมทหาที่หาทางทำเลของร้านกู ส่วนตัวกูเองก็ค่อยเป็นค่อยไปกับกิจการของตัวกูด้วยเหมือนกัน กูเลยต้องเต็มที่ๆจะช่วยงานที่บริษัทของพ่อกู เพราะกูรู้ดีว่าวงเงินที่กูต้องใช้จากพ่อกูอีกนั่นมันเป็นก้อนที่ใหญ่มากทีเดียว กูกับไอ้โมทเลยรอบคอบที่จะคอยช่วยเหลือกัน รวมถึงไอ้มิ้วค์ที่สมองมันคิดอะไรดีๆได้หลายๆอย่างอะนะ ก็ต้องคอยช่วยคิดและมองข้อบกพร่องของกันและกัน โดนส่วนตัวแล้วกูไม่ได้รีบร้อนอะไร กูอยากให้มันงานทุกอย่างมันแน่นอน ช้าเร็วไม่เป็นไร แต่ขอให้ทุกอย่างมันออกมาดีก็เท่านั้นพอ
เดือนนี้เดือนเมษา จะวันเกิดกูแล้วด้วย ตอนแรกกูแทบลืมวันเกิดของตัวเองไปแล้ว แต่ไอ้โมทมันพูดขึ้นมาว่า “ทำบุญตักบาตรซะบ้าง ใกล้วันเกิดแล้วนิ” เลยทำให้กูนึกได้ว่า อ่าว..จะวันเกิดกูแล้วหรอวะ ที่จริงแล้วกูก็อยากอยู่วันเกิดฉลองกับเพื่อนๆแล้วก็สลิ่มมันนั่นแหละนะ แต่ที่ต้องกลับมาบ้านเนี้ยมันต้องอยู่ยาวถึงสองอาทิตย์ แล้วมันก็เลยวันเกิดกูไปวันนึงเลยด้วย เลยว่าจะพาแม่ไปวัดทำบุญอย่างที่ไอ้โมทมันบอก แล้วก็พาพ่อกับแม่ไปเลี้ยงข้าวด้วยเงินจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองนั่นแหละ
............
............
“หืม มีแต่ได้กับได้ว่ะพ่อ”กูบ่นขึ้นเมื่อดูแผนโปรโมชั่นที่จะยื่นให้โรงแรมที่จะหุ้นด้วยกัน
“แล้วจะทำยังไง คงต้องยอมไปก่อน”พ่อบอกสีหน้าเรียบเฉย
“แต่เมตรว่าที่ให้หักค่าหัวคิวแค่นี้เราไม่เสียเปรียบไปหรอพ่อ”กูยังเค็มไม่เลิก
“................”พ่อทำหน้าคิดนิดหน่อย
“เอาลูกค้าก่อนแล้วกัน”พ่อพูด
“ตามใจพ่อแล้วกัน”กูบอก
“น้องเมตรเสื้อแจ๊กเก็ตมาลงแล้วนะ”พี่ป้อมเดินมาบอก กูยิ้มตอบให้แล้วลุกขึ้น เสื้อแจ๊กเก็ตเป็นสิ่งที่กูคิดอีกนั่นแหละนะ ไม่ใช่อะไรหรอก กูสาระแนอยากได้เอง กร๊าก เลยอยากให้ทุกคนมีเหมือนๆกู เลยออกแบบ สั่งเย็บ สั่งตัดซะเลย
“สีสบายตาดี ช่างจะคิดนะเรา”พวกพี่พนักงานพูด ตอนแรกกูว่าจะเอาสีดำ แต่ดันไปเจอไอ้บริษัทคู่แข่งมันเอาสีดำไปแล้ว กูเลยเอาสีฟ้าน้ำทะเลซะเลย แล้วเสื้อเป็นแบบผ้าล่มจากที่ตอนแรกจะเอาเป็นแบบผ้าแบบเสื้อแจ๊คเก็ตปกติทั่วไป พอเอาเป็นผ้าล่มแล้วสีฟ้าน้ำทะเลมันก็เลยดูจะเข้ากันไปโดยปริยาย อันนี้ก็ไม่บังคับอ่ะนะว่าใครจะใส่ไม่ใส่ ส่วนมากกูออกแบบออกมาให้คนออกนอกพื้นที่เอาไว้ใส่อยู่แล้ว เพราะต้องตากแดด ตากลม บางทีตากฝนก็มีเหมือนกัน มันจะได้แห้งง่ายๆ
“เดี๋ยวต้องไปพบลูกค้าคนเดิมนะ เมตรก็เข้าไปคุยพร้อมพี่กับพ่อเลยแล้วกัน ดูเหมือนว่าคราวที่แล้วที่เค้าเจอเมตร จ้องอยู่นั่นแหละ เอาไปเป็นนายกวักซะหน่อย”พี่ป้อมพูดทำหน้าทำตาเจ้าเล่ห์ใส่กู กูก็นึกออกเลยว่าพี่เค้าหมายถึงลูกค้าคนไหน
“หึหึ เดี๋ยวเมตรคิดค่าตัวนะ”กูบอกขำๆ เพราะตัวกูเองก็รู้ตัวเหมือนกันว่าเจ๊แกชอบจ้องกูแปลกๆ เป็นผู้หญิงที่อายุน่าจะประมาณสามสิบต้นๆ ยังวัยรุ่นเพี้ยวอยู่เลย
“...............”พี่ป้อมไม่ตอบอะไร เอาแต่ยิ้มมองหน้ากูอย่างเอ็นดูก่อนที่จะหันไปมองหน้าพ่อ
“พ่อ เดี๋ยวเมตรมานะ”กูหันไปบอกพ่อ
“ไปไหนล่ะ”พ่อถาม
“กินกาแฟร้านข้างๆเนี้ยแหละ”กูบอกแล้วชี้ๆไปเรื่อย แล้วเดินออกมา กะว่าจะโทรหาสลิ่มมันหน่อย ตั้งแต่วันที่เดินทางมาถึงก็ยังไม่มีเวลาโทรคุยกันจริงจังสักที ได้คุยกันแค่สองสามนาทีก็วางตลอด กูเดินไปที่ร้านกาแฟสดร้านข้างๆ แล้วเข้าไปในร้าน สั่งกาแฟกับอะไรนิดหน่อยมากินฆ่าเวลา แล้วมากดโทรศัพท์โทรหาสลิ่มมัน
ตู๊ดดๆ ๆ ๆ
“โหล”มันพูด
“อยู่ไหนน่ะ”กูถามเลยประโยคแรก เพราะเสียงรอบตัวมันวุ่นวาย
“กำลังเดินไปเรียน”มันบอก
“กินอะไรรึยัง”กูถาม
“กินแล้ว เมื่อกี้..เขต!”มันตอบกู ก่อนที่จะตะโกนเรียกไอ้เขตซะเสียงดัง
“อ่าว วันนี้ไปไหน”กูถาม
“เปล่า วันนี้ไอ้เขตเรียนคณิตตรงวันกันพอดี”มันบอก
“อ๋อ แล้วจะกลับบ้านเลยรึเปล่า ใครมารับหรือกลับกับไอ้เขต”กูถามไม่เลิก กาแฟมาเสิร์ฟก็ไม่แดก สั่งไปงั้นแหละ
“ถามมาก”มันพูด
“อยากรู้คำตอบ ไม่งั้นจะถามเพื่อ..”กูย้อน
“เดี๋ยวไปร้านดนตรี ไอ้เขตจะไปดูไม้กลองให้ไอ้เวก่อน แล้วให้มันไปส่งบ้าน”มันบอก เพราะตั้งแต่ปิดเทอม ส่วนมากมันจะอยู่บ้านตลอดเลย มีแค่วันที่มันต้องไปร้องเพลงที่ร้านวันศุกร์กับวันเสาร์น่ะ มันจะไปนอนหอมัน
“แล้วอยู่ไหนอ่ะ”มันถามกลับ
“ภูเก็ต”กูตอบ
“หึ งั้นวางละ”มันพูด
“ร้านกาแฟ”กูตอบขำๆ
“เดี๋ยวต้องไปเจอลูกค้ากับพ่ออีก”กูบอก
“เมตร แป๊บนะ”มันบอก
“อืม”กูตอบแค่นั้น หลังจากนั้นกูก็เงียบรอฟังว่ามันทำอะไรของมัน
“ไปไหนอ่ะ”เสียงมันพูดถามใครสักคน กูว่าน่าจะเป็นไอ้เขต
“กูเจอไอ้เป๊ก”เสียงไอ้เขตตอบ
“อย่าพึ่งไปยุ่งกับมันเลย วันนี้กูจะมาเรียน”สลิ่มตอบ
“................”หลังจากนั้นปลายสายก็เงียบไป
“ปล่อยมันไป”กูได้ยินเสียงสลิ่มพูด
“มึงเป็นเหี้ยไร”ไอ้เขตพูดขึ้นเหมือนว่าสลิ่มมัน
“เปล่า”สลิ่มตอบ
“แปลก..มึงเป็นอะไร มันมองหน้ามึงด้วยนะ”ไอ้เขตพูด
“เปล่า บอกว่าเปล่าก็เปล่าดิ”สลิ่มตอบปัดๆ
“มึงจะไม่กระทืบมันแล้วใช่ไหม เอาชัดๆ..กูจะได้ไม่มองพวกมัน เห็นแล้วขัดลูกตา”ไอ้เขตพูดอย่างเซ็งๆ
“อืม คงงั้น”สลิ่มตอบ
“อ่าว ทำไมวะ ก็ตอนแรกมึง..”ไอ้เขตโวยวาย
“เออน่า ช่างมัน ไปเรียนเหอะ”สลิ่มตอบปัด
“ฮัลโหล”เสียงปลายสายพูดมา
“หื้มม”กูรับไป ยิ้มหน่อยๆ เพราะรู้สาเหตุที่สลิ่มมันไม่ยอมตอบไอ้เขตเมื่อกี้นิดหน่อย กูหมายถึงถ้ามันเป็นไปตามที่กูคิดไว้อะนะ
“ใจเต้นรึเปล่า”กูแซว
“เต้นห่าไรล่ะ เฉยๆ..แต่ถ้ามันมากระตุ้นกู ก็อีกเรื่อง”สลิ่มพูดบอก
“มึงก็เฉยๆไว้เหอะ ทำเหมือนไม่เห็น..ไม่งั้นมึงก็ต้องล้างแค้นทุกคน แค้นกันไปแค้นกันมาไม่เหนื่อยรึไง”กูพูด
“ไม่”มันตอบทันที
“หึ งั้นก็ไปกระทืบไอ้ห่านั่นเลยไป”กูพูดประชด
“จะเอาใช่ป่ะ”มันย้อนทันที
“เปล่า กูประชด ห่านี่”กูพูด
“อืม งั้นแค่นี้นะ จะเรียนละ”มันบอก
“ครับ”
“.................”กูยังไม่กดวางสาย ส่วนมันก็ยังไม่กดวางเหมือนกัน แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไร
“ถึงบ้านแล้วโทรหากูด้วย”กูบอก
“อื้ม”มันตอบแค่นั้น
“แต่ถ้ากูคุยกับลูกค้าอยู่ก็คงรับไม่ได้นะ แต่เดี๋ยวจะโทรกลับ”กูบอก
“อื้มมมม~~”มันลากเสียงยาวกว่าเดิมหน่อยนึง
“ครับ คิดถึงนะ”กูบอก
“เออ!”เสียงเดียวเน้นๆ ก่อนที่จะวางสายไป กูรู้ดีว่าทำไมสลิ่มมันถึงปล่อยคู่อริไปแบบนั้น มันก็คงไม่กล้าบอกใครหรือเล่าให้ใครฟังหรอกมั้ง แต่ก็นะ..มันก็ดีแล้วที่สลิ่มมันคิดและระวังตัวเองมากขึ้น คือก่อนหน้านี้มันมีเหตุการณ์ที่กูกับมันอยู่ด้วยกันอะนะ แล้วก็เกิดสิ่งที่ทั้งกูและมันก็ไม่อยากให้เกิดสักเท่าไหร่
“เมตร ไปดูมวยกันเหอะ”มันพูดขึ้นโต้งๆ ตอนนั้นกูอยู่ที่ห้องสลิ่มมัน กำลังนั่งเล่นคอมของสลิ่มมันอยู่
“ที่ไหน”กูถาม
“.................”มันบอก
“จ่ายค่าเข้าให้กูป่ะล่ะ”กูถาม
“ไอ้เค็ม”มันพูด
“นิดนึง”กูพูดยิ้มๆ
“พรุ่งนี้พี่สิงแข่ง กูจะไปดู ไปไหม”มันถามยิ้มหน้าบาน
“ที่ยิ้มนี่อยากให้กูไปด้วย หรืออยากไปดูไอ้ห่าพี่สิงแข่งกันแน่”กูพูด
“มันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้วว่ากูอยากดูพี่สิงแข่ง”มันพูด
“งั้นกูไม่ไป”กูพูด
“..................”มันเงียบ กูหันไปมอง หน้างอลงไปนิดนึง ดีใจหน่อยๆเหมือนกันว่ะกู เอิ้ก~~
“ถ้าชวนแล้วพูดเพราะๆก็จะไป พูดว่า พี่เมตรครับ ไปดูมวยเป็นเพื่อนสลิ่มหน่อยนะ”กูพูดบอก
“เฮอะ ไปหาพี่สิงที่ค่ายแล้วไปพร้อมกับพี่สิงก็ได้”มันพูดแบบไม่ง้อ
“อ่าว ไหงงั้นอ่ะ”กูหันไปมองหน้ามันทันที
“ก็มึงไม่อยากไปเองนี่ กูก็ไม่บังคับหรอก”มันพูด
“มึงนี่นะ”กูไม่รู้จะพูดยังไงกับมันแล้ว
“ไปก็ได้ ฟรีใช่เปล่า”กูถาม
“เออ”มันตอบ หลังจากนั้นแหละ วันถัดมากูก็ไปดูมวยกับสลิ่มมัน ซึ่งก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ ดูมวยกันไปเรื่อยจนไอ้พี่สิงมันแข่ง แล้วก็ชนะ แล้วก็ดูคู่ต่ออีกสองคู่ก็จบ กูกับสลิ่มว่าจะรอไอ้พี่สิงมันแล้วจะไปกินข้าวพร้อมกัน กูกับสลิ่มเลยไปรอหน้าทางเข้าประตูสนาม แล้วเดินดูร้านค้าแถวนั้นไปเรื่อยเปื่อย สลิ่มมันก็ซื้อน้ำซื้ออะไรกินกันไป จนไอ้พี่สิงมันเดินออกมา บอกด้วยความรีบร้อนว่าต้องรีบไปเจอครูมวยอีกค่ายก่อน มีปัญหาอะไรกันก็ไม่รู้ บอกให้สลิ่มกับกูไปรอที่ร้านอาหารใกล้ๆเดี๋ยวจะตามไป ให้สั่งอาหารรอไว้ก่อนเลยเดี๋ยวมันจะเลี้ยงเอง กูกับสลิ่มก็ไงก็ได้เลยเดินไปเรื่อยๆ หาร้านอาหารกันเพราะแถวนั้นทั้งกูและมันก็ไม่ชำนาญทาง เพราะก็เคยมาครั้งแรกด้วย ออกแนวจะเถื่อนแล้วก็ออกบ้านๆนิดหน่อย
“มันมองหน้ากูทำไมอ่ะ”สลิ่มพูดไปแล้วเอาปากอ้าๆจะมาคาบหลอดในถุงน้ำแดงที่กูถืออยู่ กูหันไปมองไอ้คนนั้นมันเป็นผู้ชายที่นั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซด์เก่าๆคันนึง มันก็มองมาที่สลิ่มจริงๆนั่นแหละ กูยื่นถุงน้ำแดงไปใกล้ปากสลิ่มมันมากขึ้นจนมันคาบไปดูดได้สำเร็จ
“ถือเองสิ”กูพูดบอก
“ขี้เกียจนิ”มันตอบ แม่ง ไม่ยอมถืออะไรเลย แดกลูกชิ้นเสร็จก็ทิ้งถุงเดินตัวปลิวตลอดทาง
“จะทิ้งแล้วนะ ดูดให้หมดเลย”กูพูดบอก
“จะรีบทิ้งทำไมเล่า”มันหันมาพูด
“น้ำมันหยดใส่รองเท้ากูเนี้ย รีบดูดสิ”กูยื่นถุงให้มัน มันเลยเอาปากไปคาบหลอดแล้วดูดน้ำแดงไปอย่างช่วยไม่ได้จนน้ำมันหมดนั่นแหละ แม่ง อย่างกับเด็ก น่ารักเกินไปละเมียกู แต่กูก็ไม่ออกอาการอะนะว่าตอนนี้กูกำลังมองมันด้วยความรู้สึกแบบไหนเพราะเดี๋ยวมันจะไม่ทำตัวแบบนี้เวลาอยู่กับกูอีกอ่ะดิ กูมองซ้ายมองขวาหาถังขยะ พอเจอกูก็เลยจับแขนสลิ่มมันให้เดินตามไปแล้วทิ้งถุงน้ำแดงลงถังขยะไป
“กินร้านไหนดี”มันพูดขึ้นแล้วมองไปทั่ว
“มันมองกูจริงนะ หรือมันมองมึง”สลิ่มพูดขึ้นอีก แล้วทำก้าวเดินไปมา เหมือนจะอ่านสายตาไอ้คนที่นั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซด์ มันก้าวเท้าห่างจากกูแล้วหันไปมองไอ้นั่ง ปรากฏว่าไอ้ห่านั่นมันมองสลิ่มจริงๆ เพราะพอสลิ่มมันก้าวขาออกห่างจากกูไปเป็นเมตร สายตามันก็ยังจ้องที่สลิ่มอยู่เลย กูกับสลิ่มด้วยความที่ยังไม่แน่ใจ ก็เลยหันมองรอบตัวเอง เงยหน้ามองไปที่ตึกนู้นตึกนี้ว่าตกลงมันมองอะไร จุดจบก็คือมองสลิ่มอยู่ดีนั่นแหละ
“มองหาเหี้ยไรวะ”มันเริ่มหงุดหงิด
“ช่างมันเหอะน่า”กูพูดบอก
“มึงดูสายตามันดิ มันก็รู้ว่าเรารู้ตัวยังจ้องอยูได้”มันพูดโวยวาย
“ไปเหอะ ไม่ใช่ถิ่นเรานะ”กูพูด เพราะไม่ใช่ถิ่นที่เราอยู่จริงๆนี่ แล้วแถวนี้แม่งโคตรสถุลเลย มีแต่พวกนักมวยกับพวกคนในค่ายเดินไปเดินมา ดูสภาพก็รู้แล้ว พวกคนแก่ผู้ชายก็มีแต่พวกเล่นพนันมวยกันทั้งนั้น