มารอเฮียแจ็คสุดที่เลิฟ
มาแล้วค่ะ คุณ Nilirin ขอบคุณนะคะที่มารอเชียร์เฮียแจ๊คของเรา (ชอบที่คุณ Nolirin เรียกว่า เฮียแจ๊คจังเลย ฟังดูเหมาะกับตัวของแจ๊คดี)
และก็ขอบคุณทุก ๆ คนมากนะคะ
ภาคต่อ ตอนที่ 29
พีร์ที่เห็นพลกฤษณ์ยืนเหมือนลังเลอะไรอยู่ในโรงรถก่อนไปทำงาน เขาจึงถามอีกฝ่ายขึ้นมาว่า
“เป็นอะไรไปอ่ะคุณแจ๊ค”
พลกฤษณ์พลางกวาดตามองไปรอบ ๆ รถทุกคันที่จอดเรียงรายอยู่ ก่อนจะตอบแบบกรุ่นคิดจริงจังว่า
“ผมกำลังเลือกอยู่ว่าวันนี้จะขับคันไหนไปหน่ะสิ”
พีร์มองหน้าชายหนุ่มอย่างหมั่นไส้ เพราะส่วนตัวเขาก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องยวดยานเท่าไหร่อยู่แล้ว และยิ่งมาเจออาการแบบนี้จากการที่มีรถเยอะ เลยทำให้ยิ่งหมั่นไส้ชายหนุ่มเข้าไปใหญ่
“ขับ ๆ ไปเถอะน่า คันไหนมันก็ไปถึงเหมือนกัน”
พลกฤษณ์มองหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะบอกว่า “ไม่หรอก มันไม่เหมือนกันหรอก รถแต่ละคันมันต่างกันนะ”
“งั้นก็เชิญเลือกไปเถอะ ผมนั่งแท็กซี่ไปเองก็ได้..” พีร์สะบัดออกไป ทำให้พลกฤษณ์รีบขึ้นMercedes Benz S class สีน้ำเงินคันที่อยู่ตรงหน้าแล้วขับตามร่างอวบออกไปทันที
“เฮ้!..คุณ..” เขาเรียกตามพีร์ที่กำลังจะเดินออกไปจากบ้านพร้อมกับบีบแตรตาม
“คุณ..ขึ้นมาเถอะน่า..” พลกฤษณ์ชะลอรถตาม เขาคิดในใจ “เอาล่ะเว้ย งานเข้าแต่เช้าเชียว”
“น่าจะงอนอะไรผมแต่เช้า”
พีร์มองหน้าอีกฝ่ายเหวี่ยง ๆ ด้วยความขัดใจ
“มาเถอะน่า นั่งแท็กซี่ไปก็เปลืองเปล่า ๆ นะ เลิกงอนแล้วขึ้นมาได้แล้ว เดี๋ยวไปทำงานสายนะ”
พีร์ได้ยินอย่างนั้นก็หันมามองพลกฤษณ์ที่ส่งสายตาขอร้อง “น่า ขึ้นมาเถอะ” เขากวักมือเรียกเด็กหนุ่มขึ้นมา พีร์เห็นอย่างนั้นก็เดินอ้อมรถเปิดประตูขึ้นไปนั่งข้างหน้ากับเขาจนได้
พลกฤษณ์ทำหน้าโล่งใจ ที่คนแสนงอนขึ้นมานั่งกับเขาจนได้ เขาจึงขับรถออกไปจากประตูบ้านทันที
“นี่คุณแจ๊ค” อยู่ดี ๆ พีร์ก็ถามขึ้นมาขณะอยู่ในรถ
“หืมม มีอะไร”
“ผมไม่เข้าใจจริง ๆ เลย คุณจะมีรถเยอะ ๆ ไว้ทำไมให้ปวดหัว”
พลกฤษณ์ทำหน้ายิ้มรับ เขาคิดในใจ “ว่าแล้วว่าต้องถามอะไร”
“รถมันก็เหมือน ๆ กันไม่ใช่เหรอ ขับได้ถึงที่หมายก็น่าจะพอแล้ว”
“มันไม่เหมือนกันหรอก” เขาตอบนิ่ง ๆ “รถแต่ละรุ่นแต่ละคันมันแตกต่างกันนะ เครื่องยนต์กลไกของ แต่ละยี่ห้อก็แตกต่างกัน”
“แล้วมันขับไปถึงที่หมายเหมือนกันป่ะล่ะ” ร่างอวบไม่ยอมแพ้
“มันก็ใช่..แต่ว่าระหว่างทางหน่ะ รถแต่ละคันมันให้ความรู้สึกที่ต่างกันในการขับขี่เพราะสมรรถนะและองค์ประกอบของเครื่องยนต์มันไม่เหมือนกัน คุณไม่ชอบเรื่องนี้คุณไม่รู้หรอก”
พีร์ได้ยินอย่างนั้นก็จับโยงทันที
“อ๋อ ที่คุณชอบคบหลาย ๆ คนนี่ก็คงเป็นเหตุผลเดียวกันใช่มั๊ย”
พลกฤษณ์ทำหน้าปวดหัว ที่เด็กหนุ่มพูดมามันก็ใช่ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องมาพูดอะไรกันตอนนี้
พีร์มองหน้าเขาอย่างคาดคั้น ส่วนพลกฤษณ์หมดความพยายามที่จะต่อเถียง เขากรอกตาไปมาอย่างปวดหัวกับความเจ้าแง่แสนงอนของคนข้าง ๆ เสียจริง
“อ่าว ก๊อเป็นอะไร ทำหน้ายังกับไปโดนใครต่อยซ้ำมางั้นหล่ะ” ศุภกฤษณ์ถามพี่ชายที่เพิ่งลงมาจากรถ
“มีเรื่องนิดหน่อยว่ะ”
“อะไรอ่ะ อย่าบอกนะว่า แฟนก๊อตัวแม่แต่เช้าเลย”
“เออ..”
“โห เรื่องอะไรอ่ะ”
“ก็เถียงกันเรื่องรถนี่หล่ะ แต่เค้าพาเข้าเรื่องของก๊อจนได้”
“ยังไงก๊อ”
“ก็เค้าบอกว่าที่ก๊อมีรถเยอะ ๆ ก็เหมือนที่ก๊อชอบมีเด็กเยอะ ๆ ใช่ไหมไง”
“แล้วมันจริงอย่างที่เค้าว่าป่ะล่ะ”
พลกฤษณ์ลูบหัวตอบเก้อ ๆ “เอ่อ...จริง”
“ฮ่ะ ๆๆๆๆ” คนเป็นน้องชายหัวเราะออกมาอย่างตลกพี่ตัวเอง
“นั่นมันก็เมื่อก่อน แต่รถกับคนมันต่างกันนะโว้ย รถมันผลิตออกมาสนองความต้องการของคน แต่แฟนเนี่ยะเค้าไม่ได้มีไว้ตอบสนองเราอย่างเดียวเหมือนรถหรอก”
“อืม ก็ใช่ ว่าแต่น้องเค้าไปไหนแล้วหล่ะ”
“งอนก๊อไปทำงานแล้ว”
“แล้วก๊อจะทำไงเนี่ยะ”
“ทำงานก่อนว่ะ เดี๋ยวลูกค้ามารับรถตอนเก้าโมง ก๊อต้องไปดูก่อนล่ะ ที่เหลือค่อยคุยกันทีหลัง”
“อ่าครับ ฮ่ะ ๆๆ”
“ไปทำงานไป มายืนขำ เดี๊ยะ!” เขาผลักน้องชายตัวเองเบา ๆ เพื่อไล่ให้ไปทำงาน ชายหนุ่มก็หวังว่าพีร์เองก็คงจะหายงอนเขาเร็ว ๆ เพราะเขาเองก็คงไม่มีเวลาไปง้อในตอนทำงานเหมือนกัน
“น้าพีค๊าบบ น้าพีงอนอะไรอาแจ๊คหรือเปล่าคับเนี่ยะ” เด็กน้อยสังเกตุเห็นร่างอวบนั้นไม่ค่อยพูดกับพลกฤษณ์ขณะที่มารับหลานชายด้วยกัน ด้วยความเป็นเด็กช่างสังเกต
พลกฤษณ์มองหน้าหลานชายแบบขอบใจ พีร์เองก็มองพลกฤษณ์ก่อนจะตอบไปว่า
“ไม่มีอะไรหรอกคับน้องพอล น้าพีแค่เหนื่อย ๆ นิดหน่อย”
“เหรอคับ อาแจ๊คทำอะไรน้าพีเหรอครับถึงได้เหนื่อย”
เด็กน้อยถามแบบซื่อ ๆ ออกไปทำให้พลกฤษณ์หลุดขำออกมาไม่ได้ ส่วนก็พีร์มองคนที่ขับรถอยู่ดุ ๆ
“เปล่าคับ แจ๊คจะทำอะไรน้าพีได้ล่ะ น้าพีเค้าไม่ยอมหรอก ใช่ไหมน้าพี”
พีร์หน้าตึงทันทีเมื่ออีกฝ่ายหยอกล้อเรื่องนี้ ส่วนพอลก็มองพีร์อย่างสงสัยว่าพีร์หน้าตึงเพราะอะไร
“น้าพีเป็นอะไรไปเหรอคับ”
“ปะ เปล่าครับ ไม่มีอะไรนะน้องพอล” เขาตอบหลานตัวน้อยอย่างใจดี แต่ใจใจนี่สิก็อดหมั่นไส้คนเป็นอาไม่ได้
คืนนี้พอลไม่รบเร้าให้เขาเล่านิทานให้ฟังเหมือนทุกวัน เขานึกแปลกใจอยู่นิดหน่อย แต่ก็คิดว่าอาแจ๊คของอีกฝ่ายคงจะทำหน้าที่นี้แทนแล้ว เขาจะปิดไฟนอนแต่ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบา ๆ จึงรีบออกไปเปิดทันที ก็พบว่าพลกฤษณ์นั้นมากับหลานชายตัวน้อยที่เหมือนจะมาอ้อนอะไรเขา
“น้องพอล...” พีร์คุกเข่าลงคุยกับหลานชายตัวน้อย “มีอะไรหรือเปล่าคับ”
“น้าพีคับ คืนนี้น้าพีไปนอนกับพอลได้มั๊ยครับ”
“ได้สิครับ แล้วอาแจ๊คให้น้องพอลนอนคนเดียวเหรอ” เขาถามอย่างนั้นพลางมองไปที่คนเป็นอาอย่างสงสัย เพราะว่าเห็นชายหนุ่มบอกว่าคืนนี้จะนอนเป็นเพื่อนหลานชาย
“เปล่าคับน้าพี คือ น้องพอลอยากให้น้าพีมานอนกับพอลด้วย”
“หืม นอนกับน้องพอล ยังไงคับ”
“น้องพอลอยากให้น้าพีกับอาแจ๊คนอนเป็นเพื่อนน้องพอลอ่าคับบ”
พีร์ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกตกใจและประหม่าเล็กน้อย ส่วนคนเป็นอานั้นก็ยิ้มขำกับหลานชายตัวเล็ก พีร์มองหน้าเขาแบบคาดคั้น ส่วนพลกฤษณ์เองทำหน้าแบบไม่รู้เรื่องกับความต้องการของหลานชายนี้
“น้องพอลอยากให้น้าพีไปนอนด้วยจริงเหรอคับ” เขามองเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อยอย่างพิสูจน์
“จริงคับ” เด็กน้อยตอบใสซื่อออกมา
“น่า ไปนอนกันเถอะ อย่ามัวแต่ซักไซ้อะไรพอลเลย” คนเป็นอาได้ทีสมทบ
“นะคับน้าพี” หลานชายตัวน้อยเข้ามากอดร่างอวบแบบอ้อน ๆ
“โอเคคับน้องพอล น้าพีไปนอนกับน้องพอลก็ได้”
“เย้ ๆๆ” เด็กน้อยเข้าไปกอดพีร์ และให้พีร์อุ้มพายังห้องนอนของพลกฤษณ์
พีร์นั้นรู้สึกตื่นเต้นเหมือนกันที่อยู่ดี ๆ จะไปนอนห้องเดียวกับนายเพลย์บอย แต่เขาก็คงคิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะว่างานนี้มีพอลอยู่ด้วยทั้งคน
“อ่ะ เข้ามาสิ” พลกฤษณ์เปิดประตูให้พีร์นั้นอุ้มเด็กชายตัวน้อยเข้ามา เขาค่อยวางพอลลงบนกลางเตียงขนาด 6 ฟุต แล้วก็จะเตรียมตัวนอน แต่เด็กน้อยพูดอะไรออกมาก่อน
“น้าพีคับ ลืมอารายรึเปล่า”
“ครับ มีอะไรเหรอน้องพอล”
เด็กน้อยเอียงแก้มให้พีร์หอม พีร์เห็นอย่างนั้นก็เข้าไปหอมแก้มเด็กน้อยทั้งสองข้าง เด็กน้อยเองก็หอมแก้มนุ่มของพีร์เช่นกัน ทำให้คนเป็นอาที่มองอยู่แอบมองด้วยความอิจฉา
“น้องพอล ไม่หอมอาแจ๊คมั่งเหรอ”
“ไม่เอาอ่าคับ อาแจ๊คมีหนวด จักจี๊”
“โอเค ๆ งั้นมานอนกันได้แล้ว” เขารวบรัดตัดความ ก่อนละล้มตัวลงนอนทางด้านซ้ายของเตียงซึ่งมีพอลนอนตรงกลาง และพีร์นอนทางด้านขวา
พอลนั้นรู้สึกอบอุ่นที่สุด เพราะตามความรู้สึกของเด็ก การได้นอนโดยที่มีพ่อแม่เคียงข้างเป็นสิ่งที่ทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย เมื่อพอลคิดว่าคนทั้งสองเป็นเหมือนพ่อแม่ของเขา เขาจึงอยากให้พีร์กับพลกฤษณ์นั้นมาอยู่ใกล้ ๆ เขาในยามนิทรานี้
สักพักพีร์และพอลก็หลับไป ส่วนพลกฤษณ์ที่ยังไม่หลับนั้นมองสองน้าหลานอย่างมีความหมาย
เขารู้สึกดีใจเหลือเกินที่ได้นอนร่วมเตียงกับพีร์เป็นครั้งแรก ชายหนุ่มมองใบหน้าของพีร์ยามหลับอย่างเอ็นดู พลกฤษณ์นั้นรู้สึกถะนุถนอมร่างอวบ เขาไม่กล้าที่จะแตะต้องพีร์เลยแม้กระทั่งยามหลับ
ตามปกติในด้านความสัมพันธ์ของเขากับคู่ขาคนอื่นแล้ว ก็ต้องมี “เรื่องอย่างว่า” ตามมาในหัวอยู่เสมอ
แต่กับพีร์นี้เขาไม่เคยคิดอะไรในด้านนั้นเลย เขารู้สึกว่าพีร์ช่างน่าถะนุถนอม น่าดูแลเอาใจใส่มากกว่า
เขาหลับตาลงพร้อมใบหน้าที่ระบายยิ้มอย่างมีความสุขไม่แพ้น้องพอลเช่นกัน
และวันเดินทางไปบ้านของพีร์ก็มาถึง พีร์นั้นเลือกเดินทางโดยรถไฟ แต่เป็นรถไฟชั้น 3 โดยพีร์นั้นอยากจะรู้ว่าชายหนุ่มผู้มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายอย่างพลกฤษณ์จะอดทนกับความลำบากในรถไฟชั้น 3 นี้อย่างไรบ้าง
แถมระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ ๆ เสียด้วย เขาอยากจะรู้นักว่าพลกฤษณ์จะเป็นอย่างไรกับการเดินทางในครั้งนี้
เขาเลือกเดินทางตอนเย็นเพื่อจะได้ถึงปลายทางที่ชุมทางรถไฟหาดใหญ่ในเช้าวันรุ่งขึ้น หัวค่ำนี้ก็เพิ่งเข้าเขตประจวบคีรีขันธ์เอง พีร์ที่นั่งมองนอกหน้าต่างอยู่รู้สึกตัวว่าพลกฤษณ์ที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามนั้นมองเขาอยู่ เขาจึงค่อย ๆ หันมาคุยกับชายหนุ่มที่แอบมองเขาอยู่
“มีอะไรเหรอครับคุณแจ๊ค”
“เปล่าหน่ะ”
“แล้วมองผมอ่ะ มีอะไรเหรอ”
“เปล่า...ผมก็แค่อยากรู้ว่าคุณกลัวมั๊ย”
พีร์ได้ยินอย่างนั้นก็มีสีหน้ากังวลอย่างที่ชายหนุ่มถามมาเล็กน้อย พลกฤษณ์เห็นอย่างนั้นเลยย้ายไปนั่งข้าง ๆ พีร์
“ไม่ต้องกลัวนะ...” ชายหนุ่มจับมือพีร์ขึ้นมาพร้อมบอกกับพีร์ด้วยเสียงอบอุ่นและแววตาอ่อนโยน
“ยังไงซะผมก็เชื่อว่าพ่อแม่คุณก็คงไม่ทำอะไรคุณมากเท่าผมหรอก”
“อืม..” พีร์ตอบรับ แต่ก็รู้สึกดีขึ้นจากคำพูดของชายหนุ่มที่ให้กำลังใจ
คำว่า “ไม่ต้องกลัวนะ” ที่พลกฤษณ์บอกมานั้น ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“คุณแจ๊ค ๆๆ” พีร์ปลุกชายหนุ่มที่หลับอยู่ “คุณแจ๊ค ถึงหาดใหญ่แล้วนะ”
พลกฤษณ์ลืมตาขึ้นมองหน้าพีร์ทันที เขามองไปรอบตัวก็พบว่าเป็นสายของวันใหม่แล้ว เขาจึงหยิบหมากฝรั่งที่เขาพกไว้ระงับกลิ่นปากขึ้นมาเคี้ยว ก่อนจะไปหยิบสัมภาระที่อยู่ชั้นข้างบนตามพีร์ลงไปที่ชานชาลา
“อืม..” เขาเหลียวมองดูรอบตัว นี่เป็นครั้งแรกของเขาจริง ๆ ที่ได้เดินทางมาที่นี่โดยรถไฟ
แต่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกของเขาสำหรับรถไฟชั้น 3 อย่างแน่นอน
“เป็นไงมั่งคุณแจ๊ค” พีร์ถามยิ้ม ๆ พลกฤษณ์รู้ทันทีเลยว่าหนุ่มน้อยหมายถึงอะไร
“การเดินทางอะเหรอ” เขาหันไปถามและตอบยิ้ม ๆ “ก็โอเคหนิ ทำไมเหรอ”
“เปล่า ๆ คือ..”
“คิดว่าผมจะทนไม่ได้ล่ะสิ” พลกฤษณ์ตอบแทนอย่างเสร็จสรรพ ทำให้พีร์หน้าตึงทันที เพราะชายหนุ่มรู้ทันเขาอีกแล้ว เขาทำหน้าแบบไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะถามเข้าเรื่อง
“นี่..แล้วไปบ้านคุณยังไงเนี่ยะ”
“อืม นั่งสองแถวไป”
“อืม ไปสิ” เขาตอบรับและเดินตามพีร์ไปขึ้นรถสองแถวเพื่อต่อเข้าไปในตัวตลาดเพื่อจะไปบ้านของพีร์
เมื่อคนทั้งสองลงจากรถ พีร์นั้นยืนอยู่หน้าบ้านตัวเองอย่างกล้า ๆ กลัว โดยมีพลกฤษณ์มองเขาอย่างให้กำลังใจ เขาเข้าใจดีว่า สำหรับคนเป็นลูกอย่างเขาและพีร์เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ลำบากใจกันทั้งสองฝ่าย เขาเคยผ่านเรื่องนี้มาแล้วใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันลำบากใจเพียงไหนที่ต้องเผชิญหน้า
“คุณโอเคมั๊ย” เขาถามพีร์อย่างเป็นห่วง
พีร์พยักหน้าช้า ๆ ก่อนถอนหายใจออกมาอย่างเตรียมตัว และก็ก้าวเข้าไปในบ้านที่เขาคุ้นเคย
ที่ซึ่งวันนี้เป็นที่ที่ลำบากใจมากที่สุดสำหรับเขา
“อ้าว น้องพี” ลูกจ้างคนหนึ่งในร้านออกมาต้อนรับ
“สวัสดีครับพี่ป๋อง ป๊ากับม้าอยู่ไหนอ่ะคับ” ถึงจะเป็นลูกจ้างของพ่อกับแม่ แต่หนุ่มน้อยก็ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“อ่อ เสี่ยกับซ๊ออยู่ในครัวหน่ะ เดี๋ยวพี่ไปเรียกให้นะ” ลูกจ้างหนุ่มรับคำ แต่ก็ช้ากว่าพีร์ที่บอกว่า
“ไม่เป็นไรคับ เดี๋ยวผมไปเรียกเองดีกว่า”
“อ่าได้ ๆ” เขามองไปยังพลกฤษณ์อย่างวางตัวลำบาก “เอ่อ น้อง น้องเป็นแฟน น้องพีใช่มั๊ย”
“ครับพี่ สวัสดีครับ” พลกฤษณ์เองก็ยกมือไหว้ลูกจ้างหนุ่มเช่นกัน
“โหย ไม่ต้องยกมือไหว้พี่หรอกน้อง” เขาเกรงใจ “มา ๆ เดี๋ยวเสี่ยกับซ๊อก็ลงมาแล้ว นั่งรอก่อนนะ”
“ขอบคุณครับพี่”
พีร์นั้นเข้าไปในครัวเพื่อหาพ่อกับแม่ของเขา และเมื่อคนทั้งสองมองเห็นลูกชายคนเล็กกลับมาบ้าน ความรู้สึกต่าง ๆ นา ๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างท่วมท้นทันที
“ป๊ากับม้าสวัสดีครับ” พีร์ยกมือไหว้พ่อแม่ตัวเองอย่างกลัว ๆ กล้า ๆ เพราะนี่เป็นครั้งแรกของเขาจริง ๆ ที่เจอหน้าพ่อกับแม่หลังจากที่พ่อกับแม่เขารู้เรื่อง
เหมือนเขาเองเป็นคนใหม่ที่ต้องแนะนำตัวเองให้พ่อกับแม่รู้จัก
คนทั้งสองรับไหว้ลูกตัวเองพร้อมยิ้มเศร้า ๆ เพราะก็ไม่รู้จะทำยังไงเช่นกัน
“เอ่อ ป๊ากับม้ากินข้าวอยู่เหรอคับ”
“ใช่จ้ะ พีเพิ่งมาใช่มั๊ยหะ กินข้าวมาหรือยังล่ะลูก มาเหนื่อย ๆ เนี่ย แล้วนี่....” คนเป็นแม่ตอบรับ พร้อมกับทำหน้ามองหาพลกฤษณ์ที่บอกจะมาด้วย
“แล้วแจ๊คล่ะลูก” เธอตามลูกชายออกไปตรง ๆ
“อ่อ อยู่ข้างนอกอ่ะคับม้า”
คนเป็นแม่ทำหน้าโล่งใจ เพราะอย่างน้อยชายหนุ่มคนนี้ก็พูดจริงทำจริงในระดับหนึ่ง ส่วนคนเป็นพ่อนั้นเงียบอย่างกรุ่นคิด
“มา กินข้าวกัน เรียกแจ๊คเค้ามาด้วยนะ” เธอยิ้มรับ และนึกอยากเจอตัวจริงของชายหนุ่มที่เธอเคยคุยด้วยทางโทรศัพท์หลายครั้ง ทำให้คนเป็นพ่อหันมามองอย่างสงสัย
หลังจากครั้งแรกที่คุยกันกับพลกฤษณ์ ด้วยความเป็นห่วงลูกชาย เธอจึงขอเบอร์ของชายหนุ่มไว้เพราะเธอคิดว่าชายหนุ่มคงจะอยู่กับลูกชายเธอเกือบตลอดเวลาอย่างแน่นอน เธอพบว่าชายหนุ่มที่มีภาพลักษณ์โฉบเฉี่ยวและดูเป็นคนเจ้าชู้ประตูดินตามที่สื่อเสนอนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่เธอเคยเห็นในข่าวเลย พลกฤษณ์นั้นดูเป็นผู้ใหญ่มาก ๆ และมีความรับผิดชอบสูงในสายตาของเธอ
เมื่อลูกออกไปเธอจึงบอกกับสามีว่า “จำไม่ได้เหรอป๊า ที่เราเคยคุยกับเค้าไง”
“เราที่ไหน หงีคนเดียวที่คุยต่างหาก”
“เอาน่า ๆ ไหงเชื่อใจเค้าละกัน คิดดูสิ ไม่งั้นเค้าจะกล้ามาหาเราเหรอ”
คนเป็นพ่อพยักหน้า และอยากจะพิสูจน์เหมือนกันว่าชายหนุ่มคนรักของลูกจะเป็นยังไง
แล้วพีร์ก็พาพลกฤษณ์เข้ามาในครัว เขายกมือไหว้พ่อกับแม่ของพีร์อย่างนอบน้อม คนเป็นแม่นั้นลุกไปหาชายหนุ่มอย่างดีใจที่เห็น
“หวัดดีจ้ะ ได้เจอตัวจริงซะทีนะ” เธอยิ้ม ๆ และเข้าไปจับไหล่ของร่างสูงใหญ่อย่างดีใจ
“ครับ คุณน้า ผมก็ดีใจครับ” เขายิ้มรับ
“มา กินข้าวกันก่อนนะจ๊ะ” เธอเชิญชายหนุ่มนั่งกินข้าวด้วยอย่างใจดี ส่วนคนเป็นพ่อนั้นยังพิจารณาชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้าด้วยสายตา
“แล้วนี่มาบ้านพีนี่ลางานมาหรือยัง” คนเป็นพ่อถามขึ้นมา
“ลาเรียบร้อยแล้วครับ”
“ดี มาอยู่บ้านนี่ใช่ว่าผมจะให้อยู่เฉย ๆ นะ มีอะไรช่วยได้ก็ช่วย ทำอะไรได้ก็ทำ”
“ครับ” พลกฤษณ์ตอบรับอย่างไม่ย่อท้อ ส่วนพีร์กับแม่นั้นมองหน้ากันอย่างเป็นห่วงชายหนุ่ม
“บ้านผมเป็นร้านขายของนะ ห้องหับมันก็ไม่เยอะ จะมาอยู่รวมกับลูกผมหน่ะไม่ได้ คืนนี้คุณนอนกับไอ้ป๋องก็ละกัน”
“ครับ” พลกฤษณ์ก็ตอบรับแบบไม่คิดมากเช่นเคย
“กินข้าวเถอะจ้ะ” เธอเร่งให้ชายหนุ่มกิน ก่อนจะหันไปดุสามี “ป๊า บอกกับกีทีหลังก็ได้นี่นา”
“บอกไว้ก่อน จะอยู่บ้านเรา มานอนสบาย ๆ ไม่ได้ก็เท่านั้น”
คนเป็นแม่ส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ ส่วนพีร์เองได้แต่ก้มหน้ากินข้าวเงียบ ๆ รู้สึกเห็นใจพลกฤษณ์ขึ้นทันที
เขาคิดว่า นี่เขากำลังพาชายหนุ่มมาลำบากด้วยแท้ ๆ เลย...
ปล. หงี แปลว่า เธอ ในภาษาจีนฮักกา ค่ะ
ไหง แปลว่า ฉัน ในภาษาจีนฮักกา เช่นกันค่ะ