ขอขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะสำหรับการติดตามอย่างเหนียวแน่นและล้นหลามนี้
ดีใจและปลื้มใจมากเลยค่ะ ที่ผู้อ่านทุกท่านรักเรื่องของน้องพีนี้
ขอบคุณสำหรับทุก ๆ คะแนนโหวต และกำลังใจจากคุณผู้อ่านขาประจำหลาย ๆ ท่าน,คุณผู้อ่านที่มาโพสใหม่และคุณผู้อ่านที่ไม่ค่อยมาโพสและ คุณผู้อ่านที่เข้ามาเปิดอ่านอย่าเดียว มากนะคะ ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ
ภาคต่อ ตอนที่ 27
ครอบครัวของพลกฤษณ์ประกอบไปด้วยพ่อแม่ของเขา และพี่ชายกับน้องชายอย่างละ 2 คน เขาเองเป็นลูกคนกลางในบรรดาพี่น้องผู้ชายทั้ง 5 คน แต่สำหรับที่ยังอยู่กับพ่อแม่เขาที่บ้านนี้มีเพียงเขาและศุภกฤษณ์น้องชายคนถัดมาจากเขาและลูกชายของสุกฤษณ์หรือโจ พี่ชายคนที่สองของพลกฤษณ์นั่นเอง จักกฤษณ์พี่ชายคนโตของเค้าอยู่กับตายายที่ฮ่องกงพร้อมครอบครัว ส่วนจุลกฤษณ์น้องชายคนเล็กที่เป็นเพื่อนกับศิริพจน์นั้น นาน ๆ จะกลับมาที่บ้านสักครั้ง เพราะเขาเป็นนักศึกษาแพทย์ปีที่ห้าของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งเขานั้นเลือกที่จะอยู่หอพักเพื่อง่ายต่อการไปเรียนที่คณะตัวเองที่ตั้งอยู่ในโรงพยาบาลย่านวังหลัง
เช่นเดียวกับวันนี้ที่เป็นวันธรรมดา บ้านของเขาจึงมีแต่พ่อแม่ ตัวเขา และน้องชายเพียงเท่านั้นที่รับประทานอาหารเย็นด้วยกัน พอลนั้นอ้อนให้พีร์พาไปเดินเล่นข้างนอกจึงยังไม่กลับมา
“แจ๊ค กับหนูพีเป็นไงมั่งลูก” คนเป็นแม่ถามขึ้นมา
“ก็เรื่อย ๆ หน่ะครับม้า
“งั้นเหรอลูก” เธอทำหน้าคิดตาม เพราะว่าก็เรื่อย ๆ ของลูกชายที่ว่านี่คงหมายความเป็นอย่างอื่นแน่
“โห แต่ดูก๊อจริงจังมากเลยนะครับป๊าม้า” ศุภกฤษณ์ออกความเห็น “ปกติเคยพาใครมาให้รู้จักซะที่ไหน แต่คนนี้นอกจากจะพามาให้รู้จักแล้วยังพามาอยู่บ้านด้วยเลย”
“ก็ใช่หน่ะสิ” คนเป็นพ่อตอบรับ เรื่องนี้เขารู้จักลูกชายตัวเองดีพอว่าพลกฤษณ์มีการเปิดรับและปิดกั้นเรื่องความชิดใกล้กับคนอื่นอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องของคนรู้ใจด้วย ลูกชายเขาถึงแม้จะเจ้าชู้ไปสักหน่อย แต่ก็ไม่เคยทุ่มเทหรือจริงจังกับใครขนาดนี้
“แถมก๊อยังให้น้องคนนั้นนอนคนละห้องกันด้วย มันหมายความว่าไงเนี่ยะ”
“เฮ้ย ไอ้นี่ ทำไมวะ ชั้นก็แค่ไม่อยากให้น้องเค้าเสียหาย” พลกฤษณ์ตอบน้องชายแล้วหันมาสมทกับคนเป็นพ่อ “จริง ๆ นะครับป๊า ผมรู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของน้องเค้ามากเลย พีเค้าก็มีพ่อแม่นะครับ ให้มานอนบ้านเราอย่างเดียวก็เสียหายพอแล้ว”
“แหม ก๊อ พูดยังกับน้องเค้าเป็นผู้หญิงเลย”
“อ่าว ไอ้นี่” เขาหันไปดุน้อง “ทำไมวะ คนเป็นเกย์อย่างพวกก็มีหัวใจนะเว้ย ใช่ว่าจะคิดกันแต่เรื่องนั้นแต่อย่างเดียว”
“นั่นแน่....แสดงว่าคนนี้จริงจังใช่มั๊ยลูก” คนเป็นแม่ร่วมฟันธง
“อืม ก็ไม่รู้อ่ะครับม้า ผมไม่อยากติดสินอะไรที่ตัวเอง ถ้าพีเค้าตกลง ผมก็ยินดี”
“โห นี่ก๊อเป็นขนาดนี้เลยเหรอเนี่ยะ” เขาแปลกที่ที่พี่ชายทุ่มเทให้เด็กหนุ่มขนาดนี้
“ไม่รู้ว่ะจิม ตอบไม่ถูก”
“แต่ป๊ากับม้าก็ชอบน้องพีนะ ป๊าว่าเค้าเข้ากับบ้านเราได้ดี และพอลก็รักเค้ามากด้วย”
“อืม ๆ ใช่ก๊อ”
พลกฤษณ์คิดตาม เขานึกถึงบรรดาอดีตคู่ขาที่เคยเห็นเขาพาหลานชายไปเดินเที่ยวตามห้างสรรพสินค้า พวกนั้นพยายามทำดีและตีสนิทหลานชายเขา เพื่อหวังจะเอาใจ แต่ก็ไม่มีเลยสักคนที่พอลจะญาติดีด้วย มีเพียงพีร์ที่เป็นคนแรกและคนเดียวที่หลานเขาดีด้วยและเกาะติดแจ
“นี่เห็นบอกว่าจะลงไปคุยกับพ่อแม่ของน้องพีด้วยใช่ไหมหะแจ๊ค” คนเป็นพ่อถาม
“ครับ วันศุกร์หน้าครับ”
“อืม ป๊ากับม้าพอรู้ว่ามันลำบากใจแค่ไหนที่อยู่ดี ๆ ลูกชายจะควงผู้ชายเค้าบ้านในฐานะแฟน แต่ก็ เราบริสุทธิ์ใจซะอย่าง ใครจะทำอะไรลูกป๊าได้วะ”
“ใช่ ๆ” คนเป็นแม่สมทบ”
“โห ป๊าครับ พูดยังกับผมจะลงไปพรุ่งนี้”
“เฮ่ยย เตรียมตัวไว้ก่อนก็ดีนะ เผื่อจะเจออะไร แกจะได้ช่วยน้องเค้าได้ เข้าใจไหม”
“ครับป๊า” เขารับคำ และคิดถึงความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งเขายังไม่แน่ใจเลยว่าพ่อแม่ของพีร์จะเข้าใจและยอมรับในความเป็นพีร์จริง ๆ หรือเปล่า
“สวัสดีครับ” พีร์ซึ่งทำหน้าที่รับโทรศัพท์เฉพาะสายของพลกฤษณ์รับโทรศัพท์สายหนึ่งตามปกติ
“Hello, this is Lukewid from Germany. May I speak to Jackie please.
“Yes, please wait a minute. เขาตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษก่อนจะให้คนออกไปตามพลกฤษณ์ที่ทำงานอยู่กับฝ่ายช่างมารับโทรศัพท์ และพลกฤษณ์ก็เข้ามาหาอย่างรีบเร่ง
“อ่ะนี่ คุณลุควิด จากเยอรมัน”
พลกฤษณ์ทำหน้ากวน ๆ ก่อนจะหยิบมารับสาย พีร์มองอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้ เขานั้นจับผิดและลุ้นว่าพลกฤษณ์จะพูดภาษาอังกฤษออกมาเป็นแบบใด
“
“Hallo, mein Freund” พลกฤษณ์ตอบกลับปลายสายเป็นภาษาเยอรมันชัดเป๊ะ ทำให้พีร์ถึงกับมองหน้าชายหนุ่มอย่างคิดไม่ถึง และก็ไม่ใช่แค่ประโยคเดียว พลกฤษณ์นั้นใช้ภาษาเยอรมันในการสนทนากับปลายสายราวกับเป็นเจ้าของภาษา พีร์คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าชายหนุ่มภาพลักษณ์แบดบอยอย่างพลกฤษณ์จะมีความสามารถขนาดนี้
พอเขาคุยเสร็จก็ส่งโทรศัพท์ให้พีร์และยิ้มกวน ๆ เขาว่าแล้วว่าพีร์ต้องตะลึง
“ตกใจล่ะสิว่าผมคุยภาษาอื่นได้” เขาพูดถูกจุด และชิงพูดอะไรอย่างอื่นก่อนที่พีร์จะยอกย้อน เขาจึงพูดถึงการเรียนปริญญาตรีและโทด้านวิศวะกรรมยานยนต์ของเขาที่เยอรมันนีที่หลังเรียนจบและฝึกงาน พลกฤษณ์เคยทำงานในบริษัทรถยนต์ดัง ๆ มาแล้วหลายที่เพื่อหาประสบการณ์และไต่เต้าไปตามความสามารถ แต่เขาพูดถึงบริษัทสุดท้ายก่อนที่เขาจะกลับมาช่วยงานพ่อแม่ที่เมืองไทย
“แสดงว่าคุณไม่รู้ล่ะสิว่า ผมเคยเรียนและทำงานที่เยอรมันตั้ง 9 ปี แหน่ะ นี่ถ้าผมไม่คิดว่าป๊าเรียกกลับมาก่อนนะ ป่านนี้ผมคงยังทำงานที่โรงงาน BMW อยู่แน่ ๆ”
“ก็ผมไม่ได้สนใจคุณหนิ” พีร์พูดเชิด ๆ พลกฤษณ์ยิ้ม รับรู้ดีว่าเด็กหนุ่มคิดยังไงกับเขา
“อืม ก็นั่นหล่ะ ผมมันไม่ใช่ลูกชายคนเดียวของนักธุรกิจใหญ่ที่เพียบพร้อมเป็นเพอร์เฟ็กต์แมนหนิ” เขาพูดท้าทาย
พีร์รู้ว่าพลกฤษณ์หมายถึงศิลา เขารู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาทันที เด็กหนุ่มเงียบลงและเดินออกไปอย่างพยายามสงบสติ
พลกฤษณ์รู้ตัวว่าพูดแรงไป อาจจะเพราะความหมั่นไส้ที่เด็กหนุ่มไม่เคยมองเขาในด้านดีบ้างเลย ทำให้หลุดพูดออกไปด้วยความคับแค้น เขารู้สึกผิดมากที่ทำให้พีร์เสียใจ
เขาไปห้องน้ำ ซึ่งคิดว่าพีร์คงต้องแอบไปร้องไห้คนเดียวอยู่แน่ และก็ไม่ผิดที่คิดไว้ เขาจัดการล็อกประตูใหญ่แล้วเข้าไปในห้องน้ำที่มีสองห้องน้ำเล็กย่อย เขาได้ยินเสียงสะอื้นจากห้องน้ำเล็กทางซ้ายมือ ซึ่งฟังจากเสียงเขาก็พอจะรู้ว่าเป็นใคร
“พี ผมขอโทษ” เขาพูดออกไปทันที แต่เหมือนว่าพีร์จะร้องไห้ไม่หยุด เขากุมขมับตัวเองอย่างปวดกบาลทันที เพราะไม่เคยมีใครเจ้าแง่แสนงอนได้เท่าพีร์อีกแล้ว
“ผมขอโทษไง หยุดร้องไห้เถอะนะ”
“อ่ะ ผมผิดก็ได้ ที่เหน็บคุณ แต่คุณอ่ะ คุณเคยมองผมในแง่ดีกับเค้าบ้างมั๊ย” พลฤษณ์พูดออกไปด้วยความเป็นคนตรง ๆ ทำให้พีร์ชะงัก
“แล้วผมเคยว่าอะไรคุณไหม ที่คุณชอบคิดว่าผมเป็นอย่างโน้นอย่างนี้อ่ะ” พีร์ได้ยินอย่างนั้นก็หยุดร้องไห้ทันที เขาจึงค่อยเปิดกลอนประตูห้องน้ำเพื่อจะออกมา แต่ก็ช้ากว่าพลกฤษณ์ที่บุกเข้ามาประชิดตัวร่างอวบให้ติดผนังทันที พีร์ตกใจและเอามือดันอกล่ำของร่างสูงใหญ่ แต่ก็ต้านแรงชายของอีกฝ่ายไม่ได้ พลกฤษณ์ค่อยโน้มลงเข้าใกล้ใบหน้าของพีร์มากขึ้น เขาพิจารณาหน้าใสภายใต้แว่นกรอบดำครู่หนึ่ง แล้วลูบบนติ่งหูซ้ายที่มีต่างหูแบบเสียบติดอยู่เบา ๆ เขาเข้าใกล้ใบหน้าของพีร์มากขึ้น จนเขาเห็นว่าอีกฝ่ายหลับตาปี๋ด้วยความกลัวปนตื่นเต้นเพราะเขาได้ยินเสียงหัวใจของเด็กหนุ่มเต้นระรัว เขาจึงค่อยออกห่างและหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ขำอะไร” พีร์ถามเคือง ๆ เก้อ ๆ เพราะเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรอย่างที่เขาคิดไว้
“เปล่า” เขาตอบยิ้ม ๆ “ถ้าหายโกรธแล้วก็ออกไปทำงานกันต่อดีกว่า” เขาจูงมือพีร์ออกมาด้วย ทำให้พนักงานที่รอเข้าห้องน้ำและบริเวณรอบข้างถึงกับตกใจ เมื่อเห็นพลกฤษณ์กับพีร์ออกมาพร้อมกัน
พีร์นั้นอายอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นสายตาจากคนรอบข้าง แต่พลกฤษณ์กลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ทำให้พนักงานนั้นยิ่งแน่ใจใหญ่เลยว่า เจ้านายพวกเขากับแฟนเด็กคงไปทำอะไรกันมากกว่าเข้าห้องน้ำแน่ ๆ
“โหย ก๊อ อะไรกันไม่รอกลับไปทำที่บ้านเหรอ” น้องชายเห็นอย่างนั้นก็แซว ขณะที่อยู่ห้องทำงานของคนเป็นน้องที่เป็นประธานฝ่ายการขาย
“อะไร ก็แค่เข้าห้องน้ำด้วยกัน” เขาตอบเรียบ ๆ
“ก๊อ..อย่ามา ปกติก๊อไม่เคยพลาดไม่ใช่เหรอ แหม อยู่บ้านทำเป็นแยกห้องกันนอน ที่แท้ก็..”
“เฮ้ยย ไปกันใหญ่แล้วไอ้จิม ชั้นไม่ได้ทำอะไรกันจริง ๆ แกฟังนะ ชั้นกับน้องพียังไม่เคยมีอะไรกันจริง ๆ”
ศุภกฤษณ์มองหน้าเขาอย่างไม่เชื่อ
“จริงนะ ขนาดมือเค้ายังไม่ยอมให้ชั้นจับเลย จะเอาอะไรกับทำอย่างอื่น”
เขาเห็นน้องชายทำหน้าไม่เชื่อเขาก็หมดปัญญาพูดต่อ “เออ ไม่เชื่อก็ตามใจ”
“โธ่ก๊อ..” คนเป็นน้องปราม “เชื่อก็เชื่อ ว่าแต่ทำไมไปคุยอะไรกันในห้องน้ำล่ะ”
“ก็นิดหน่อยว่ะ” เขาถอนหายใจ “พีเค้าไม่เคยมองก๊อเป็นคนดีเลยหน่ะสิ ก๊อก็บอกกับเค้าว่าใช่หน่ะสิ ก๊อมันไม่ได้ ไม่เหมือนแฟนเก่าเค้าไง ก็เท่านั้นหล่ะ...” เขาเว้นวรรค และพูดต่อ “เค้าก็หนีก๊อไปร้องไห้ในห้องน้ำเลย”
“โห..แฟนก๊อนี่อาร์ตตัวแม่มากเลยนะเนี่ยะ”
“เออ ก็คิดอยู่”
“น่า แต่ผมว่าดีนะ ก๊อเป็นคนไม่ง้อคน มีแฟนขี้งอนตัวแม่แบบนี้ ก๊อจะได้ง้อคนอื่นเป็นบ้างไง”
“อย่างอนไปมากกว่านี้เลยว่ะ แค่นี้ก็ปวดหัวจะตาย” เขาถอนหายใจเซ็ง ๆ แต่ก็รู้สึกผิดและเป็นห่วงพีร์ที่พูดกับพีร์อย่างนั้น
ตลอดทางที่เขาขับรถกลับบ้านพร้อมกับพีร์ในวันนี้ เขารู้สึกว่าพีร์ยังคงตึงกับเขานิด ๆ แต่ก็ยังดีที่พีร์ทำตัวปกติไม่ให้พอลสังเกตอะไรมาก จนเมื่อเขาถึงบ้าน พลก็ลงมาจากรถและวิ่งตื๋อไปหาคนคนนึงที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้านทันที
“ป่าป๊า....” เด็กน้อยวิ่งเข้าหาชายวัยใกล้ 40 ในชุดหนุ่มออฟฟิศอย่างคิดถึง พีร์คิดว่านี่คงจะเป็นพ่อของน้องพอลที่กลับบ้าน
“ไงก๊อ” พลกฤษณ์ทักทายพี่ชายตัวเอง “หายไปนานจนเจ้าพอลคิดว่าผมเป็นพ่อไปแล้วนะ”
คนเป็นพี่ชายหน้าเสียเมื่อได้ยินน้องชายพูดตรง ๆ อย่างนั้น พลกฤษณ์ไม่ลืมแนะนำพีร์ให้พี่ชายเขารู้จัก
“อืม ก๊อรู้แล้วว่าน้องคนนี้เป็นแฟนแก” เขาพูดกับพีร์ “ขอบคุณน้องมากนะครับ ที่ช่วยดูแลพอล”
“ไม่เป็นไรครับ” พีร์ตอบรับ
“น้าพีใจดีที่สุดเลยครับป่าป๊า” พอลบอกกับสุกฤษณ์ที่กอดเขาอย่างคิดถึง
“เหรอ แล้วนี้พอลลืมป๊าแล้วเหรอ”
“ยัง ๆๆ พอลรักป่าป๊า” เด็กน้อยกอดตอบคนเป็นพ่อเช่นกัน
พลกฤษณ์กับพีร์ยิ้มให้กับภาพตรงหน้า เขาเข้าใจจริง ๆ แล้วหล่ะว่าไม่ว่าใครก็คงแทนที่พ่อแม่ตัวจริงของคนเป็นลูกไปไม่ได้ ไม่ว่าทั้งสองอาจจะมีช่วงที่ห่างเหินกันแค่ไหนก็ตาม
“นี่คุณแจ๊ค อย่าดื่มเยอะนะ” พีร์ปรามพลกฤษณ์ขณะมาพักผ่อนที่ร้านเหล้าแนวมีดนตรีเล่นสดแห่งหนึ่งที่เอกมัย เพราะว่าวันนี้น้องพอลได้อยู่กับพ่อตัวจริงแล้ว พ่อแม่จำเป็นอย่างพวกเขาจึงขอมาเที่ยวแบบผู้ใหญ่บ้าง
“อืม ๆ คุณกลัวผมเมาเหรอ เหล้าแค่นี้” เขาคิดอะไรออกมาได้จึงกระซิบพีร์ต่อ “เหอะน่า ผมไม่ทำอะไรคุณตอนเมาหรอก” พร้อมส่งสายตากรุ้มกริ่มไปยังเด็กหนุ่ม
พีร์หน้างอทันทีเมื่อเห็นอย่างนั้น “นี่ผมยังไม่หายโกรธคุณนะ”
พอพีร์พูดจบประโยค พลกฤษณ์ก็ลุกหายไปจากโต๊ะทันที พีร์ตกใจที่เป็นอย่างนั้น เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจให้ชายหนุ่มโกรธเลย แต่ก็คิดได้แบบไว้ตัว “จะไปไหนก็ช่างสิ”
“เอาล่ะครับ วันนี้เรามีรีเควสจากโต๊ะนึงเขอเข้ามาร้องเพลงเองนะครับ ผมเห็นว่าพี่เค้าหล่อดีเลยจัดให้” เสียงจากเวทีประกาศอย่างนั้นแต่พีร์ก็ไม่สนใจ ยังคงมองตามพลกฤษณ์ไปรอบ ๆ
“อ่ะ พี่เค้ามาแล้วขอเสียงหน่อยเร้วววว” MC ของเวทีช่วยสร้างบรรยากาศครึกครื้น “สวัสดีค๊าบบ” เขาทักทายร่างสูงของพลกฤษณ์ที่สะพายกีตาร์สีดำขึ้นมาด้วย “โอ้วว วันนี้พี่แจ๊คมาขอร้องเพลงเองเลย จะร้องเพลงอะไรให้ใครครับเนี๊ย”
พีร์ได้ยินบนเวทีเรียกคนที่มาขอร้องเพลงว่าพี่แจ๊ค เขาจึงหันกลับไปดูบนเวทีทันที เขาสงสัยว่าชายหนุ่มกำลังจะทำอะไรนี่?
“ฮัลโหล ๆ เทส สวัสดีครับ” เขาพูดแค่เพียงเท่านั้นก็เรียกเสียงกรี๊ดล้นหลามจากทุกโต๊ะ ถึงแม้ทุกคนจะรู้ว่าเขาเป็นอะไร แต่สาว ๆ ก็ยังแพ้ใจในความหล่อขั้นเทพของเขาอยู่ดี
“ วันนี้ผมขอมาร้องเพลงบนเวทีนี้นะครับ ผมขอมอบเพลงนี้ให้กับคนที่มากับผมครับ” เขาไม่ได้ใช้คำว่าแฟน เพราะกลัวว่าพีร์จะอายและคนรอบข้างจะหมั่นไส้พวกเขาไปใหญ่
“เพลงอะไรอ่ะครับพี่” MC ถามต่อ ส่วนพีร์เองที่นั่งที่โต๊ะก็สงสัยเหมือนกันว่าชายหนุ่มจะร้องเพลงอะไรให้
“เดี๋ยวลองไปฟังกันเลยนะครับ” เขาพูดจบ เสียงกรี๊ดก็ดังกระหึ่มอีกครั้ง เขาค่อยพรมนิ้วคอร์ทแรกลงไปบนกีตาร์ก่อนจะร้องออกมา
“ก็รู้ว่าฉันไม่มีความหมาย
ก็พอจะรู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้
ยิ่งนานเท่าไหร่...ยิ่งหมดหวัง
เสียงกรี๊ดนั้นดังไม่ขาดสายจากทุกคนในร้าน เพราะว่าพลกฤษณ์ร้องเพลง Unlovable นี้ สด ๆ กับกีตาร์เพียงตัวเดียว เสียงหล่อทุ้ม ๆ ของเขานั้นเข้ากันได้ดีกับเพลงที่มีความหมายดี ๆ นี้ และคนในร้านก็คงจะกรี๊ดในใจเป็นแน่แท้เพราะเนื้อหาของเพลงนี้มันเป็นเพลงขอความรักชัด ๆ
นี่พวกเขากำลังเห็นเพลย์บอยตัวพ่อมาร้องเพลงขอความรักเหรอเนี่ยะ?
พลกฤษณ์นั้นส่งสายตาไปหาพีร์ที่กำลังมองเขาอยู่เมื่อถึงท่อนนี้
“เมื่อเธอไม่เคยจะหันมองที่ฉัน
ไม่ว่าจะทำเช่นไรเธอคงจะไม่รักกัน
และก็รู้ไม่นานความฝันที่มีก็คงจบไป”
พีร์เองก็รู้สึกสะดุดกับท่อนที่นี้ที่พลกฤษณ์ร้องเช่นกัน เขามองชายหนุ่มและส่งยิ้มตอบรับไปให้ ส่วนคนอื่นในร้านก็เริ่มเคลิ้มกับพลกฤษณ์ไปแล้ว
“แต่ตอนนี้ยังมีเวลา ให้ฉันจะหาเหตุผลดีๆ
มาฉุดรั้งเธอตอนนี้แต่ก็รู้ดีไม่มีหวัง”
“ต่อให้ฉันจะรักเธอมากเท่าไหร่
แต่ก็รู้ว่าเธอคงจะไม่สนใจ
ก็ยังฝันไปและยังคงหวังเอาไว้ข้างในจิตใจ
ว่าซักวันเธอจะมีฉัน แต่ก็รู้เป็นไปไม่ได้
เมื่อเธอคิดว่าฉันไม่ใช่ แต่ก็ไม่เป็นไร
ก็อยากจะขอมีเธอเรื่อยไปในใจไปอีกแสนนาน “
จบครึ่งแรกของเพลงไปอย่างสวยงาม เรียกเสียงกรี๊ดจากคนทั้งร้านได้จมหู ส่วนพีร์เองนั้นสะท้อนใจเหลือเกินจากเนื้อเพลงที่ชายหนุ่มเลือกมาร้องให้เขาฟัง และวงดนตรีก็รับช่วงต่อช่วยเล่นให้ชายหนุ่มในครึ่งหลังเพื่อเพิ่มความไพเราะให้คนฟังและเป้าหมายของลูกค้าที่ขอขึ้นมาร้องได้ประทับใจยิ่งขึ้น
“และแม้สิ่งที่ฉันทำวันนี้ อาจไม่ทำให้เธอได้รู้สึกดี
สิ่งที่ใจเธอพอจะมีก็เพียงแต่ความรำคาญ
ก็อยากจะขอให้เธอได้ฟังเอาไว้
บทเพลงสุดท้ายที่ฉันตั้งใจจะมอบให้ไป
ที่กลั่นออกมาจากใจ และมีให้เธอผู้เดียวเท่านั้น”
“อ่ะช่วยร้องหน่อยคร๊าบบ....” เขายื่นไมค์ไปในหมู่นักเที่ยวเพื่อให้มีส่วนร่วมในท่อนถัดไป
“ก็เพราะว่าตอนนี้นี้ยังมีเวลา ให้ฉันจะหาเหตุผลดีๆ
มาฉุดรั้งเธอตอนนี้แต่ก็รู้ดีไม่มีหวัง”
คนดูทั้งหลายนั้นให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ส่วนพลกฤษณ์เองก็หยิบไมค์ขึ้นมาเดินไปที่โต๊ะต่าง ๆ เพื่อจะได้เป็นไปตามแผนว่าท่อนสุดท้ายนั้นจะต้องจบลงของเขาที่มีพีร์นั่งอยู่ เพื่อที่เขาจะไปร้องท่อนนั้นให้หนุ่มน้อยฟัง
“ต่อให้ฉันจะรักเธอมากเท่าไหร่
แต่ก็รู้ว่าเธอคงจะไม่สนใจ
ก็ยังฝันไปและยังคงหวังเอาไว้ข้างในจิตใจ
ว่าซักวันเธอจะมีฉัน แต่ก็รู้เป็นไปไม่ได้
เมื่อเธอคิดว่าฉันไม่ใช่ แต่ก็ไม่เป็นไร
ก็อยากจะขอมีเธอเรื่อยไปในใจไปอีกแสนนาน “
“ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ กว่าที่ฉันจะลบเธอจากใจ
กว่าที่ความทรงจำดี ๆ มันจะเลือนหาย
กว่าจะได้รักใครอีกครั้ง... “
เขาเดินมาจนถึงโต๊ะของตัวเองที่มีพีร์มองอย่างตื่นเต้นไม่หาย เขาคุกเข่าลงตรงหน้าหนุ่มน้อย และก็ร้องท่อนนั้นออกมา
“เมื่อเธอคิดว่าชั้น ไม่ใช่
ก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่ฉันจะยังหายใจ
จะรักเธอไปตลอดกาล.. “
เสียงกรี๊ดจากทุกโต๊ะในร้านดังจนกระจกทุกบานแทบแตกเมื่อเห็นภาพของพลกฤษณ์คุกเข่าขอความรักจากหนุ่มน้อย เพราะทุกคนรับทราบแล้วว่าพลกฤษณ์นั้นออกมายอมรับว่าคบหากับหนุ่มน้อยจริงจังเพียงใด ยิ่งเห็นอย่างนี้แล้วก็ยิ่งทำให้ทุกคนชื่นชมในความสัมพันธ์ของเขากับหนุ่มน้อยผู้โชคดีไปเสียไม่ได้ โดยเฉพาะสาว ๆ ทั้งหลายที่กรี๊ดออกมาด้วยความชื่นชมปนอิจฉา
พีร์เองที่ตอนนี้เขินจนทำอะไรไม่ถูก พลกฤษณ์เห็นอย่างนั้นจึงพูดอะไรผ่านไมค์ออกไป
“พีคับ หายโกรธผมหรือยัง” สิ้นเสียงหล่อ ๆ นั้นก็ทำเอาคนทั้งร้านกรี๊ดขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนพีร์เองก็นึกแหวในใจ “ตาบ้า ทำขนาดนี้เพื่อง้อเราเหรอเนี่ยะ”
“ดีกัน ๆ” MC เจ้าเก่าช่วยพูดออกไมค์ เพื่อให้พลกฤษณ์สำเร็จในการร้องเพลงง้อคนรัก ทำให้คนทั้งร้านช่วยกันลุ้นและตะโกนออกมา
“ดีกัน ดีกัน ดีกัน ดีกัน”
โต๊ะข้าง ๆ ก็เข้ามาบอกว่า “เลิกงอนเถอะนะคะ เป็นชั้นจะดีใจมากเลยถ้าแฟนมาทำแบบนี้ให้”
พีร์พยักหน้าแบบตอบรับไปก่อน เขามองหน้าพลกฤษณ์ที่ยังคุกเข่าอยู่ สายตาของพลกฤษณ์นั้นบ่งบอกว่าเขาตั้งใจที่จะทำให้พีร์หายงอนจริง ๆ
พีร์ตัดสินใจหยิบไมค์ลอยที่พลกฤษณ์ถืออยู่มาบอกว่า “โอเคคับ ไม่โกรธแล้วก็ได้”
พลกฤษณ์นั้นยิ้มออกทันที ท่ามกลางคนทั้งร้านที่ปรบมือยินดีและโห่ร้องออกมาอย่างถูกใจ พีร์มองพลกฤษณ์แบบงอนนิด ๆ ที่ทำอะไรใหญ่โตแบบนี้ แต่เขาก็ชอบนะที่ชายหนุ่มมีอะไรให้เขาได้ประหลาดใจอยู่เสมอ
“พี ที่ผมร้องเพลงนั้นให้ร้านให้คุณฟังหน่ะ” พลกฤษณ์บอกขณะมาส่งชายหนุ่มที่ห้องนอน “ผมพูดจริงนะ”
“หะ พูดจริง..?” เขาสงสัย
“ก็อย่างที่เพลงร้องมานั่นหล่ะ ผมรู้ว่ายังไงผมก็คงไม่ดีพอกับคุณ”
พีร์ได้ยินอย่างนั้นก็หน้าเสีย เขาไม่ได้เป็นเจ้าหญิงสูงศักดิ์ที่ไหนหนิ ถึงจะได้มีใครดีพอกับเขา
“เพลงมันจบเศร้าไปหน่อยนะ ว่าไหม ที่คนในเพลงไม่รับรัก” พลกฤษณ์พูดต่อ ตัดบทรวบรัด
“ผมว่าคุณน่าจะรู้นะว่าผมคิดอะไรกับคุณ แต่ก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วนะว่าคุณจะโอเคกับผมมั๊ย”
“ผมไม่อยากบังคับจิตใจคุณนะ คิดดูดี ๆ ละกันว่าคุณรักใคร” เขาพูดประโยคสุดท้ายออกมาก่อนไปนอน
“แต่ไม่ว่าคุณจะรักใคร จำเอาไว้นะ ว่าผมรักคุณ”
พีร์อึ้งเมื่อได้ยินอย่างนั้น นี่เป็นการสารภาพรักที่ดิบ ๆ ห้วน ๆ แต่ก็ไพเราะมากสำหรับเขา ชายหนุ่มไม่พูดอะไรกับเขาต่อนอกจาก คำว่า “กู๊ดไนท์” และก็หันหลังกลับไปห้องนอนของเขา
เหตุผล - Blackhead
http://www.youtube.com/v/QuLk53y52OEพีร์นั้นหันหลังกลับเข้าห้องไปอย่าง งง ๆ เขาไม่คิดเลยว่า พลกฤษณ์ซึ่งเป็นผู้ชายแบบที่เขาไม่ชอบจะมาพัวพันกับชีวิตเขา ก่อนนั้นเด็กหนุ่มนั้นไม่ชอบผู้ชายท่าทางเจ้าชู้และมีข่าวคราวครึกโครมบ่อย ๆ อย่างพลกฤษณ์เอาเสียเลย
เขาคิดว่า พลกฤษณ์ทำตัวไม่เหมาะสมกับความเป็นผู้ใหญ่และคงไม่มีความรับผิดชอบอะไรมากและคงจะบ้ากามน่าดู แต่จากการที่เขาได้มาใช้ชีวิตกับชายหนุ่มทำให้เขารู้ว่าพลกฤษณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้เสียทีเดียว เขาตกใจมากเมื่อหลายครั้งที่เขาพบว่าตัวเองประเมินพลกฤษณ์ผิดพลาดไปจากความเป็นจริงมากมายตามภาพลักษณ์ที่เขาเห็นชายหนุ่มจากภายนอก
เขางงกับการบอกรักของอีกฝ่ายเสียมากกว่า แต่ก็รู้สึกดีที่ได้รู้ชัดเจนว่านายเพลย์บอยนั้นคิดอะไรกับเขา
แต่ในเมื่อฝ่ายนั้นอยากรู้ว่าเขาจะเลือกทางไหน เขาขอเวลาสักพักเพื่อประเมินและค้นหาคำตอบ