Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ  (อ่าน 131050 ครั้ง)

kranwa

  • บุคคลทั่วไป
Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
« เมื่อ28-12-2009 20:32:21 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้ 

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียนก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0





---------------------------------------------------



สวัสดีครับ ฝากตัวด้วยนะครับ เพิ่งลงครั้งแรกครับ  :3123:







Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น


1

เมื่อถึงจุดหนึ่งที่คนเรานั้นเมาถึงขีดสุด – ไม่เกี่ยงนะว่าเมาด้วยอะไร จะด้วยแอลกอฮอล์เป็นลิตร ๆ ที่กระดกเข้าปากไม่ยั้ง หรือจะด้วยเสียงเพลงของบริทนีย์ สเปียร์ที่ดังกระหึ่มอยู่ท่ามกลางคนนับร้อยนับพันในสถานที่แคบ ๆ จนเบียดเสียดแน่นแออัดจนแทบจะมีอะไรกันได้อยู่รอมร่อ หรือบางทีก็อาจจะเมาด้วยแสงไฟวูบวาบจัดจ้านบวกกับละอองแป้งที่ปลิวว่อน และก็คงมีไม่น้อยที่เมาไปตามสถานการณ์ความบ้า ๆ บอ ๆ ไร้สติของชายฉกรรจ์นับพันที่พร้อมกับหลุดโลกกลายร่างผิดเพี้ยนเป็นแม่เสือสาวลีลาเด็ดบนบาร์เหล้า ยิ่งถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเกย์ เหมารวมหมดไม่ว่าจะแมน จะสาว หรือจะแอ๊บ ใด ๆ ก็ตาม ขอเพียงแค่หลงใหลในเพศผู้ – เวลาเมาขนาดนี้ไม่มีใครต้องการสิ่งใดไปมากกว่าการสบตากับใครสักคน ปล่อยให้ฟีโรโมนทำงาน ก่อนจะลากไปได้กันให้สุดเหวี่ยงเมามันให้เหมือนไปเยือนอยู่ในปลายสุดของสายรุ้ง
   
         
         บางครั้งค่าของความเมาวัดกันตรงนี้ ในเวลาตีเกือบจะตีสอง กวินไม่ได้สนใจสิ่งใดในบาร์เกย์แห่งนี้อีกแล้ว นอกจากสิ่งสารพันอันกล่าวไปก่อนหน้า ดื่มไปเหมือนฆ่าเวลา ข่มใจที่จะไม่สนใจชายฉกรรจ์หลายคู่ที่สปาร์คกันได้อย่างรวดเร็วแล้วก่ายกอดลูบไล้เขี่ยกันอย่างเพลินใจ บางคู่จูงมือหายกันไปในห้องน้ำ ไม่ก็เงามืดด้านนอก พยายามไม่สนใจ นั่งดื่มต่อไปอย่างสงบ แม้ว่าใจจริงจะนึกอิจฉาอยู่ไม่น้อย คนพวกนั้นหลุดพ้นจากภาวะไร้ค่าของคืนนี้แล้ว ในขณะที่กวินยังไม่
   
       
         คิดแล้วอดสมเพชไม่ได้ ใครมาได้ยินคงตกใจและคงจะพากันรังเกียจ เผลอ ๆ อาจจะประณามที่เขาตัดสินความไร้ค่าหรือไม่ไร้ค่าของมนุษย์อย่างง่ายดายเพียงแค่เรื่องนี้ เรื่องที่ว่าคืนนี้จะหาคนมีอะไรด้วยได้หรือไม่แค่นั้นเอง ช่างน่ารังเกียจเสียจริง
   
         
         รินเหล้าเพิ่ม รินลงไปเกือบค่อนแก้วถึงจะผสมโซดา จิบเข้าไปทีแทบจะบาดคอจนเป็นแผล มันช่างเข้มจนแสนจะกระเดือกได้ยากเย็น แต่เวลาเช่นนี้ กวินไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น เหมือนอย่างที่ไม่สนใจว่าใครจะมาต่อว่าหรือค่อนขอดความคิดอันแสนจะวิปริตผิดธรรมดา กวินรู้แก่ใจและภูมิใจเสียนักหนากับการที่ตัวเองไม่ใช่พวกมือถือสาก ปากถือศีล เอาเป็นว่าตอนนี้เมา และมากไปด้วยความรู้สึกอยาก ถ้าไม่สามารถหาใครสักคนได้ในคืนนี้ จะเท่ากับว่าไร้ค่า
   
         
         ไร้ค่า
   
         
         ดื่มเหล้าเข้มไปจนหมดแก้วอย่างรวดเร็ว ความเมาพุ่งทะยานไปอีกขั้น ในขณะที่ความคิดยังหมุนคว้างในหัว
   
         
         ..หนังสือหลายเล่มบอกว่า คนเราเกิดมาพร้อมกับคุณค่าของชีวิต ซ้ำซาก แต่ก็น่าฟัง เราเกิดมาอย่างมีค่า  อยู่อย่างมีค่า และใช้ชีวิตให้หมดไปอย่างมีค่า ในโลกอันแสนจะสวยงามใบนี้ เราทั้งหลายแบ่งปันคุณค่ากันและกันในฐานะพี่น้อง  แม้ว่าตกเย็น คุณอาจจะรู้สึกไร้ค่า แต่ภายในคืนเดียวกัน คุณก็อาจจะได้เจอใครสักคนที่จะเข้ามาทำให้เวลาของเรากลับมามีความหมาย...
   
         
         “หวัดดีครับ” เสียงเรียกแผ่วเบาดังอยู่ข้าง ๆ หลังจากนั้นกวินถึงได้รู้มีใครคนหนึ่งเข้ามาประชิดตัว “มาคนเดียวหรือครับ”
   
       
         จะด้วยความมืด ความเมา หรือความวุ่นวายของทั้งภายนอกและภายในของจิตใจ กวินเห็นหน้าของชายหนุ่มผู้นี้ไม่ชัด แต่นั่นก็ไม่สำคัญหรอก มองเผิน ๆ เขามีรูปร่างที่ดูดี แต่งตัวไม่เลว และที่สำคัญ แววตาและน้ำเสียงคุกกรุ่นไปด้วยความหื่นกระหายในเรื่องอย่างว่าเช่นกัน แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่กวินจะยิ้มออก
   
         
         “ชื่ออะไรครับ” เขาถาม
             
         
         “พัทครับ” ตอบไปอัตโนมัติ เป็นชื่อปลอมที่เขาใช้บ่อย “คุณล่ะ”
   
         
         “แมนครับ” เป็นชื่อปลอมที่ได้ยินบ่อยเช่นกัน
   
         
         ไม่ได้พูดพร่ำอะไรกันมาก พูดตอบถามไถ่กันไปคำสองคำ โลกรอบข้างของกวินคล้ายกับจะเบ่งบานและเบิกบาน ในที่สุดคืนนี้ก็ไม่ไร้ค่านัก จังหวะหนึ่งที่คนรอบข้างเบียดเสียดเข้ามาจนทำให้ร่างสองร่างแนบชิดกัน แม้จะเป็นสถานการณ์ แต่ต่างฝ่ายต่างก็ฉวยโอกาสเอาไว้อย่างทันท่วงทีที่จะลุกลามกันและกัน ชายหนุ่มปริศนาที่กวินจำชื่อไม่ได้ ค่อย ๆ กระซิบลงที่หู
   
         
         “เดี๋ยวไปต่อไหนครับ”
   
       
         “ไม่แล้วครับ” กวินตอบด้วยน้ำเสียงและจริตที่ปั้นแต่งอย่างดี “คงกลับห้อง”
   
         
         “หรือครับ”
   
         
         “ไปด้วยกันไหมล่ะครับ”
   
         
         ไม่มีคำตอบกลับมาแล้ว มีแต่รอยจูบที่บุกรุกเข้ามาอย่างทันทีทันใด รอยจูบนั้นมันยืดยาวและเร่าร้อนจนทำเอากวินถึงกับจำเหตุการณ์ต่อมาไม่ได้อีกเลย คล้ายกับวีดีโอที่กรอไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีก็คืออยู่ในห้องนอน แก้ผ้าออกหมด ถูกผลักลงบนเตียง แล้วร่างสูงใหญ่ที่เปลือยเปล่าของชายหนุ่มตรงหน้าก็ล้มตัวนอนลงทับ พร้อมกับรุกล้ำเข้าไปในทันทีทันใด ไม่ต้องเสียเวลาบรรเลงเพลงรักอะไรมากมายอีกแล้ว   
   
         
         ในที่สุดก็ผ่านคืนนี้ไปอย่างไม่ไร้ค่า
   
         
         ..หนังสือหลายเล่มบอกว่า คนเราเกิดมาพร้อมกับคุณค่าของชีวิต ซ้ำซาก แต่ก็น่าฟัง เราเกิดมาอย่างมีค่า  อยู่อย่างมีค่า และใช้ชีวิตให้หมดไปอย่างมีค่า ในโลกอันแสนจะสวยงามใบนี้ เราทั้งหลายแบ่งปันคุณค่ากันและกันในฐานะพี่น้อง  แม้ว่าตกเย็น คุณอาจจะรู้สึกไร้ค่า แต่ภายในคืนเดียวกัน คุณก็อาจจะได้เจอใครสักคนที่จะเข้ามาทำให้เวลาของเรากลับมามีความหมาย...
   
         
         ด้วยจังหวะจะโคนของความหื่นกระหายที่ดุเดือดและเร่าร้อน จึงใช้เวลาไม่นานเลยที่ภูเขาไฟแห่วความปรารถนาของทั้งคู่จะระเบิดออก เหมือนอย่างทุกครั้ง กวินสุขสมอย่างรุนแรงในขั้นสุดท้าย ก่อนจะทุกอย่างจะจางหายไปเหลือเพียงควันบาง ๆ
   
         
         เมื่ออีกฝ่ายหมดแรงล้มตัวนอนลงข้าง ๆ กวินใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายในการคว้าทิชชู่ข้าง ๆ ตัวมาเช็ดความสกปรกทั้งหลาย แม้เช็ดอย่างไรก็เช็ดออกไปได้ไม่หมดก็ตาม อีกฝ่ายพูดอะไรออกมาสองสามคำแต่กวินไม่ใส่ใจจะฟัง จากนั้นเขาก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ แต่กวินก็หาได้ใส่ใจเขาอีกไม่ คว้ากางเกงในขึ้นมาสวม พยายามลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง แล้วหลับสนิทไปในที่สุดด้วยความเมา
   
         
         ...ในโลกอันสวยงาม คนเราเกิดมามีคุณค่า และแบ่งปันคุณค่าให้กันและกันเสมอ...

         
         มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่เชื่อ  สำหรับกวินแล้ว คนเรามันก็ไร้ค่ากันทั้งปีทั้งชาติ !
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-10-2010 16:24:20 โดย kranwa »

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
Re: Hopeful & Hopeless
«ตอบ #1 เมื่อ28-12-2009 20:50:20 »

คนแรกปะเนี่ย?
.
.
.
.
คนแรกด้วย

ว้าวววววววววววววววว

ยินดีต้องรับเรื่องใหม่นะคะ

เนื้อเรื่องน่าสนใจดีค่ะ

สู้ต่อไปนะคะ

ไฟติ้ง!!

thomaskung

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless
«ตอบ #2 เมื่อ28-12-2009 21:00:40 »

ไม่ว่าจะเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งก็เป็นมุมมองชีวิตที่น่าสนใจนะครับ

มนุษย์ไม่ได้ใช้ชีวิตตามคุณค่าอะไรหรอก เพียงแค่ใช้ชีวิตตามปรารถนาเท่านั้นเอง

 :กอด1:

ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
Re: Hopeful & Hopeless
«ตอบ #3 เมื่อ28-12-2009 21:23:06 »

งืมมม เรื่องใหม่ออกตัวแร๊งงงง

กด + ประเดิมเป็นกำลังใจให้ไร้ท์เตอร์และกวินค่ะ

รออ่านมุมมองและเรื่องราวต่อไปนะคะ

kranwa

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless
«ตอบ #4 เมื่อ29-12-2009 04:15:03 »

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ

ออกตัวไว้ก่อนว่าเรื่องนี้เป็น "เรื่องแต่ง" ล้วน ๆ ครับ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง เป็นแนว ๆ โรแมนติก คอเมดี้ด้วย ไม่จริงจังอะไรมากครับ แต่ด้วยความที่ตัวเอกมันเป็นคนแรง ๆ ก็เลยอาจจะทำให้บางจุดของเรื่องมันดูบูด ๆ เบี้ยว ๆ ไปบ้าง คิดเห็นยังไงก็คอมเม้นมาได้นะครับ

ขอฝากไว้ด้วยครับผม


------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


2
 
          กวินลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการแฮงค์เล็กน้อย รู้สึกปวดขมับอยู่นิดหน่อย แสงสว่างลอดออกมาจากประตูกระจกติดระเบียงทำให้ตาสว่างมากขึ้นไปกว่าเดิม สายตาของชายหนุ่มมองเหม่อขึ้นเพดานเหมือนกำลังนึกถึงว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น ไม่ทันที่ภาพเบลอ ๆ ของการกระทำไร้สติจะปรากฏชัด ชายหนุ่มแปลกหน้าก็พลิกตัวมากอด กวินตกใจในแวบแรก ก่อนพยายามจะนึกว่าเขาคือใคร ใบหน้าของชายหนุ่มที่นอนข้าง ๆ จมอยู่กับผ้าห่ม และกวินก็จำหน้าเขาไม่ได้

           จำได้แค่ว่าใช้ชื่อปลอมอันแสนจะดาดดื่นว่า “แมน”
   
         
         สงสัยกลัวคนจะรู้ว่าไม่ “แมน”
   
         
         รูปร่างของแมนดูสูงใหญ่มากพอที่จะทำให้กวินรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเขา พยายามจะขยับตัวเองให้หลุดออก ในจังหวะนั้นเองที่กวินได้มีโอกาสหันไปมองหน้าชัด ๆ พอได้เห็นก็เหมือนจะตกใจและตาสว่างมากขึ้นไปอีกเท่าตัว
   

         ไม่ใช่ว่าเพราะแมนหน้าตาประหลาดหรือน่ากลัวอันใด แต่สิ่งที่น่าตกใจอยู่ที่ใบหน้านั้นช่างดูอ่อนวัยเสียเหลือเกิน เนียนใสปราศจากริ้วรอย แถมยังผมสั้นเกรียนเหมือนอย่างกับเป็นเด็กนักเรียน เข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อคืนถึงสวมหมวกไว้ตลอดเวลา กวินสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นสิวเม็ดเล็ก ๆ ที่ผุดขึ้นมาเม็ดสองเม็ดบนหน้าผาก มองออกว่านี่คือสิวหนุ่ม ย้ำชัดในอายุของอีกฝ่าย

   
         ไม่รอช้า กวินคว้ากางเกงของแมนตรงปลายเตียงแล้วหยิบกระเป๋าตังค์ออกมาดู ค้นจนเจอบัตรนักเรียนที่ยืนยันในอายุอานาม กวินถอนใจอย่างเซ็ง ๆ รู้สึกอึดอัดและขยะแขยงอย่างไรก็บอกไม่ถูก ทิ้งตัวนอนลงเหมือนกับหมดแรง ไม่อยากจะนึกภาพเลยว่าเมื่อคืนทำอะไรกับเด็กหัวเกรียน ๆ คนนี้
   

         แมนกอดกวินแน่นขึ้นอีก ทำเอากวินอึดอัดมากกว่าเดิม สะบัดแขนแมนออก ลุกขึ้นอย่างไร้เยื่อใย คว้าบุหรี่จากหัวเตียงแล้วลุกออกไป ในขณะที่แมนค่อย ๆ งัวเงียตื่นขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ล้มตัวนอนลงไปต่อ
   

         กวินเดินออกมาที่ระเบียง เผลอเหยียบจานข้าวที่วางอยู่ตรงพื้นอย่างไร้ระเบียบ แมวตัวเล็ก ๆ ดูจรจัดวิ่งเข้ามาพร้อมกับร้องหาอาหาร กวินใช้เท้าเขี่ยมันกระเด็นออกไปพร้อม ๆ กับจานข้าวที่วางใกล้ ๆ เจ้าแมวจรจัดร้องเสียงดังอย่างเจ็บปวด

   
         กวินทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างแรง โดยที่ไม่กลัวเลยว่าเก้าอี้มันจะหัก รู้สึกหงุดหงิดว้าวุ่นบอกไม่ถูก จุดบุหรี่สูบ แต่ไฟแช็กเจ้ากรรมก็ดันจุดไม่ติด จุดมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้นก็จุดไม่ติดสักทีจนหงุดหงิด 
   

         “โอ๊ย ไอ้บ้า!” สบถออกมาอย่างอดไม่อยู่ สายตามองตรงไปที่ขอบระเบียง เห็นเถาหญ้าเลื้อยระเกะระกะอยู่ที่รั้วระเบียงราวกับเป็นการบุกรุก กวินถอนใจอย่างหงุดหงิดกับความไม่เป็นระเบียบต่าง ๆ นา ๆ ที่ได้เห็น
   

         จากนั้น นกกระจอกตัวหนึ่งก็บินมาเกาะที่ระเบียง กวินจ้องมองมันอยู่อย่างนั้น ดูเหมือนว่านกก็คล้ายจะมองกวินกลับอยู่เหมือนกัน กวินมองนกตัวนั้นอยู่นานพอสมควร จนกระทั่งได้จังหวะ ก็ขว้างไฟแช็กไล่นกให้บินหนีไป หัวเราะในลำคอ อย่างสะใจ แล้วกับรีบเดินเข้าไปดึงเถาตำลึงและเถาหญ้าที่เลื้อยบุกรุกขึ้นมาพันอยู่บนระเบียงให้หลุดออก ดึงอย่างเร็วและรุนแรง จนกระทั่งไม่เหลือ จึงโยนเศษซากมันทิ้งลงไปข้างล่าง จากนั้นก็กลับเข้าไปในห้อง
   

         เลื่อนประตูปิดอย่างแรง ๆ พร้อมกับเปิดไฟห้องให้สว่างอย่างรวดเร็ว พบว่าแมนตื่นแล้ว แถมยังถือวิสาสะเปิดทีวีดูอีกด้วย กวินจ้องมองทีวีอย่างอัตโนมัติ เป็นเวลาของรายการสัมภาษณ์ยามเช้า แขกรับเชิญในวันนี้คือนักเขียนคนหนึ่งที่เขารู้จักดี.... รู้จักในฐานะที่เป็นคนในวงการเดียวกัน
   

         “อย่างที่รู้ ๆ กันนะครับว่าวงการวรรณกรรมในบ้านเราเนี่ย เรียกได้ว่าค่อนข้างซบเซา” พิธีกรชื่อดังพูดเกริ่นเข้ารายการด้วยสไตล์ซ้ำซากอย่างที่เห็นในทุก ๆ วัน “นักเขียนน้อยคนที่จะประสบความสำเร็จและมีผลงานออกมาเป็นที่ยอมรับของคนโดยมาก...”

   
         จากนั้นภาพก็ตัดไปให้เห็นแขกรับเชิญ ซึ่งมีลักษณะเป็นหญิงสาววัยกลางคน ร่างท้วม และเป็นเจ้าของใบหน้ายิ้มแย้ม แลดูมากไปด้วยความโอบอ้อมอารีจนกวินรู้สึกผะอืดผะอม ในขณะที่เสียงของพิธีกรยังพูดไปอย่างต่อเนื่อง
   

         “...แต่หนึ่งในนั้นที่เรียกได้ว่าเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จ ก็คือแขกรับเชิญของเรานี่เองครับ เธอเป็นผู้ที่มีปลายปากกาอันบริสุทธิ์ ทรงพลัง และมากไปด้วยแรงบันดาลใจ วันนี้เราจะมาคุยกับเธอครับ สวัสดีครับคุณวรรณี.....”
   

         พิธีกรและแขกรับเชิญยกมือไหว้และพูดจาปราศรัย อวยกันไปอวยกันมา จนกวินไม่อยากที่จะฟังอีกแล้ว ไม่รู้จะชมอะไรกันนักหนา กะอีแค่นักเขียนคนหนึ่งที่เขียนงานเพ้อฝันไร้สาระ เดินไปปิดทีวี พร้อมกับหันหน้าไปมองเด็กหนุ่มที่ยังนั่งแช่อยู่บนเตียง รู้สึกหมั่นไส้กับหน้าตายียวนกวนโทสะ และหัวเกรียน ๆ ไม่ค่อยจะมีผม

   
         คล้ายกับว่าอีกฝ่ายก็คงจะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่ถูกกวินมองแบบนั้น จึงเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ

   
         “สวัสดี”

   
         “ถามจริง อายุเท่าไหร่” กวินถามไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

   
         “สิบเก้าครับ”

   
         “โกหก” กวินพูดเบา ๆ พร้อมกับพ่นลมทางจมูกอย่างหงุดหงิด เดินเลี่ยงไปนั่งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง นั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งเหมือนกำลังคิดว่าจะทำอะไรดี มองเข้าไปในกระจก ภาพที่สะท้อนกลับมาจากกระจกเป็นภาพใบหน้าคมเข้มหมดจดที่มากไปด้วยแววแห่งความหงุดหงิดงุ่นง่าน และดวงตาคมกริบที่ฉายประกายดื้อรั้นและเกรี้ยวกราดอยู่ตลอดเวลา ผมสีน้ำตาลจากการทำสีก็แห้งเสียยุ่งเหยิงจนดูไม่ค่อยเป็นทรง ร่าวสูงเพรียวไม่ค่อยจะมีเนื้อหนังส่วนเกินเท่าที่ควรจนดูผอมไปสักเล็กน้อย อันที่จริง กวินไม่ชอบรูปร่างหน้าตาตัวเองเท่าไร เพราะรู้สึกว่ามันน่าเกลียด หัวหยิกตัวดำยังกับคนังในเรื่องเงาะป่า – อันที่จริง กวินก็ยอมรับว่ามองตัวเองในแง่ร้ายเกินไป
   

         สายตาชำเลืองมองไปยังเด็กหนุ่มวัยกระเตาะเล็กน้อย มองอย่างคาดคั้นจนเด็กหนุ่มต้องตอบออกมาในที่สุด
   

         “สิบหกครับ”
   

         “อะไรนะ” กวินกรีดร้องออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่
   

         “อีกสองเดือนจะสิบหกแล้ว”
   

         กวินชะงักไปอย่างตกใจ ให้ตายเถิด... เมื่อคืนเขาทำอะไรลงไป ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะดื่มหนักขนาดทำอะไรน่ารังเกียจแบบนี้ลงไปได้ มีอะไรกับเด็กเกรียน ๆ อายุสิบหก แล้วยังเป็นฝ่ายรับ ! ช่างน่าขยะแขยงเสียจริง เด็กบ้านี่ก็อะไร ตัวโตอย่างกับยักษ์ ดูไม่เห็นจะเหมือนเด็กเลยสักนิด แล้วเป็นเด็กใจแตกประเภทไหนกันนะที่ออกมาแรดเที่ยวกลางคืนตั้งแต่อายุสิบหก !

   
         “ตกใจล่ะสิ ฮ่า ๆ เพราะของ ๆ ผมเหมือนโตกว่านั้นไปเยอะเลยใช่ม้า” เด็กหนุ่มพูดออกพร้อมกับหัวเราะดังลั่นอย่างสะใจและมากไปด้วยความขบขัน น้ำเสียงที่ใช้ก็แทบไม่ต่างอะไรก็เสียงของพวกเด็กมัธยมตามร้านเกมเลยสักนิด “อย่าคิดลึก ๆ หมายถึงรูปร่างโดยรวมต่างหาก”
   

         กวินรู้สึกคันคะเยอมากกว่าเดิมกับคำพูดต่าง ๆ นา ๆ ของอีกฝ่าย     คว้าไดร์เป่าผมขึ้นมาเป่าที่หัว เป่าอย่างแรงให้ทั่วทั้งหัว แล้วจากนั้นก็เป่าลามมาที่คอ แล้วเป่าลามมาที่ร่าง ลงไปที่ขา เป่าไปทั่วทั้งตัวเหมือนจะไล่อะไรบางอย่างให้ออกไปจากกาย

   
         เด็กหนุ่มมองกวินอย่างงง ๆ รู้สึกเจื่อนเล็กน้อย เลียริมฝีปากแก้เก้อ แล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นเดินมาหากวิน วางมือลงบนไหล่กวินแล้วค่อย ๆ กดนวด คล้ายกับอยากจะมีปฏิสัมพันธ์ พอได้อยู่ในระยะประชิด กวินก็รู้สึกได้ชัดมากขึ้นว่าเด็กหนุ่มตัวใหญ่กว่าเขาเยอะมาก กวินนั่งนิ่ง เหมือนรู้สึกว่าตัวเองพ่ายแพ้ต่ออะไรสักอย่าง ไม่ขยับไดร์แล้ว แต่ก็ยังไม่ปิดสวิตซ์ ปล่อยให้ลมมันเป่าออกมาเรื่อย ๆ
   

         เด็กหนุ่มพยายามจะจ้องตากวินผ่านกระจก แต่กวินก้มหน้าหนี เด็กหนุ่มค่อย ๆ เลื่อนมือขึ้นมาที่หัว เหมือนจะเซ็ตผมให้ ยังไม่ละความพยายามที่จะปฏิสัมพันธ์
   

         “ผมหนาจัง”
   

         กวินนั่งนิ่ง ไม่ตอบโต้
   

         “แต่จมูกสวยอ่ะ หน้าก็เนียนดี ทำมาป่ะเนี่ย”
   

         กวินถอนใจดัง แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมหยุดพูด
   

         “นี่ใส่คอนแทคเลนส์อยู่หรือเปล่า ทำตาสีออกน้ำตาล ๆ”
   

         เมื่อนั้นเอง ความอดทนก็หมดลง กวินขยับตัวหนีอย่างแรง ทำเอาเด็กหนุ่มชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด
     

         “ขอโทษนะน้อง” เสียงห้วนจนดูเหมือนตะคอก “พี่ไม่ชอบให้เด็กเล่นหัว”   
   

         ดูเหมือนว่าคำพูดของกวินจะทำเอาเด็กหนุ่มโกรธไปเลยทีเดียว ฮัดฮัดอยู่สักพัก แล้วก็เดินไปสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ในขณะที่กวินเป่าผมต่อไปอย่างไม่แยแส

   
         ในจังหวะที่กำลังสวมกางเกงอยู่นั้น สายตาของเด็กหนุ่มก็เหลือบไปเห็นซองถุงยางแกะแล้วที่ตกอยู่บนพื้นปลายเตียง ยิ้มอย่างพอใจ เหมือนหาวิธีแก้เผ็ดกวินได้ พอแต่งตัวเสร็จเด็กหนุ่มก็เดินไปที่ประตู จังหวะที่กำลังจะเปิดประตูก้าวออกไปด้านนอก เด็กหนุ่มก็หันกลับมาพูดกับกวินด้วยน้ำเสียงท้าทาย
   

         “ขอบคุณที่ให้.... นะพี่” เสียงของเด็กหนุ่มกังวานลั่นอย่างคึกคะนอง “หลวมหน่อย แต่ก็เพลินดี!”
   

         พูดจบก็ปิดประตูอย่างแรง กวินรู้สึกโกรธจัด นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายมันจะเกรียนขนาดนี้ เจ็บใจจนเลือดขึ้นหน้า รู้สึกว่าจะยอมให้เด็กมาเล่นหัวแบบนี้ไม่ได้
   

         ไวกว่าความคิด กวินเดินไปเปิดประตู พบว่าเด็กหนุ่มยืนรอลิฟต์อยู่ไม่ไกล ด้วยความคึกคะนองและท้าทายไม่แพ้กัน กวินเดินออกไปหาอีกฝ่าย แม้ว่าตอนนั้นจะสวมบ็อกเซอร์อยู่แค่ตัวเดียวก็ตาม พอไปถึงก็ยกมือแตะไหล่อีกฝ่าย แล้วเอ่ยกระซิบข้าง ๆ หูของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
   

         “ถ้าภูมิใจมากนัก ก็เอาไปโม้ให้แม่ฟังสิ เผื่อเค้าจะปลาบปลื้ม แล้วจะได้เพิ่มค่าขนมให้ไง” แม้เป็นการพูดกระซิบ แต่นัยน์ตาของกวินก็วาวโรจน์ไปด้วยความอยากจะเอาชนะ ใช้ฝ่ามือตบลงเบา ๆ บนเป้ากางเกงของเด็กหนุ่ม พร้อมกับยิ้มเยาะ “เข็มน่ะ ต่อให้ไปเสียบมุ้งลวดมันก็ยังต้องหลวมอยู่ดี”
   

         เด็กหนุ่มเถียงอะไรไม่ออก ได้แต่มองกวินอย่างอึ้ง ๆ ลิฟต์มาพอดี กวินจึงผลักเด็กหนุ่มเข้าไปในลิฟต์ แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องอย่างหัวเสีย อดไม่ได้ที่จะสบถออกมาอีกรอบ
   

         “ไอ้เด็กบ้า!”

   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-10-2010 16:25:27 โดย kranwa »

ออฟไลน์ [N]€ẃÿ{k}uñĢ

  • ~ῲเจ้าแม่Dramaῴ~
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +740/-5
Re: Hopeful & Hopeless
«ตอบ #5 เมื่อ29-12-2009 04:32:01 »

 :mc4: :mc4: :mc4:
มาเจิมเรื่องใหม่ +1 ให้เลยน๊า อิๆ
ลายการเขียน ภาษาที่ใช้อ่านแล้วเหมือนอ่านงานชิงรางวัล 555+
เป็นภาษาที่คงขัดและเกลาจากการสั่งสมการอ่านมาเยอะชัวๆ ชอบมาก
เนื้อเรื่องน่าตื่นเต้นดี ลุ้นๆว่าจะทำไงต่อไปกับนายแมน
รักเด็กผู้ชายจริงๆ แล้วจะรออ่านต่อ ขอเป็นแฟนคลับน้องแมนนะ
นิว(เบิกบาน)

thomaskung

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless
«ตอบ #6 เมื่อ29-12-2009 17:55:19 »

เหอ ๆ แรงได้สะใจคนแก่จริง ๆ

อย่างน้อยก็เด็กหนุ่มที่ป้า ๆ หลายคนในเล้าฝันมั่งล่ะนะ

 :z1:

gypsy

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless
«ตอบ #7 เมื่อ29-12-2009 19:12:17 »

ฉลองเรื่องใหม่  :mc4:

แรงได้ใจจริงๆ

ชอบมากเลยคับ

เด็กอายุ 16  :m25: อ่านแล้วน้ำลายไหล

kranwa

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless
«ตอบ #8 เมื่อ04-01-2010 21:27:42 »

สวัสดีปีใหม่ครับ ทุก ๆ คน

ขอโทษที่หายไปนานนะครับ พอช่วงปีใหม่ไม่ค่อยได้เล่นอ่ะครับ

ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ เรื่องนี้อาจจะยังไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ คิดเห็นอย่างไรก็คอมเม้นได้นะครับ ยินดีรับฟังครับ



3
    

          กวินใช้เวลาจัดการกับตัวเองในตอนเช้าเกือบถึงสองชั่วโมง ครึ่งชั่วโมงหมดไปกับการอาบน้ำ ตามมาด้วยการจัดการกับใบหน้าด้วยสารพัดวิธี ทามอยส์เจอไรซ์ ครีมกันแดด และอาจจะตามด้วยแป้งและรองพื้นแล้วแต่โอกาส กวินให้ความสำคัญกับสิ่งพวกนี้มาก มนุษย์เพศชายหลายคนอาจจะดูดีและมีเสน่ห์เสียต็มประดาโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาเครื่องประทินโฉมที่ลดทอนความเป็นผู้ชายให้น่าสมเพช แต่สำหรับกวิน แนวคิดพรรค์นั้นค่อนข้างไร้สาระ เขาไม่ใช่มนุษย์ผู้โชคดี ดังนั้น แม้การจะทำตัวเองให้ดูดีก็ยังต้องพยายาม
    
          สิ่งที่ยากและเปลืองเวลาอีกต่อมาก็คือการจัดการกับผม เป็นปัญหาใหญ่สำหรับกวินที่จะพยายามทำให้ผมหยิกหนาให้ดูเป็นทรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ หมดเวลาเกือบชั่วโมงกับสารพัดวิธีทั้งหวี เป่า และหนีบด้วยความร้อน ทำไปนานเท่าไรก็ดูจะไม่มีมาตรฐานเลยสักวัน บางครั้งก็รู้สึกอิจฉาหลาย ๆ คนที่ผมเป็นทรงทุกเช้าค่ำไม่ว่าจะตื่นหรือหลับ เอาเถิด... ทำไงได้ เกิดมาโชคร้าย
    
          กว่าจะออกจากห้องได้ก็ปาเข้าไปเกือบจะสิบโมง ไม่ลืมที่จะให้อาหารแมว มันเป็นแมวขี้เรื้อนจรจัดสีดำตัวเล็กที่หลงทางมาจากไหนก็ไม่รู้ หน้าตาก็น่าเกลียดน่ากลัว ไม่ได้มีความน่ารักอันใดเลยสักนิด แวบแรกที่เห็นก็รู้สึกสงสารเลยให้ข้าวมันกิน เท่านั้นแหละ กวินจึงได้รับบทเรียนว่าไม่ควรจะให้อาหารสัตว์จรจัดอีก เพราะพอให้มันไปครั้งหนึ่ง ทีนี้มันก็ตามเกาะแจ ไม่ยอมไปไหน ไล่ก็ไม่ไป บางครั้งใจร้ายใช้มืดฟาดมันเต็มแรงให้มันกลัวก็แล้ว มันก็ไม่ยอมไปอยู่นั่นแหละ แล้วพอได้ฟังเสียงมันร้องโหยหาและมองมาด้วยแววตาหิวโหย ก็สงสารมันอีกอยู่ดี ให้ข้าวมันกินต่อจนได้ นานเข้าก็เลยต้องอยู่ในภาวะเหมือนเลี้ยงมันไว้ในที่สุด แต่ถ้าหมั่นไส้หรือโมโหเมื่อไหร่ก็ต้องถือโอกาสฟาดมันจนได้ อย่างเช้านี้ พอให้ข้าวมันกินเสร็จ ก็อดไม่ได้ที่จะตบหน้ามันไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้
    
          คว้ากระเป๋าสะพายพร้อมกับดึงตั๊มป์ไดรฟ์ซึ่งบรรจุต้นฉบับงานเขียนจากคอมพิวเตอร์มาไว้ในมือ แล้วเดินออกจากห้องมาบริเวณทางเดิน ตั้งหน้าเดินตรงไปยังลิฟต์    ผู้หญิงซุ่มซ่ามคนหนึ่งออกมาจากห้องด้านในสุด พร้อมกับของพะรุงพะรัง หล่อนปิดประตูอย่างทุลักทุเลจนของร่วง กวินหันไปมองด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่คิดจะเข้าไปช่วยแต่อย่างใด
    
          เดินต่อไปจนถึงลิฟต์ กดลิฟต์เปิดแล้วรีบเข้าเดินเข้าไปในด้านในอย่างรวดเร็ว มีเสียงฝีเท้าวิ่งตามมาพร้อมกับส่งเสียงบอกให้รอด้วย แต่กวินกดปิดประตูลิฟต์ทันที ผู้หญิงที่ถือของพะรุงพะรังจึงวิ่งมาไม่ทัน วิ่งชนกับประตูลิฟต์ซึ่งปิดลงอย่างพอเหมาะพอเจาะ ข้าวของของเธอร่วงพื้นอีกครั้ง กระจัดกระจาย ผู้ชายอีกคนที่วิ่งตามมาไม่ทัน ทุบประตูลิฟต์อย่างโมโห
    
          “ไอ้คนไม่มีน้ำใจ”
    
          กวินชะงักเล็กน้อยกับเสียงก่นด่าที่ลอยผ่านเข้ามาให้ได้ยิน แต่ก็พยายามที่จะไม่ใส่ใจ ช่วยไม่ได้ เขากำลังรีบ แล้วที่ผ่านมา เขาก็ไม่เคยเห็นจะได้รับน้ำใจจากใครเลยสักคนคตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่นี่ เหตุไฉน เขาจึงจำเป็นจะต้องมีน้ำใจให้คนอื่นด้วยเล่า แล้วมันก็หาได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร ไม่ทันลิฟต์ตัวนี้ ลิฟต์ต่อมาก็ไม่ได้จะช้าอะไรนักหนา ไม่รู้จะโวยวายทำไม
    
          ผ่านมาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กวินพาตัวเองมายืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ เวลาสายเช่นนี้คนค่อนข้างแน่นขนัด รออยู่นานรถก็ยังไม่มา ตัดสินใจจุดบุหรี่สูบทั้ง ๆ ที่มีป้ายห้าม ทุกคนหันมามองกวินด้วยสายตาตำหนิ คนแก่บางคนปิดจมูกลุกหนี แม่คนหนึ่งอุ้มลูกเดินหนีออกไป แต่กวินไม่แคร์ สูบบุหรี่ต่อไปจนเกือบจะหมดมวน     
    
          รถเมล์วิ่งเข้ามาในเวลาเกือบห้านาทีต่อมา กวินทิ้งบุหรี่ลงพื้น เดินแซงหน้าทุกคนขึ้นรถเป็นคนแรก โลกใบนี้เป็นโลกของการแข่งขัน ถ้ามัวชักช้าก็จะมีแต่พลาดและพลาด เมื่อก่อนตอนเป็นเด็ก กวินเคยโดนคนเบียดจนแทบจะตกรถเพียงเพราะมัวแต่ชักช้ารอให้คนอื่นขึ้นก่อน พอขึ้นไปบนรถได้แล้ว ก็ต้องรีบหาที่นั่งอย่างรวดเร็ว วันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไรเพราะยังปวดหัวจากอาการแฮงค์ กวินจึงไม่อยากยืน
    
          คนอื่น ๆ กรูตามขึ้นมา ผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมายืนโหนอยู่ข้าง ๆ หล่อนมองกวินด้วยสายตาออดอ้อนคล้ายกับจะขอที่นั่ง แต่กวินไม่สนใจ คิดในใจว่าเรื่องอะไรที่จะต้องเสียสละให้ผู้หญิงคนนี้ ทั้ง ๆ ที่ดูแล้วก็มีสองมือสองเท้าเช่นกัน แถมยังอยู่ในวัยเดียวกันเสียด้วย ไม่เชื่อหรอกว่าเรี่ยวแรงจะไม่มี กวินเชื่ออย่างหมดใจว่าที่จริงแล้วผู้หญิงก็ไม่ใช่เพศที่อ่อนแอขนาดนั้น ความอ่อนแอของผู้หญิงก็แค่เครื่องมือเพื่อผลประโยชน์เสียเท่านั้นเอง กะอีแค่โหนรถเมล์ กวินมั่นใจว่าถ้าไม่ป่วย ไม่แก่ ไม่ท้อง ผู้หญิงโหนรถเมล์ได้อย่างสบายมาก แต่แค่ไม่อยากทำก็เท่านั้นเองล่ะไม่ว่า
    
          พอเห็นว่ากวินไม่มีทีท่าจะลุกให้นั่ง เจ้าหล่อนก็เมินหน้าหนีอย่างหัวเสีย
    
          ทันใดนั้นเอง ความหวังที่จะได้นั่งอย่างสบายของกวินก็เป็นอันต้องพังทลายลง เมื่อพระสงฆ์รูปหนึ่งขึ้นรถเมล์มาพอดี กวินซึ่งนั่งอยู่ในที่สำรองเลยต้องจำใจลุกขึ้นให้พระนั่ง ผู้หญิงที่กวินไม่ยอมลุกให้ยิ้มเยาะใส่เขา ต่อมาไม่นาน ผู้ชายมาดแมนคนหนึ่งก็ลุกจากเก้าอี้เสียสละให้เจ้าหล่อน หล่อนจึงเดินไปนั่ง พร้อมกับมองผู้ชายที่ลุกให้ด้วยสายตาขอบคุณปะปนกับยั่วล้อ จากนั้นหล่อนก็มองกวินอย่างผู้ชนะคล้ายกับจะเยาะเย้ยว่าเขาไม่มีของดีเช่นหล่อนก็เลยต้องทนยืน
    
          กวินถอนใจอย่างหงุดหงิด ตวัดสายตามองไปยังพระที่นั่งแทนตัวเอง พบว่าพระสงฆ์คนนั้นกำลังหยิบไอพอดมาสวมฟังอย่างสบายใจ    
    
          โลกช่างไม่ยุติธรรม !
    
          รถเมล์วิ่งอย่างทุลักทุเลและเบียดเสียด กว่าจะหลุดพ้นจากความเมื่อยล้าก็ปาเข้าไปเกือบจะเที่ยง ยังปวดหัวไม่หาย บวกกับรู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อยเพราะยังไม่มีอาหารตกถึงท้อง แต่ก็ไม่มีเวลาจะกิน ความไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวทั้งหลายแหล่ส่งผลให้กวินอารมณ์ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไรนักในตอนนี้
    
          กวินเดินเข้ามาในอาคารที่ตั้งของสำนักพิมพ์ ไม่สบตากับใครทั้งสิ้น เดินชนพนักงานออฟฟิศหนึ่งคนจนเอกสารของเจ้าหล่อนหล่นพื้นระเนระนาด ชายหนุ่มแค่พูดขอโทษคำเดียวแล้วก็ไม่สนใจอะไรอีก รีบเดินไปที่ลิฟต์ กลัวว่าจะเข้าไม่ทันเพราะเห็นคนอื่น ๆ กำลังเดินกรูกันเข้าไปในลิฟต์ที่เพิ่งจะเปิดออกราวกับทุกคนต่างกลัวว่าจะลิฟต์จะเต็มและต้องเสียเวลา ด้วยความที่ตัวบางและค่อนข้างคล่อง กวินสามารถแทรกตัวไปได้อย่างทันท่วงที แถมยืนอยู่ใกล้ปุ่มกดพอดี
    
          “รอด้วย ๆ” เสียงหนึ่งดังแว่วมาทันท่วงที กวินตวัดสายตาไปตามเสียง พบขจรวิ่งตุตะมาแต่ไกล ร้องเรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าให้รอ กวินถอนใจอย่างหงุดหงิด ขจรเป็นเพื่อนของเขาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แล้วพอเรียนจบก็ยังโชคร้ายได้มาเจอกันบ่อย ๆ อีก เพราะขจรทำงานเป็นนักพิสูจน์อักษรให้กับสำนักพิมพ์ ในบรรดาคนรู้จักมากมายที่กวินมีความรู้สึกค่อนไปทางเกลียด ขจรถูกจัดไว้ในอันดับต้น ๆ ขจรมีบุคลิกเหมือนพวกโอตาคุ สวมแว่นหนา ใส่เสื้อเชิร์ตลายหมากรุกกับกางเกงเอวสูง ร่างอ้วนเล็กน้อย หัวหยิกฟูไม่เป็นทรงและไม่มีความพยายามใด ๆ ที่จะให้มันเป็นทรง ด้วยความเร่งรีบ ขจรวิ่งสะดุดขาตัวเองจนล้มคว่ำลงกับพื้น กวินยิ้มมุมปาก กว่าจะรอให้ขจรลุกก็คงเนิ่นนานเอาการ จึงรีบกดลิฟต์ปิดอย่างรวดเร็ว ไม่รออีกแล้ว
    
          ทันใดนั้น หญิงสาวผู้มีน้ำใจคนหนึ่งก็กดเปิดลิฟต์ออกเพื่อที่จะรอขจร พร้อมกับมองกวินด้วยสายตาตำหนิ กวินเบือนหน้าหนีพร้อมกับถอนใจอย่างหงุดหงิด ขจรวิ่งเหงื่อตกตัวเหม็นเข้าในลิฟต์จนได้ พยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณให้แก่หญิงสาวมากน้ำใจผู้นั้น แล้วก็กดปุ่มลิฟต์ปิด
    
          “สวัสดี” ขจรเอ่ยเสียงเข้ม พร้อมกับชำเลืองมองกวินแล้วก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย พยายามจะถือปึกกระดาษในมือให้มันเด่นพอที่กวินจะมองเห็น ขจรกระแอมหนึ่งครั้งคล้ายจะเรียกร้องความสนใจ แต่กวินก็ยังคงทำท่าเป็นว่าไม่สนใจอยู่ดี ขจรเลยเอ่ยขึ้นอีกจนได้
    
          “เอาต้นฉบับแก้ใหม่มาให้พี่พรรณหรือ”
    
          “เออ” กวินตอบไปห้วน ๆ
    
          “ทำไมไม่ส่งอีเมล”
    
          “อย่ายุ่งน่า ก็พี่พรรณบอกว่ามีธุระจะคุยด้วย เลยต้องถ่อมา”
    
          ขจรมองกวินด้วยสายตาดูถูก แล้วพูดต่ออีกยืดยาว
    
          “โอ๊ย ! รู้เลยว่างานมึงจะมาไม้ไหน ก็คงเป็นพิษเป็นภัยเหมือนเคย ตอนจบคนดีคงตายโหง ส่วนคนชั่วได้ดี หึ ! รู้ไว้เลยนะไอ้กวิน มึงน่ะกำลังพายเรือในอ่าง”
    
          เกินจะทน อดไม่ได้เสียจริง ๆ ที่กวินจะต้องสวนกลับไป แม้จะรู้ดีว่าการเถียงกับขจรก็เหมือนกับเอาทองแลกเกลือ
    
          “บางทีมึงก็ยังไม่ได้อ่าน อย่ามาทำเป็นรู้ดี ยังไม่รู้เรื่องอะไรก็หุบปากเสีย เหม็นขี้ฟัน”
    
          ขจรหาได้ฟังไม่ พูดต่ออีกยาวแถมยังมากไปด้วยอารมณ์แห่งการวิพากษ์วิจารณ์
    
          “งานของมึงแม่งโคตรซ้ำซาก ไม่ต้องอ่านก็เดาได้ว่าจะมาไม้ไหน ตัวละครเลวทรามฟอนเฟะกับแอคชั่นอุบาทว์ ๆ เอาแต่ร้องแรกแหกกระเชิง ด่าความดีงามเหมือนคนบ้า สาดอัตลักษณ์ใส่คนอ่าน แล้วสร้างมายาคติผิด ๆ”
    
          “โอ้โห” กวินร้องประชด พยายามที่จะอดกลั้นความรู้สึกรังเกียจไม่ให้แสดงออกมามากเกินไป “นี่มึงคิดคำพวกนี้ออกมาได้ไงวะ เออ ! ฉลาด ๆ แต่รู้อะไรไหม มึงน่าจะเก็บความฉลาดของมึงไปทำหน้าที่ให้ดีนะ กูจะได้มั่นใจว่าหนังสือเล่มใหม่ของกูจะสะกดถูกต้องทุกคำ”
    
          คล้ายกับว่าขจรจะหัวเสียขึ้นมาทันทีทันใด แต่ก็ยังพยายามที่จะยกตัวเองขึ้นมาเพื่อข่มกวินกลับ
    
          “ฟังกูให้ดีนะอีกวิน ต่อไปนี้ จะไม่มีขจรนักพิสูจน์อักษรกระจอกงอกง่อยอีกแล้วโว้ย” ขจรกระชับต้นฉบับของเขาไว้แน่นขึ้น และยืดอกขึ้นอย่างภูมิใจ “จะมีแต่ขจร หัวมังกรแห่งบรรณพิภพ
    
          ด้วยความหมั่นไส้ กวินถือวิสาสะคว้าปึกต้นฉบับจากมือของขจรมาดูในทันที
    
          “นี่มึงเขียนงานด้วยลายมือหรือวะ”
    
          “แน่นอน” ขจรร้องอย่างภาคภูมิใจเสียเต็มประดา “นักเขียนมืออาชีพตัวจริงเสียงเขาก็เขียนด้วยมือทั้งนั้นแหละ”
    
          “ควาย” กวินลากเสียงเบา ๆ พร้อมกับยิ้มเยาะ มองดูปกก็อดที่จะขำกับชื่อเรื่องไม่ได้ แล้วพอเปิดมองผ่าน ๆ อย่างรวดเร็ว ก็สัมผัสได้ถึงความตลกจนอดไม่ไหวที่จะต้องล้อเลียน
    
          “เรื่องแสงดาวแห่งศรัทธา” เสียงของกวินดังลั่นด้วยสำเนียงขบขัน “กูกล้าพูดเลยว่ามึงเขียนอะไรมา”
    
          กวินสุ่มเปิดขึ้นมาหน้าหนึ่ง แล้วพยายามแกะลายมือของขจร อ่านออกมาดัง ๆ กะจะเอาให้อายกันไปข้าง
    
          “...ด้วยอำนาจแห่งพลังความคิดอันบริสุทธ์ของพวกเราชาวกรรมาชีพ เราจะต่อสู้เพื่อแสงสว่างนั่น เรามั่นใจว่าหมู่ดาวจะส่องแสงนำทางเรา นำเราไปสู่ดินแดนอันปราศจากการกดขี่ข่มเหง ดวงวิญญาณแห่งบรรพบุรุษของความเหนื่อยยากเอ๋ย จงเป็นพลังให้เราต่อกรกับพวกมัน พวกชนชั้นหน้าเลือด... โอ๊ย !” กวินทนอ่านต่อไปไม่ได้อีกต่อไป “มึงเขียนเหี้ยอะไรมาเนี่ย”
    
          คนในลิฟต์บางคนพยายามกลั้นขำ ในขณะที่บางคนขำออกมาอย่างเปิดเผย ขจรรู้สึกอายเล็กน้อย รีบดึงต้นฉบับกลับคืนมา ลิฟต์เปิดในชั้นสำนักพิมพ์พอดี กวินเดินหนีออกมาอย่างรวดเร็ว ขจรเดินตามมาติด ๆ หวังจะเอาชนะกวินให้ได้ แต่พอดีว่ากวินตัวสูงกว่าเลยก้าวได้ยาว แต่ขจรที่มีขาสั้นกว่า ก็พยายามซอยเท้าถี่เพื่อเดินตามให้ทัน
     
          “คนอย่างมึงมันหยาบกระด้างและมืดบอด เข้าไม่ถึงแก่นสารของงานดี ๆ หรอก” ขจรก่นด่า พร้อมกับเดินมายืนขวางหน้ากวินไว้ “แต่คอยดูเถอะ มันจะกลายเป็นสิ่งทรงพลังแห่งยุคสมัย”
    
          “ถุย !” ถ้าสามารถถ่มน้ำลายใส่คนตรงหน้าได้จริง ก็อยากจะทำ แต่มันติดตรงที่คงจะไม่เหมาะกับสถานที่ “อะไรที่ทำให้มึงกล้าพูดออกมาขนาดนี้วะขจร มึงคิดว่ามึงเป็นโรแมง การีกลับชาติมาเกิดหรือไง แล้วนี่มึงคิดว่ามึงอยู่ใน พ.ศ.ไหน มึงจะต่อสู้กับศักดินาห่ะอะไรอีก แล้วมึงใช้ภาษาบ้าบ้ออะไรเนี่ย อ่านไม่เห็นรู้เรื่อง สนุกไหม ก็ไม่ แถมลายมือก็ยังกะตีนเขี่ย กูว่านะ มึงเอาเวลาไปหมกมุ่นกับตัวสะกดต่อเหอะ อย่าเสร่อเขียนอะไรออกมาอีกเลย”
    พูดจบก็ผลักตัวขจรให้ออกไปพ้นทาง พร้อมกับเดินหนี ในขณะที่ขจรก็ยังคงไม่ยอมแพ้ เดินตามต้อย ๆ แล้วก็ตะโกนเถียงปาว ๆ จนคนรอบข้างหันมามองก็ยังไม่แคร์
    “กูเขียนงานด้วยสายตาของคนที่มองออกไปในโลกกว้าง มองเห็นความไม่เป็นธรรม และเห็นความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ กูก็เลยเขียนงานด้วยความคิดที่จะช่วยยกระดับสังคม ในขณะที่มึงแม่งก็ได้แต่หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง แล้วก็ชักว่าวออกมาเป็นงาน”
    แม้ตั้งว่าจะไม่ต่อล้อต่อเถียงอีก แต่มันก็สบช่องที่จะต้องด่ากลับจนได้
    “รู้ไหม” กวินหยุดเดิน แล้วหันไปเถียงกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่เบากว่า ทว่า ชัดถ้อยชัดคำแบบที่กะจะเอาให้เจ็บในทุกตัวอักษร “งานมึงก็ทำให้กูนึกถึงเด็กประถมแก่แดดที่พยายามจะชักว่าวครั้งแรก แล้วไม่สำเร็จ ออกมาแต่ลม”
    “สัตว์ !” ขจรผรุสวาทเสียงลั่น มองกวินอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ “นี่มึงคิดว่ามึงเจ๋งนักใช่ไหม”
    “เปล่าเลย” กวินสวนทันทีทันใด “กูไม่เคยคิดว่าตัวเองเจ๋ง กูแค่เขียนในสิ่งที่เชื่อ ซึ่งตรงนี้อาจจะไม่ต่างจากมึง แต่ความต่างคือ.... กูมีหนังสือออกมาแล้วห้าเล่ม และนี่จะเป็นเล่มที่หก ส่วนมึงนะ ไปตรวจตัวสะกดตลอดชาติเหอะ พยายามไปก็ไร้ค่า”
    ในช่วงเวลาที่พูดจนจบประโยค กวินรู้สึกได้ถึงชัยชนะในสงครามฝีปากครั้งนี้ เกิดความพอใจแก่ตัวเองเล็กน้อย เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่ง ปากสั่น ด่าอะไรไม่ออก ยิ้มเยาะให้หนึ่งครั้ง แล้วหันหลังเดินหนี แต่ไม่ทันไร ขจรก็ร้องด่าขึ้นมาอีกจนได้
    “ปากดีนักนะอีตุ๊ด”
    ไม่คิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะจนมุมและพาลขนาดนี้ หันกลับไปถามอย่างตกใจเล็กน้อย
    “นี่มึงจริงจังหรือเปล่าเนี่ยขจร”
    “เออ ! กูจริงจัง” ขจรประกาศเสียงกร้าว พร้อมกับมองกวินตั้งแต่หัวจรดเท้า ด้วยสายตาดูถูก “ความจริงนะ มึงแม่งก็น่าขยะแขยงพอ ๆ กับหนังสือของมึงนั่นแหละ ตรวจเลือดบ้างนะ เอดส์แดกเมื่อไหร่กูจะเปิดแชมเปญปลอบใจ อีตุ๊ด! อ้าว... พี่รส หวัดดีครับ”
    ด้วยความที่โดนด่าอย่างหยาบคายน่าเกลียดเแบบที่ไม่นึกว่าจะโดน ทำให้กวินถึงกับงุนงงจนเถียงอะไรไม่ออก บวกกับขจรเองก็เดินหนีไปอย่างรวดเร็ว ทำให้กว่าที่สติของกวินจะกลับมา ก็ไม่สามารถที่จะด่าขจรกลับได้อีกแล้ว จากผู้ชนะแปรเปลี่ยนเป็นผู้แพ้ไปโดยปริยาย
    มองตามขจรไป เห็นว่าขจรกำลังเดินไปหามธุรส ผู้ซึ่งเป็นบรรณนาธิการบริหารของสำนักพิมพ์ มธุรสดูเป็นสาวใหญ่มาดทอมบอย ซอยผมสั้น และไม่เคยสวมกระโปรง หล่อนดูท่าว่าจะยุ่งกับการตรวจงานอาร์ตเวิคซึ่งไม่ได้น่าแปลกแก่ตาแต่อย่างใดกับคุณลักษณะจู้จี้และละเอียดยิบต่องานทุกงาน ขจรพยายามจะยื่นต้นฉบับให้มธุรส แต่หล่อนก็หาได้จะสนใจไม่
    ในใจกวินยังคงเจ็บแค้นกับขจรเสียนักหนา ตั้งใจไว้ว่าได้โอกาสเมื่อไรเห็นทีจะต้องเอาคืน
    ให้ตายสิ จะเอาเรื่องอะไรมาด่าก็ไม่เอา มาวกเอาเรื่องเอดส์ บ้าจริง นี่มันไม่รู้บ้างหรือยังไงว่าเรื่องแบบนี้เขาห้ามเอามาเล่น
    ไอ้บ้าขจร !
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-01-2010 19:10:53 โดย kranwa »

ออฟไลน์ kny

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-15
Re: Hopeful & Hopeless
«ตอบ #9 เมื่อ04-01-2010 21:47:02 »

วรรณกรรมจำเป็น เพราะคำนี้ จึงลองอ่านดู อยากรู้ว่าจำเป็นยังไง แต่ปะทะแรง และเข้มดีจัง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Hopeful & Hopeless
« ตอบ #9 เมื่อ: 04-01-2010 21:47:02 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






thomaskung

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless - UPDATE 05/01/2010
«ตอบ #10 เมื่อ05-01-2010 20:26:09 »

ยิ่งอ่านเหมือนยิ่งเห็นเงามืดในหัวใจตัวเอง

 :กอด1:

kranwa

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless - UPDATE 05/01/2010
«ตอบ #11 เมื่อ09-01-2010 02:07:57 »

4
    
       ต้นฉบับของกวินถูกปราดตามองอย่างรวดเร็วโดยอรพรรณ ด้วยความที่คุ้นเคยกับมันมาบ้างแล้วก่อนหน้า จึงทำให้ใช้เวลาไม่นานอย่างที่คิด บรรณนาธิการหญิงเงยหน้าขึ้นจากกองกระดาษ ถอนใจยาว สบตากับกวินที่ยั่งลุ้นอยู่ตรงข้ามโต๊ะ อรพรรณเป็นบรรณนาธิการเล่มซึ่งดูแลรับผิดชอบหนังสือประเภทนวนิยายของสำนักพิมพ์ ชีวิตของกวินในเส้นทางการเป็นนักเขียนจึงค่อนข้างจะผูกพันกับอรพรรณมาตั้งแต่ต้น
   
         
         ตอนนั้นอรพรรณยังเป็นเพียงผู้ช่วยบรรณนาธิการ หล่อนแนะนำต้นฉบับชิ้นแรกของกวินให้กับกองบรรณนาธิการในขณะนั้น และหลังจากนั้นมา กวินก็กลายเป็นนักเขียนที่มีผลงานออกกับสำนักพิมพ์ต่อเนื่องมาโดยตลอดด้วยแนวงานที่ชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์ เรียกได้ว่า ความดีงาม ความรัก ความสดใส หรือการมองโลกในแบบบริสุทธิ์ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะไม่มีในหนังสือของกวิน ตรงกันข้าม หนังสือของกวินจะเต็มไปด้วยความแสบสันต์ของมนุษย์ กิเลสตัณหา ความน่ารังเกียจ รวมไปถึงความรุนแรงต่าง ๆ นา ๆ ทางความคิดและพฤติกรรม จนบางครั้งค่อนไปในทางล่อแหลมต่อประเพณีและศีลธรรมอันดีของประเทศ 
   
         
         อันที่จริง กวินก็ไม่ทราบนักว่าต้นฉบับของเขามันดีเด่นอะไรตรงไหน ทางสำนักพิมพ์ถึงได้เห็นดีเห็นงามไปกับมัน เป็นไปได้ตรงที่มันผาดโผน ตรงไปตรงมา และค่อนข้างจะแหวกจริตมากพอสมควร มากพอที่จะก่อให้เกิดกระแส และกระแสที่ว่านี้ก็นำมาด้วยการขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มีอยู่เล่มหนึ่ง งานของกวินกลายเป็นประเด็นใหญโตเพราะพาดพิงศาสนา เกิดกระแสถกเถียงอย่างครึกโครมจนแทบโดนสั่งเผา ยังดีที่ว่ามิติของมันยังพอจะมีความน่าสนใจมากพอที่จะเรียกกระแสปกป้องจากเหล่านักวิจารณ์และนักอ่านหัวใหม่อยู่บ้าง งานชิ้นนั้นเลยไม่ถึงกับจมดินลงไปพร้อมกับคำก่นด่าจากพวกหัวอนุรักษ์ แต่สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ผลประโยชน์จากหนังสือเล่มนั้นก็แทบจะมากมายมหาศาล เพราะยิ่งโดนกระแสต่อต้านจากพวกหัวเก่าสักเท่าไร คนก็แห่ซื้อกันเป็นเทน้ำเทท่า นี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลก็ได้ที่สำนักพิมพ์เลี้ยงกวินเอาไว้
   
         “ไม่ได้แก้ตอนจบนี่” อรพรรณเอ่ยขึ้นในที่สุด หลังจากทราบว่าสิ่งที่ติติงไปยังคงอยู่เช่นเดิม แต่กระนั้น ถ้าเป็น บก.คนอื่นอย่างเช่นมธุรส คงจะต้องมีการโมโหขัดเคืองและไม่พอใจออกมาแล้วกับความหัวดื้อของนักเขียน แต่อรพรรณกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น หล่อนยังคงมีสายตาแห่งการครุ่นคิดและพร้อมจะเข้าอกเข้าใจ อันที่จริง กวินรู้จักกับอรพรรณมานานแล้วตั้งแต่สมัยเรียน หล่อนเป็นสายรหัสของเขา ความสนิทสนมและความรักใคร่ที่มีให้กันมานานเป็นเหตุให้บางครั้งการทำงานก็เต็มด้วยความอะลุ้มอล่วยและเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน
   
         “ผมพยายามแล้วพี่ แต่...  มันไม่ได้จริง ๆ อ่ะพี่ มันยากมากนะพี่ ที่จะบังคับให้...”
   

         “สรุปว่าแกก็ยังยืนยันที่จะให้คนดี ๆ อย่างพระเอกต้องกดดันกับชีวิตของตัวเองจนถึงกับฆ่าตัวตาย”
   
         
         “ก็เขามองโลกในแง่ดีเกินไป จนจัดการอะไรกับชีวิตไม่ได้”
   
         
         “ส่วนนางเอก ทั้ง ๆ ที่หักหลังพระเอกโดยการมีชู้ แต่ก็ยังจะทอดทิ้งพระเอก ไปเป็นเมียน้อยของคนเลว เพียงเพื่อแลกกับเงินทองและความสุขสบาย และใช้ชีวิตเอาเปรียบคนอื่นต่อไป”
   
         
         “เห็นได้ชัดว่าเธอฉลาดที่จะใช้ชีวิตบนโลก ลองดูให้ดี ๆ นะพี่ นางเอกแต่งงานกับพระเอกก็จริง แต่พระเอกก็ไม่เคยทำให้หล่อนมีความสุขเลย เพราะมัวแต่ไปยึดมั่นถือมั่นแต่กับคุณธรรมของตนเอง เรื่องอะไรที่หล่อนจะต้อง...”
   
         
         อรพรรณยกมือขึ้นตัดบท ราวกับบอกให้รู้ว่าไม่จำเป็นที่กวินจะต้องอธิบายอะไรให้มันยืดยาวมาก
   
         
         “แกยังคงแนวคิดของการดูถูกความรักและดูถูกชีวิตอยู่เหมือนเดิมสินะ”
   
         
         กวินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะผ่อนลมหายใจ แม้ว่าเอกลักษณ์ของงานเขียนแหวกจริตจะโด่งดังและสร้างกระแส แต่กระนั้น ด้วยความที่กวินเขียนงานพรรค์นี้ออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกินไป ผลที่ตามมาก็คือกลายเป็นความเบื่อหน่อยของนักวิจารณ์ จากที่เคยเป็นของแปลกใหม่ ตื่นตาตื่นใจ ก็กลายเป็นความซ้ำซาก ไม่มีอะไรใหม่และพายเรือในอ่าง หลัง ๆ เข้ากวินโดนวิจารณ์อย่างเจ็บแสบว่าเขียนงานแบบ “ไม่รู้จักโต” และนอกจากนั้น ตลาดงานก็เริ่มเปลี่ยนไป ในสถานการณ์ของบ้านเมืองที่กำลังเดือดร้อนและวุ่นวาย ชีวิตรอบข้างมีแต่ความตึงเครียด รวมเข้าด้วยกับสโลแกนของรัฐบาลที่โหมกระหน่ำค่านิยมแบบเรียบง่ายสดใสเพื่อบดบังปัญหาที่กองอยู่ตรงหน้า ดังนั้น จึงแทบไม่มีนักอ่านคนไหนในช่วงเวลานี้จะนึกนิยมชมชอบการอ่านงานไสตล์ชีวิตหม่นโลกมืดอีกแล้ว ผู้คนต้องการเพียงแต่แสงสว่างและกำลังใจ งานเขียนของกวินจึงเริ่มจะขายไม่ออก รวม ๆ กันเข้าก็กลายเป็นสาเหตุที่ร้อนถึงกองบรรณนาธิการ ที่เริ่มมีนโยบายจะเคี่ยวเข็ญให้กวินลองปล่อยงานที่เปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเองบ้าง เพื่อคงระดับชื่อเสียงอันจะนำไปสู่ผลดีทางการตลาดต่อไป

         
         แต่สำหรับกวินในฐานะนักเขียน การทำอะไรแบบนี้ มันไม่ใช่ของง่ายเลย
   
         
         “พี่พรรณ ผมไม่ได้มีอีโก้นะครับพี่ แต่มันแค่...” กวินพยายามที่จะแก้ตัว “ผมสาบานว่าผมพยายามแล้ว แต่... มันยากนะครับพี่ กับการที่เราจะเขียนในสิ่งที่เราไม่เคยเชื่อแล้วโกหกว่ามันเป็นความจริง”
   
         
         อรพรรณถอนใจยาว ก่อนจะสบตากับกวินอีกครั้ง คล้ายกับสำรวจลึกลงไปในห้วงความคิด ก่อนที่เจ้าหล่อนจะสรุปออกมาในที่สุด
     
         
         “เอาละ พี่จะนำเสนอพี่รสอีกที”
   
         
         “พี่ว่าจะผ่านไหมพี่” กวินอดจะถามไม่ได้
   
         
         “ถ้าคิดเอาจากมุมของพี่รส ชื่อกวินก็อาจจะยังพอขายได้ แต่ถ้าคิดแค่ในมุมของพี่” อรพรรณยิ้มอย่างมากไมตรี “ฉลุย !”
   
         กวินพยักหน้ารับ รู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้เล็กน้อย แต่ก็ไม่โล่งไปหมดเสียทีเดียว เพราะถึงอย่างไรต้นฉยัยก็ต้องผ่านมธุรสอีกที ซึ่งอย่างที่รู้ด้วยตัวเองว่ารายนั้นเรียกได้ว่าแทบจะเป็นเจ้าแม่ของที่นี่เลยทีเดียว และก็ “เข้ม” มากกว่าอรพรรณหลายเท่านัก ในขณะที่ความคิดโบยบินไปไกล สายตาของกวินเหลือบไปเห็นหนังสือปกสวย ๆ สองสามเล่มบนโต๊ะของอรพรรณ นามปากกาของผู้เขียนโดดเด่นอยู่บนปกให้เห็นชัดว่าเป็นงานของ “วรรณี วรรณรัตน์” ในขณะที่ปกแต่ละเล่มมีการคาดกระดาษไว้อีกว่าเป็น “หนังสือเสริมกำลังใจ”
   
         เรียกได้ว่าฮาร์ดเซลล์แบบสุดฤทธิ์
   
         ไวกว่าความคิด กวินหยิบหนังสือเหล่านั้นขึ้นมา
   
         “นี่จะพิมพ์ซ้ำหรือพี่”
   
         อรพรรณพยักหน้า “ใช่ แต่ต้องปรูฟเพิ่มนิดหน่อย คนอ่านเคยติมาน่ะว่ามีหลุดไปสองสามแห่ง”
   
         “หึ... ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า คนอ่านกันทั้งบ้านทั้งเมือง พี่รสแกคงแฮปปี้น่าดู” กวินเอ่ยออกไปโดยอัตโนมัติ ไม่อน่ใจแก่ตัวเองเหมือนกันว่าเอ่ยไปด้วยความรู้สึกเช่นไร จะว่าเยาะเย้ยก็ไม่ใช่ หรือจะว่าอิจฉาก็ไม่เชิง “เป็นเครื่องยืนยันนะว่าต่อให้โลกมันจะทรามแค่ไหน แทนที่คนจะเข้มแข็ง แต่คนโดยมากก็ยังยินดีที่จะทำตัวอ่อนแอ หนีความจริง เสพแต่งานโหยหากำลังใจ พวกชนชั้นกลาง !”


         "แหม... เท่จังเลยนะยะ เอะอะก็ค่อนขอดชนชั้นกลาง" อรพรรณแหวออกมาอย่างอดไม่ได้ "โธ่เอ๊ย... แกอย่ามากระแดะลืมกำพืดหน่อยเลย มีใครแถวนี้ไม่ใช่ชนชั้นกลางบ้างไหม หรือแกจะบอกว่าแกไม่ใช่ อย่าลืมว่าไอ้ที่มีกินมีใช้อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะชนชั้นกลางทั้งนั้น แฟนหนังสือแกอีกล่ะ ก็ชนชั้นกลางอีกนั่นแหละ ขึ้นชื่อว่าซื้อหนังสืออ่านฉันขอเหมาเลยว่าชนชั้นกลางทั้งนั้น อย่ามาด่ากันเองนักเลย เชิดชูกันเข้าไว้ ชนชั้นกลางจงเจริญ"


         "ก็แค่พูดเล่น" กวินแย้งเสียงอ่อย "จริงจังทำไมเนี่ย"
   
         “ก็ฉันหมั่นไส้แก ทำมาเป็นว่าเขา องุ่นเปรี้ยวละสิไม่ว่า ทำไมไม่ลองเขียนอย่างเขาบ้างล่ะ จะได้ขายดีบ้างไง” อรพรรณเอ่ยขึ้นมาราวกับว่าได้ที


         "ไม่ต้องวกมาเรื่องนี้เลยนะ" กวินตอบโต้ไปทันที ในขณะที่อรพรรณก็คล้ายจะรบเร้าต่อ


         “เอาน่า คิดสิว่าท้าทายตัวเอง”
   
         “ไม่ได้หรอกพี่ ผมพยายามแล้ว” ชายหนุ่มตอบกลับอย่างพยายามจะใจเย็น “ก็บอกแล้วไง มันยากนะ ที่จะเขียนอะไรจอมปลอมแบบนั้นออกมา ผมเป็นพวกหลอกตัวเองไม่เป็น”
   
         “กวิน” อรพรรณเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงจริงจัง มองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่คล้ายกับว่ารู้จักตัวตนของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี “พี่เข้าใจในจุดยืนของแกนะ แต่แกน่ะยังเด็กนัก โลกนี้ยังมีอะไรให้แกเรียนรู้อีกเยอะ”
   
         กวินนิ่งไปอย่างทันทีหลังจากที่อรพรรณพูดจบ คราวแรกคิดว่ารุ่นพี่ของตนพูดเล่น เลยตั้งท่าจะเอ่ยแซว แต่พอครั้นได้เห็นแววตาของอีกฝ่ายที่ยังจริงจังไม่เลิกรา ก็ทำให้คำพูดนั้นของอรพรรณดังซ้ำในสมองของกวินอยู่หลายรอบ และมันก็ส่งผลให้เขาร็สึกตีบตันขึ้นมาเล็กน้อยในความรู้สึกก่อนที่จะพยายามสลัดมันออกไป พยายามจะเอ่ยอะไรออกไปสักอย่าง แต่ก็พูดไม่ออก เลยได้แต่หัวเราะออกมาเบา ๆ แก้เจื่อน
   
         “อย่าปิดกั้นตัวเอง เชื่อพี่ แล้วมันจะดีกับแก” อรพรรณพูดซ้ำด้วยสำเนียงที่ยังคงจริงจังไม่ต่างจากเดิม
   
         ทันใดนั้น ก่อนที่กวินจะรู้สึกอึดอัดไปมากกว่านี้ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะ แล้วจากนั้นบานประตูก็ถูกเปิดออกอย่างนุ่มนวล สายตาของอรพรรณและกวินตวัดไปมองผู้มาเยือน พบหญิงสาวร่างสูงเพรียวค่อย ๆ เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า คล้ายกับพกความประหม่าและตื่นเต้นมาเล็กน้อย แต่กระนั้น แววตาของเจ้าหล่อนก็ยังคงมีประกายระริกบ่งบอกบุคลิกของเจ้าตัวที่น่าจะเป็นคนรักสนุกและมากอารมณ์ขัน
   
         “สวัสดีค่ะ พี่พรรณ” หล่อนยกมือไหว้ผู้อาวุโสสุดในห้อง ก่อนจะค่อย ๆ เสยผมยาวสีน้ำตาลที่ปรกหน้าให้ปัดออกไปด้านหลัง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วคล้ายกับเลื่อนสายตามามองกวิน
   
         “พี่พรรณมีแขก” ราวกับได้ที กวินรีบลุกจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว ราวกับหวาดกลัวที่จะต้องคุยในประเด็นก่อนหน้ากับอรพรรณอีก “ผมขอตัวนะครับ”
   
         “เดี๋ยวก่อนสิกวิน” อรพรรณเรียกไว้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่กวินกำลังเดินปรี่ไปที่ประตู “จะรีบไปไหน ลืมไปแล้วหรือว่าพี่ยังไม่ได้คุยธุระกับแกเลย”
   
         “นั่นสิ” กวินนึกขึ้นได้พอดี ก่อนจะยิ้มเจื่อน ๆ รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่อาจจะหนีจากอรพรรณได้ในเวลานี้ ในขณะที่หญิงสาวแขกของอรพรรณก็ยังคงสบตามองเขาอยู่ไม่เลิก อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าเจ้าหล่อนผู้นี้จะมีส่วนเกี่ยวพันอะไรกับธุระที่อรพรรณอยากจพูดกับเขาหรือเปล่า
   
         “นี่คุณพิม” อรพรรณเริ่มแนะนำ “หลานสาวของคุณวรรณี”
   
         “วรรณี?” กวินทวนคำ งุนงงในแวบแรก ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นหนังสือปกสวย ๆ บนโต๊ะทำงานของอรพรรณ แต่กระนั้นก็ยังไม่แน่ใจ “วรรณี วรรณรัตน์น่ะหรือ”
   
         “ใช่ค่ะ” พิมเอ่ยตอบอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยิ้มกว้าง ในขณะที่กวินก็ยังงงจับต้นชนปลายไม่ถูก หญิงสาวคว้านามบัตรในกระเป๋าสตางค์ส่งให้กวินอย่างทันท่วงที กวินรับมาแล้วมองผาด ๆ จำไม่ได้เลยว่ารายละเอียดในบัตรเป็นอย่างไร สมองครุ่นคิดถึงแต่ความน่าประหลาดใจที่วันนี้ชีวิตของเขาเหมือนจะได้พบเจออะไร ๆ อันเกี่ยวเนื่องกับวรรณี วรรณรัตน์เสียมากมาย ตั้งแต่รายการทีวีตอนเช้า หนังสือบนโต๊ะอรพรรณ แล้วยังจะหลานสาวอีก ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดี ๆ นักเขียนเก่าเก็บในความทรงจำที่เขาเองก็แทบจะหลงลืมไปนานแล้วถึงได้กลับมาปรากฏย้ำในวันนี้
   
         “วรรณี วรรณรัตน์เป็นนามปากกาของคุณป้าดิฉันเอง” พิมพูดต่อ
   
         อรพรรณสังเกตเห็นความงุนงงบนใบหน้าของกวิน จึงพยายามที่จะอธิบาย
   
         “คือว่าคุณพิมเขามีเรื่องอยากให้แกช่วยน่ะกวิน”
   
         “ช่วยอะไร”
   
         หญิงสาวผ่อนลมหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยมาอย่างทันทีทันใดไม่อ้อมค้อม
   
         “ฉันอยากให้คุณเป็นโกสต์ไรเตอร์ให้กับคุณป้าของฉัน”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-10-2010 19:17:37 โดย kranwa »

kranwa

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless - UPDATE 05/01/2010
«ตอบ #12 เมื่อ09-01-2010 02:12:57 »

5
    
         โกสต์ไรเตอร์ !!!!  
         หลังได้รับคำขอความช่วยเหลืออันแสนพิลึกพิลั่นนั้น กวินยอมรับว่าตกใจในแวบแรกและคิดว่าจะต้องเป็นการอำกันอย่างสุดแสบ แต่พอเมื่อได้รับรู้ถึงความจริงจังของอีกฝ่าย กวินก็แทบอยากจะกรีดร้อง    
         จะบ้าหรือ ! จะให้เขาเป็นโกสต์ไรเตอร์ให้กับนักเขียนอย่างวรรณี วรรณรัตน์น่ะหรือ? ไม่มีทาง ! เป็นไปไม่ได้แน่นอน ใคร ๆ ต่างก็ต้องรู้ วรรณีกับกวินแทบจะเป็นเหรียญคนละด้าน ถ้าอีกฝ่ายเป็นขาว อีกฝ่ายก็ต้องเป็นดำ ทุกวันนี้ลำพังแค่ว่ากวินได้หยิบงานของวรรณีมาอ่านผ่าน ๆ ตา เขาก็แทบจะวิงเวียนและอยากจะอาเจียนกับความสวยงามของชีวิตทั้งหลายแหล่อันถูกตวัดออกมาจากปลายปากกาของเจ้าหล่อน มันเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เขา – นักเขียนผู้ซึ่งประกาศกร้าวแต่เพียงเรื่องราวเลวร้ายและหม่นหมองของโลกบูด ๆ เบี้ยว ๆ – จะไปทำหน้าที่ให้กำลังใจผู้คนแบบอย่างที่วรรณี วรรณรัตน์ทำมาตลอด ขืนไปทำก็เหมือนเอาปลาไปอยู่บนบก เอาจิ้งจกไปจมในน้ำ มันก็คงมีแต่ตายกับตาย  
         อะไรกันที่ทำให้ยายผู้หญิงผอมแห้งผู้นี้ที่อ้างว่าเป็นหลานของวรรณีมาวานให้เขาทำให้อะไรที่พิลึกกึกกือเช่นนี้ อยากจะถามออกไปจริง ๆ ว่าสติดีอยู่หรือเปล่า อรพรรณก็อีกคน กวินไม่เข้าใจเจ้าหล่อนเอาเสียเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้เหมือนจะทำท่าเออออห่อหมกไปด้วย เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันมาแท้ ๆ ทำไมถึงทำเหมือนกับว่าไม่รู้จักกันดีพอ  
         “ไม่มีทาง ไม่มีทาง และไม่มีทาง”  
         กวินพูดซ้ำซากออกไปแค่นั้น พร้อมกับเดินหนีออกมาจากห้องของอรพรรณอย่างทันทีทันใด ซึ่งดูท่าว่าอรพรรณเองก็คงจะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่ากวินจะต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้ เจ้าหล่อนจึงหาได้ตกใจหรือแปลกใจไม่ หนำซ้ำ ยังเดินตามกวินพร้อมกับสติที่ครบถ้วน พยายามที่จะโน้มน้าวให้กวินลองใตร่ตรองดู ในขณะที่พิมหลานสาวของวรรณีก็เดินตามมา พูดอะไรออกมาเรื่อย ๆ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ใส่ใจจะฟังอีกต่อไป  
         “กวิน...” อรพรรณร้องเรียกพร้อมกับคว้ามือชายหนุ่มไว้ “อย่าใจร้อนสิ ฟังก่อน”  
         “ไม่ฟัง !” กวินประกาศกร้าวเสียงลั่นจนคนในออฟฟิศแทบจะหันมามอง “เข้าใจไหมพี่ ไม่ฟัง ไม่ฟัง ไม่ – ฟัง !”  
         กวินพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด โกสต์ไรเตอร์..... โกสต์ไรเตอร์งั้นหรือ? น่ารังเกียจที่สุด! ใจของกวินเต้นเร่าราวกับกลองศึก ถึงแม้เขาจะไม่ใช่นักเขียนร้อยล้าน หรือไม่ได้เป็นเจ้าของฉายาปากกาฝังเพชร และอาจจะยังไม่เคยและอาจจะไม่มีโอกาสไปแตะต้องรางวัลซีไรต์ซีเหลวอะไรกับใครเขา แต่ถึงอย่างไร ตัวเขาเองก็ไม่ได้ถึงขนาดโนเนมกระจอกงอกง่อย กวินรู้ดีว่าเขาเองก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง รวมถึงยังมีพื้นที่และมีแนวทางผลงานที่เป็นตัวของตัวเองอย่างชัดเจนและก็มีกลุ่มผู้อ่านจำนวนพอสมควรที่ติดตาม อะไรกันที่จะต้องเป็นสาเหตุให้เขาต้องลดตัวลงไปเป็นปากการับใช้ใครด้วยเล่า ยิ่งโดยเฉพาะคน ๆ นั้นเป็นวรรณี วรรณรัตน์ ผู้ซึ่งเทียบกับเขาแล้ว แทบจะเรียกได้ว่าอยู่กันคนละฝากฝั่งของบรรณพิภพเลยทีเดียว  
         บ้าที่สุด ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด  
         “โอ๊ย! ใจเย็น ๆ สิกวิน” อรพรรณร้องแว้ดกลับมา “มันมีเหตุผลนะที่คุณพิมเขาต้องขอให้แกช่วย”  
         “เหตุผล!” กวินร้องลั่น รู้สึกเดือดจนควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ ลักษณะนิสัยและความเคยชินทำให้กวินพรั่งพรูคำพูดและอารมณ์ออกมาอย่างไม่คิดจะเกรงใจ “เหตุผลอะไร เหตุผลที่ว่านักเขียนแก่คนนึง จมไม่ลง แม้ว่าสังขารจะไม่ให้แต่ใจยังรัก เลยต้องพึ่งมือคนอื่นเขียนให้ตัวเอง นี่ใช่ไหมเหตุผล”    
         “นี่คุณไม่มีสิทธิ์ว่าป้าฉันแบบนี้นะคะ” พิมเอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยอารมณ์โมโหไม่แพ้กัน  
         “ไม่ได้ว่า แค่พูดตามตรง” กวินสวน “เออ ! แล้วนี่ทำไมป้าคุณเขาไม่มาติดต่อเองเลยล่ะ ใช้ให้คุณมาทำไม”    
         พิมทำท่าจะขยับปากตอบ แต่กวินไวกว่า พูดแทรกขึ้นมาก่อนด้วยสีหน้าและน้ำเสียงแดกดันอย่างสุดพลัง  
         “อ๋อ ! ไม่ได้สิ มาเองไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะเสียมาดบรมครู” กวินหัวเราะเหยียดหยาม “ถามจริงเหอะ เก้าสิบเก้าเล่มนี่มันก็มากแล้วนะ ป้าคุณเขายังไม่พออีกหรือ สงสัยต้องเอาให้มันครบร้อย ให้เลขมันสวยละมั้ง แล้วถึงจะได้นอนตายตาหลับ....โอ๊ย !!”  
         พิมเผลอตบหน้ากวินอย่างลืมตัว กวินเอามือจับแก้มตรงรอยตบ รู้สึกปวดแสบขึ้นมาจนสามารถนึกภาพเห็นรอยแดงรูปฝ่ามือที่น่าจะกำลังปรากฏบนใบหน้า    
         เจ็บ... เจ็บมาก !  
         หน็อย..ยัยก้าง ! เห็นตัวเล็กแต่มือหนักเป็นบ้า กวินคิดในใจอย่างเดือดดาล ความโกรธมากทวีคูณในความรู้สึก แต่ชายหนุ่มก็ทำอะไรไม่ถูก ด้วยความที่เคยถนัดแต่การใช้ปากเห่า พอคราวนี้เจอของจริงกวินก็เลยไปไม่เป็น นอกจากอ้าปากค้างอย่างตกใจ  แต่ถึงอย่างไร ตัวคนตบเองก็คล้ายตกใจในการกระทำตัวเองเช่นกัน  
         “ฉันขอโทษ” พิมเอ่ยเสียงอ่อย อารมณ์โมโหของเจ้าหล่อนดูจะหายวับไปทันที ในขณะอรพรรณถอนใจยาว  
         “พี่พรรณ ดูสิ” กวินร้องโวยวายหาบรรณนาธิการรุ่นพี่ งอแงกระทืบเท้าด้วยท่าทางคล้ายกับเด็กโดนแกล้งที่ต้องวิ่งโร่ฟ้องผู้ใหญ่    
         “แกพูดขนาดนี้พี่ก็เข้าข้างแกไม่ลงจริง ๆ ว่ะกวิน”  
         “อะไรวะเนี่ย” เป็นไปได้ กวินอยากจะพูดอะไรออกไปอีก อาจจะเป็นคำด่า หรืออาจจะเป็นคำพูดเสียดแสง อะไรก็ได้ให้มันสมกับความเจ็บปวดที่ตัวเองได้รับ แต่ราวกับคำพูดเหล่านั้นมันติดอยู่ที่ลำคอ ไม่อาจจะเอ่ยอะไรออกมาได้ ทั้งสามเงียบกันไปเนิ่นนาน ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย ในขณะที่พนักงานของสำนักพิมพ์เองก็เงียบไปทั้งออฟฟิศ เหมือนทุกคนตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  
         “พี่รสครับ พี่รสต้องลองอ่านจริง ๆ นะครับ”  
         เสียงของขจรดังแว่วขัดเข้ามา พร้อมกับการเคลื่อนไหวแรกก็เกิดขึ้นจากประตูห้องทำงานของมธุรสที่ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการก้าวออกมาของมธุรสและขจร มธุรสก้าวฉับ ๆ ไปหาฝ่ายอาร์ตเวิร์คพร้อมกับยื่นแผ่นเพลตให้ พร้อมกับพูดคอมเม้นต์เล็กน้อย ในขณะที่ขจรก็พยายามที่จะตื๊อให้มธุรสให้สนใจต้นฉบับของตนให้ได้ จังหวะนั้นเองที่เหมือนทุกคนจะได้สติ พนักงานทั้งหลายรีบกลับไปก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ แต่กวินเองก็ยังคงพูดอะไรไม่ออกอยู่ดี    
         “ผมอยากให้พี่รสลองอ่านจริง ๆ นะครับพี่ พี่รสลองนึกดูนะครับ งานเขียนหนึ่งชิ้นที่จะถูกกล่าวถึงไปตลอดยุคสมัย มัน... มันแสดงออกถึงอุดมการณ์ของยุคโพสต์ ๆ ๆ ๆ โมเดิร์น มัน... มันจะพิพากษาความอยุติธรรมทั้งปวง นี่มัน... มัน... มันยิ่งใหญ่มากเลยนะพี่... มัน...”  
         “อ้าว ! กวิน” มธุรสร้องเรียกกวิน พร้อมกับเดินมาหากวิน เป็นไปได้ว่าหล่อนอาจจะใช้กวินเป็นเครื่องมือในการที่จะหลีกหนีจากขจร “พี่อยากเจอเธออยู่พอดีเชียว”    
         ขจรพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด ในขณะที่กวินและพิมยกมือไหว้มธุรส  
         “พี่รสครับ คือว่างานชิ้นนี้มันเป็นเรื่องราวของ...” ขจรยังพยายามที่จะขายงานต่อ แต่มธุรสไม่สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว “...ของการต่อสู้ระหว่าง เอ่อ...”    
         “อ้าว ! หนูพิม” มธุรสเพิ่งจะมองเห็นหญิงสาว จึงเอ่ยทักด้วยเสียงที่ดังจนกลบเสียงของขจรไปจนหมด “ไม่ได้เจอกันนานเลย ผอมลงนะเรา นี่ไปยังไงมายังไงจ๊ะเนี่ย มีธุระอะไรที่นี่หรือ เออ...ใช่... ได้ข่าวว่าป้าเธอไม่ค่อยสบายนี่”    
         ไม่ทันที่พิมจะได้พูดตอบอะไร มธุรสก็พูดต่อเองอย่างรวดเร็ว เป็นบุคลิกอีกอย่างหนึ่งของบรรณนาธิการผู้นี้ คือเจ้าหล่อนจะพูดเร็วและถามเองตอบเองโดยแทบจะไม่เปิดโอกาสให้ใครพูด  “ฝากบอกคุณวรรณีด้วยนะจ๊ะว่าพี่เป็นห่วง ขอให้หายเร็ว ๆ แล้วออกงานใหม่ให้ทันปีนี้นะจ๊ะ ไม่งั้นปีหน้า ป้าเธอจะต้องเขียนเรื่องสั้นแล้วละ ไม่ใช่นิยาย”  
         “งานชิ้นนี้ของผมก็เป็นนิยายครับ” ขจรพูดแหลมออกมา “เป็นนิยายที่น่าสนใจในแง่ของ...”  
         “เป็นไงบ้างล่ะกวิน” มธุรสพูดกลบขจรอีกครั้ง พร้อมกับหันเหความสนใจจากพิมมาที่กวินแทน “แก้มเป็นอะไร”  
         กวินพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด พร้อมกับเหล่มองพิมด้วยสายตาคาดโทษ อรพรรณเห็นท่าไม่ดีจึงรีบตอบออกมาแทน    
         “กวินมันเดินชนขอบประตูน่ะสิพี่รส” อรพรรณยิ้มกว้าง พร้อมกับแอบหยิกกวินเล็กน้อยให้เงียบเสียง “ซุ่มซ่าม”    
         มธุรสหัวเราะเบา ๆ เล็กน้อย คล้ายกับไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก ก่อนจะพูดต่อ  
         “พี่ล่ะอยากจะคุยกับเธออยู่พอดีเลยกวิน เรื่องงานเล่มใหม่”  
         “ต้นฉบับอยู่กับพี่พรรณเรียบร้อยแล้วครับ” กวินตอบออกไป พยายามที่ระงับความหงุดหงิดที่ยังหายไปไม่หมด “เดี๋ยวพี่รสคงได้อ่าน”  
         “จริง ๆ พี่อ่านไปบ้างแล้วล่ะจ้ะ ผ่านตา ดาร์คไซต์มาก ! ชื่ออะไรนะ คาวความรัก โอย... แค่เห็นชื่อเรื่องพี่ก็แทบจะเป็นลม” มธุรสพูดยืดยาว พร้อมทำท่าราวกับจะเป็นลมเอาเสียให้ได้ หน้าซีดสมจริงจนแทบจะเป็นนักแสดงรางวัลสุพรรณหงส์แห่งเมืองไทยได้ง่าย ๆ เลยทีเดียว แต่กระนั้น สาวใหญ่มาดหญิงแกร่งก็ถอนใจยาวหนึ่งคำรบแล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดกับกวินด้วยน้ำเสียงจริงจัง “กวินจ๊ะ ไม่คิดบ้างหรือว่าบางทีเธออาจจะต้องลองอะไรใหม่ ๆ”  
         “อะไรหม่ายหม่าย.... ตายละ !” กวินอดที่จะประชดออกไปไม่ได้ ไม่ค่อยจะอยากโผล่หน้ามาที่สำนักพิมพ์นักก็ด้วยเหตุนี้ มาทีไรก็ต้องเจอบรรณนาธิการจอมจู้จี้ที่มักจะพูดแต่อะไรพรรค์นี้ กวินเดาได้เลยว่าต่อไปมธุรสจะพูดอะไรต่อ “อะไรบ้างล่ะ ที่ใหม่สำหรับพี่รส”  
         “อ่า... ก็อย่างเช่น” บรรณนาธิการสาวใหญ่ตีสีหน้าชวนฝันเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “ลองนึกถึงความละมุนละไมของชีวิต ความสดใสสวยงามของโลกมนุษย์ หรืออะไรบางอย่างที่สะท้อนความหมายแห่งการดำรงชีวิตและดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง อา...”  
         “นั่นมันไม่ใช่ของใหม่เลยพี่ เก่า เก่ามาก เชยสะบัด” กวินพูดแทรก ขัดอารมณ์ชวนฝันของมธุรสจนชะงัก รู้สึกคันยิ่งนักจนไม่อาจจะฟังต่อไปได้ “แล้วอีกอย่าง พี่เองก็มีงานแนวนี้ของคุณวรรณีพิมพ์ไปตั้งเยอะแล้วนี่”  
         “ในโลกนี้ไม่มีอะไรออริจินัลหรอกจ้ะ” มธุรสพูดอย่างอดทน “จริงอยู่ว่าคุณวรรณีเธอขึ้นหิ้งไปแล้ว แต่พี่น่ะ อยากเห็นงานใหม่ จากคนรุ่นใหม่ ๆ”    
         “ในสไตล์งานแบบเก่า !” กวินพูดขัด    
         “พูดก็พูดเถอะกวิน” มธุรสเอ่ยสิ่งที่ติดอยู่ในใจของเจ้าหล่อนออกมาในที่สุด “เธอลองมองดูรางวัล...ปีหลัง ๆ ที่ผ่าน มาสิ มันน่าคิดนะว่าเธอต้องเขียนยังไง ต้องเขียนแนวไหน มันถึงจะได้รางวัล... มันชัดเจนมาก มาก ๆ ๆ เลยทีเดียว กวิน พี่จะสอนให้ เธอน่ะต้องพาตัวเองไปหารางวัล...นะจ๊ะ  ไม่ใช่ว่าอยู่เฉย ๆ แล้วรอให้กรรมการมาเปิดกะลาเจอเธอเองน่ะ มันไม่ได้”  
         “ผมเข้าใจครับ” กวินตอบไปอย่างระอิดระอา “รางวัล...น่ะมันเนื้อเกรดเอ กินทั้งชาติก็ไม่หมด ได้มาทีนึง ต่อไปแค่เขี่ยหมึกเล่นก็ยังขายงานได้ แต่...” กวินถอนใจอีกครั้ง ก่อนจะพูดต่ออย่างชัดถ้อยชัดคำ “...ผมทำไม่ได้จริง ๆ ครับพี่”  
         “โธ่... กวิน” มธุรสยังคงไม่หมดความพยายาม “เธอเคยลองแล้วหรือถึงรู้ว่าทำไม่ได้”  
         “พี่รสครับ” กวินอธิบายอย่างอดทน “ประเด็นอยู่ที่ว่า ตอนนี้ผมกำลังจะขายนามปากกาตัวเองในไสตล์อะไร คนจะอ่านงานกวิน เขาน่าจะคาดหวังว่ากวินจะต้องหนักแน่นและเสียดแทง งานเล่มใหม่ที่ออกมาต้องพัฒนาในด้านความแรงและล่อแหลมให้มันมากขึ้นไปอีก ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ก็มาเพ้อฝันฝักใฝ่ความดีงาม ถามจริง ๆ นะครับพี่รส พี่ว่ามันไม่เป็นการเสียเวลาหรือ และมันไม่เสี่ยงเลยหรือกับการที่ผมต้องไปเสียเวลาเขียนงานจับฉ่าย ถ้าเกิดมันออกมาแย่ นักอ่านใหม่ก็ไม่ต้อนรับ นักอ่านเก่าก็หมดศรัทธา แล้วอย่างนี้สิ่งที่ผมสร้างขึ้นมาก่อนหน้าไม่พังไปหมดหรือพี่ แล้วเดี๋ยวพองานผมขายไม่ออก พี่ก็จะพาลไม่แฮปปี้กับผมอีก”  
         “เพชรแท้น่ะเขาไม่กลัวอะไรแบบนี้หรอกโว้ย” ขจรบ่นพึมพำออกมาเบา ๆ คล้ายกับจงใจยั่วโมโห “มึงมันเพชรเก๊”  
         “หุบปากไปเลยขจร กูไม่มีอารมณ์จะเล่นกับมึงตอนนี้” กวินร้องด่า พอขจรเห็นกวินจริงจังก็เลยเงียบไป แต่ก็ปากยังขมุบขมิบเบา ๆ ในขณะที่กวินหันกลับมาคุยกับมธุรสต่อ
         “แล้วอีกอย่างนะพี่รส ซึ่งสำคัญมาก และมากที่สุด ผมไม่เก่งพอที่จะเขียนงานโกหกใครได้ มันไม่ใช่ทางของ..”      
         “งั้นคุณก็ลองเริ่มจากการช่วยฉันสิคะ” จู่ ๆ พิมก็พูดแทรกขึ้นมาหลังจากที่เงียบไปนาน  
           “อะไรนะ”กวินชะงัก หันไปหาพิม ในขณะที่มธุรสและขจรขมวดคิ้วอย่างงุนงง    
         “ก็หมายความว่า” พิมเอ่ยอย่างเชื่องช้า ทว่า ชัดเจนและแฝงด้วยความวิงวอน “คุณสามารถใช้โอกาสนี้ในการทดลองไงคะ คุณจะได้ค่าตอบแทนจากฉัน เพราะฉะนั้น มันจึงไม่ใช่การเสียเวลาเปล่า ไม่มีการพิมพ์การเผยแพร่ เพราะฉะนั้น ถ้าเขียนออกมาแล้วคุณไม่ชอบ นามปากกาของคุณก็ไม่เสียหายอะไร  ลองดูเถอะนะคะ คุณจะได้ท้าทายตัวเองด้วยไงนะคะ ช่วยป้าของฉันเถอะนะ”  
         พิมมองกวินอย่างอ้อนวอน เชื่อว่าถ้าบอกให้กราบเท้า หล่อนก็คงจะทำอย่างไม่ต้องสงสัย ท่าทางของพิมทำเอากวินถึงกับพูดอะไรไม่ออก มธุรสและขจรดูงงกับสิ่งที่พิมพูด ในขณะที่อรพรรณก็มองหน้ากวินคล้ายกับรอคำตอบ    
         “พอกันทีสำหรับวันนี้ ลาก่อนทุกคน” กวินถอนใจดังแล้วเดินหนีไปทันที    
         “นี่พูดเรื่องอะไรกันจ๊ะ” มธุรสเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย  
         “อ่อ... คือว่า...” พิมตั้งท่าจะตอบ  
         “หนูพิมจ๊ะ” อรพรรณบีบแขนพิมอย่างรุนแรงเพื่อห้ามไม่ให้พูด หัวเราะกลบเกลื่อนเล็กน้อย แล้วลากพิมเดินออกไป แต่กระนั้น สีหน้าของอรพรรณก็ปล่อยพิรุธออกมาอย่างชัดแจ้ง “ไปเถอะจ้ะ พี่หิ๊วหิว... กวิน รอพี่ด้วย แหม พี่รู้หรอกจ้ะว่าหิว ไม่ต้องรีบ”  
         ทั้งสามเดินออกไปจากสำนักพิมพ์ ทิ้งให้ขจรและมธุรสมองหน้ากันงง ๆ  
         “พี่รสสนใจจะอ่านต้นฉบับของผมหรือยังครับ คือมันเป็นงานเกี่ยวกับ...”  
         “ซื้อกาแฟให้พี่แก้วนึงนะขจร จำได้ใช่ไหม กาแฟดำไม่ต้องใส่น้ำตาล เทไซรัปมาสักค่อนแก้วก็พอ ขอเข้ม ๆ” มธุรสพูดสั่งแล้วเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว  
         “จัดไปครับ” ขจรยิ้มให้มธุรสที่เดินหนีเข้าห้องไป แล้วจากนั้นก็เบือนสายตาผ่านประตูกระจกไปยังลิฟต์ของตึก เห็นว่ากวิน อรพรรณและพิมกำลังเดินเข้าลิฟต์ไปพร้อม ๆ กัน กวินยังคงดูมีท่าทางหงุดหงิดงอแงไม่เลิก ส่วนพิมก็ดูจะพยายามขอโทษกวินอยู่อย่างนั้น โดยมีอรพรรณเป็นตัวไกล่เกลี่ย    
         ขจรมองตามทั้งสามไปด้วยสายตาคมกริบ คล้ายกับมั่นใจว่าทั้งสามจะต้องมีความลับอะไรสักอย่างอยู่แน่ และถ้าเป็นเช่นนั้น ก็นับว่าเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องเปิดโปงให้ได้ !

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-10-2010 20:01:11 โดย kranwa »

mecon

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless - UPDATE 09/01/2010 ลงแล้ว 5 ตอน
«ตอบ #13 เมื่อ09-01-2010 15:55:05 »

เป็นเรือ่งที่แปลกแหวกแนวมากๆ ด้านความคิด ทัศนคติ มุมมองแล้วก็ภาษาอ่ะนะคะ
แรงได้ใจจริงๆ สุดยอดดดดดดดดดดดดดด
กวินนี่โคดจะเป็นมนุษย์จริงๆคนนึงเลยนะ ไม่สนใจใคร ไม่หยิบยื่น
ไม่ทำในสิ่งที่สังคมเรียกว่า ต้องพึ่งกระทำ แหมมันแรงเข็ดฟันจริงๆ
“เป็นเครื่องยืนยันนะว่าต่อให้โลกมันระยำแค่ไหน แทนที่คนจะเข้มแข็ง
แต่คนโดยมากก็ยังยินดีที่จะทำตัวอ่อนแอ หนีความจริง เสพแต่งานโหยหากำลังใจ”

>> สุดยอดดดดดดดดดด เหมือนในยุคนึงที่มีแต่ละครเพ้อฝัน มอมเมาให้ชาวบ้านได้ดู
เพื่อให้ลืมเลือนสถานการณ์บ้านเมืองที่โหดร้าย ป่าเถื่อน
คนพวกนั้นหลุดพ้นจากภาวะไร้ค่าของคืนนี้แล้ว ในขณะที่กวินยังไม่
>>ภาวะไร้ค่าของกวินเนี่ย .......นิยามมันช่างแรงขาดใจจริงๆถึงว่า ขจรมันถึงได้ไล่ให้ไปตรวจเอดส์
สองคนนี่ปากคอจัดจ้านจริงๆ ด่ากันไปยัง คำสุภาพแต่แสบไปยันกระดูก
"เขาไม่ใช่มนุษย์ผู้โชคดี ดังนั้น แม้การจะทำตัวเองให้ดูดีก็ยังต้องพยายาม"
>> เอิ๊ก อันนี้เจ๋งอ่ะคะ ชอบๆๆๆ ต้องพยายามแม้กระทั้งให้ดูดี
"สาดอัตลักษณ์ใส่คนอ่าน แล้วสร้างมายาคติผิด ๆ”
>>คำศัพท์โคดสวยหรูแต่ แหลกไม่ได้ สมองต้องสังเคราะห์กี่รอบฟ่ะเนี่ย

หนูพิมกล้าตรบคุณกวินแบบนี้อ่ะ แรงเกินไปหน่อยรึป่าว มาขอให้เค้าช่วย
แต่ก็มาตรบเค้าซะงั้นถึงกวินมันจะปากเสียจาบจ้วงผู้หลักผู้ใหญ่ก็เหอะนะ
แล้วนี่จะทำงานกันได้มั๊ยเนี่ย
ปล. +1 จัดให้คะ แปลกแหวกแนว ภาษาเริ่ดดดดดดด อ่านแล้วคัน เจ็บๆแสบๆแต่จริงใจอ่ะ
พระเอกยังไม่มารึคะ ใครกันจะมาปราบกวินได้ อยากรู้ว่าจะปราบเด็กดื้อยังไง
ทัศนคติในการมองโลกก็นะ จะดำไปไหน  :เฮ้อ:
ขอถามนิดนะคะ โกสต์ไรเตอร์ !!!! คือไรอ่ะคะ มันออกแนว นักเขียนเงารึป่าว
มันแปลตรงตัวมั๊ย  :m23:

สู้ๆคะ  o13
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-01-2010 16:17:00 โดย mecon »

kranwa

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless - UPDATE 09/01/2010 ลงแล้ว 5 ต$
«ตอบ #14 เมื่อ09-01-2010 16:20:35 »

ตอบคุณ mecon ครับ


โกสต์ไรเตอร์ก็เรียกกันตรงตัวเลยครับ ว่านักเขียนผี แหะ ๆ ๆ


ก็คือนักเขียนตัวจริงที่เขียนเรื่องแทนอีกคนน่ะครับ อย่างเช่นหนังสือบางเล่มของดาราบางคนที่บอกว่าเขียนเอง ๆ บางทีเค้าอาจจะไม่ได้เขียนเองครับ แต่จ้างให้โกสต์ไรเตอร์เขียนให้ ประมาณนั้นครับ


ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ

mecon

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless - UPDATE 09/01/2010 ลงแล้ว 5 ต$
«ตอบ #15 เมื่อ09-01-2010 16:23:04 »

อ้า เข้าใจกระจ่างแจ้งก็วันนี้คะ  :m23:
ขอบคุณคะ เป็นกำลังใจให้  o13

ออฟไลน์ zolof26

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +268/-0
Re: Hopeful & Hopeless - UPDATE 09/01/2010 ลงแล้ว 5 ต$
«ตอบ #16 เมื่อ09-01-2010 16:41:04 »

เอา...... โล่ห์พระราชทานไปเลย.....
สำนวนสวยมั่กๆ
เวอร์จริงจัง 
น่าติดตามมมม

k[1mE]:D

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless - UPDATE 09/01/2010 ลงแล้ว 5 ต$
«ตอบ #17 เมื่อ09-01-2010 18:17:55 »

ภาษาดีมากกๆเลย  อ่านเพลิน แต่จุกทุกคำเลย

สะท้อนใจคนในยุคปัจจุยันเลยทีเดียววว

นายเอกแรงได้ใจ จะมีเพิ่งดีกรีความแรงกว่านี้อีกไหมเนี้ยย

รู้สึกก็ได้ว่ามองโลกในมุมกลับมากๆ ทำให้เห็นถึงความเห็นแก่ตัวในบุคคลต่างๆ

อยากเห็นพระเอกว่าจะเป็นเช่นไรที่จะมาปราบได้สำเร็จ

อ่านๆไปคงติดแน่ๆเลย

 :L1: :L1: :L1:

thomaskung

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless - UPDATE 09/01/2010 ลงแล้ว 5 ต$
«ตอบ #18 เมื่อ10-01-2010 00:47:41 »

เกริ่นมาอย่างแนบเนียน และดูเหมือนว่าเรื่องกำลังจะเข้าสู่ประเด็นแล้ว

ความดื้อรั้นที่มีอยู่ในใจนั้น ไม่รู้ว่าวันไหนจะเสื่อมคลาย

kranwa

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 19/01/2010 ลงแล้ว 6 ต&#
«ตอบ #19 เมื่อ19-01-2010 00:44:13 »

ขอโทษที่หายไปนานครับ ต่อไปจะพยายามลงให้เร็วขึ้นครับ

------------------------------------

6
    

    “คุณป้าป่วยอยู่ได้สักพักแล้วล่ะ”

    พิมเอ่ยขึ้ยด้วยเสียงสั่นเครือ คล้ายกับพยายามอย่างยิ่งที่จะเค้นเอาคำพูดต่าง    ๆ นา ๆ ออกมา

    ภายในโถงทางเดินอันเงียบสงัดและฉุนไปด้วยกลิ่นยา กวินมองผ่านกระจกเล็ก ๆ ของบานประตูจ้องเข้าไปยังภายในห้องแคบ ๆ อรพรรณและพิมยืนอยู่ข้าง ๆ มองเข้าไปด้านในเช่นกัน มองเห็นวรรณีในสภาพที่แทบจะตรงกันข้ามไปกับภาพที่เห็นบนทีวีเมื่อเช้าราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ กวินจำได้ว่าวรรณีในรายการสัมภาษณ์ดูเป็นหญิงกลางคนที่แลดูอวบอิ่ม เป็นเจ้าของใบหน้าและรอยยิ้มอันแสนหวานชวนให้ผู้พบเห็นรู้สึกสดชื่นและสบายใจ แต่งกายด้วยชุดผ้าไหมแสนสวยมากด้วยสง่าราศี แต่ภาพที่เห็นตอนนี้กลับเป็นหญิงแก่ที่แลดูมากไปด้วยความทุกข์ ซูบผอม และปราศจากรอยยิ้ม อยู่ในชุดคนไข้ซึ่งนั่งอยู่บนเตียง หล่อนกำลังจดจ่อกับการเขียนงานบนกระดาษ เขียนแล้วก็ขยำมันทิ้งอยู่อย่างนั้น ไม่สนใจสิ่งใดรอบข้าง เหล่าพยาบาลพยายามจะให้ทานยาแต่หล่อนก็ดื้อ เกรี้ยวกราดใส่พวกหล่อนอย่างกับคุมสติไม่อยู่

    “มันเริ่มมาจากการที่วันนึงคุณป้าคิดจะเขียนงานชิ้นสุดท้าย” พิมเล่าต่อ พยายามที่จะระงับการสะอึดสะอื้น “ป้าดูมุ่งมันกับมันมาก บอกอยู่เสมอว่ายุคสมัยของแกกำลังจบ เลยอยากทิ้งทวนชีวิตนักเขียนด้วยงานชิ้นสุดท้ายที่ดีที่สุด แต่สิ่งที่ฉันเห็นคือคุณป้าดูจะไม่ไหวเอาเสียแล้ว ป้าหมกมุ่นอยู่กับการจะเขียนงาน ซึ่งดูเหมือนจะไม่โลดแล่นเท่าที่ควร วัน ๆ นึงป้าจะทำได้แค่จับปากกานั่งนิ่งอยู่กับโต๊ะ เขียนอะไรไม่ออก บางคราวก็เอาแต่นั่งเหม่อออกไปที่หน้าต่าง ฉันเอาอาหารมาให้ก็ไม่สนใจ”

    พิมถอนใจยาว อรพรรณเดินไปบีบมือหล่อนเพื่อให้กำลังใจ ก่อนจะเล่าต่อ

    “บางทีอาจจะเพราะป้าแกแก่มากแล้ว แกบ่นเสมอค่ะว่าสมองคนแก่ช่างเชื่องช้า ไม่โลดแล่นผาดโผนเหมือนพวกหนุ่มสาว แต่ในขณะเดียวกัน คุณป้าก็แพ้ภัยตัวเอง บางคราวแกบอกฉันว่า แกอยากจะให้งานชิ้นสุดท้ายของแกเป็นงานที่จริงจังและจริงใจที่สุด แต่ในบางคราว แกก็กังวลกับกรอบและมาตรฐานบางอย่าง แกบอกว่าแกเป็นคนมีชื่อเสียง ถึงยังไงแกก็จมไม่ลง ไม่อยากจะเขียนงานชุ่ย ๆ ออกมาให้โดนวิจารณ์ทางลบ รู้ไหมว่าบางวันแกก็ได้แต่เขียนงานแล้วขยำกระดาษทิ้งเป็นว่าเล่น บางทีก็เดินงุ่นง่านไปมา ฉันว่าป้าสับสน กดดัน และเครียดเอามาก ๆ ฉันอยากให้ป้าเลิกเขียนงานนี่เสีย แต่ป้าก็มุ่งมั่นจนฉันไม่กล้าพูดอะไร”

    พิมเบือนหน้าหนีเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่หยุดเล่าเรื่อง

    “จนวันหนึ่ง เมื่อสักสองเดือนก่อน ป้าก็ปลุกฉันตั้งแต่เช้ามืด ท่าทางของป้าเหมือนเสียสติ แกถามหาว่าต้นฉบับของแกหายไปไหน ฉันเดินไปที่ห้องทำงาน ก็เห็นว่าต้นฉบับของป้าวางอยู่บนโต๊ะ ฉันหยิบให้แก ปรากฏว่าแกก็คลั่งขึ้นมาเสียอย่างนั้น ฉีกต้นฉบับพวกนั้นทิ้งหมด แกบอกว่าแกไม่มีทางเขียนอะไรงี่เง่าพรรค์นั้นออกมาแน่” คราวนี้เองที่พิมเริ่มจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว “แต่นั่นน่ะมันต้นฉบับของป้าจริง ๆ นะ ฉันสาบานได้ ฉันว่าป้าของฉันเครียดจนสติไม่อยู่กับร่องกับรอย ฉันเลยให้ยานอนหลับ พอวันต่อมาป้าก็เป็นปกติ ลืมทุกอย่าง กลับมาเริ่มต้นเขียนงานใหม่”

    “ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรมาก” กวินถามออกไปอย่างสงสัย “แล้วทำไมถึงกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ”

    “ประเด็นคือว่า” พิมพยายามจะอธิบาย “พอวันต่อมา ป้าก็จำเรื่องราวในวันก่อนไม่ได้ หมอบอกว่าคุณป้า...”

    พิมชะงักไปเล็กน้อยเหมือนสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่งกับสิ่งที่กำลังจะพูด ในขณะที่กวินจ้องตาพิมอย่างคาดคั้นรอคอยคำตอบ

    “คุณป้าอาจจะเป็นอัลไซเมอร์...” พิมถอนหายใจหนักหน่วง “ความทรงจำระยะสั้นของป้ามีปัญญา คุณป้าจะลืมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันไปหมด แต่ปัญหาคือถึงแม้ความจำจะเลอะเลือน แต่ป้าไม่ลืมเรื่องการเขียนงานชิ้นสุดท้ายเลย แถมความมุ่งมั่นในการเขียนงานสุดท้ายของป้ามันก็ไม่เคยจะลดลง ในทุก ๆ วัน... ป้าจะตื่นขึ้นมาแล้วเริ่มเขียนงานใหม่ตั้งแต่ต้น และพอวันต่อมา ป้าก็จะลืมว่าเมื่อวานตัวเองเขียนอะไรไป พอเอาให้อ่าน ป้าก็ไม่เชื่อว่านั่นคือสิ่งที่ตัวเองเขียน ป้าก็เลยเริ่มเขียนใหม่อีก เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เกือบเดือน ป้าเข้าใจไปเองว่างานของแกไม่คืบหน้า ในขณะที่เวลาล่วงไปเยอะแล้ว ป้าเริ่มเครียด และกดดันมากขึ้น บางคราวก็โวยวายอาละวาด น่ากลัวมาก ป้าไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ตั้งแต่เด็กจนโต ป้าไม่เคยเกรี้ยวกราดใส่ฉันมาก่อน จนวันนึง... ไม่ว่าใครก็เอาไม่อยู่...”

    พอหญิงสาวร่างผอมพูดจบ นักเขียนดังในห้องผู้ป่วยก็เริ่มอาละวาดหนักขึ้นเพราะเหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังจะโดนจับฉีดยา หล่อนกำกระดาษและปากกาไว้แน่นในมือ ราวกับหวงแหนมันนักหนา วรรณีคลุ้มคลั่งจนพวกพยาบาลและหมอต้องกรูกันเข้าไปช่วยเพื่อฉีดยาให้ได้ พิมพูดต่อไม่ได้อีกแล้วเพราะร้องไห้ อรพรรณเข้าไปโอบพิมไว้ แล้วพูดต่อแทน         

    “หนูพิมเลยอยากให้แกช่วยไง คุณวรรณีปฏิเสธงานเขียนของตัวเอง เพราะฉะนั้นบางที ถ้าแกเขียนงานให้ คุณวรรณีเธออาจจะดีขึ้นก็ได้”

    “ผมไม่เข้าใจ” กวินพูดสวนไปโดยอัตโนมัติ “มันจะดีขึ้นได้ยังไง”

    “อ้าว...” อรพรรณร้อง “ก็บางทีถ้าคุณวรรณีแกอาจจะเชื่อก็ได้นี่ว่างานที่แกเขียนน่ะคืองานของเขา”

    “บ้าหรือพี่” กวินโวยวายออกไปอย่างไม่เข้าใจ “มัน.... มันเป็นไปไม่ได้ ผมกับคุณวรรณีเนี่ยนะ ไม่มีทางเลย ต่างกันแทบจะเป็นเมฆกับโคลน”

    กวินผ่อนลมหายใจ พยายามที่จะประคับประคองสติ แล้วหันไปพูดกับพิมอย่างใจเย็น

    “ทำไมคุณไม่ลองหาคนอื่นล่ะ มีนักเขียนเยอะแยะที่เดินรอยตามป้าของคุณ อย่างเช่น..”

    “รู้อะไรไหมคะ” พิมแทรก “ตอนช่วงที่ป้ายังปกติ ป้าอ่านงานของคุณทุกเล่ม”

    “อะไรนะ”

    “ป้าบอกว่าคุณน่ะเขียนดี แม้ว่าบางครั้งดูจะเจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจไปหน่อย ฉันก็ไม่คิดอะไรมาก แต่พอช่วงที่ป้าเริ่มจำอะไรไม่ได้ รู้ไหมคะ...หนังสือบางเล่มของป้า ปกก็แปะชื่อป้าอยู่ทนโท่ ป้ายังบอกว่าไม่ได้เขียน แต่กับหนังสือของคุณ ป้าบอกว่าป้าเป็นคนเขียนเอง แต่ใช้คนละนามปากกา ดูสิ ป้าเข้าใจผิดไปได้ถึงขนาดนั้น”

    “นี่ไม่ได้เล่นมุกใช่ไหม”

    “จนทุกวันนี้ป้าก็ยังเชื่ออยู่ว่าหนังสือห้าเล่มของคุณเป็นผลงานของแก” หลานสาวของนักเขียนดังยืนยันและยืนกราน “แปลกนะคะ ขนาดงานที่ตัวเองเขียนกับมือเมื่อวาน แกยังขยำทิ้ง แต่กับงานคุณ.....” 
 
    พิมนิ่งไปหนึ่งอึดใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ “นี่ทำให้ฉันเชื่อค่ะ ว่าคุณน่าจะช่วยป้าฉันได้”

    “แต่ผมก็ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนอยู่ดี”

    “ป้าจดไอเดียคร่าว ๆ เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ไว้ในไดอารี่ คุณเริ่มจากตรงนั้นได้ค่ะ”

    กวินถอนใจ พูดอะไรไม่ออก มองเข้าในห้องของวรรณี เริ่มรู้สึกสงสารและสะท้อนใจขึ้นมาอย่างประหลาด อะไรกันหนอที่ทำให้คน ๆ หนึ่งเขียนงานคนกลายเป็นแบบนี้ หรืออาจจะเพราะการที่นักเขียนอยู่กับโลกส่วนตัวมากเกินไปจะส่งผลเสียในระยะยาวแบบนี้น่ะหรือ ไม่น่าเลย ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย สาเหตุอะไรกันหนอที่ทำให้คนปรกติคนหนึ่งซึ่งเขียนงานออกมาเป็นร้อยเล่มต้องมีสภาวะแบบนี้ในบั้นปลาย

    น่ากลัวอะไรเช่นนี้

    “เอาจริง ๆ ผมสะเทือนใจนะ ผู้หญิงคนหนึ่งเขียนงานจนเป็นบ้า บางทีผมอดคิดไม่ได้ว่าตัวผมเองก็อาจจะกลายเป็นแบบคุณป้าคุณเข้าสักวันหนึ่งก็ได้ แต่..”.

    กวินเงียบเสียงของตัวเองลง ตอนนี้วรรณีเริ่มสงบแล้ว แต่ในมือของหล่อนยังกำปากกาไว้แน่น ในหัวเตียงของหล่อนมีหนังสือของกวินทั้งห้าเล่มวางอยู่ กวินนิ่งมองอยู่นานเหมือนคิดว่าจะเอายังไงดี จนสุดท้ายก็ตัดสินใจ

     “ผมช่วยไม่ได้จริง ๆ” กวินตอบไปอย่างเด็ดเดี่ยว “มันยากไป ผมไม่เก่งขนาดนั้น”

     ดูเหมือนพิมผิดหวังกับคำตอบของกวินอย่างเห็นได้ชัด กวินเบือนหน้าหนี ไม่กล้าสบตากับหล่อน ราวกับกลัวที่จะมองเห็นสายตาของความสิ้นหวัง เขาทนไม่ได้ เพิ่งจะรู้ตัวเดี๋ยวนั้นนั่นเองว่าเขาเป็นคนที่ไม่อาจจะทนอะไรแบบนี้ได้ เมื่อโสตประสาทได้ยินเสียงถอนใจที่ผสมกับสำเนีนงสะอื้นไห้ดังจากพิม กวินก็ทนไม่ได้ ตัดสินใจเดินหนีไปทันที

    “กวิน เดี๋ยวสิ !” อรพรรณร้องเรียกไว้

    “อ่อ... แล้วอีกอย่าง” กวินหันกลับมาพูด “ผมเขียนงานด้วยไมโครซอฟต์เวิร์ด ไม่เคยจับปากกา ดังนั้น ผมจึงไม่สามารถปลอมลายมือของป้าคุณได้แน่นอน”

    เมื่อกวินเดินจากไปในลักษณะที่มั่นใจได้ว่าจะไม่เดินหวนกลับมา อรพรรณกับพิมสบตากัน จากนั้น หญิงสาวร่างผอมก็ใช้ความพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะเรียกร้องความเห็นใจจากผู้หญิงอีกคนที่สูงวัยกว่า

    “ช่วยพูดกับเขาให้ฉันหน่อยเถอะนะคะพี่พรรณ นะคะ”

    “พี่ขอโทษจริง ๆ ค่ะ ถ้าเจ้าตัวยืนกรานแบบนี้ พี่ก็คงช่วยไม่ได้จริง ๆ” อรพรรณถอนใจ ไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่มองหน้าพิมเป็นเชิงขอโทษ แล้วเดินตามกวินไป เหลือพิมยืนอยู่คนเดียว พิมกอดอก ยกมือกุมขมับ มองเข้าไปในห้องของวรรณี เหมือนกำลังเครียดกับหนทางข้างหน้าว่าจะเอายังไง จากนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

    “ไอ้กวินมันเกรียน” ขจรว่าด้วยเสียงดังลั่น พร้อม ๆ กับเดินเข้ามาหา “ก็ไม่เห็นต้องปลอมลายมือเลย ก็แค่คุณโกหกป้าคุณว่า คุณเอาต้นฉบับลายมือของป้าไปพิมพ์ให้ ถ้าป้าคุณจะเชื่อเสียอย่าง ยังไงก็เชื่อ”

    พิมหันไปมองตามเสียง เห็นขจรเดินออกมาจากมุมทางเดินใกล้ ๆ คล้ายกับว่าเขาได้ยืนแอบฟังมาตั้งแต่ต้น ในขณะที่พิมยังงุนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก ขจรเดินมาประชิดตัว ยักคิ้วหลิ่วตาให้ราวกับสนิทสนมกันเสียเต็มประดา

    “...เนอะ คุณเพ็ญ”

    “พิมค่ะ” หญิงสาวพูดแก้

    “อ่อครับ...” ขจรแสยะยิ้มให้ “คุณพิม”

    ขจรกดมือถือโทรออก ยังคงไม่เลิกแสยะยิ้มให้พิม พร้อมกับที่นัยน์ตาตวัดมองเข้าไปในห้องวรรณี ยิ้มมุมปากอย่างสาแก่ใจ ไม่สนใจว่ากำลังถูกหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงข้ามมองมาอย่างงง ๆ

    “สวัสดีครับพี่รส” ขจรเดินหนี พร้อมกับกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ ด้วยเสียงที่ดังลั่นก้องกังวานไปทั่วโถงทางเดินของโรงพยาบาล ไม่สนใจว่าจะมีคนหันมามอง

    “ผมมีเรื่องที่อยากจะบอกให้พี่รสรู้ครับ สำคัญสิครับ สำคัญมาก”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-10-2010 16:43:24 โดย kranwa »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 19/01/2010 ลงแล้ว 6 ต&#
« ตอบ #19 เมื่อ: 19-01-2010 00:44:13 »





mecon

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless - UPDATE 19/01/2010 ลงแล้ว 6 ตอน
«ตอบ #20 เมื่อ19-01-2010 00:58:43 »

ขจร....นี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจจริงๆ

ส่วนโรคอัลไซเมอร์........อีกหน่อยคุณป้าของพิมอ่ะ
ทำจำไม่ได้แม้กระทั่งว่า...จะจับปากกายังไง เฮ้อเรื่องโรคร้ายนี่น่ากลัว
แต่จะให้กวินฝืนใจทำเพราะสงสาร..มันก็ไมใช่ตัวตนของเค้าอีก
จะเอาความสงสารมาแลกกับจิตวิญญาณของเค้า เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา
ในการตัดสินใจอ่ะนะ ต่อให้มีคนตื้อเข้ามากๆก็เหอะ ...

สู้ๆคะ +1
ปล.บอกวันอัพเดท แก้ไขในทู้แรก หน้าแรกเท่านั้นนะคะ  อิอิสู้ๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-01-2010 01:49:11 โดย mecon »

kranwa

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 21/01/10 ลงแล้ว 7 ต$
«ตอบ #21 เมื่อ21-01-2010 15:34:25 »

7

ความจริงไม่น่าจะเป็นเรื่องยากที่กวินจะใช้ชีวิตไปให้หมดแต่ละวัน ๆ ด้วยอะไรที่ซ้ำซาก ดูจะเคยชินด้วยเสียซ้ำ โดยเฉพาะในเวลาเช่นนี้ที่เพิ่งจะลุล่วงงานไปได้หนึ่งชิ้น กวินมีเวลาเหลือเฟือที่จะใช้ชีวิตแกน ๆ โดยไม่ต้องมีอะไรมาให้รกสมอง ดูหนังคนเดียว เดินเล่นอย่างไร้จุดหมายในศูนย์การค้าที่เต็มไปด้วยผู้คนที่พูดคุยด้วยไม่ได้เลยสักคน ออกกำลังกายในฟิตเนสอย่างบ้าคลั่งด้วยความลุ่มหลงว่าร่างกายของตนเองยังคงดูดีไม่น่าเกลียด และสุดท้าย ก็ไม่พ้นที่จะจบวันด้วยมีอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ กับชายหนุ่มในห้องซาวน่าในเวลาและโอกาสอันพอเหมาะพอเจาะและลงตัว ประเภทที่ว่าสุขสมกันอย่างลับ ๆ และรีบ ๆ แล้วจากนั้นก็ไม่ต้องมองหน้า แล้วพูดจาอะไรกันอีก

    นี่คือชีวิตแกน ๆ ของกวินที่ดำเนินไปอย่างแกน ๆ บางคราวมันอดจะที่น่าสมเพชไม่ได้กับตัวเองที่จะต้องหัวเราะร้องไห้คนเดียวในโรงหนังเหมือนคนบ้า พบหนังจบก็รีบปรับอารมณ์ให้ราบเรียบแล้วเดินดุ่ย ๆ ออกจากโรง ต้องถามตัวเองว่าเสื้อแบบไหนเหมาะหรือไม่เหมาะกับตัวเองเพราะไม่มีใครให้ถาม ซึ่งเอาเข้าจริงก็ตอบตัวเองไม่เคยจะได้ เสื้อผ้าบางตัวซื้อมาก็ไม่กล้าใส่ หรือบางตัวลองใส่ได้ครั้งเดียวแล้วพอเจอสายตาขบขันของคนอื่น ๆ ก็พานใส่ไม่ลง กวินไม่อยากจะยอมรับนักหรอกว่าเสียเซลฟ์ง่ายนักหนากับเรื่องพวกนี้ แต่มันก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธยาก

    ที่อัปลักษณ์ที่สุดคงเป็นเรื่องหลัง การมีอะไรกับคนแปลกหน้าและแปลกที่ ความจริงเรื่องแบบนี้มันคงสวยงามและน่าลิ้มลองก็ต่อเมื่อได้ปรากฏอยู่ในเซ็กซ์สตอรี่ก็เท่านั้น ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะกวินเลี่ยนกับมันหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เอาเข้าจริง ถ้าใครได้มาประสบจะรู้ว่าความน่าเมามันในกามารมณ์ทั้งหลายทั้งแหล่ที่เกย์ร่ำร้องกันนั้น มันก็เพียงแค่ความใฝ่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ อันไร้เดียงสาที่ไม่ต่างอะไรกับเด็กสาวกะโปโลเพ้อถึงรักแรก นอกเหนือไปจากนั้น การมีอะไรกับคนแปลกหน้าก็ไม่ได้นำไปสู่อะไรที่ยิ่งใหญ่หรือดีกว่าเลยสักนิด เซ็กซ์ก็คือเซ็กซ์วันยังค่ำ มีแต่เด็กอายุสิบสองเท่านั้นแหละที่ควรจะเชื่อว่าเซ็กซ์กับใครสักคนอาจจะกลายเป็นรัก ประเภทว่าลองกันสักครั้งแล้วติดใจจนกลายเป็นรักแรกพบแบบนิยายทั้งหลายแหล่ เพ้อเจ้อ ! กวินผ่านความโง่เขลาเช่นนั้นมาแล้ว จึงรู้ตัวว่าการมีอะไรกับใครสักคนนั้นก็ไม่ได้จะมีแก่นสารไปมากกว่าการปลดปล่อยความใคร่ให้เสร็จสรรพไปอย่างแกน ๆ เหมือนการช่วยตัวเองที่โลดโผนพิสดารไปอีกขั้นก็เท่านั้น

    เป็นชีวิตแกน ๆ ที่แสนจะอัปลักษณ์และน่ารังเกียจ แต่ทั้งหมดนี้ก็ล้วนเป็นภาวะจำยอมในฐานะมนุษย์เดินดินทั้งสิ้น กวินจึงทำใจให้ยอมรับกับมันไปอย่างโดยง่าย ไม่คิดจะหวังอะไรไปมากกว่านี้ ในโลกอันโหดร้ายและบูดเบี้ยว การหวังต่อสิ่งใดมาก ๆ นั้นถือเป็นวิสัยของคนโง่ และกวินก็เข็ดขยาดเสียนักกับความผิดหวัง

    แต่วันนี้กลับต่างออกไป ชีวิตแกน ๆ ของกวินถูกรบกวนด้วยสิ่งแปลกใหม่ที่เขาเองไม่ใคร่จะอยากครุ่นคิดถึงมันเลยสักนิด ไม่เข้าใจด้วยว่าเหตุใดมันถึงได้กลับมารบกวนห้วงความคิดของเขาอยู่ได้ กวินอยากจะให้ความมั่นใจแก่ตัวเองว่าวรรณี วรรณรัตน์หาได้สมควรจะมามีความสำคัญและมามีความเกี่ยวข้องอันใดกับชีวิตของเขาไม่ ยายพิมผู้ผอมเก้งก้างคนนั้นก็เช่นกัน ไม่ใช่แก่นสารอันใดที่เขาจะต้องไปใส่ใจ เพราะไม่ได้อยู่ในฐานที่กวินจะทำอะไรได้ด้วย การที่นักเขียนแก่คนหนึ่งเป็นอัลไซเมอร์และใกล้จะเป็นโรคประสาท ที่ถึงแม้คนใกล้ตัวจะเชื่อลม ๆ แล้ง ๆ ว่ากวินสามารถเป็นฮีโร่ช่วยหล่อนได้ แต่ในพื้นของความจริง... กวินทำอะไรได้เช่นนั้นหรือ?

    ไม่ได้... เขาทำอะไรไม่ได้เลย

    แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงสลัดมันไม่หลุด ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเรื่องราวต่าง ๆ นา ๆ จึงยังดังซ้ำซากในไปมาในหัวสมอง ทำไมถึงมัวแต่เห็นภาพความคลุ้มคลั่งอันน่าสมเพชของหญิงกลางคนผู้นั้นและอดจะหดหู่ไปด้วยไม่ได้ และที่สำคัญที่สุดคือไม่เข้าใจว่าทำไมชะตากรรมถึงยังเล่นตลก ให้เขาพบเจอแต่ใบหน้าของวรรณี วรรณรัตน์เสียตลอดทั้งวัน ทั้งจากโปสเตอร์ขนาดใหญ่จากร้านหนังสือ รายการเมื่อเช้า แล้วไหนจะยังพบคนอ่านหนังสือของเจ้าหล่อนมากมายนับได้ถึงเกือบจะสิบคน !

    เรื่องบ้าบอโดยแท้

    กวินกลับมาถึงตอนโดตอนเกือบจะสี่ทุ่ม เดินอย่างเหนื่อยล้าเข้ามาในลอบบี้แล้วกดลิฟต์รอ คิดในใจว่าเรื่องบ้าบอทั้งหลายจะต้องจบลงในไม่ช้านี้ กวินเชื่อหมดใจว่าถ้าได้อาบน้ำแล้วนอนพักผ่อนยาวนานจนถึงรุ่งสาง ทุกสิ่งอันเกี่ยวเนื่องกับวรรณี วรรณรัตน์จะหลุดกระเด็นออกไปจากหัว เชื่อว่าตัวเองคงจะไม่เผลอไผลหมกมุ่นกับเรื่องนี้อีกแล้วในวันข้างหน้า กวินเชื่อเช่นนั้นโดยที่ไม่ระแวงในชะตากรรมเลยสักนิด

     “หวัดดีคับพี่” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นข้าง ๆ หู ทว่า มันดูเป็นความคุ้นเคยอันน่าหวาดผวา ก่อนที่กวินจะได้หวาดผวาเอาจริง ๆ เมื่อหันไปมองว่าเสียงใคร

    ระหว่างที่ลิฟต์ยังมาไม่ถึงเสียที เจ้าเด็กหนุ่มที่ตื่นจากเตียงของกวินเมื่อเช้าก็เดินตรงมาถึงลิฟต์เสียก่อน มองหน้ากวินด้วยสายตาจริงจังจนกวินอดที่จะรู้สึกระแวงไม่ได้

    “มีอะไรหรือ” กวินถามออกไปอย่างหวาด ๆ

    เด็กหนุ่มถอนใจ ไม่ตอบ กวินพยายามยิ่งนักจะผ่อนคลายความอึดอัด

    “โอเค ถ้าเมื่อเช้าทำให้โกรธก็ขอโทษนะ แต่...”

    “รู้ป่ะ...” เด็กหนุ่มวัยสิบหกเอ่ยแทรกขึ้นมาทันท่วงที ทั้ง ๆ ที่กวินยังพูดไม่จบ “จริง ๆ ผมก็แค่อยากรู้จักพี่”

    เงียบ

    “ผมเห็นพี่ไปเที่ยวคนเดียวตลอด นั่งที่เดิมแทบจะทุกวัน ผมแอบมองพี่มานานแล้ว แต่....ไม่กล้าไปคุย”

    กวินชะงักไปอย่างจริงจัง ยิ่งโดยเฉพาะมองเห็นแววตาแปลกประหลาดที่ไม่คาดคิดมาก่อนจากดวงตาของเด็กหนุ่มตรงหน้า ชะงักไปชั่วคราว ก่อนจะร้องถามออกไปด้วยเสียงราบเรียบ       

    “แล้วไง?”

    ราวกับทุกอย่างพังทลาย เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจอย่างขุ่นเคือง

    “ก็ไม่แล้วไงหรอก จะบอกว่าถ้าพี่ไม่อยากคุยกับผมก็ไม่เป็นไร ผมไม่อยากคุยกับพี่แล้วก็ได้”

    “ดี !”

    ลิฟต์เปิดพอดี กวินตั้งท่าจะเดินเข้าลิฟต์ แต่เด็กหนุ่มร่างใหญ่คว้ามือเขาไว้ก่อน

    “แต่มีคน ๆ นึงที่ยังอยากคุยกับพี่ แล้วพี่ก็จำเป็นต้องคุยกับเขาด้วย”

    กวินมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างุนงง ไม่เข้าใจในรอยยิ้มเยาะเย้ยที่ถูกส่งมา ไม่ทันให้กวินได้ตั้งตัว เด็กหนุ่มหันหน้าไปด้านนอก แล้วตะโกนเรียกเสียงดัง

    “แม่ !”

    กวินเบิกตาอย่างตกใจ แต่ไม่ทันจะได้ทำอะไร ผู้หญิงวัยกลางคนท่าทางโทรม ๆ  ก็หันมาตามเสียงเรียก หล่อนรีบขานรับ ทิ้งบุหรี่ในมือ แล้วเดินบิดเข้ามาอย่างทันทีทันใด เซเล็กน้อยเหมือนพวกขี้เหล้า หล่อนแต่งกายด้วยเสื้อสายเดี่ยว กางเกงขาสั้น ไม่ค่อยสมกับวัยและรูปร่างสักเท่าไร แต่งหน้าจัดมาก กวินทั้งงงและตกใจ และอดที่จะตัดสินไม่ได้ว่าลักษณะท่าทางของหญิงสาวที่เด็กหนุ่มเรียกว่าแม่นี่มันช่าง... โสเภณีชัด ๆ

    “ผมก็ทำตามอย่างที่พี่บอกไง” เด็กหนุ่มยิ้มยียวนจนน่าหมั่นไส้ “เอาไปบอกแม่ทุกอย่างเลย แต่แม่ผมไม่เห็นจะเพิ่มค่าขนมให้เลยอ่ะ แถมยังด่าผมเสีย ๆ หาย ๆ อีก”

    “มึง...” เป็นอีกครั้งของวันนี้ที่กวินรู้สึกจุกและชาจนคิดคำด่าไม่ออก ผิดกับอีกคน ผู้ซึ่งเดินเข้ามาประชิดกวินอย่างรวดเร็วแล้วพูดขึ้นมาอย่างทันท่วงทีราวกับได้ซักซ้อมเอาไว้แล้วอย่างไรอย่างนั้น

    “คุณไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ฉันรู้หมดแล้วว่าคุณทำอะไรลูกฉัน”

    กวินพยายามจะอธิบายแต่ไร้ซึ่งการรับฟัง

    “โธ่ ! เขาเพิ่งจะอายุสิบหก ทำไมคุณทำลงคอ”

    “แต่ว่า...” กวินพยายามอีกครั้งที่จะไกล่เกลี่ย แต่สุดท้ายก็ต้องล้มเหลว เมื่ออีกฝ่ายโต้มาอย่างฉับพลัน

    “ห้าหมื่น ! ภายในสามวัน ไม่อย่างนั้น ฉันจะดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด”

    เด็กหนุ่มยิ้มอย่างสะใจ ในขณะที่กวินถึงกับหน้าถอดสี



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-10-2010 16:48:49 โดย kranwa »

kranwa

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 21/01/2010 ลงแล้ว 7 ต&#
«ตอบ #22 เมื่อ21-01-2010 23:08:30 »

*** **** **** ***** *****

    ราวกับถูกดูดพลังออกไปจากตัวจนไม่เหลือสิ่งใด กวินรู้สึกว่านี่เป็นความซวยอีกครั้งหนึ่งของชีวิตที่ชะตากรรมอันเน่าหนอนชักจูงมันมาให้เขาได้พบเจอ

    ห่วยสิ้นดี !

    กวินเดินเข้ามาในห้องอย่างอ่อนล้า เปิดไฟ โยนของทิ้งลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจและไม่สนใจ ล้มตัวนอนลงเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน เหม่อมองเพดาน ถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปวดหัวตุบ ๆ เหมือนมีใครเอาค้อนมาทุบ รู้สึกเครียดและสมเพชตัวเองอย่างถึงที่สุด

    ครุ่นคิดไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อแก้ไขสถานการณ์

    ลุกขึ้นเปิดลิ้นชักข้างเตียง หยิบสมุดบัญชีออกมาเปิดดู มีเงินเหลืออยู่ในบัญชีแค่หมื่นเดียว แต่สองคนแม่ลูกนั่นเรียกตั้งห้าหมื่น ชายหนุ่มถอนใจ ล้มตัวนอน อดไม่ได้ที่จะเอามือก่ายหน้าผากให้สมกับความเครียด รู้สึกเหมือนมีอะไรค้างคาอยู่ในกระเป๋า ลองหยิบขึ้นมาดู พบว่าเป็นนามบัตรของพิมที่ยับยู่ยี่อย่างน่าเกลียด กวินถอนใจยาว ก่อนจะโยนมันทิ้งลงพื้น

    ครุ่นคิดต่อไปว่าจะต้องทำอย่างไร

    จะหาเงินมาจากไหนได้บ้างในเวลานี้ หรือจะไม่จ่าย..... ไม่ได้ ! ไม่จ่ายไม่ได้ ถ้าเกิดฝ่ายนั้นเอาจริงขึ้นมาก็มีแต่ว่าคนที่เจ็บหนักก็คือกวินอยู่ฝ่ายเดียว อย่างไรก็ไม่ได้ การจ่ายเงินไปเสียคือวิธีที่ดีที่สุด แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าจะหาจากไหนนี่ต่างหาก

    ตัดสินใจกดโทรศัพท์หาอรพรรณ เสียงจากปลายสายดังตอบกลับมาอย่างทันท่วงที

    “สวัสดีค่ะ อรพรรณค่ะ....”

    “พี่พรรณ” กวินเอ่ยแทรกไปอย่างรัวเร็ว ด้วยความที่ลิงโลดเมื่อได้พบเจอที่พึ่ง “มีเรื่องเดือดร้อนนิดหน่อยว่ะพี่ คือว่าผมอยากจะขอเบิกเงินล่วงหน้า...”

    พูดไปได้แค่นั้น กวินก็ต้องเงียบเสียงตัวเองลง เมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปรกติ

    เสียงของอรพรรณดังจากปลายสายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพอฟังดี ๆ ก็รู้สึกได้อย่างชัดแจ้งว่าหาได้เป็นเสียงสด ๆ ไม่

     “...ตอนนี้เดี๊ยนไม่ว่างรับสาย และก็คงไม่ว่างไปเจ็ดวัน ขอโทษนะคะ.... พักร้อนค่ะ ! ไม่รับสายใด ๆ ทั้งสิ้น ! ไม่ต้องโทรมาเลยนะยะ ! ฮือ ๆ ๆ ๆ ฉันไม่มีอารมณ์คุย ฮือ ๆ ๆ ๆ โลกนี้มันแย่สิ้นดี !”

    สายตัดไปแค่นั้น แล้วตามด้วยสัญญาณฝากข้อความ กวินโทรลองซ้ำ เสียงของอรพรรณก็ดังตอบมาอย่างทันท่วงทีอีกครั้ง

    “สวัสดีค่ะ อรพรรณค่ะ..... ตอนนี้เดี๊ยนไม่ว่างรับสาย และก็คงไม่ว่างไปเจ็ดวัน ขอโทษนะคะ.... พักร้อนค่ะ ! ไม่รับสายใด ๆ ทั้งสิ้น ! ไม่ต้องโทรมาเลยนะยะ ! ฮือ ๆ ๆ ๆ ฉันไม่มีอารมณ์คุย ฮือ ๆ ๆ ๆ โลกนี้มันแย่สิ้นดี !”

    นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน ! กวินคิดในใจอย่างหงุดหงิด ผ่อนลมหายใจยาว ล้มตัวนอนอย่างหมดแรง ยกมือก่ายหน้าผาก ครุ่นคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับอรพรรณ...

    ...และครุ่นคิดต่อไปว่าเขาจะต้องแก้ปัญหาอย่างไร !


*** **** **** ***** *****


   “เกิดอะไรขึ้นกับพี่พรรณครับ”

   กวินร้องถามเสียงลั่นทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้องทำงานมธุรส บรรณนาธิการบริหารสาวใหญ่ แม้จะไม่ได้เข้ามาบ่อยนัก แต่กวินก็พอจะคาดเดาและจดจำได้ถึงรายละเอียดปลีกย่อยทั้งหลายของห้องนี้ จำได้ในฐานที่มันแปลกประหลาดและตลกสิ้นดี ห้องแคบ ๆ ที่กว้างเพียงไม่กี่ตารางเมตรประกอบไปด้วยโต๊ะทำงานเล็ก ๆ ตั้งอยู่ตรงริมหน้าต่าง ในขณะที่ผนังด้านหนึ่งถูกใช้เป็นที่ตั้งตู้ปลาขนาดใหญ่ หนูแฮมสเตอร์วิ่งร่อนอยู่ในกรงวกไปวนมาอย่างน่าปวดหัวบนโต๊ะมุมห้อง โหลปลากัดจีนสามโหลตั้งอยู่ข้างเคียง ในขณะที่ผนังอีกด้านถูกวางเป็นชั้นไม้ที่เต็มไปด้วยกระถางกระบองเพชร เรียกได้ว่าเข้ามาห้องนี้ทีไร กวินก็เป็นอันต้องรู้สึกพิลึกพิลั่นเมื่อนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไร ในวันนี้ สิ่งที่พิลึกพิลั่นที่สุดหาได้เกิดจากบรรดาสิงสาราสัตว์และพืชพรรณในห้องของมธุรสไม่ แต่มันเกิดมาจากการที่พบว่ามีขจรอยู่ในห้องนั้นด้วยต่างหาก

   พอกวินเอ่ยถามออกไปเสร็จ มธุรสกับขจรก็มองหน้ากัน พาให้กวินรู้สึกงงยิ่งนักกับท่าทางของคนทั้งคู่ จากนั้น มธุรสก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากโต๊ะ แล้วเอ่ยตอบขึ้นมาจนได้

    “คือเรื่องมันอย่างนี้จ้ะกวิน พี่รู้สึกว่าระยะหลัง ๆ พรรณอาจจะต้องรับผิดชอบอะไรหลาย ๆ อย่าง พี่ก็เลยจำเป็นจะต้องหาคนมาช่วยเขา”

    ในขณะที่กวินยังงง มธุรสก็หยุดพูด พร้อมกับปิดแฟ้มงานแล้วยื่นให้ขจร ก่อนจะสั่งการกับขจรอย่างทันท่วงที

    “เอาเป็นว่าพี่ผ่านนะ  เอาให้ฝ่ายอาร์ตทำงานได้เลย”

    “ครับพี่รส” ขจรรับแฟ้มจากมธุรสแล้วก็หันมามองกวินแบบเยาะ ๆ กวินตกใจเมื่อพอจะทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ได้บ้าง เพราะไอ้การทำอะไรแบบนี้ไม่น่าจะใช่หน้าที่ของขจรเลย หากแต่ควรจะเป็นหน้าที่ของอรพรรณต่างหาก หมายความว่ามธุรสเลื่อนตำแหน่งขจรให้เป็นบรรณนาธิการแทนอรพรรณเช่นนั้นหรือ

    “นี่พี่รสทำแบบนี้กับพี่พรรณได้ไง”

    “พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่จ๊ะ” มธุรสรีบเอ่ยแย้งอย่างรวดเร็ว “พี่ก็แค่ให้ขจรเขาช่วยพรรณเฉย ๆ แต่พรรณเขาน้อยใจหนีไปพักร้อนเอง ขจรเลยต้องทำงานแทนพรรณเขาหมดเลย”

    “พี่พรรณหนีพักร้อนหรือ”

    “ใช่จ้ะ”

    “แล้วพี่ได้ห้ามพี่พรรณหรือเปล่า”

    มธุรสกับขจรมองหน้ากัน แล้วทั้งคู่ยักไหล่ด้วยความรู้สึกไม่แยแส กวินโกรธจัด กระแทกเท้าเดินออกจากห้องไป ปิดประตูใส่ทั้งคู่อย่างแรง

    แต่แล้วแค่ประมาณสามวินาทีต่อมา กวินก็เดินกลับเข้ามาในห้องด้วยท่าทางหงอย ๆ ยิ้มให้มธุรสอย่างเจื่อน ๆ ก่อนจะเรียบเรียงคำพูดอย่างยากเย็น

    “อันที่จริงผมว่าระยะหลัง ๆ พี่พรรณแกก็เบลอ ๆ ได้คนช่วยก็ดี ส่วนขจร เราว่านายก็... พอมีความสามารถ”

    มธุรสมองกวินแบบไม่เชื่อในสิ่งที่กวินพูด ในขณะที่ขจรยิ้มเยาะ ทำเอากวินยิ่งรู้สึกเจื่อนไปกันใหญ่ ถ้าเลือกได้ กวินจะไม่มีทางยอมยืนอยู่อย่างนี้ แต่คราวนี้มันช่วยไม่ได้ สถานการณ์มันบีบคั้นจริง ๆ

    “คือว่าผมอยากจะขอเบิก....”

    “เออ นายมาก็ดีแล้ว” ขจรพูดแทรกโดยที่ไม่สนใจว่ากวินยังพูดไม่จบ “เพราะอันที่จริงฉันก็คงต้องโทรหานายพอดี เรื่องต้นฉบับของนายน่ะ ฉันกับพี่รสปรึกษากันแล้ว...”

    “อ่าฮะ”     

   “พี่คงต้องขอปัดงานนี้ไปก่อนแล้วกันนะจ๊ะ”

    “หมายความว่าไงครับพี่”

    “กวินต้องเข้าใจพี่นะ” มธุรสพยายามอธิบาย “ตอนนี้เศรษฐกิจแย่ เพราะฉะนั้นมันจึงมีปัจจัยหลายข้อที่เราต้องคิด แล้วเราก็แค่สำนักพิมพ์เล็ก ๆ ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังที่จะ...”

    “แต่พี่พรรณให้ผ่านแล้วนี่นา”

    มธุรสถอนใจ

    “พรรณพักร้อนอยู่จ้ะ”

    พอสิ้นคำประกาศิคของบรรณนาธิการบริหาร ห้องทั้งห้องมีแต่ความเงียบ กวินสบตากับขจรและมธุรส ทั้งคู่ไม่พูดอะไรได้แต่ทำสีหน้าเย็นชา ทำเอากวินโกรธจัดถึงขีดสุด เดินกระทืบเท้าออกจากห้อง กระแทกประตูปิดอย่างแรง

    “เดี๋ยวมันก็กลับมา” ขจรพูดอย่างมั่นใจ

    หากทว่า ประตูปิดอยู่อย่างนั้น ไร้วี่แววของกวิน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-10-2010 16:53:19 โดย kranwa »

mecon

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 21/01/2010 ลงแล้ว 7 ตอ
«ตอบ #23 เมื่อ21-01-2010 23:57:47 »

 :a5: o22
ไอ่เด็กนั่นแสบโคตรๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :fire: :m31: พูดง่ายๆคือ
ฟันกวินแล้วยังจะเอาเงินกวินอีก  :z6: :z6: ส่วนนังแม่ก็นะน่า :beat: :beat:
โหยยยยยยยย เงินก็ไม่มี ศักดิ์ศรีก็ค้ำคอ  :serius2: แล้วนี่พี่พรรณยังโดน
อิขจรกลั่นแกล้งอีก....สงสัยโกรธเรื่องคุณพิม อะไรนั่นรึป่าว โดนอิขจรเป่าหูแน่ๆเลยอ่ะ
ม่ายยยยยยยแล้วคราวนี้กวินจะหาเงินมาให้นังแม่ลุกนั้นได้ยังไงกันอ่ะ
จะไปขอ..คุณพิมทำเรอะ.... :serius2: คงต้องทำใจ นั่งคิดนอนคิดและกลืนน้ำลาย
ตัวเองลงคอก่อนอ่ะนะ  :เฮ้อ: สงสารกวิน
+1 คะสู้ๆๆ

thomaskung

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 21/01/2010 ลงแล้ว 7 ตอ
«ตอบ #24 เมื่อ29-01-2010 12:58:38 »

เหอ ๆ

ปวงผลอันชั่วดี ล้วนก่อเกิดแต่เหตุกรรม

Miss

ออฟไลน์ korn_ken

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 21/01/2010 ลงแล้ว 7 ตอ
«ตอบ #25 เมื่อ29-01-2010 20:04:06 »

เข้ามารอ

หวังว่าเรื่องร้ายจะค่อยๆเบาลง

 :seng2ped: :seng2ped:

kranwa

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 21/01/2010 ลงแล้ว 7 ต&#
«ตอบ #26 เมื่อ29-01-2010 22:46:04 »

ขอบคุณ คุณ mecon คุณ thomaskung คุณ korn_ken และผู้อ่านคนอื่น ๆ ทุกท่านด้วยครับที่ติดตาม

ขอโทษที่หายไปนาน (อีกแล้วครับ แหะ ๆ)

ตอนนี้ยาวนิดนึงนะครับ ^ ^




8

    หนังสือพิมพ์หัวสีขนาดใหญ่ที่พาดข่าวเด่นหรา “นักเขียนเกย์วิปริต ชำเราเด็กสิบหก” ฉบับวันนี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ผู้คนทั้งหลายต่างซื้อและสนใจประเด็นนี้กันเป็นทิวแถว ทำเอากวินถึงกับประสาทเสีย นี่ยังไม่รวมที่ว่ารูปใบหน้าของเขาที่แปะเด่นอยู่ใต้กรอบ ท่ามกลางเรื่องราวที่กำลังบานปลายใหญ่โต ขณะนี้ กวินกำลังกลายเป็นผู้ต้องหาผู้ถูกประกาศจับในฐานะอาชญากรอันเลวทราม

     ท่ามเสียงวิพากษ์หนาหู กวินพยายามจะดันแว่นกันแดดให้ปิดตาจนสนิท พร้อมกับกระชับเสื้อโค้ตตัวใหญ่ให้มิดชิดมากขึ้น ราวกับประสงค์จะซ่อนตัวเองจากสายตาสำรวจตรวจตราของผู้คนทั้งหลายแหล่ที่พยายามจะเทียบใบหน้าในรูปข่าวกับใบหน้าของเขา และเมื่อสัมผัสได้ถึงความเคลือบแคลงสงสัยจากสายตาทุกคู่อันมากขึ้นเป็นทวีคูณ กวินก็รู้สึกว่าตนเองคงจะอยู่นิ่งไม่ได้อีกแล้ว

    จากที่ตอนแรกก็แค่เดินหนี แต่ความหวาดกลัวต่อสายตาตัดสินต่าง ๆ นา ๆ ทำเอากวินรู้สึกว่าแค่การเดินอาจจะไม่เพียงพอสำหรับการหลบหนีอย่างเร็วไว ตัดสินใจวิ่ง...วิ่งออกไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ทันใดนั้น โสตประสาทของชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังอยู่ด้านหลัง ไม่ทันได้หันกลับไปมองว่าใครเป็นใคร กวินก็ถูกตะครุบร่างจนล้มกลิ้งไปกับพื้น รู้สึกได้ถึงน้ำหนักอันกดทับจากร่างสูงใหญ่ที่กำยำแข็งแรง แล้วจากนั้น ข้อมือทั้งสองข้างของกวินก็ถูกรวบแล้วใส่กุญแจมืออย่างเสร็จสรรพ

    เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างรวดเร็วและสับสน ภาพทุกภาพปรากฏอย่างงุนงงและเวียนหัว รู้อีกที กวินก็พบว่าตัวเองอยู่ในชุดนักโทษ ถูกผลักเข้าไปในห้องขังแคบ ๆ มืด ๆ ที่มีกลิ่นอับชวนให้รู้สึกคลื่นเหียน รู้สึกได้ถึงอิสรภาพที่ถูกริดลอนภายใต้ลูกกรงแน่นหนา แต่ก็กวินก็ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดเขย่าประตูเหล็กราวกับหวังว่ามันจะพังทลายลงไป แล้วสิ่งที่ตามมาจะกลายเป็นอิสรภาพ...

    ...ความหวังเลื่อนลอยที่ไม่มีวันเป็นจริง

    เสียงฝีเท้าดังกรูเข้ามาใกล้พร้อมกับเสียงแกรกกรากของโซ่ตรวน และเสียงหัวเราะแผ่วเบาจากด้านหลัง รู้สึกหวาดกลัวยิ่งนักกับเสียงอันน่าสยดสยองทั้งหมด ทำใจอยู่นานกว่าจะตัดสินใจหันไปมอง แล้วพอหันไปมองก็ยิ่งแล้วใหญ่ ภาพที่เห็นน่ากลัวกว่าเสียงที่ได้ยินนับร้อยนับล้านเท่า

    ภาพของนักโทษฉกรรจ์นับสิบที่กรูเข้ามาอย่างหื่นกระหายปรากฏแก่จักษุ ไม่ทันจะได้หายกลัวกับภาพที่เห็น นักโทษคนแรกก็กระโดดตระครุบร่างของกวินอย่างรวดเร็วและรุนแรง ไม่ทันจะได้เปล่งเสียงร้อง มันก็กดกวินแนบลงกับพื้น ฉีกเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างออกไปอย่างดิบเถื่อน ประสาทสัมผัสทั้งหลายแยกแยะอะไรไม่ได้อีกต่อไปนอกเหนือไปจากฝ่ามือหยาบ ๆ ของนักโทษนับสิบนับร้อยที่ขยุ้มร่างของเขาราวกับกำหนัดเสียเต็มประดา

    “ม่ายยยยยยยยยย !”  กวินกรีดร้องออกไปอย่างบ้าคลั่ง

    ลืมตาโพลงขึ้นมากลางดึก หอบหายใจถี่ เหงื่อแตกพลั่ก ใจยังเต้นระรัวอยู่ไม่หาย เมื่อสติสัมปชัญญะกลับมาสู่โลกแห่งความจริง ภาพอันน่าหวาดกลัวแห่งความฝันนั้นยังตามมาหลอกหลอน แต่ในส่วนลึก ก็รู้สึกโล่งใจอยู่ไม่เบาที่ความน่าสยดสยองนั่นเป็นเพียงแค่ความฝัน ใช่...เป็นแค่ความฝัน โชคดีอะไรเช่นนี้

    แต่....

    ถึงตอนนี้มันจะเป็นแค่ฝัน แต่วันหน้า มันอาจจะกลายเป็นความจริงก็ได้ ถ้าเพียงแค่เขาไม่สามารถหาเงินไปให้ไอ้เด็กนั่นได้ ถ้าเกิดมีการดำเนินคดีเกิดขึ้น ก็นับว่ามีโอกาสอยู่สูงเหมือนกันที่เขาจะต้องมีสภาพดังเช่นในฝัน

    กวินรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ขึ้นมาอย่างทันทีทันใด ภาพและเสียงอันน่าสยดสยองนั่นบังคับให้สติของกวินตื่นตัวและครุ่นคิดอย่างฉับพลันถึงอะไรสักอย่างที่ต้องทำ ไม่อาจจะปล่อยให้สถานการณ์วันหน้าดำดิ่งลงไปในทางร้ายได้โดยเด็ดขาด ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี... จะหวังเงินล่วงหน้าจากหนังสือเล่มใหม่ก็ทำไม่ได้ มธุรสกับขจรปฏิเสธที่จะพิมพ์งานนั้นไปแล้ว

    จะหาเงินจากไหนได้บ้างนะ... จะมีรายได้จากไหนได้บ้างในเวลานี้...

    มีอยู่ทางเดียว !

    หัวสมองของกวินประมวลความคิดอย่างรวดเร็วฉับไว มือนั้นไวยิ่งกว่า เอื้อมไปเปิดไฟ เปิดลิ้นชักข้างเตียงเป็นอันดับแรก พยายามที่จะค้นหาอะไรสักอย่าง แต่ก็หาไม่เจอ

    “อยู่ไหนวะ”

    หัวเสียเล็กน้อย แต่ในภาวะที่ความคิดโลดแล่นเช่นนี้ ไม่นานเท่าไรกวินก็นึกออก

     รีบเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียง ก้มดูใต้เตียงอย่างทันทีทันใด สิ่งที่ต้องการพบปรากฏแก่สายตา รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย กวินพยายามอย่างสุดความสามารถจะเอื้อมมือหยิบนามบัตรของพิมที่เขาโยนทิ้งไว้เมื่อวันก่อน แต่คล้ายกับจะเอื้อมไปไม่ถึง โชคชะตาช่างสรรหาอุปสรรคมาให้แก่ชีวิตเขาจริง ๆ ขนาดเรื่องเล็กเรื่องน้อยก็ยังไม่วาย ตัดสินใจเปลี่ยนเป็นใช้ขาเขี่ย แต่ยืดขาไปไกลเท่าไรก็ยังไม่ถึง ทุลักทุเลยิ่งนัก เปลี่ยนใจไปใช้ไม้แขวนเสื้อ แต่เอื้อมเขี่ยเท่าไรก็ยังไม่ถึงอยู่ดี จนต้องตัดสินใจมุดเข้าไปทั้งตัว จามออกมาหนึ่งครั้งเมื่อเศษฝุ่นลอยล่องเข้าโพรงจมูก พยายามอยู่พอสมควร หัวโขกอยู่สามสี่ครั้ง กว่าจะได้นามบัตรออกมาจนได้ เศษฝุ่นเศษหยากไย่ก็เกาะตามเนื้อตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า

    รีบกดโทรออกไปหาตามเบอร์ที่ปรากฏบนบัตร ผ่านไปสักพัก หญิงสาวผู้หนึ่งก็รับสายทั้ง ๆ ท่ามกลางปาร์ตี้ในบ้านที่มีเสียงเพลงดังคลออย่างสนุกสนาน และเสียงของเจ้าหล่อนก็ดูคล้ายจะเมาได้ที่

    “ฮาย เดอะ เดส เพอะ เรส ไรเตอร์”

    กวินขมวดคิ้วอย่างงุนงงกับเสียงที่ได้รับ ทั้งเสียงเพลง เสียงโหวกเหวกโวยวายอย่างสุดเหวี่ยงของคนอื่น ๆ รวมไปถึงเสียงของผู้พูดที่คล้ายจะร่าเริงอย่างถึงที่สุด

    ...ไม่น่าจะเป็นเบอร์ของยายพิมนั่นแน่ ๆ

    “เอ่อ...ขอโทษครับ โทรผิด”

    วางสายทันที ปักใจเชื่อว่าโทรผิด เขาคงจะลนลานมากเกินไปจนกดเบอร์ไม่ตรงกับบัตร ตวัดสายมองนามบัตรเพื่อจะเช็คเบอร์อีกครั้ง เทียบกับในโทรศัพท์ก็ปรากฏว่าตรง ไม่ได้มีตัวเลขไหนบิดเบือนไปเลย รู้สึกงุนงงเล็กน้อย กวินตั้งใจจะโทรหาพิมผู้ซึ่งน่าจะมีความทุกข์อยู่กับสถานการณ์ที่วรรณี วรรณรัตน์กำลังป่วยทางจิตมิใช่หรือ เสียงที่เขาได้รับควรจะเป็นเสียงอมทุกข์ของพิมที่พูดขึ้นในโรงพยาบาลอันสงบเงียบ นี่คือเสียงที่กวินคาดหวังจะได้ยินจากปลายสาย แล้วทำไมถึงกลับได้ยินเสียงขอบสาวเสียสติคนหนี่งที่กำลังคล้ายจะสนุกสนานอยู่กับปาร์ตี้

    หรือยายพิมมันจะพิมพ์เบอร์ในนามบัตรผิด? กวินครุ่นคิดอย่างมากมาย ไม่ทันได้ทำอะไรต่อ ทันใดนั้น เบอร์ที่เพิ่งโทรออกไปก็โทรกลับมาอย่างรวดเร็ว กวินถึงกับสะดุ้งตกใจเล็กน้อย ก่อนจะกดรับ

    “โทรผิดบ้าอะไรล่ะ” เสียงแว้ดขึ้นทันทีทั้ง ๆ ที่กวินยังไม่ทันจะได้พูดอะไร “ยูจะคอลหาพิม หลานสาวสุดสวยของคุณวรรณี…ไรท์ ?”

    “เอ่อ...”

    “อิทส มี !” เมื่อนั้นเองที่กวินถึงจะมั่นใจว่าคนที่กำลังพูดคุยอยู่ด้วยคือพิม หลานสาวของวรรณีจริง ๆ “วาย ยู ฟอร์เก็ท มี หา !”

    “นี่...ได้ข่าวว่าป้าป่วยอยู่ไม่ใช่หรือ” ถามไปอย่างงุนงง

    “ใช่น่ะสิ” เสียงที่ตอบกลับมาคล้ายจะเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย แต่ดูเป็นความเคร่งเครียดที่ผสมความมึนเมาเอาไว้พอสมควร “ฉันนะเป็นห๊วง เป็นห่วง”

    “อืม...ห่วงป้า แต่เหมือนว่ากำลังมีปาร์ตี้”

    “โอ้ว !” ปลายสายร้องกลับมา “ชีวิตจริงนะจ๊ะ ไม่ใช่นิยาย ไม่มีความจำเป็นที่คนเราจะต้องจมอยู่กับความรู้สึกเดียวไปตลอดเวลา ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน เมื่อเช้าฉันร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด แต่ตอนนี้ไม่ได้ละ ฉันจะต้องแฮปปี้ !”

    “เออ เชื่อเลยละ ว่าหล่อนกำลังแฮปปี้” กวินประชดไปโดยอัตโนมัติ

    จากนั้น ต่างคนต่างเงียบกันสักไปเล็กน้อย ก่อนที่พิมจะเป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นก่อนราวกับรู้ทัน

    “เปลี่ยนใจแล้วใช่ม้า”

    “อืม”

    “โอ้ว... อิทส เกรท”

    “แต่ต้องเป็นความลับนะ ไม่มีการตีพิมพ์ ไม่มีการเผยแพร่ผลงาน และ...” กวินรีบพูดออกไปอย่างรวดเร็ว “ขอเงินค่าจ้างครึ่งนึงพรุ่งนี้เลยนะ โอเคเปล่า”

    เงียบ... ไร้เสียงตอบกลับจากพิมที่เป็นคำพูดคำจา กวินได้ยินแต่เสียงครางเบา ๆ ที่ดังสอดแทรกพร้อมกับเสียงดนตรี

    “เห้ย !  นี่รู้เรื่องป่ะเนี่ย” ถามย้ำไปอีกครั้ง

    “โอเค.... อา...” พิมตอบมาด้วยเสียงกระเส่า “ไอเก็ทแล้วจ้ะ... เลิฟยู โซ มัชชช น้า เดส เพอะ เรท ไรเต้อออ... โอ้วส์...”

    พิมจ๊วบปากเสียงลั่นใส่โทรศัพท์ แล้วกดวางสายอย่างทันทีทันใด

    “อะไรวะอีนี่”

    กวินถอนใจเบา ๆ ไม่มั่นใจว่าการพูดคุยธุระสำคัญกับคนที่กำลังเมาจะได้ประสิทธิผลเต็มที่สักเท่าไร ดูสิ โชคชะตาเล่นตลกอีกแล้ว ขนาดตัดสินใจแล้วแท้ ๆ เชียว ทำไมยายพิมถึงได้เสี้ยนจะมีปาร์ตี้ในเวลาที่เขาอยากจะจริงจังด้วยนะ กวินโยนโทรศัพท์ลงบนเตียงอย่างเซ็ง ๆ ล้มตัวนอนต่อ ภายในใจนั้นเหมือนจะเครียดยิ่งกว่าเดิม

    แมวจรจัดสีดำผอมโซที่กวินเลี้ยงไว้กระโดดขึ้นมานอนบนหน้าอกของกวิน คล้ายกับต้องการจะทำหน้าที่ปลอบใจให้หายเครียด กวินลูบหัวมันอย่างอ่อนโยนอยู่สักพักคล้ายกับลืมตัว เจ้าแมวเองก็นอนเอาหัวอิงแอบกับอกของกวินคล้ายกับจะประสงค์ที่จะแบ่งปันความอบอุ่นให้กันและกัน

    แต่พอผ่านไปสักพัก เมื่อตระหนักขึ้นมาได้ กวินก็รีบปัดมันกระเด็นออกไปอย่างไม่ไยดี ไม่สนใจเสียงร้องอันเจ็บปวดของเจ้าแมวเมื่อร่างของมันกระแทกพื้น กวินคว้าผ้าห่มมาคลุมโปง ในขณะที่เจ้าแมวเดินคอตกไปนอนอยู่มุมห้องอย่างหงอยเหงา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-10-2010 16:39:21 โดย kranwa »

kranwa

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 21/01/2010 ลงแล้ว 7 ต&#
«ตอบ #27 เมื่อ29-01-2010 22:49:56 »

*** *** *** *** *** ***

    การเจรจากันตอนเมาไม่ได้แย่นักอย่างที่คิด เพราะในวันต่อมา พิมก็โทรกลับมาหากวินด้วยสติที่ครบถ้วน หลังจากที่พยายามพูดเสียงเจื่อน ๆ บอกให้เขาลืมการกระทำและคำพูดของหล่อนคืนนั้นไปให้หมด สีหน้าและน้ำเสียงของพิมดูจะอับอายเสียเต็มประดากับวีรกรรมในคืนนั้น แต่นอกเหนือไปจากเรื่องนั้นแล้ว พิมก็คล้ายกับจะดีใจอยู่ใม่น้อยกับการเปลี่ยนใจให้ความช่วยเหลือของกวิน

    หญิงสาวนำไดอารี่ของวรรณี วรรณรัตน์มาให้แก่กวินเผื่อที่ว่าเขาจะได้ใช้ประโยชน์จากมัน หลังจากที่จัดการเรื่องเงินทองและปัญหาเฉพาะหน้าเสร็จสรรพ โล่งใจได้ไม่นานกับความราบรื่นของชีวิต กวินก็ต้องพานพบกับภาระอันหนักอึ้งจากหน้าที่ที่จะต้องทำ

    การเขียนงานให้กับวรรณี วรรณรัตน์

    หนักหนาเสียเหลือเกินจนแทบจะเริ่มไม่ถูก ไดอารี่ของวรรณีที่ได้มาจากพิมไม่ได้ช่วยอะไรเลย แทบจะนับตัวอักษรในนั้นได้ เพราะส่วนใหญ่จะมีแต่รอยขีด ๆ เขียน ๆ ที่ไร้ความหมาย และรูปวาดง่อย ๆ ที่ดูจะไม่ได้สื่ออะไรเลยนอกเหนือไปจากเป็นการระบายความเซ็งและความตีบตันทางความคิดของเจ้าของไดอารี่เสียมากกว่า และถึงแม้จะมีข้อความไอเดียประปรายอยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้มากพอที่จะจับต้องกับมันได้มากมายนักเลย มีแต่ประโยคประเภท....

    “..ความดีงามในความเลวร้าย..”  - กวินอ่านแล้วรู้สึกถึงความย้อนแย้งแบบประหลาด พานนึกไปถึงปรัชญาที่ไร้คำตอบ ความเลวร้ายจะมีความดีงามได้อย่างไร นอกเหนือไปจากจะแค่พูดเอาพล่อย ๆ แบบนกแก้วนกขุนทอง

    “..ความสุขในความทุกข์..” – อันนี้ก็เหมือนกัน ดูเป็นคำสอนหลอกลวงเสียเหลือเกิน ทุกข์ก็คือทุกข์ สุขก็คือสุข คนเราเวลามีทุกข์แล้วยังบอกว่าในทุกข์นั้นคือสุข สำหรับกวินแล้ว นั่นคือภาสะองุ่นเปรี้ยวและหลอกตัวเอง

    “..ความสวยงามในความอัปลักษณ์..”  - นี่ก็อีก อะไรกัน คำสอนปลอบใจคนหน้าตาไม่ดี ?

    “..แรงบันดาลใจจากความล้มเหลว..” – เอาไว้ปลอบใจผู้แพ้สินะ ปลอบยังไงวะ ต้องล้มเหลวก่อนใช่ไหม แล้วถึงจะมีแรงบันดาลใจ งุนงงชะมัด วาทกรรมจากผู้ชนะชัด ๆ   

    “..การพ่ายแพ้ของความโหดร้าย..” – โอย... เอาเถอะ... วรรณี วรรณรัตน์ !

    นามธรรมสิ้นดี ! มีแต่สิ่งที่จับต้องไม่ได้ทั้งสิ้นในไดอารี่ของนักเขียนดัง อะไรที่ควรจะเป็นจุดเริ่มต้นของกวินล่ะทีนี้ กวินรู้สึกเหมือนตนเองจะต้องสร้างบ้านจากแบบอันเป็นอุดมคติ ส่วนที่ว่าจะต้องหาวัสดุจากไหนมาทำ หรือจะต้องเริ่มกระบวนการสร้างอย่างไร กวินแทบจะต้องคิดเองใหม่ทั้งหมด แล้วทีนี้ ความเป็นวรรณีจะเกิดขึ้นจากตรงไหน?

    กวินพยายามเปิดหนังสือของวรรณีเล่มแล้วเล่มเล่า บางเล่มเคยอ่านแล้วตอนเด็ก ๆ บางเล่มเคยอ่านไปได้สองหน้าก็วาง แต่ในช่วงเวลาเช่นนี้ กวินถึงกับอ่านมันอย่างละเอียดถี่ถ้วน อ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับต้องการจะซึมซับเอารูปแบบบางอย่างเพื่อที่จะได้ทำการคัดลอก ถ้าในเมื่อไม่มีวัสดุใหม่ ๆ ให้ ก็เห็นทีว่าเขาคงจะต้องเอารื้อวัสดุเก่า ๆ มาสร้างเสียเลย

    ได้ผลอยู่เล็กน้อย เขียนไปได้สามหน้า สุดท้ายก็ไปต่อไม่ได้อีก

    ไม่รู้ว่าติดอยู่กับอะไร

    เวลาผ่านไปเกือบสามวันกับความคืบหน้าอันน้อยนิด กวินรู้สึกเครียดและบีบคั้น จะไม่ทำก็ไม่ได้ เงินรับมาแล้ว แถมยังใช้ไปแล้วอีกต่างหาก

     หยิบไดอารี่ของวรรณีมาเปิดอีกครั้ง เจอกระดาษแผ่นเล็ก ๆ สอดแทรกเอาไว้ เป็นข้อความที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขียนไว้ว่า

    “...ความหวังที่แท้จริง จะต้องไม่นำไปสู่ความสิ้นหวัง...” 

    กวินถึงกับเครียดมากกว่าเดิม อยากจะบ้าตายกับวาทกรรมของวรรณี วรรณรัตน์เอาเสียจริง !


***** ****** ****** ********

   กวินยืนจุดบุหรี่ที่ระเบียง เหม่อมองบรรยากาศรอบกรุงเทพยามค่ำคืน สายตาเหม่อลอย สมองครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด รู้สึกว่าเหนื่อยล้าราวกับจะไปต่อไม่ค่อยไหว ในใจรู้สึกเหงาและสับสนอย่างบอกไม่ถูก เหมือนอยากจะพูดคุยกับใครสักคน แต่ก็คิดไม่ออกว่าควรจะคุยกับใคร

    เขาไม่มีเพื่อนมากนัก

    ยกมือถือขึ้นมา กดไล่ดูเบอร์ไปทีละเบอร์ ชั่วขณะหนึ่ง กวินเลื่อนลงมาที่เบอร์ของแม่ รู้สึกว่าไม่ได้คุยกับครอบครัวมานานมากแล้ว แวบหนึ่งนั้นทำท่าเหมือนจะกดโทรหา แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ การพูดคุยกับครอบครัวไม่น่าช่วยอะไรหรอก กวินรู้ดีว่าตนเองไม่สนิทกับครอบครัวมากขนาดนั้น

    บางคราวสถานภาพทางเพศก็เป็นตัวกำหนด การเกิดและเติบโตในครอบครัวปรกติธรรมดา มันก็อดไม่ได้ที่กวินจะรู้สึกไปเองว่าคนไม่ปรกติเช่นเขาคงไม่สามารถจะเป็นลูกชายที่ดีตามมาตรฐานของพ่อแม่และสังคมรอบข้างของพ่อแม่ได้ นานวันเข้า กวินเอาตัวออกห่างจากครอบครัวมากขึ้นทุกขณะ   

    กดเลื่อนไปเบอร์ต่อไป เพื่อนบางคนก็พอจะพูดคุยกันบ่อย แต่ก็ไม่สนิทใจที่จะระบายอะไรให้ฟัง เลื่อนไปเรื่อย ๆ บางทีก็เป็นเบอร์ของคนไม่รู้จัก กดไล่ไปเรื่อย ๆ จนมาถึงเบอร์ของอรพรรณ หล่อนเป็นคนเดียวที่กวินรู้สึกว่าการพูดคุยจะมีประโยชน์มากที่สุด แต่นั่นแหละ อรพรรณกำลังเสียใจ ไม่รู้ว่าจะเปิดเครื่องหรือยัง

    แต่ไม่ว่าอย่างไร กวินก็ตัดสินใจโทรหาอรพรรณอยู่ดี โดยไม่คาดคิด อรพรรณรับสายอย่างรวดเร็ว

    “งาย... กวิน”

    “ตอนนี้อยู่ไหนเนี่ยพี่พรรณ” กวินถามอย่างกระตือรือร้น ดีใจอย่างมากที่สามารถติดต่อกับเจ้าหล่อนได้

    “พี่อยู่เกาะช้างจ้ะ มากับครอบครัว” เสียงของอรพรรณดูร่าเริงกว่าที่คิด “รู้ไหม พี่กินกุ้งทุกวันจนขี้จะขึ้นไปอยู่บนหัวอยู่แล้ว”

    “นี่พี่โอเคแล้วใช่ไหม กับเรื่องทั้งหมด”

    อรพรรณถอนใจยาว ก่อนจะตอบออกมา

    “ใช่...ตอนนี้โอเคแล้ว แต่ตอนแรกนะ ยอมรับว่าพี่ไม่โอเคเลย แล้วก็โกรธมากด้วย กล้าดียังไง พี่รสถึงทำกับพี่แบบนี้ แถมยังเอาคนอย่างนายขจรมาแทรกแซงพี่ พี่ยิ่งรับไม่ได้” เสียงของอรพรรณขาดห้วงไปเล็กน้อย “แต่ก็เถอะนะ... นี่แหละนะชีวิต บางทีเราจะมัวเอาแต่ตัวเองเป็นศูนย์กลางอย่างเดียวไม่ได้หรอกเนอะ พอปล่อยวางบ้างอะไรบ้าง ทุกอย่างมันก็โอเคขึ้นจนได้”

    “ดีจังที่พี่ทำได้” กวินแค่นหัวเราะเล็กน้อย

    “แล้วแกล่ะเป็นไง” อรพรรณถาม “มีปัญหาอะไรงั้นหรือ”

    “พี่รสปฏิเสธงานผมว่ะพี่ และ... ผมก็ยังทำใจให้โอเคกับมันไม่ได้”

    “ต้องพยายามว่ะ” อรพรรณแนะ “เชื่อพี่ แกต้องพยายามปล่อยวางมันไปให้ได้ ลองถอยออกมาหนึ่งก้าว แล้วมองอะไรให้รอบ มองอย่างสงบนะ อย่าใช้อารมณ์ อาจจะช่วยให้แกเข้าใจอะไร ๆ ได้มากขึ้นก็ได้นะกวิน”

    กวินไม่ได้สนใจจะคิดตามสิ่งที่อรพรรณพูดเท่าไรนัก เพราะในหัวมัวแต่หมกมุ่นกับปัญหา

    “ตอนนี้ผมรับปากเขียนงานให้คุณวรรณีแล้วนะพี่”

    “งั้นหรือ” เสียงของอรพรรณดูจะลิงโลดเล็กน้อย “ดี ๆ ลองดู”

    “แต่เขียนไปได้สามหน้าเอง ไปต่อไม่ไหวแล้วว่ะพี่ เขียนงานมา ผมไม่เคยถูกให้โจทย์ พอมาเจอโจทย์ ก็ดันเป็นโจทย์ยาก”

    “ยังไง”

    กวินถอนใจยาวก่อนจะอธิบายอย่างยากลำบาก

    “รู้สึกว่าคุณวรรณีแกอยากจะเขียนเกี่ยวกับความหวังอันแท้จริง เหมือนประมาณว่า ความหวังของชีวิตที่จะไม่นำไปสู่ความสิ้นหวังทางจิตวิญญาณ... อะไรก็ไม่รู้”

    “พี่เชื่อว่าแกสามารถทำความเข้าใจและตอบมันได้นะกวิน”

    “ผมตอบไม่ได้อ่ะพี่” กวินยืนกราน “เพราะมันเป็นโจทย์ที่มีคนตรวจ ผมถูกโรคกับอะไรแบบนี้เสียที่ไหน ขนาดทำข้อสอบผมยังไม่เคยได้เอเลยสักครั้ง” 

    “นั่นเพราะแกตอบไม่ได้หรือเพราะแกไม่อยากตอบ” อรพรรณถามอย่างรู้ทัน

    กวินนิ่งไปเล็กน้อย เหมือนจะลองครุ่นคิดและถามตัวเองอย่างจริง ๆ จัง ๆ

    “โอเค เผิน ๆ แล้วเหมือนผมไม่ค่อยอยากตอบ แต่มาคิดดูดี ๆ แบบเอาจริง ๆ เลยนะ” กวินผ่อนลมหายใจอีกครั้ง “ผมตอบไม่ได้ต่างหาก”

    “แกมันชอบทำตัวขวาง” อรพรรณว่า “รู้ไหมกวิน พี่ว่าแกเป็นฉลาด แล้วก็ไม่ใช่คนใจแคบ พี่เชื่อว่าคนอย่างแกน่ะมีคำตอบมากมายอยู่ในใจ และไม่ว่าแกจะเจอโจทย์แบบไหน หรือคนตรวจประเภทไหน แกจะสามารถเลือกเอาคำตอบในใจมาตอบได้ถูกทางเสมอ แกอย่ายึดติดเอาแต่ว่าจะต้องตอบให้ถูกสิ ลองเปลี่ยนมาเป็นตอบให้เหมาะดู เอาคำตอบเหมาะ ๆ ที่ซ่อนอยู่ออกมาให้ได้สิกวิน เชื่อพี่เถอะว่ามันมี”

    “โธ่พี่... ผมไม่ใช่พวกกั๊กคำตอบหรอกนะ” กวินพยายามจะอธิบาย “ถ้ามันมีคำตอบจริง ๆ ผมก็ใช้ไปแล้ว ประเด็นคือผมหาคำตอบไม่ได้จริง ๆ เอาเถอะ บางทีผมอาจจะคิดมากไป”

    กวินเพิ่งมารู้ตัวในตอนนั้นว่าตนเองกำลังจริงจังกับการเขียนงานชิ้นนี้แทบจะประหนึ่งเป็นงานตัวเอง นี่กระมังที่เป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมด

    “นั่นสิ คิดเยอะไปทำไมวะ งานเราก็ไม่ใช่ ก็แค่งานที่เขาจ้างให้เขียนแทนคนอื่น เผยแพร่หรือเปล่าก็ไม่ ผมคิดเยอะเกินไปจริง ๆ ผมคงต้องพยายามให้มากกว่านี้ คงถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องยอมรับ แล้วเริ่มหลอกตัวเองให้ได้สักที โอเค ต่อไปนี้ผมจะคิดน้อย ๆ” 

    อรพรรณแค่นหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ

    “อย่าพยายามเลย ยอมรับเถอะว่าแกมีจิตวิญญาณ แกจริงจังและให้ความสำคัญกับสิ่งที่ทำเสมอ พี่รู้...แกหลอกตัวเองให้หยาบ คิดอะไรน้อย ๆ ไม่ได้หรอก พี่ไม่เห็นคุณสมบัติข้อนี้ในตัวแกเลยสักนิดเดียว นี่ไม่ใช่คำชมนะ แค่บอกเฉย ๆ ว่าแกเป็นคนยังไง”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-10-2010 16:41:13 โดย kranwa »

kranwa

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 21/01/2010 ลงแล้ว 7 ต&#
«ตอบ #28 เมื่อ29-01-2010 22:58:11 »

 ***** ****** ****** ********

    เวลาหัวค่ำ กวินเปิดประตูเดินเข้าไปในห้องเล็ก ๆ อันเงียบสงัด ใจของกวินยังคงจดจ่อและหมกมุ่นกับบางสิ่งบางอย่างแบบที่ไม่อาจจะสลัดมันหลุดออกไปได้ง่าย ๆ เดินก้าวเข้าไปในห้อง สายตาจับจ้องไปยังเตียงนอนที่โยงระยางสายน้ำเกลือที่ตั้งอยู่มุมห้อง ร่างของหญิงชรานอนหลับสนิทอยู่บนเตียง

    กวินเดินไปจนชิดกับเตียง สายตาเพ่งมองไปยังหญิงชราที่ดูเหมือนกำลังมีความสุขในห้วงนิทรา วรรณี วรรณรัตน์ในยามนี้ดูคล้ายจะกลับมาเป็นคนเดิมอย่างที่เห็นในโทรทัศน์และในสื่อต่าง ๆ ทั่วไป ต่างจากตอนเมื่อหลายวันก่อนอย่างลิบลับ ตอนที่เจ้าหล่อนเกรี้ยวกราดอาละวาดกับนางพยาบาลอย่างกับไร้สติ แทบจะเป็นคนละคนเลยทีเดียว

    ในยามหลับ หญิงชรากลับมามีเค้าของความอบอุ่น เปี่ยมเมตตา และมากไปด้วยแววแห่งการมีความสุขกับชีวิตอย่างล้นเหลือ สิ่งที่ยืนยันได้ก็คือรอยยิ้มน้อย ๆ ที่ระบายออกมาตลอดเวลา ราวกับในโลกแห่งความฝัน เจ้าหล่อนคงกำลังเจอแต่เรื่องดี และมีแต่ความสุขสมหวัง

    คนผู้นี้คือวรรณี วรรณรัตน์ ผู้ซึ่งใช้เวลาทั้งชีวิตในการสร้างสรรค์ผลงาน เขียนงานมาทั้งชีวิตโดยที่ไม่เคยทำอะไรอื่น นักอ่านมากหน้าหลายตาจากรุ่นสู่รุ่นล้วนอ่านงานของเธอ และคงมีไม่น้อยที่ได้รับความหวัง ความฝัน พลังใจ และความหมายดี ๆ ของชีวิตจากปลายปากกาของเจ้าหล่อน... ไม่มากก็น้อย

    กวินผ่อนลมหายใจอย่างหนักหน่วง ใครหนอจะรู้บ้างว่าหญิงชราผู้เป็นนักจุดประกายความฝันชั้นเยี่ยมกำลังมีสภาพน่าอดสูเช่นไรในยามนี้ กวินตวัดสายตาที่หัวเตียง กระดาษเอสี่สามแผ่นที่บรรจุตัวอักษรมากมายอยู่ในนั้นเด่นชัดอยู่ในตำแหน่งที่คล้ายกับจะให้หญิงชราหยิบง่ายที่สุด และดูจากร่องรอยก็พบว่าเจ้าหล่อนคงหยิบมาดูอยู่บ่อยครั้ง กวินถอนใจอีกคำรบ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ 

   “ผมตัดสินใจเขียนงานให้คุณก็เพราะความจำเป็นบังคับ ตอนแรกผมกะจะไม่คิดมาก จะไม่ทุ่มเท คิดว่าเขียนไปมั่ว ๆ เอาแค่ให้เสร็จ รับเงินแล้วก็จบ แต่...” กวินรู้สึกติดขัดในคำพูด “แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรเกิดขึ้นกับผม อยู่ดี ๆ ผมก็รู้สึกว่าต้องครุ่นคิดจริงจังกับความเชื่อของคุณเสียอย่างนั้น ต้องสวมบทบาทเป็นคุณ ต้องเชื่อให้ได้อย่างคุณ ไม่อย่างนั้นจะเขียนไม่ได้ ผมมันบ้าฉิบหายเลย”

    วรรณียังคงไม่รู้สึกตัว กวินจึงพูดต่อไป พูดช้า ๆ เหมือนอยากจะให้เข้าไปในโสตประสาทของวรรณีในทุกถ้อยทุกคำ

    “ถึงจุดนี้ผมถอยกลับไม่ได้แล้ว ยอมรับว่าผมเป็นคนคิดมาก แล้วเวลาจะคิดอะไรก็อยากจะคิดให้ออก เอาจริง ๆ นะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ผมก็คงเป็นผมต่อไป คงไม่ต้องหาเรื่องใส่ตัวมาคิดอะไรยุ่งยากแบบนี้ เพราะฉะนั้นคุณต้องรับผิดชอบ คุณต้องชี้ทางให้ผม ทำให้ผมเข้าใจคุณให้ได้ คุณเชื่ออะไรของคุณ แล้วเพราะอะไรที่ทำให้คุณเชื่อแบบนี้” กวินเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “ความหวังของคุณกับของผมไม่เหมือนกัน ผมเชื่อว่าชัยชนะคือความหวังที่จะไม่นำไปสู่ความสิ้นหวังใด ๆ อีก แต่คุณคงคิดไปอีกแบบ ผมเชื่อว่าการหลอกตัวเองด้วยอุดมคติ บิดเบือนความเลวร้ายต่าง ๆ ด้วยสายตาของการมองโลกในแง่ดีมันเป็นอะไรที่สิ้นหวังมาก มันไม่อยู่กับความจริงและไม่นำไปสู่ความหวังอะไรเลย แต่คุณคล้ายกับจะบอกกลาย ๆ อยู่เสมอว่าการไร้ซึ่งอุดมคติต่างหากที่สิ้นหวังอย่างแท้จริง ระหว่างคุณกับผม งานของใครให้ความหวังหรืองานของใครที่สิ้นหวัง คุณเชื่อเสมอว่าความดีงามจะชนะความหยาบกระด้าง แต่ผมไม่เชื่อเด็ดขาด อะไรคือเหตุผลของคุณ... บอกผมที ไม่เอาแบบกำปั้นทุบดินนะ ผมไม่ชอบ”

    วรรณีหลับสนิท กวินไม่แน่ใจนักว่าคำพูดของเขาได้เข้าไปสู่ความนึกคิดของเจ้าหล่อนบ้างไหม หรือแค่ลอยไปมาอย่างไรแก่นสารแล้วสลายหายไป

    “หรือว่าความจริงคุณก็แค่เขียนไปงั้น ๆ เห็นว่าเขียนอะไรแบบนี้แล้วขายดีก็เลยเขียน หรือว่าคุณก็แค่เขียนไปมั่วซั่ว ไม่ได้จริงจังกับความเชื่อ หรือคิดมากกับสิ่งที่เขียนเท่าไหร่ ไม่เคยพิสูจน์ ไม่เคยให้ความสำคัญกับมันเลย” กวินมองหญิงชราอย่างคาดคั้น ก่อนจะผ่อนลมหายใจยาว “ไม่หรอกมั้ง คุณไม่น่าจะเป็นแบบนั้น... ใช่ไหม โธ่...ลุกขึ้นมาบอกผมทีว่าผมควรจะทำยังไง”

    พิมเปิดประตูเข้ามา ขัดจังหวะการพูดของกวิน หล่อนยิ้มให้ชายหนุ่ม ก่อนจะเดินมายืนข้าง ๆ

    “คุณป้าเชื่อสนิทใจเลยค่ะ ว่างานที่คุณเขียนเป็นของแก เห็นไหมคะ มันน่าจะสำเร็จได้ด้วยดี”

    “แค่สามหน้านะครับ ห่างจากคำว่าสำเร็จอยู่ไกล พูดตรง ๆ นะ ผมไม่มั่นใจเลย” เสียของกวินแผ่วเบาลงโดยที่ไม่รู้ตัว “บางที ผมอาจจะทำต่อไม่ได้ก็ได้

    “อย่าคิดอย่างนั้นสิคะ” พิมพยายามที่จะให้ความหวัง

    “คุณต้องเข้าใจนะว่ามันยาก” กวินพยายามจะอธิบายถึงสถาวะบีบคั้น “เอาจริง ๆ ผมไม่สามารถเป็นแบบป้าของคุณได้หรอก”

    “ฉันก็ไม่ได้บอกให้คุณเป็นแบบคุณป้านี่นา”

    กวินถอนหายใจ รู้สึกเครียดมากกว่าเดิม พิมทำท่าจะพูดอะไรอีกสักอย่าง แต่แล้วก็เงียบไป เหมือนหญิงสาวจะจับความรู้สึกของกวินได้ หลังจากนิ่งไปสักพัก พิมก็เอ่ยแนะนำขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

    “เดินทางสิคะ”

    “หือ?” กวินขมวดคิ้วแน่น งงว่าพิมพูดคำนี้ออกมาทำไม

    “ก็ฉันเห็นพวกนักเขียนชอบทำ เวลาที่เขียนไม่ออก”

    “นักเขียนที่ไหน”

    “อ้าว... แล้วเวลาเขียนไม่ออกคุณทำไง” พิมเริ่มจะขมวดคิ้วบ้าง

    “ก็... อยู่เฉย ๆ”

    “ไม่เดินทาง?”

    “ผมไม่อินดี้”

    “เออเนอะ อันที่จริง ฉันก็ไม่เคยเห็นป้าของฉันเดินทางเหมือนกัน แกก็นั่งอยู่แต่กับบ้าน” พิมหัวเราะเจื่อน ๆ ก่อนจะโน้มน้าวขึ้นมาอีก “แต่ฉันว่ามันช่วยนะ อย่างน้อยคุณน่าจะลอง”

    “ผมไม่รู้จะไปไหน”

    พิมทำท่าครุ่นคิด

    “ขึ้นเหนือไหมล่ะ เออ ! คุณไปที่บ้านพักของคุณป้าที่แม่ฮ่องสอนสิ ป้าชอบไปที่นั่นบ่อย อากาศดีนะ ธรรมชาติก็สวย”

    กวินส่ายหน้าโดยอัตโนมัติ แต่พิมเองก็คล้ายว่าจะไม่ยอมแพ้

    “เอาน่า ลองเปลี่ยนบรรยากาศ เผื่ออะไร ๆ จะดีขึ้น”

    “ผมคงไปไม่ถูก” กวินแก้ตัวไปแบบกำปั้นทุบดิน “ผมเดินทางไม่เก่งด้วย”

    “เดี๋ยวพาไปค่ะ”

    “ไม่เอา”

    “ไปเถอะ ฟรีนะ”

    “ไม่”

    “น่านะ”

    “เออ ก็ได้ ถ้าฟรี”

    “ดีมาก น่ารักที่สุด”

    อันที่จริง กวินก็สนใจอยู่ไม่น้อยหรอก แต่ด้วยความเคยชินที่ไม่ค่อยชอบจะทำตามคำแนะนำของใครเท่าไร จึงได้ตั้งท่าปฏิเสธไปเช่นนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไร พิมก็ดูจะไม่เหน็ดเหนื่อยเอาเสียเลยกับการโน้มน้าว แววตาเซ้าซี้อันมากพลังของเจ้าหล่อนที่มองมานี่เองที่ทำให้กวินยอมตกลงได้ในที่สุด ไม่เกี่ยวกับว่าฟรีไม่ฟรี !
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-10-2010 16:42:11 โดย kranwa »

kranwa

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 21/01/2010 ลงแล้ว 7 ต&#
«ตอบ #29 เมื่อ29-01-2010 23:04:59 »

***** ****** ****** ********

    “เสร็จหรือยัง!”

    เสียงของพิมเร่งเร้าผ่านปลายสาย ในสองวันต่อมาซึ่งได้นัดหมายเอาไว้ว่าจะเป็นวันเดินทาง “รถจะไปถึงหน้าคอนโดเธอแล้วนะ”

    “เสร็จแล้ว เดี๋ยวลงไปรอ” กวินตอบอย่างลน ๆ ก่อนจะรีบวางสาย จัดการให้อาหารแมว แล้วทิ้งถุงอาหารไว้ข้าง ๆ หวังว่าความฉลาดในหารเอาตัวรอดของเจ้าแมวจรจัดจะมีมากพอที่มันจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เพียงลำพังในระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในห้อง กระเป๋ายังปิดไม่สนิทดีนัก กวินรีบคว้าข้าวของบางชิ้นใส่ลงไปในกระเป๋าอย่างลนลาน ทำทุกอย่างแบบรีบ ๆ แต่กระเป๋าเจ้ากรรมก็ปิดยากเหลือเกิน กว่าจะเรียบร้อยแล้วเสร็จ เวลาก็ผ่านไปแบบปาไปเกือบสิบห้านาที ก่อนจะออกจากห้อง มันก็อดไม่ได้ที่กวินจะต้องสำรวจตัวเองในกระจกอีกครั้ง พยายามเอามือปัดผมให้เป็นทรง พร้อมกับจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง แต่ก็รู้สึกว่ามันเข้าที่เข้าทางยากเหลือเกิน แถมผมก็ยังยุ่งไร้ระเบียบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หาความดูดีในตัวเองไม่ได้เลย

    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เหมือนจะดังอย่างเกรี้ยวกราด กวินลนจัดมากยิ่งขึ้น คว้ากระเป๋าวิ่งออกจากห้อง วิ่งไปกดลิฟต์ก่อนแล้วจึงรับโทรศัพท์

     “โอเค ๆ เสร็จแล้ว” ไม่รอให้อีกฝ่ายพูด รีบแก้ตัวอย่างรวดเร็ว “กำลังจะลงไป เสร็จแล้วจริง ๆ เอาน่า ไม่เกินห้านาทีจริง ๆ”

    “เร็ว ๆ สิ ช้ามากแล้วนะ” พิมโวยวายกลับมา

    สามนาทีต่อมา กวินเดินกึ่งวิ่งออกจากลิฟต์ตรงล็อบบี้ ในมือยังคงถือโทรศัพท์ ทุลักทุเลและไม่ค่อยจะถนัดนักเพราะกระเป๋าพะรุงพะรังไปหมด แถมไม่ทันไรก็รู้สึกว่าเหงื่อเริ่มจะโทรมกายเอาเสียแล้ว

     “ลงมาแล้ว รถจอดอยู่ไหนนะ”

    “ด้านหน้าเลย แคมรี่สีดำ”

    “โอเค ๆ งั้นวางแล้วนะ”

    กวินเดินออกมาด้านหน้า หันซ้ายหันขวามองหารถของพิม เห็นแคมรี่สีดำคันใหม่เอี่ยมจอดอยู่ริมถนน กวินเดินปรี่ไปอย่างรวดเร็ว ในใจคิดสรรหาคำที่จะแก้ตัวต่อหญิงสาว

    ดูเหมือนว่ารถของพิมจะติดฟิล์มกรองแสงเสียจนเข้มมาก มองไม่เห็นด้านในเลยแม้แต่น้อย กวินกำลังจะเอื้อมมือเปิดประตู แต่แล้วฝากระโปรงด้านหลังก็เปิดออกอย่างทันทีทันใด กวินจึงเดินอ้อมเอากระเป๋าไปไว้หลังรถ แล้วจากนั้นก็เดินกลับมาเปิดประตูแล้วขึ้นไปนั่งอย่างรวดเร็ว ด้วยความรีบและลนลานบวกกับรู้สึกผิดที่ตัวเองชักช้า ทำให้กวินไม่ได้สังเกตอะไรทั้งสิ้น รีบเปิดประตูแล้วนั่งลงบนเบาะอย่างรวดเร็ว ปิดประตูเสร็จสรรพ ไม่กล้าจะมองหน้าคนขับเพราะกลัวสายตาโวยวายของเจ้าหล่อน รีบพรั่งพรูคำพูดออกมาก่อนอย่างรวดเร็ว

     “ขอโทษจริง ๆ ที่สาย.. คือแบบว่า..... เห้ย !

    กวินตกใจอย่างสุดขีด เมื่อหันไปหาแล้วพบว่าคนขับไม่ใช่พิม ไม่ใช่หญิงสาวผอมแห้งไฮเปอร์น่าหัวเราะผู้นั้น แต่กลับกลายเป็นชายหนุ่มร่างสูง เห็นหน้าไม่ชัด เพราะเจ้าตัวสวมแว่นกันแดด สัมผัสได้แต่โครงหน้าที่ค่อนข้างจะชัด แก้มตอบ ผมสั้นสีดำสนิทที่ผ่านการเซ็ตมาเป็นอย่างดี นอกจากแว่นกันแดดที่เสริมบุคลิกแล้ว รูปร่างหน้าตาของชายหนุ่มผู้นี้ดูจะโดดเด่นด้วยรูปร่างสมส่วน รวมถึงผิวที่ขาวมากตัดกับรอยสักสีดำบนแขนซ้ายที่โผล่ออกมาให้เห็นจากแขนเสื้อโปโล บวกกับต่างหูเท่ ๆ และสร้อยคอแฟชั่นแบบผู้ชาย

    ชายหนุ่มหันมามองกวินผ่านแว่นกันแดดอันปกปิดแววตา กวินเดาเอาว่าตาของเขาคงจะมีแววสงสัยมากมายพอดู ในขณะที่กวินรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า และอยากจะเอาหน้ามุดดินลงไปเป็นอย่างยิ่ง หรือถ้าหายตัวไปได้ตอนนี้เลยยิ่งดี

    นี่ไม่ใช่รถของพิม? เขาขึ้นผิดคัน?

    บ้าบอคอแตกที่สุด เซ่อซ่าอะไรอย่างนี้ !

    “เอ่อ...” กวินรีบหลบสายตา รู้สึกเก้อและอับอายอย่างถึงที่สุด “ขอโทษครับ พอดีขึ้นผิดคัน”

    ตั้งท่าจะเปิดประตู อยากจะลงจากรถอย่างรวดเร็ว อาจจะด้วยความอับอายขายขี้หน้าอย่างมากที่สุดในชีวิต มือของกวินสั่นเทาเล็กน้อยจนเอื้อมไปแตะประตูได้อย่างยากเย็น ทันใดนั้น...

    กริ๊ก !

    คนขับหนุ่มกดล็อกประตูอย่างทันทีทันใด ทำเอากวินงงเป็นไก่ตาแตก ไม่ทันที่กวินจะตั้งตัว คนขับก็เข้าเกียร์พุ่งรถออกไปทันที หลังของกวินกระแทกเบาะอย่างแรง แคมรี่สีดำขับออกถนนไปอย่างรวดเร็ว

    “ขอโทษทีครับ” คนขับหนุ่มพูดประโยคแรกออกมาในที่สุด “พอดีแยกด้านหลังดูท่าจะไฟเขียวพอดี รถเยอะเสียด้วย ถ้าไม่รีบออก คงต้องรอนานกว่าจะแทรกได้ แล้วนี่ก็เลทมากแล้วด้วย”

    กวินงงจนพูดอะไรไม่ออก คนขับหนุ่มหันมามองอีกครั้ง กวินยังไม่อาจจะมองเห็นแววตาเขาได้อยู่ดี แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยิ้มให้เล็กน้อย บ่งบอกถึงความเป็นมิตร 

    “ผมวิษณุครับ เป็นลูกพี่ลูกน้องของพิม อ่อ ! ผมรู้จักคุณแล้วละ” เสียงของชายหนุ่มขาดห้วงไปเล็กน้อย “คุณกวิน”

    กวินพูดไม่ออก ยังคงปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ค่อยได้

     นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย?           

    กวินพยายามข่มอารมณ์ กดโทรศัพท์โทรออกหาพิม อยากจะถามให้รู้เรื่องว่านี่มันบ้าอะไรกัน แต่เสียงที่ตอบกลับมาคือ “…หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”

   กวินอยากจะกรีดร้อง หน็อย...ยายพิม ยายตัวแสบ !

    ยกมือกุมขมับ อยากจะบอกคนขับรูปหล่อว่าให้หยุดรถเดี๋ยวนี้ แต่ก็พูดไม่ออก ในขณะที่วิษณุเหยียบคันเร่งมากขึ้นไปอีก ระบายยิ้มให้กวินอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยซ้ำออกมา

    “หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีต่อกันนะครับ อ้าว...รัดเข็มขัดด้วยสิคุณ !”


--------------------------------------------

โปรดติดตามนะครับ ^ ^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-10-2010 16:42:55 โดย kranwa »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด