บทส่งท้าย ...คงไม่เชยเกินไปที่คงจะต้องบอกเหมือนกับที่หนังสือหลายเล่มบอก ว่าความจริงคนเราเกิดมาพร้อมกับคุณค่าของชีวิต,,, “...และเราก็จะแบ่งปันคุณค่าให้กันและกัน” เสียงอ่านออกเสียงที่ดังกระซิบอยู่ข้าง ๆ หูพร้อมกับอ้อมแขนที่กอดรัดเข้ามาโดยไม่รู้ตัวทำเอากวินถึงกับชะงักเล็กน้อย ในขณะที่อีกฝ่ายจ้องมองตัวอักษรในคอมพิวเตอร์ตาแป๋ว พร้อมกับแนบจมูกลงบนแก้มอย่างซุกซน ทำเอากวินอดที่จะรู้สึกเขินไม่ได้จนต้องทำทีเป็นวางมาดขรึม
“บอกแล้วไงว่ากำลังเขียนงาน อย่ามายุ่ง”
“ก็เขียนจบแล้วไม่ใช่หรือ” วิษณุยังคงลอยหน้าลอยตาและยังไม่หยุดที่จะฉวยโอกาส กวินพยายามจะดิ้นเล็กน้อยเพราะอึดอัด แต่ก็กลับถูกอีกฝ่ายรั้งให้เข้าไปแนบกับอกกว้างนั้นมากขึ้น
“ยังไม่จบสักหน่อย”
“งั้นก็เขียนให้จบสิ จะรออ่าน”
กวินรีบพับหน้าจอปิดทันที พร้อมกับสะบัดตัวเองออกจากอ้อมแขนอบอุ่นวาบหวามนั่น
“เรื่องอะไร ไม่ให้อ่านฟรี ๆ หรอก จะอ่านก็ไปซื้อเอาสิ”
แต่ทันทีที่จะก้าวลุกออกไป วิษณุกลับดึงร่างของเขาให้ลมลงมาบนโซฟาตามเดิมพร้อมกับใช้กำลังที่เหนือกว่ารวบตัวของกวินให้แนบชิด พร้อมกับมองด้วยสายตากรุ้มกริ่มที่ชวนให้กวินรู้สึกหมั่นเขี้ยวยิ่งนัก
“หวงหรือ”
“เออ”
“พูดไม่เพราะอีกแล้วนะเราน่ะ”
กวินแสร้งยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ หวังจะยั่วให้อีกฝ่ายโมโหเล่น
“บอกแล้วไงว่าเกลียดท่าแบบนี้”
“มีปัญหาหรือครับคุณหมอ”
“อย่าเรียกแบบนั้นนะ ก็รู้อยู่นี่ว่าไม่ชอบ เรียนไม่จบ มันฝังใจ เข้าใจไหม”
“คุณหมอ”
ดูท่าว่าคนตัวดีจะจงใจยั่วให้เขาโกรธเสียให้ได้ วิษณุผลักร่างของอีกฝ่ายให้ราบลงกับโซฟาก่อนจะกดทับตัวเองลงเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายขยับตัวได้อีก ก่อนจะประทับจูบดุเดือดลงบนริมฝีปากอวดดีนั่น ทำเอากวินถึงกับมือไม้อ่อนไปหมด
ได้ผล... เพียงกระตุ้นนิดหน่อย คนตัวแสบก็สิ้นฤทธิ์ วิษณุใช้ไม้ตายเช่นนี้ปราบเสมอเวลาที่อีกฝ่ายทำตัวงอแงกวนโมโห
“แหม... คนบางคนแถวนี้ก็แปลก ทีกับงานเขียนน่ะหวงนัก ไม่ยอมให้อ่าน แต่ทีกับตัวละไม่เห็นหวงบ้างเลย ทำอะไรก็ยอมไปหมด”
“บ้า” กวินหน้าแดงจัด ผลักอกอีกฝ่ายออกอย่างแรงก่อนจะลุกเดินหนีไปอย่างหัวเสีย ในขณะที่วิษณุหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี
กวินเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะหยิบไดร์ขึ้นมาเป่าผมที่หยิกพองฟูให้กลับมาเป็นทรง แต่เหมือนทำให้ตายยังไงก็ไม่สำเร็จได้ง่าย ๆ ในขณะที่วิษณุมองเห็นหนังสือ “ความหวังนิรันดร์” นับสิบกว่าเล่มซึ่งกองอยู่ในถุงกระดาษที่วางอยู่ข้าง ๆ โซฟา ก่อนจะหยิบขึ้นมาดูหนึ่งเล่มแล้วร้องถามอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน
“นี่เหมามาอีกแล้วหรือ”
“แน่นอน” กวินตอบติดตลก “ก็เห็นมันติดป้ายลดตั้งแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ถูกแบบนี้ใครไม่เหมาก็โง่แล้ว”
วิษณุผ่อนลมหายใจเบา ๆ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายทำทีว่าไม่ได้ทุกข์ใจอะไรมากมาย แต่เขาก็ทราบด้วยตัวเองว่าลึก ๆ แล้วกวินก็คงผิดหวังอยู่เหมือนกันที่หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ประสบความสำเร็จเสียเท่าไร ขายได้ไม่เกินครึ่งเลยด้วยซ้ำ ร้านหนังสือตีกลับมาเป็นพัน ๆ เล่มเห็นจะได้
กวินยังคงไม่เลิกรากับการพยายามจัดการกับทรงผมของตัวเอง ในขณะที่วิษณุเดินเข้าไปใกล้พร้อมสวมกอดจากด้านหลัง พร้อมกับซุกหน้าลงบนไหล่บาง ๆ ของอีกฝ่าย หวังจะใช้สัมผัสในการปลอบโยนอีกคนให้รู้หายรู้สึกแย่
“ผมยาวแล้วน่าเกลียดเนอะ” กวินพูดพร้อมกับย่นจมูก ไม่ค่อยจะพอใจตัวเองในกระจกเท่าไรนัก “ไม่ยอมเป็นทรงสักที”
“ก็น่ารักดีออก” วิษณุพูด พร้อมกับยังฉวยโอกาสหอมลงที่ซอกคอของอีกคน
“ไม่ต้องมาทำเป็นชมเลยนะ” กวินค่อนขอดไปทันที
“อ้าว...” วิษณุว่ากลับ “ก็ถ้าไม่ชมแฟนแล้วจะให้ไปชมใครล่ะครับ”
“นี่... เลิกซนได้แล้ว เดี๋ยวต้องออกไปข้างนอก”
“คอยดูก็แล้วกันว่าเดี๋ยวใครกันแน่จะไม่อยากให้เลิก ต่อให้เดินออกจากห้องไปสิบก้าวเลยเอ้า”
“ทะลึ่ง”
“แล้วนี่จะออกไปไหน”
“นัดกับพี่พรรณไว้”
“เรื่องหนังสือหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ” กวินว่าพร้อมกับเดินผละไปยังตู้เสื้อผ้า “ตั้งแต่ได้เลื่อนตำแหน่งมาทำแทนพี่รสนี่ นับวันก็ชักจะทำตัวเหมือนพี่รสไปทุกที คราวนี้สงสัยเราก็คงต้องโดนด่าอีกตามเคยว่าไม่ยอมเขียนอะไรใหม่ ๆ เห้อ... ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าจะให้เราใหม่ไปอีกสักแค่ไหน นี่ก็เขียนมาจะครบทุกแนวอยู่แล้ว”
“ก็ลองเขียนนิยายรักดูสิ ไม่เคยเขียนไม่ใช่หรือ”
“ตลกละ เขียนไปตั้งหลายเรื่อง”
“ไม่เคยเห็น”
“เขียนไปแล้ว”
กวินถอนใจ ก่อนจะยืนกรานต่อไปซ้ำ ๆ ซาก ๆ ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังล้อเล่นอะไรหรือจะมาไม้ไหน เพราะคน ๆ นี้นี่นับวันชักจะเจ้าเล่ห์มากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ดึงร่างของกวินเข้าไปแนบกับอกหนา ๆ ของเขาอีกรอบ
“เขียนไปแล้วตั้งหลายเรื่อง ก็อ่านอยู่ไม่ใช่หรือ จำไม่ได้หรือไง”
“นิยายรักน่ะนะ”
“ก็เออสิ อย่างเรื่องที่พระเอกกับนางเอกเจอกันที่....”
กวินไม่อาจจะพูดต่อไปได้จากการประทับจูบเบา ๆ อย่างไม่ปล่อยให้ทันได้ตั้งตัวจากอีกฝ่าย
“ไม่ใช่สักหน่อย ไม่ได้หมายถึงนิยายรักแบบนั้น” วิษณุพูด ในขณะที่กวินขมวดคิ้วมุ่น
“แล้วนิยายรักแบบไหน”
“ก็...”
วิษณุทำตาวิบวับราวกับภูมิใจนักหนาในสิ่งที่ตัวเองพูด แต่พอกวินได้ฟังแล้วกลับอึ้ง ถึงกับหาปฏิกิริยาตอบกลับไม่ถูกเลยทีเดียว
“พูดอีกรอบสิ นิยายรักแบบไหนนะ”
กวินถามย้ำ ในขณะที่อีกฝ่ายก็แสร้งทำเป็นพาซื่อ พูดออกมาอีกรอบอย่างชัดถ้อยพร้อมกับอมยิ้ม
...คงไม่เชยเกินไปที่คงจะต้องบอกเหมือนกับที่หนังสือหลายเล่มบอก ว่าความจริงคนเราเกิดมาพร้อมกับคุณค่าของชีวิต และเราก็จะแบ่งปันคุณค่าให้กันและกัน
แต่ในความจริง เราอาจจะพบว่าโลกที่เราอยู่โหดร้ายกับเรา เราเจอปัญหามากมาย จนทำเราเริ่มที่จะไม่เชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเองหรือคุณค่าของใคร แต่สักวันหนึ่ง เราจะรู้เองว่าปัญหาพวกนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อย่างที่คิดเลย เรารับมือกับมันได้
หรือไม่... ก็มีคนที่พร้อมจะช่วยเราเสมอ...
…
ถ้าเราไม่สิ้นหวังกับตัวเองเสียก่อน กวินยังนึกขันอยู่ไม่หายกับคำพูดของแฟนหนุ่ม
“ก็นิยายรักแบบที่ไม่ต้องมีนางเอก มีแค่พระเอกสองคน”
โอย.... คิดแล้วขนลุก !จบบริบูรณ์