18 เยื่อใย
เสียงไก่ขันตอนเช้าคงไม่มีให้ได้ยินในกรุงเทพฯ วันชนะรู้สึกตัวก็พบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมแขนของนักขัต อากาศเย็นๆยามเช้าหลังพายุฝนเมื่อคืนผ่านไปสดชื่นเข้ามาถึงข้างใน แต่แผ่นหลังเขาปะทะอยู่กับอกอุ่นของนักขัต
ค่อยๆขยับตัวแต่ก็สะเทือนถึงคนข้างหลังจนได้ เพราะวงแขนนั้นกระชับเข้าเบาๆ วันชนะจึงหยุดนิ่ง
“อย่าเพิ่งไปไหนเลยนะ” เสียงงัวเงียดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับแนบแก้มลงมาที่ซอกคอวันชนะ “ขออยู่ต่อแบบนี้อีกสักพักนะ” เขายกขาขึ้นมาเกยที่ต้นขาของวันชนะ
สักพักเสียงถอนหายใจก็ดังที่แถวต้นคอ
“คิดถึงสมัยก่อน...”
วันชนะยังคงเก็บคำพูดที่พร้อมจะพรั่งพรูลงคอไปหมดสิ้น ...ผมรักคุณเสมอ ตั้ม...
เสียงถอนหายใจ...ทดท้อ...ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเขาคลายอ้อมกอดนั้น ปล่อยวันชนะให้เป็นอิสระ
“เมื่อคืน...ขอโทษนะ” เขาพูดเบาๆ “แต่...ตั้มมีความสุขมาก ...กลางคืนน่าจะมีสักห้าสิบชั่วโมงนะ”
วันชนะแทบอยากจะร้องไห้ลงต่อหน้าต่อตาตอนนั้นเลย แต่ก็หักใจกลืนก้อนสะอื้นลงคอไปได้
จนร่างหนานั้นเดินผ่านออกไปน้ำตาจึงล้นออกมา
ใบไม้ชุ่มหยดน้ำค้าง พื้นดินยังเปียกแฉะ แต่ทางเดินที่ลาดซีเมนต์ยังสะอาด วันชนะเดินออกมานอกบ้านเตรียมตัวจะกลับเข้ากรุงเทพฯ
“วินๆ มาใส่บาตรกัน” วุฒิตะโกนเรียกจากหน้าบ้าน
วันชนะรีบตามเข้าไปใกล้ “จะดีเหรอ เจ้าบ่าวเจ้าสาวใส่กันสองคนก็พอล่ะมั้ง”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อรกับพี่วุฒิใส่ไปแล้ว ยังมีเตรียมเหลือไว้อีกนะคะ” ภรรยาของวุฒิพูด
“ตั้ม” วุฒิเรียกคนที่เดินตามมาข้างหลังวันชนะ “ใส่บาตรกัน”
“อืม”
หลังจากพระออกบิณฑบาตต่อ วันชนะก็กล่าวลา
“จะกลับแล้วล่ะวุฒิ”
“ขอโทษทีนะวิน เมื่อวานไม่ค่อยได้ไปอยู่คุยด้วย” วุฒิพูดมือโอบเอวภรรยา
“ไม่เป็นไร แต่งงานก็ต้องอยู่กับเจ้าสาวสิ จะมาอยู่กับเพื่อนได้ไงล่ะ” วันชนะแซว
“ตอนนี้วินยังเรียนป.โท อยู่รึเปล่า” วุฒิถาม นักขัตเองก็เงียบคอยเก็บข้อมูลไปด้วย
“อืม อีกสามเดือนก็คิดว่าจะจบแล้วล่ะ” วันชนะตอบ
“เอาใจช่วยๆ รับปริญญาเรียกด้วยล่ะ” วุฒิพูดจบก็หันไปตบไหล่นักขัต “มึงล่ะ กลับมาจากอังกฤษตั้งแต่เมื่อไร ไม่เห็นบอกกูเลยนะ ถ้าไอ้เอ็กส์ไม่บอกก็ไม่ได้ชวนแล้วนะเนี่ย ขาดเงินสมทบไปหนึ่งซองเลยนะเว้ย”
“ก็เพิ่งกลับมาได้ไม่ถึงเดือนเลย” นักขัตว่า
วันชนะเงียบทำหน้าเฉย แต่ก็คอยเก็บข้อมูลเช่นกัน
บางอย่างที่ไม่เคยรู้ก็ได้ทราบคร่าวๆจากบทสนทนาสั้นก่อนจากนั้น
คงหลังจาก...เลิกกัน...ตอนนั้น เป็นตอนที่เรียนจบพอดี
ตอนนั้นวันชนะเลือกที่จะตัดทุกอย่างที่เป็นนักขัตออกไปทั้งหมด รวมถึงเลือกที่จะไม่รับรู้ข่าวสารใดๆ
นักขัตไปเรียนต่ออังกฤษ
บังเอิญเสียจริง กลับมาก็ได้เจอกันอีก... ใจหนึ่งมีความยินดีเกิดขึ้น แต่เพียงวูบเดียวอีกใจหนึ่งก็หม่นหมองลง
วันนี้ได้พบแล้วอย่างไรล่ะ...? มันไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิม
“แล้ววินจะกลับยังไง” วุฒิถาม
“รถไฟน่ะ” วันชนะตอบ
“เดี๋ยววุฒิเอารถไปส่งที่สถานีนะ” ว่าจบวุฒิก็วิ่งปรู๊ดไปสตาร์ทรถกระบะที่จอดข้างบ้าน
“อ้าว...” วันชนะจะห้ามก็ไม่ทัน
อรเลยได้แต่ยิ้มกับพฤติกรรมสามี “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เอารถไปน่าจะสะดวกกว่านะ พี่ตั้มล่ะคะ จะไปยังไง” หล่อนถาม
“รถไฟครับ” นักขัตตอบ
หลังจากนั่งรถกระบะมาถึงสถานีวันชนะกล่าวขอบใจวุฒิ ร่ำลาเสร็จก็เดินไปซื้อตั๋วก่อนจะมานั่งรอรถไฟที่ม้านั่ง
สักสองนาทีร่างหนาก็ตามมานั่งข้างๆแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
นมกล่องหนึ่งวางตรงที่ว่างระหว่างคนสองคน “ยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่” นักขัตพูด ทั้งหน้าตรงมองวิวข้างหน้า
วันชนะกับนักขัตนั่งหันหน้าเข้าหากันต่างเหม่อมองท้องฟ้าสีครามกับต้นไม้สีเขียวที่วิ่งผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว
...
...
“ที่ผ่านมาสบายดีไหม” แทบจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่เมื่อวานที่วันชนะตั้งใจเอ่ยปากพูดกับเขา
“...”
วันชนะหยุดมองเมฆขาว หันมามองคนตรงหน้า ไหนๆเขาก็อยู่ตรงนี้แล้ว อีกไม่ถึงชั่วโมงเมื่อรถไฟถึงกรุงเทพฯ อาจจะจากกันอีกครั้ง อาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลย... คงไม่เสียหายถ้าจะคุยกันบ้าง
“ไม่” นักขัตว่า น้ำเสียงออกจะห้วนแต่ปนไปด้วยตัดพ้อ
นักขัตเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ดูล่ำขึ้น ใบหน้าดูเข้มขึ้น และสายตาที่ออกจะเย็นชา ที่ดูเหมือนเจ็บปวดตลอดเวลานั้นทำให้วันชนะไม่กล้าสบตาตรงๆ
“คุณพ่อ คุณแม่สบายดีมั้ย” วันชนะหลุบตาถาม
“อืม ท่านสบายดี” นักขัตตอบด้วยสีหน้าเฉยเมย สายตายังเหม่อออกไปข้างนอก
บทสนทนาดูจะหมดลงแต่ไม่นานนักขัตก็เป็นฝ่ายพูดบ้าง
“เรียนป. โท อยู่เหรอ” สายตาชำเลืองมองวันชนะ
“อืม ที่มหา’ลัยเราแหล่ะ” เขาหมายถึงมหาวิทยาลัยที่เคยเรียนด้วยกันตอนปริญญาตรี
“เขา...ชวนไปถ่ายหนังสือเหรอ” หมายถึงภัทร
วันชนะหลุดยิ้มอายๆออกมา “ตอนนั้นว่างๆน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
ยิ้มอายๆของวันชนะคือเขินที่รูปตัวเองไปอยู่บนปกนิตยสารชื่อดัง แต่ยิ้มอายๆนั้นถูกนักขัตตีความหมายไปอีกทาง ...ว่าพอพูดถึงภัทร วันชนะก็ยิ้มออก...
ฮึ...คนถามพลอยหงุดหงิด
“แล้ว...จะกลับไปอยู่เชียงใหม่รึเปล่า” วันชนะถาม
นักขัตชำเลืองมองวันชนะอีกครั้งก่อนพูด “ยังหรอก ว่าจะหาประสบการณ์ หางานทำในกรุงเทพฯสักพัก”
“แล้ว...เรียนจบแล้ว จะทำอะไร” นักขัตถามต่อ
“ยังไม่รู้เลย เอาไว้ผ่านสามเดือนนี้ไปก่อนค่อยคิดกันอีกที”
“อืม”
“รถไฟขบวนนี้น่าจะนานอีกสักหน่อยนะ” นักขัตพูดเหมือนเมื่อเช้าเมื่อรถไฟชะลอเข้าจอดที่ชานชาลา
วันชนะเดินลงรถไฟมาก่อน รอท่าอยู่ที่หน้าประตู เวลาแห่งการจากลามาถึง...อีกครั้ง
หากแต่รออยู่นานเกินปกติก็ไม่เห็นมีนักขัตตามมา
...ท่ามกลางผู้คนขวักไขว่ วันชนะเห็นแต่หลังของร่างสูงใหญ่เดินจากไป...คนละทาง...