Improbable 27 : ปิดบัง
สายเอ็นสีขาว...กล่องไม้ขัดเงาสีน้ำตาลเงาวับ คันชักยาวเรียวสวยน่าจับต้อง สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในความสนใจของผมสักนิด แม้จะเป็นตอนที่ตัวเองกำลังวางปลายนิ้วลงไปและบรรเลงบทเพลงอยู่ ทั้งที่น่าจะได้ปลดปล่อยและมีความสุข แต่ความกังวลที่อึงอวลอยู่ภายในหัวใจยังไม่ยอมคลายลง
ผมหรุบตาลงช้าๆ ปลายนิ้วที่จับคันชักหยุดลงทันทีพร้อมกับเสียงโน๊ตที่ขาดหาย จ้องมองนัยน์ตาเคร่งและสีหน้าไม่พอใจจากชายหนุ่มเบื้องหน้าแล้วถอนหายใจอีกครา..
" เป็นอะไรไป? " ไม่แปลกที่อาจารย์ธีระถามแบบนี้ และไม่แปลกที่ผมจะไม่มีคำตอบและมีเพียงอาการทอดถอนใจเมื่อได้ฟัง
"ขอโทษครับ "
" ไม่มีกะจิตกะใจจะเล่นก็อย่ามาจับให้เสียของ " อาจารย์ธีระตวัดสายตาตำหนิมาแล้วส่ายหัว ผมก็ได้แต่นิ่งเงียบไม่เอ่ยคำใด รู้ดีว่าตัวเองสมควรถูกตำหนิเพราะการเล่นดนตรีแบบไร้อารมณ์ ไร้สติ เอาแต่เหม่อลอยและกดนิ้วไปตามความเคยชินเหมือนกับหุ่นทื่อๆตัวหนึ่งเท่านั้น
"ถ้าวันนี้ไม่มีอารมณ์จะซ้อมก็กลับไปก่อนเถอะ " คนพูดส่ายหน้าแล้วเหล่มองไปยังด้านนอกโรงฝึกซ้อม หน้าประตูที่ตรงกับต้นมะม่วงต้นใหญ่และมีร่างของขาใหญ่แห่งแดนสิบสอง..พี่โตซึ่งนั่งกอดอก จ้องมองมาด้วยสีหน้าเคร่งๆ ชวนให้เหล่านักโทษในเรือนจำพากันเกร็งจนเป็นเหน็บไปเสียหมด
" นั่นก็อีกคน จะมาทำไมกัน ทะเลาะกันแล้วคุยกันให้รู้เรื่องสิ "อาจารย์ธีระว่า ไม่แปลกเลยที่คนอื่นจะเข้าใจว่าผมกับพี่โตมีเรื่องผิดใจกันอีกแล้ว เพราะไอ้เนมเอาแต่ถอนใจทำหน้าเหม่อลอยและมีเรื่องทุกข์ ขณะที่พี่โตก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความสงสัยปนงวยงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม..หรือ ตัวเองไปทำอะไรเข้า..
..เราไม่ได้ทะเลาะกัน พี่โตก็เป็นเหมือนเดิม คอยดูแลผม คอยอยู่ข้างๆกันตลอด ทุกอย่างก็เป็นปกติเช่นเดิมมาตลอด
..แต่ที่ผมนิ่ง ผมเงียบ ผมเครียด ก็เพราะผมกลัว..
..กลัวความเงียบ กลัวความสงบสุขและไร้อันตรายเพราะมันมักจะมาพร้อมพายุใหญ่ตามมาเสมอ
..กลัวอนาคต..กลัวสิ่งที่กำลังจะเกิด
ถ้าถึงตอนนั้นอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าถึงเวลานั้นเราจะทำยังไง เรื่องราวทั้งหมดมันจะจบลงแบบมีความสุขไหม?
รับผ้าขาวเนื้อนุ่มมาเช็ดกล่องไวโอลินสีสวย ผมจ้องมองลวดลายของกล่องไม้ในมือแล้วถอนหายใจอีกครั้งและอีกครั้ง..ไม่แปลกที่ทุกคนจะรู้สึกและมองเห็นว่าผมแปลกไป ไอ้เนมมันก็แบบนี้ โกหกใครไม่เป็น สีหน้าเปลี่ยนไปเรื่อยๆแบบคนไม่เคยจะเก็บอารมณ์ เป็นคนโง่ที่ใครก็ดูออกง่ายๆว่าคิดอะไรอยู่ คนแบบนี้ จะให้มาปั้นหน้านิ่งเก็บความลับหรือสืบข่าวอะไรมันก็เหลวทั้งชาติ..
..เพราะเป็นแบบนั้นผมถึงได้ถูกตราหน้าว่าทั้งโง่ทั้งเซ่อไม่มีสมอง เป็นคนง่ายๆที่ใครๆก็อ่านออกและไม่สมควรจะมายุ่งเกี่ยวอะไรในแผนการณ์นั้น..
...แผน...ที่พี่โตกำลังปกปิดผมอย่างเอาเป็นเอาตาย เรื่องที่พี่โตไม่ยอมให้ผมรู้..แต่เขาคงไม่ทราบ..ว่าผม.."รู้"อะไรไปมากกว่าที่คิด..
จะโกรธ...จะไม่พอใจแค่ไหนนะ
ปึ่ก!
"จะใจลอยอะไรก็มีขอบเซตซะบ้าง นี่มันทรัพย์สินราชการ เสียหายไปจะทำยังไง !! "อาขารย์ธีระขมวดคิ้วแล้วแว้ดใส่ผมทันควันจนสะดุ้งเฮือก ไอ้เนมทำหน้าเหย ด้วยความรู้สึกผิด ใจหายวูบเมื่อเผลอทำไวโอลินหล่นจากมือ ดีที่มันหล่นลงบนโตะและไม่สูงมากนัก ไม่อย่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้นคงไม่ต้องถาม
" ให้ตายสิ..." อาจารย์ธีระส่ายหน้าอย่างหงุดหงิดใจเป็นที่สุด
" ด่าไรเมียกู " จู่ๆไหล่ก็รู้สึกถึงแขนหนาที่พาดลงมาไม่เบานัก พร้อมกับร่างของพี่โตที่เดินอาดๆเข้ามาในห้องฝึก เข้ามายืนจังก้ามองหน้าอาจารย์ธีระที่ขมวดคิ้วแน่น
" ทำของราชการเสียหาย จะให้ชมรึไงครับ "
" แล้วไง ของแค่นี้ " ถึงจะมาปกป้องหรืออะไรเทือกนั้น แต่คำพูดนี้กลับไม่ชวนให้ดีใจสักนิด ผมพ่นลมหายใจระอาคนที่ไม่เห็นคุณค่าของศิลปะและะดนตรี ก่อนจะขมวดคิ้ว..เมื่อมองเห็นพี่โตเอื้อมมือเข้าไปใต้โต๊ะแล้วหยิบอะไรสักอย่างมากำไว้ในมือตัวเองอย่างรวดเร็ว..
...อะไร?
" นักโทษที่ไม่เกี่ยวข้อง"ห้าม"เข้ามา" ก่อนจะได้ทำอะไรมากกว่านั้น เสียงของผ้คุมก็ดังขึ้นด้านหลังทำให้พี่โตได้แต่ถอนหายใจหน่าย ทำเสียงจิ๊กจั๊กแล้วเดินออกไปจากห้องแบบนอยด์ๆ ไม่วายหันไปยักคิ้วใส่ผู้คุมด้วยท่าทีเหนือกว่า ผมล่ะแปลกใจนักที่ผู้คุมไม่เอาไม่กระบองในมือเพ่นกบาลขาใหญ่สักทีโทษฐานเกรียนขนาดนี้
"..เก็บของเสร็จก็ไปได้แล้ว "อาจารย์ธีระพ่นลมหายใจฉุนๆ นัยน์ตาจ้องมองตามแผ่นหลังพี่โตแล้วตวัดมามองหน้า
" คร้าบบ " ออกปากรับคำแล้วเดินออกไปจากห้องอย่างเฉื่อยชา ก่อนจะขมวดคิ้วอีกครั้ง เมื่อสายตาที่หรุบต่ำปะทะเข้ากับฝ่ามือของพี่โตที่กำลังเอาของบางอย่างใส่กระเป๋ากางเกงอีกครา..
" นั่นอะไร ?"
"มาแล้วเหรอ? ไปๆ ไปกินข้าวกัน " คนพูดว่าแล้วเอาแขนพาดไหล่ผมด้วยท่าทีเริงร่า ไม่ได้สนใจคำถามของผมเมื่อกี้สักนิด แล้วยังฝืนเปลี่ยนเรื่องไปอย่างอื่นด้วยท่าทีไม่สนใจ..
...อีกแล้ว...
" เพิ่งสี่โมง กินข้าวได้ที่ไหน " ผมพ่นลมหายใจช้าๆออกปากท้วงด้วยสีหน้าตึงพลางดึงแขนที่พาดไหล่ออกอย่างไม่พอใจ พี่โตก็ชอบปกปิดแบบนี้ทุกที มีอะไรก็เงียบ ไม่บอกไม่สน ไม่ยอมให้ผมรู้ว่าจะทำอะไร..แม้จะรู้ว่ารู้ไปก็ไม่สบายใจเปล่าๆแต่ผมก็ไม่อยากให้พี่โตปกปิดอยู่ดี
..ไม่อยากเป็นคนโง่ ที่ไม่รู้อะไรเลยและได้แต่งมคลำอยู่ในความมืดให้คนหัวเราะเยาะ
..แต่บางที นี่อาจจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการก็ได้ ในเมื่อจะพยายามออกไปข้างนอกเพื่อ...ใครสักคน
ข้อสันนิษฐานที่ร้ายที่สุดผุดขึ้นมาในใจทันควันทำให้ผมเม้มปากแน่น ช่วยไม่ได้ที่จะคิดแบบนี้ ในเมื่ออยู่กับคนที่คอยปกปิดและไม่ให้รู้เรื่องที่ตัวเองกำลังจะทำ ต่อให้พี่โตยบอกว่ารัก..แต่..คำๆนั้นมันก็ถูกสั่นคลอนอยู่ในใจอย่างเงียบๆเมื่อมีคนอีกคนยังคงใช้คำนั้นร่วมกับผม..
บางที..พี่โตอาจจะไม่ต้องการให้ผมออกไปด้วย บางที...อาจจะออกไปคนเดียวเพื่อจะไปอยู่กับคนๆนั้นก็ได้
...คนที่ผมไม่มีสิทธิ์มีเสียงหรือกล้าไปเทียบอะไรด้วย ..คนที่เป็นผู้หญิงแสนดี คอยพี่โตมาตลอดหลายปี คนที่เป็นคนรักของพี่โตมาก่อน คนที่สำคัญกับพี่โตเหมือนกันและอาจจะสำคัญมากกว่าผมด้วยซ้ำ..
พี่เคยบอกว่ารักและบอกว่าผมสำคัญที่าสุด..แต่.....ทำไม ตอนนี้ถึงได้หวั่นไหวและไม่กล้าจะเชื่อถือมันกันนะ..
" เป็นอะไร? " เพราะกำลังครุ่นคิดและเหม่อลอย ไม่ได้สังเกตเลยว่าเสียงหัวเราะหรือกระทั่งฝีเท้าของพี่โตก็หยุดลงไปแล้ว..ผมเงยหน้าขึ้น จ้องมองผู้ชายที่ก้มมาสบตาด้วยท่าทีเคร่งขรึม..
"....อะไร..? "
" ถามว่าเงียบอย่างนี้เพราะอะไร ทำหน้าบึ้งทำไม มึงมีอะไร ช่วงนี้ถึงได้ทำตัวแปลกๆ" พี่โตซัดคำถามใส่ผมแบบหมดความอดทนและด้วยใบหน้าบึ้งๆ..แต่ใจความนั้นทำให้หัวเราะหึ...
"..แล้วช่วงนี้พี่เป็นอะไร...ทำไมถึงได้ชอบทำลับๆล่อๆหงุดหงิดง่ายนัก.." ริมฝีปากของผมเหยียดยิ้ม สบดวงตาที่มีท่าทีชะงักและแปลกไปพลางเลิกคิ้ว " มีอะไร...ที่บอกผมไม่ได้เหรอ? "
"....กู....ขอมึงแล้วว่าอย่างยุ่งเรื่องนี้...." พี่โตเสหลบตาวูบ เอ่ยปาก
" เรื่องนี้...เรื่องไหน? เรื่องอะไรที่ไม่อยากให้ยุ่ง " ผมหันไปมองหน้าคนพูดทันควัน
" โว๊ะ....ก็เรื่อง..." พี่โตเกาหัวแรกๆด้วยท่าทีหงุดหงิดกับคำถามงี่เง่าของผม แล้วโพล่งขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ไหว แต่ไม่ทันจะออกปากก็เงียบไปเหมือนคนนึกอะไรขึ้นมาได้..นั่น...ทำให้ผมเบือนหน้าหนี...
" ทำไมมึงเรื่องมาก ชอบเซ้าซี้เหมือนผู้หญิงนักว่ะ รู้ไหมว่ามันน่ารำคาญ " ไม่รู้จะพูดอะไรใช่ไหมถึงบ่นออกมาแบบนี้...คำพูดนั้นเสียงแทงใจ...ตอกย้ำทำให้ความหงุดหงิดพุ่งปรี้ด ผมมองหน้าคนพูดที่มีท่าทีตกใจกับวาจาตัวเองเล็กน้อยแล้วเม้มปากแน่น..รู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นแบบนั้น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะ...หงุดหงิด
"..ขอโทษแล้วกันที่ช่วงนี้ทำตัวงี่เง่า..." ผมเม้มปากแน่น แล้วเบือนหน้าหนี "ถ้าพี่ไม่อยากให้ผมมาเซ้าซี้เรื่องพี่ พี่ก็อย่ามาสนใจถามเลยว่าผมเป็นอะไร จะได้ไม่หงุดหงิดทั้งคู่ "
" นี่มึงกำลังประชด.."
" เปล่า " ผมส่ายหน้า ถอนใจแล้วเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด ผมพูดจริงๆ " ... ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องมายุ่งยามกันมากเกินไปนี่ ตัวติดกันเกินไปมันก็อึดอัดนะ "
" อ้อ....ที่แท้รำคาญที่กูชอบตัวติดกับมึง " พี่โตครางฮึ่ม ถามห้วนๆในลำคอ
" ไม่ใช่! ...โอ้ย...พอเถอะ อย่ามาทะเลาะกันด้วยเรื่องไร้สาระสิ ปวดหัวจะตายห่าแล้วนะโว้ย! " ไอ้เนมตวาดลั่น ระบิดอารมณ์ด่าออกไปอย่างหงุดหงิดเป็นที่สุด และเมื่อนัยน์ตาของผมสบเข้ากับสีหน้าตกใจของพี่โตก็ชะงัก..ความละอายใจพลันแล่นวูบเมื่อตัวเองเผลอใส่อารมณ์กับพี่โตซะได้
" เอ่อ...ผม...."
" ..มีอะไรให้คิดมากมายสินะ ถึงได้บอกว่าเรื่องนี้มันไร้สาระ " พี่โตเปรยออกมาเรียบๆ ทว่ารอบยิ้มแสยะตรงมุมปากนั้นแสนจะไม่น่าไว้ใจและยังน่ากลัวเอาเสียจริงๆว่าเจ้าตัวคิดอะไรอยู่ ผมมองใบหน้าของคนพูดที่บูดบึ้ง ฝ่ามือกำแน่นอย่างพยายามระงับอารมณ์บางอย่างด้วยสีหน้าหวั่นๆ กลัวว่าตัวเองที่บังอาจพูดจาแบบนี้ใส่อาจจะโดนลากไปกระทืบเอาก็ได้
..อารมณ์พี่โตไว้ใจได้ที่ไหน..ต่อให้เป็นผมก็มีสิทธิ์ถูกลากไปกระทืบไม่เว้น
สะดุ้งเฮือกเมื่อฝ่ามือนั้นวางแหมะที่ไหล่ ไอ้เนมกระตุกตัวเฮือกด้วยสีหน้าหวาดเสียวจับใจ ทว่าเวลาก็ผ่านไปเงียบๆโดยที่ไม่มีความเจ็บปวดใดๆเกิดขึ้น มีเพียงลมหายใจอุ่นร้อนที่กระทบผิวแก้มผะผ่าว..
สัมผัสนั้นทำให้ผมค่อยเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ...เงยหน้าขึ้นสบมองนัยน์ตาสีเข้มที่จ้องมองมาก่อนแล้ว..มันยังคงฉายแววรวดร้าวจางๆแต่อย่างไรท่อนแขนที่พาดลงมามันก็ยังคงแฝงรอยอุ่น..
...ความรู้สึกบางอย่างค่อยซึมผ่านหัวใจช้าๆ...ช่วงเวลาที่ผมหงุดหงิดและกังวลไปเสียทุกอย่าง ยังไงก็ยังมีคนๆนี้อยู่ข้างๆเสมอ..
แม้เขาจะมีความลับ ปิดบัง ทว่า..อ้อมแขนนี้ก็ยังคงอบอุ่น..
" ขอโทษ..." ไม่ต้องมีคำข่อขู่ไม่ต้องมีน้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก แค่มองตา ริมฝีปากก็เปล่งเสียงออกมาโดยอัติโนมัติ..เสียงนี้ มันอาจจะส่งตรงมาจากหัวใจ ล่ะมั้ง..
ริมฝีปากของพี่โตกดลงบนหน้าผากผมเบาๆพร้อมกับเสียงถอนหายใจเฮือก
"...คราวนี้เสมอกัน " พี่โตบอกแล้วพ่นลมหายใจพรู ยืดตัวขึ้นพร้อมสายตาที่ตวัดมองมาอย่างกล่าวหาเล็กๆ " ทั้งกูและมึงมีความลับต่อกันทั้งคู่..มีเรื่องที่บอกไม่ได้ทั้งคู่สินะ..."
ริมฝีปากนั้นค่อยแสยะยิ้ม...สีหน้าทั้งหงุดหงิด ทั้งพยายามข่มอารมณ์
" เป็นความผิดกูเองที่คิดว่ามึงยังเป็นเด็กน้อยเหมือนตอนนั้น โตแล้วก็คิดเองทำอะไรเองได้สินะ..ก็ดี....กูไม่ว่า...แต่ถ้าวันไหนที่กูบอกเรื่องที่กูปิดไว้กับมึง วันนั้นมึงก็ต้องคายออกมาเหมือนกัน "
ปลายนิ้วชี้จิ้มที่หน้าผากผมไว้ด้วยสีหน้าคาดโทษ ออกแรงผลักเบาๆให้หัวคลอนไปทีหนึ่งแล้วหันหน้าหนี พ่นลมหายใจแรงราวกับพยายามจะระงับความหงุดหงิดที่พลุ้งพล่าน...
เอื้อมมือแตะลงบนหน้าผาก..ยังคงรู้สึกได้ถึงปลายนิ้วเมื่อครู่ ผมเงยหน้ามองสบตาพี่โตที่ยังคงพยายามหันหนี ราวกับว่าเมื่อสบตาแล้วจะหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม
...พลันความเจ็บร้าวก็แล่นวูบ...เมื่อคิดว่าหากถึงเวลานั้น ต่างฝ่าย...ก็คงต้องรู้...รู้ความลับของกันและกันโดยไม่ต้องอ้าปากพูดด้วยซ้ำ..
พี่โตก็คงรู้ว่าผมทำอะไรไว้ และผม ก็คงรู้ว่าพี่โตจะออกไป..เพื่อใคร..
...ตอนนั้น....ตอนนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้น? มันจะจบยังไง? พี่โต..จะยังบอกว่ารักผมเหมือนวันนี้ได้รึเปล่า..
ขอบตาผ่าวร้อน น้ำตาค่อยเอ่อท้นและกลั่นลงมายังขอบตา รู้สึกเหมือนเพิ่งเมื่อวาน...เมื่อวานนี้เองที่พี่โตบอกรัก และเมื่อวานนี้..ที่ผมยังคงนั่งกอดเข่าเจ่าจุกตัวสั่นอยู่ในห้องขังมืดๆแคบๆไม่มีใคร หวาดกลัวและคิดถึงคนๆนี้จับใจ..และรู้สึกว่าเพียงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง พี่โตได้กอดผมไว้เป็นครั้งแรก และเรา...ได้ผ่านอะไรมามากมายร่วมกัน
...ทั้งที่ผ่านอะไรมามากมาย ทั้งที่รัก...รักมากขนาดนี้...เรื่องมันต้องจบลงเพราะความตั้งใจที่ต่างกันของเรางั้นเหรอ?
"..ร้องไห้ทำไม...? " ฝ่ามือของพี่โตแตะลงบนผิวแก้ม ปาดน้ำตาร้อนๆให้หายไปจากใบหน้า แว่วเสียงพี่โตถอนหายใจ แล้วเอื้อมมือมากอดไว้โอบไหล่ดันร่างผมให้ซุกหน้าลงกับแผ่นอกพลางถอนหายใจเฮือก..
" อะไรกันว้า...อย่างมาร้องเพราะเรื่องแบบนี้สิ..." น้ำเสียงพี่โตดังเครือคล้ายขบขัน แต่ผมก็รู้ ว่าพี่โตก็กลัวและนึกสังหรณ์อะไรร้ายๆพอกัน...
...ผมกลัว...ว่าถ้าความลับนี้เผยออกมา เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว
" ขอโทษ..." ผมเอ่ยเสียงสั่นด้วยความอึดอัด อัดอั้นทั้งหลายในใจ...ขอโทษที่ปิดบัง ขอโทษที่ทำตัวแบบนี้..ขอโทษ...และขอโทษ...
...แม้จะไม่รู้ ว่าเมื่อถึงเวลานั้นพี่จะยกโทษให้ผมรึเปล่าก็ตาม
"ชู่ว...พอแล้ว...มาอ่อนไหวร้องไห้เพราะถูกดุอะไรตอนนี้ว้า หรือพอโดนทักว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่พอใจ อยากเป็นเด็กของพี่โตไปเรื่อยๆ " พี่โตเอ่ย ทั้งปลอบทั้งล้อจนอดจะฉุนไม่ได้ ไอ้เนมเลยเอาหัวโขกกับอกหนาๆนั่นสักทีเป็นการตอบโต้ จนคนกอดหัวเราะขำ..สรุป..ว่าเรื่องที่ทะเลาะกันเมื่อกี้กลายเป็นเรื่องบ้าๆบอๆอะไรไปเสียเเล้วก็ไม่รู้
" อ่าวเฮ้ย! พวกมึงมายืนร้องไห้ทำมิวสิกอะไรตรงนี้เนี่ย " เสียงทักคุ้นหุของพี่วิทย์ทำให้ผมกับพี่โตชะงัก บรรยากาศที่เหมือนจะหวานๆหยุดลงทันควันพร้อมกับเสียงคำรามในลำคออย่างหงุดหงิดใจของคนโดนขัดจังหวะ
" ยุ่งจริงไอ้วิทย์ ทำไม่เห็นไม่ทักจะตายมั้ยน่ะมึง " พี่โตพ่นลมหายใจพรืด เอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาผมแล้วหันไปมองพี่วิทย์กับเมฆที่ยืนมองเราสองคนอยู่
" กูก็ไม่อยากดูหรอก แต่นี่มันเวลาที่มึงบอกให้กูมาหานะเว้ย " พี่วิทย์เถียงแล้วทำหน้านิ่ว "แล้วนี่ทะเลาะไรกันอีกน่ะพวกมึง ถึงขั้นร้องห่มร้องไห้เชียว"
" ยุ่ง " พี่โตบ่น เอาชายเสื้อมาเช็ดน้ำตาให้ผมอีกรอบแล้วลูบหัวเบาๆ ก่อนจะโบกมือไล่พี่วิทย์แล้วลากไอ้เนมเข้ามาในซอกแคบๆซอกนึงของหมู่อาคาร
ฝ่ามือของพี่โตแตะลงบนไหล่ ดึงออกจากตัวแล้วลูบแก้มเบาๆเช็ดให้รอยน้ำตาเหือดหายไปด้วยสีหน้าใคร่ครวญ..
..พี่โต คงอยากรู้ ว่าเกิดอะไรขึ้น..
ซึ่งผมก็อยากรู้เหมือนกัน ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่..
แต่คำตอบตอนนี้..มีเพียงริมฝีปากนุ่ม..อุ่นร้อนที่ทาบทับ..ค่อยเลียไล้ปลุกปลอบด้วยความอ่อนโยนทุนุถนอมนักหนา ทาบทับปิดกั้นเสียงลมหายใจและเสียงครางเรือในลำคอไว้อย่างแนบแน่น ฝ่ามืออุ่นไล้แผ่นหลังแล้วลูบเบาๆให้ร่างที่โซเซคล้ายจะผงะหงายล้มผึงของผมค่อยเอนมาหาร่างใหญ่อีกครา..
ริมฝีปากคู่นั้นผละออกไปแล้ว..นัยน์ตาจึงค่อยปรือต่ำ..ริมฝีปากร้อนผ่าวของผมหอบสั้นๆก่อนจะถูกริมฝีปากค่นั้นแตะลงอีกครา..
คราวนี้มันกดลง..แช่เบาๆ ให้ความรู้สึกลึกซึ้งซึมผ่านผิวเนื้อเข้าสู่หัวใจ...
ฝ่ามือทั้งสองข้างละจากแผ่นหลัง ค่อยกระชับมือผมแน่น..สื่อความั่นใจและปลอบประโลมจนอุ่น...อุ่นไปทั้งหัวใจ...
" เอ๊า..เช้ดน้ำตาไอ้ขี้แงเสร้จแล้ว ไปที่อื่นก่อนไป " ผละออกจากกันแล้วพี่โตก็ยิ้มให้แล้วออกปากพูด พร้อมกับรุนหลังผมออกจากซอกตึกด้วยรอยยิ้มขัน
"นี่.." ไอ้เนมหน้ามุ่ย ทำท่าจะงอแงเอเจอไม้นี้เข้า
" ใช่ กูมีความลับ ก็เหมือนกับมึงนั่นแหละ เราค่อยเฉลยพร้อมกันไง " ฮึ่ย..นึกว่าลืมเรื่องนั้นแล้วซะอีก ผมทำหน้ามุ่ยใส่พี่โตอย่างหงุดหงิด แล้วเดินออกมาตามที่ถูกไล่ มาหาไอ้เมฆที่น่าจะถูกกันออกมาเหมือนกัน ทว่ามันกลับเดินตัวปลิวออกไปพร้อมกับพี่วิทย์...เฮ้ย...
ไอ้เนมยืนอ้าปากค้าง กำปั้นสั่นระริกมองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มทั้งสามคนนั่นไปอย่างเคืองแค้น นี่ขนาดไอ้เมฆมันยังได้รับเชิญ แต่ไอ้เนมไม่งั้นเหรอ.?
เออสิ ...ผมมันไร้ประโยชน์
บ่นงึม แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากหงุดหงิดใจ ผมกวาดตาหาที่นั่งรอพี่โตด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย พลางเช็ดน้ำตาป้อยๆ ก่อนจะขมวดคิ้วอีกครั้งเมื่อเมฆเดินกลับมาที่เดิมเพื่อมานั่งกับผม...
มันสบตางงๆของผมแล้วถอนหายใจช้าๆ..นัยน์ตากวาดมองก่อนจะเอ่ยปากถาม
" มันเกิดอะไรขึ้นกับมึงว่ะ? "
เสหลบตาคู่นั้น...เม้มปากแน่น ก่อนจะพ่นลมหายใจพรู..
...นั่นสินะ...เกิดอะไรขึ้น
"ก็ไม่รู้เหมือนกัน "
...ไม่รู้....ไม่รู้อะไรเลย
" แต่เหี้ยพี่โตเป็นห่วงมึงนะ " เมฆว่าก่อนจะพ่นลมหายใจพรู มันมีท่าทีครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วยิ้มกว้าง "อ้อ ...กูรู้ล่ะว่ามึงเป็นอะไร "
" หา? "ผมชะงัก มองหน้ามันที่ยิ้มร่าด้วยสีหน้างวยงงไม่น้อย หรือ...มันจะรู้ว่าผมกำลังทำอะไร...
มองหน้ามันที่จ้องหน้าผม ยิ้ม..แล้วหัวเราะหึหึ ...มันคงจะ..ไม่รู้ หรอกมั้ง..
"กูเข้าใจๆ ...คนดีแบบมึงคงลำบากใจสินะที่ต้องทำแบบนี้" มันว่าแล้วพ่นลมหายใจพรู "กูก็เครียดเหมือนกันนะเว้ย คิดมากด้วยว่าถ้าถูกจับได้จะเป็นยังไง..."
...เอ๋?...
" แต่มึงอย่าซีเรียสไปเลย งานนี้มีไอ้ป๋าเป็นแบ๊ก พวกพี่โตแม่งก็ขนกันไปเต็มที่ ถ้ามีเงิน มีเส้นซะอย่าง..อยากรอดก็ต้องรอดล่ะวะ " คนว่ายิ้มพร้อมกับพยักหน้าอย่างมั่นใจ " รอจะออกไปแทบไม่ไหวแล้วว่ะ.."
เมฆยิ้ม มันยิ้มด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขเสียเต็มประดา....ทว่า ประโยคนั้น คำพูดนั้นทำให้ผมชะงัก..ใบหน้าแปรจากความงวยงงเป็นซีดเผือก
...ผมไม่ได้ตกใจที่พวกพี่โตตัดสินใจจะแหกคุก เพราะผมรู้และแน่ใจมามากพอสมควรแล้ว แต่ที่มันน่าแปลกใจ..คือทำไม...ทำไมเมฆมันถึงรู้
นี่เป็นเรื่องของพวกนักโทษตัวเอ้ไม่ใช่เหรอ พวกขาใหญ่หรือตัวหลักของแต่ละแดน อย่างพี่โต พี่กันย์ พี่วิทย์ พี่เบิร์ด พี่คม...พวกนั้นไม่ใช่เหรอ?
ไม่แปลกที่คนเหล่านั้นจะรู้...ไม่แปลกที่เขาจะทำโดยไม่บอก...
แต่....นี่มันหมายความว่ายังไง
ขนาดเมฆ...ไอ้คนที่เป็นนักโทษธรรมดาไม่ต่างจากผมมันยังรู้ ทำไมมันรู้ หรือทุกคนรุ้ ทุกคนทราบกันหมดยกเว้นผมกันเเน่!?
"มึง.....ไม่รู้เหรอ? " เมฆมันคงสังเกตสีหน้าของผม มันถึงชะงัก ขมวดคิ้วแน่นแล้วออกปากถามอย่างงวยงง
...ใช่ มันคงงง มันคงไม่เข้าใจว่าทำไม...ทำไมคนสนิทของพี่โต ทำไมเมียของพี่โต ทำไมคนรักของพี่โตไม่รู้..
ทั้งที่ขนาดมัน..คนที่พี่โตออกปากว่าไม่ชอบหน้ายังรู้..
..หรือ....พี่โตไม่อยากให้ผมไปด้วยกันแน่?
ปิดบังกันขนาดนี้ เพราะอะไรกันแน่..?
" ไอ้เนม...มึง...." เมฆหน้านิ่ว มันขมวดคิ้วแล้วครางออกมาอย่างคาดไม่ถึงกับปฏิกริยาของผม..มันคงไม่รู้และไม่เข้าใจว่าทำไมพี่โตไม่บอก..และมันคงไม่รู้ ว่าผมจะยกมือกุมหน้าแล้วหัวเราะทำไม..
...มันไม่เข้าใจ ไม่ไเข้าใจแน่ๆ เพราะขนาดผมก็ยังไม่เข้าใจ
ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่พูด ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงปกปิด ไม่เข้าใจ ว่าทำไมถึงอยากออกไปข้างนอกนั่นนักหนาจนต้องใช้วิธีแบบนี้..
"...เพราะกูเป็นแบบนี้ไง..ถึงไม่มีใครบอก "ผมบอกเสียงสั่น..ไม่ใช่สั่นเพราะร้องไห้แต่สั่นเพราะกำลังหัวเราะ กลั้นหัวเราะพร้อมกลั้นน้ำตาที่คลอนัยน์ตา..
เมื่อกี้..เมื่อกี้นี้เองผมเพิ่งจะดีใจ ยินดีที่วันนี้ยังมีพี่โต ยังได้อยู่ในอ้อมกอดที่ผมรักแต่วินาทีนี้ ความไม่เข้าใจมันก็สุมอกจนหนักแน่นปวดระบม
แต่ผมก็ได้คำตอบ..
เพราะผมเป็นแบบนี้ เพราะเป็นไอ้เนมแบบนี้ เป็นคนไร้ประโยชน์และคอยขัดขวาง เป็นคนที่ไม่ยอมทำตามที่พี่โตบอก..และพี่โตก็คงรู้ ว่าหากผมรู้ว่าเกิดอะไรหรือพวกเขาจะทำอะไร ผมก็ต้องห้าม..
ผมรู้เลยตัดสินใจห้าม ผมมันคนงี่เง่าที่ชอบทำตัวเป็นผู้ผดุงความดีบ้าบอ ผมเป็นสายให้ผู้คุม ผมมันไม่ดี ทรยศหักหลัง ทุกข้อบอกแล้วว่าผมไม่ควรรู้..
รู้ดีเข้าใจดีว่าทำไมตัวเองถึงไม่ควรจะรู้เหมือนคนอื่นเขา แต่ผมก็ยังไม่อยากเข้าใจ
เฝ้าถามด้วยความระทดท้อ น้อยอกน้อยใจทุกค่ำคืนว่าทำไม ทำไม ทำไม และ ทำไม..
และ....ความระแวงสงสัยในใจที่เคยจางไปบัดนี้ยิ่งกระจ่างชัด..
...ที่ไม่บอก...เพราะไม่ต้องการให้ไปด้วย...ใช่ไหม?
เมื่อไม่ต้องการให้ผมไปด้วยแล้ว..จะห้าม จะรั้งก็คงไม่ฟัง ...
ริมฝีปากสั่นระริก..เม้มแน่น นัยน์ตาที่ถุกปกปิดด้วยฝ่ามือนั้นค่อยคลายออก..ปลายนิ้วเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า..ริมฝีปากเหยีดยิ้ม..ยิ้มออกมาทั้งที่ในใจกำลังกรีดร้องโหยหวน..
..ถ้าผมจะ"ทรยศ"พี่จริงๆก็คงไม่เป็นไรแล้วสิ...ใช่ไหม?
.........................
มาแล้วค่า > <

ช่วงนี้เขียนออกมาแบบมัวๆเข้าใจอารมณ์พี่โต+เนมเลยแฮะ เดินๆไปกลัวเหยียบกับระเบิดที่มองไม่เห็น (อินี่แหละฝั่งไว้เยอะเกิ๊น5555)
เหยียบไปแล้วอันนึงมันจะเสียหายนาแต่ก็ทำให้ระวังตัวขึ้น จะให้ดีมันต้องเหยียบพร้อมกันหมดเลยสิคะ จะได้สุขสรรค์หรรษาฮูลาฮุปกันไป /นี่มันสังหารหมู่ไม่ใช่เรอะเอ็งงง

ปล. ช่วงนี้เครียด แฮร่ จะสอบแล้ว ว ว
