Improbable : 26 โกหก
"อีกแล้วเหรอ ? " คำถามนั้นดังขึ้นมาจากริมฝีปากของพี่โต ใบหน้าเจื่อนขำ..ทำยิ้มเหมือนไม่มีอะไรแต่ผมรู้ว่าในใจของพี่โตกำลังเคืองขุ่นแค่ไหน..
"...อืม...ครับ.." ผมได้แต่เพียงรับคำ ร้องรับเบาๆด้วยน้ำเสียงเพลียใจ จ้องมองใบหน้าพี่โตที่ตวัดสายตามามองผมแล้วถอนใจเบาๆ ความห่วงหาและความรักใคร่ในแววตานั้นแสนชัดเจน...ชัด...จนบางครั้งคนมองอย่างผมรู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น..
"...ระวังตัวนะ " ฝ่ามือใหญ่แสนอบอุ่นวางลงแล้วลูบเบาๆ ส่งผ่านความห่วงหามาให้ ผมสบมองดวงตาที่แสนคุ้นเคยคู่นั้น เอื้อมมือไปกุมมือข้าที่วางลงบนศรีษะของตนเองแล้วยิ้มรับบบางๆ..
" ผมไปนะ..."
เอ่ยแล้วก็ลุกขึ้นเดิน..ก้าวออกจากห้องขังที่แสนเคยคุ้น ผ่านร่างของบรรดาพี่ๆ..นักโทษในห้องนอนเดียวกันหันหลังก้าวตามผู้คุมที่เดินนำไปเพื่อพาตัวผมไปตามคำสั่ง..
คำสั่ง...อีกแล้ว...
..อีกแล้ว..อย่างที่พี่โตพูด..
..อีแล้ว ที่ผมต้องไป อีกแล้วที่พี่โตต้องรอ ต้องเป็นห่วง กังวล...และอีกแล้ว...ที่ผมต้องโกหก..
...ผมรู้สึกว่าตอนนี้ ชีวิตตัวเองกำลังวนเวียนอยู่กับคำโกหก
...ผมต้องโกหกพี่โต ว่าพัศดีเรียกไปตรวจสอบ สอบถามเรื่องทั่วไปและพยายามเค้นเอาความจริงเรื่องมือถือเท่านั้น..ไม่มีอะไรมากกว่านี้..
...ผมต้องเกหก...โกหกพัศดี ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีความเคลื่อนไหว ไม่มีใครคิดทำการใดๆ ทั้งสิ้นในแดนนี้..
....และผม...ก็ยังต้องโกหก...โกหกตัวเอง..หลอกตัวเองไปวันๆว่าเรื่องเหล่านี้มันจะจบลงด้วยดี..จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น..ทุกสิ่งที่ผมทำจะประสบผลสำเร็จอย่างที่คาดคิด..
ทั้งที่ผมก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าทุกสิ่งที่เอ่ย ทุกสิ่งที่คิดออกมา มันคือสิ่งที่ไม่มีวันเป็นจริง..
เรื่องราวเคลื่อนไปไกลกว่าที่คิด...และ....ทุกสิ่งมันก็เดินมาไกลเกินกว่าจะถอยหลังกลับ..
ไม่ว่าจะเป็นผม..หรือพี่โตก็ตาม...
รับปากแล้วไม่ว่ายังไงก็ต้องทำ เดิมพันแล้วไม่ว่ายังไงก็ต้องรอลูกเต๋าทายผล..ไม่ว่ามันจะออกมาดีหรือร้าย ก็ต้องยอมรับ..
" อีกแล้วเหรอ? "คำถามนี้มันยังตามมาหลอกหลอนแม้ผมจะนั่งอยู่ในห้องทำงานของพัศดี ผมจ้องมองตัวหนังสือปักชื่อของพัศดีปรมัตถ์บนเสื้อสีกากี จ้องมองมันแล้วนั่งนิ่งราวกับว่าไม่ได้ยินคำถาม...ถามไถ่กึ่งประณามหยามหยันด้วยความไม่พอใจของผู้พูด..
"....มากี่ครั้ง...กี่ครั้ง ก็บอกว่าไม่มีข่าว มไมีความเคลื่อนไหวอะไร แบบนี้มันจะเกินไปหน่อยไหม? หรือคิดว่าที่ให้ทำนี่มันเป็นเรื่องเล่นๆ "
คำถามด้วยอาการหงุดหงิดหัวเสียของพัศดีดังขึ้นเหนือศรีษะ ขณะที่นัยน์ตาของผมเบนไปมองเข็มนาฬิกาที่บอกเวลาเก้าโมงห้าสิบเจ็ดนาที สามสิบสองวินาที.....สามสิบสาม...สามสิบสี่...สามสิบ...
ปึ่ก !
" ฟังที่ผมพูดอยู่รึเปล่า ! "ฝ่ามือหนาพาดลงบนไหล่แรงๆจนสะดุ้งเฮือก คำถามนั้นมาพร้อมกับใบหน้าแสดงอาการเคืองขุ่น และแววตาหงุดหงิด ไม่พอใจ..
ไอ้เนมขยับตัวแล้วกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ " ก็...มันไม่มีอะไรจริงๆ...จะให้ผมตอบว่ายังไงล่ะครับ "
" ....แล้วทำไมคนอื่นถึงบอกว่ามี " ใจความนั้นทำให้ผมเม้มปากแน่น เงยหน้าไปมองตาพัศดีปรมัตถ์ที่นั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งของตนเองอีกครั้ง ด้วยท่าทีเหนือกว่า
"...อย่างน้อยก็ไม่มีในกลุ่มของผม..." ผมยักไหล่ ตอบด้วยท่าทีชาเฉยราวกับไม่มีอะไรให้พบจริงๆ...ทั้งที่รู้แก่ใจดีว่ามันไม่ใช่...
"....หึ...พูดให้ขำนะ..." พัสดีปรมัตถ์ส่ายหน้า ยิ้มราวกับขบขันก่อนจะเปลี่ยนมาจ้องหน้าผมด้วยสีหน้าดุดัน.. " ไม่มี...ไม่มีความเคลื่อนไหวในกลุ่มของพวกขาใหญ่ แล้วจะมีความเคลื่อนไหวจากที่อื่นเหรอ? รู้จักไอ้สิ่งที่เรียกว่าคลื่นไหม? ถ้ามีมีคนเขวี้ยงก้อนหินลงบนน้ำมันก็จะไม่ขยับไหว ถ้าไม่มีใครเริ่มก็จะไม่มีคนทำตาม แล้วอย่างนี้คุณกล้าพูดเหรอว่าไม่มี..."
" ...มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีสมองนะครับ คิดเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้ใครสั่ง แน่ใจเหรอว่าเรื่องที่คุณเจอมันจะเกี่ยวกัน " ผมสุดหายใจลึกจ้องมองใบหน้าของพัศดีอย่างไม่ยอมแพ้...
พัสดีปรมัตถ์ในชุดเสื้อกางเกงสีกากี ใบหน้าสะอาดสะอ้านดูดีแบบที่หาไม่ได้ในเหล่านักโทษผู้ตากแดดตากลมทั้งปีทั้งชาติขยับกายลุกขึ้นจากโต๊ะอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นจ้องมองมาที่ผม...จ้อง...ก่อนจะหรี่ตาลงแล้วถอนหายใจยาว..
"ไร้ประโยชน์ ..."น้ำเสียงเอ่ยเรียบๆ...ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
"....ตัวผม? " ไอ้เนมเลิกคิ้ว...รู้ดีว่าตั้งแต่รับปากว่าจะทำ ตัวเองไม่ได้มีข่าวสารอะไรให้มากมายนัก...จะว่าไร้ประโยชน์ก็สมควร...
เพราะผม"จงใจ"จะให้ตัวเองไร้ประโยชน์แบบนี้นั่นแหละ...
" ...ที่เราตกลงกัน..ผมคิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว...แต่เหมือนคุณจะยังไม่เข้าใจว่าตัวเองอยู่ในสถานะไหน ถึงได้ทำนิ่งทำเฉยเหมือนเป็นเรื่องเล่น " เสียงคำรามในลำคอของพัสดีปรมัตถ์บ่งบอกว่าอารมณ์เสียจนถึงขั้นหงุดหงิด นัยน์ตาสีดำสนิทที่วาววับนั้นจ้องมองใบหน้าของผมอย่างกล่าวหา...ไม่ชอบใจ...
" ผมให้คุณหาข่าว...." ข่าว"ที่ว่านั้นไม่ใช่เรื่องใครจะไปกินข้าวที่ไหน ไปอาบน้ำกับใคร หรือนอนกับใครบ้าง.." พัศดีหันขวับมามองหน้า ฝ่าเท้าก้าวมาหาร่างของผมในระยะประชิด " แต่คือเรื่องราวผิดปกติ เรื่องราวที่อาจจะก่อให้เกิดสิ่งทีเรียกกันว่า "รวมกลุ่มก่อความวุ่นวาย" " วางแผนก่อจลาจล" หรือกระทั่งคิดจะ"แหกคุก"....."
" ที่ผมให้คุณคอยสืบหา ไม่ใช่แค่ให้"สืบ"เท่านั้น...ไม่ใช่แค่ทำเล่นๆ แต่หมายถึงชื่อของคุณ ประวัติของคุณ รวมทั้งการใช้ชีวิตในนี้...ถุกจับตามอง และถูกตรวจสอบแล้วโดยพัศดีอย่างผม...หรือผู้คุม หรือกระทั่งเหล่านักโทษที่เป็นสายสืบของผมเช่นเดียวกับที่คุณเป็น..เพื่อที่จะตรวจสอบความประพฤติ การทำงาน การทุ่มเทต่อคำสั่ง ...เพื่อที่สุดแล้ว ...เมื่อเกิดเหตการณ์อะไรขึ้นมา คุณจะได้ถูกยกเว้น จะได้ถูกละโทษ หรือกระทั่งปล่อยตัว และเชิดชูในคุณความดี...."
" นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เรื่องที่จะให้คุณมานั่งรายงานว่าไม่มีอะไร ปกติดีทุกอย่าง ตลอดสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา...ช่วยแสดงให้ผมเห็นหน่อยได้ไหมว่าคุณก็พร้อมจะปฏิบัติตามคำสั่ง พร้อมจะร่วมมือกับทางราชการ ไม่ใช่พร้อมจะเป็นนกสองหัวที่คาบข่าวของพวกผมให้กับฝ่ายที่เป็นประโยชน์แก่คุณมากที่สุด "
"...รับปากแล้ว...ก็เหมือนเอาคอพาดอยู่บนเขียง ใบมีดจะหล่นลงมาหรือจะได้รับประกาศอภัยโทษก็แล้วแต่การกระทำของตัวเอง...อย่าคิดว่าผมไม่ได้"จับตา"ดู ทุกฝ่ายที่เป็นสายสืบของเราอย่างชัดเจน อย่าคิดว่าคุณรับคำแล้วจะบิดพลิ้ว หรือจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปได้...ถ้าแผนการณ์นี้มันหละหลวมปานนั้น เราคงไม่สามารถสืบมาถึงจุดที่รู้ได้ว่ามีคนพยายามจะทำอะไรหรอก "
" คุณกำลังขู่ผม ..." ผมเปรยขึ้นช้าๆ....สีหน้าเครียด...
"ใช่...." พัศดีพยักหน้ารับ สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงยามจ้องมองสบแววตาของผม " เคยได้ยินไหม ที่ว่าจะทำการใหญ่ต้องใจกล้า...ใจแข็ง ยอมเสียหมากบางตัว เบี้ยบางตำแหน่ง เพื่อจะได้รุกฆาตในที่สุด ..."
" บอกตามตรงว่านี่ไม่ใช่เกมส์ และไม่ใช่หนังร้อยแปดคุณธรรมที่คนดีจะอยู่รอดปลอดภัยและไร้รอยขีดข่วน นี่คือชีวิต...คุณเคยได้ยินข่าวนักโทษก่อจลาจลไหม? เคยได้ข่าวมีการพบว่าตัวการใหญ่ของขบวนการค้ายาเสพติดอยู่ในเรือนจำไหม? สิ่งเห่ลานั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น...คุณคิดบ้างรึเปล่า ว่าทางที่ผมให้คุณมันคืออะไร? "
"....เพราะอะไรผมถึงทำแบบนี้...รู้บ้างไหม? เพราะอะไรถึงได้ทำวิธีที่อาจจะเรียกได้เต็มปากว่าสกปรกไม่ซื่อตรง...คุณคิดบ้างรึเปล่า? "
"............."
" ...เราได้แต่เจ็บใจทุกครั้งที่รู้ว่าตัวการใหญ่ที่สั่งยานรกเข้ามามอมเมาเยาวชนของชาติคือพวกที่อยู่ในคุก ได้แต่เจ็บใจที่ทำอะไรมันไม่ได้ ได้แต่ทุรนทุรายเพราะไม่สามารถจะเอาผิดรึเอามันมาลงโทษ...เกลียด...ที่เงินมันมีค่ามากกว่าเกียรติในอาชีพ หรือกระทั่งความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ...ไม่พอใจทุกครั้ง ที่มองเห็นพวกโกงกินบ้านเมืองมีชีวิตอยู่บนกองเงินกองทองและสุขสบายโดยไม่สนใจว่าได้ทำอะไรลงไป.."
" ...คิดดูก็แล้วกัน...ว่าผมทำไปเพราะอะไร หากคุณนิ่งอยู่แบบนี้มันก็คงได้ใจ หากยังคิดจะเงียบ ผมก็ไม่ต้องการคุณอีก...และหากคิดจะไปบอกคนอื่นๆว่าเรากำลังรู้อะไร นั่นมันจะหมายถึงสิ่งไหนก็ลองไตร่ตรองดู..." พัศดีปรมัตถ์สุดหายใจลึกจ้องมองผมด้วยแววตาเคร่งขรึมหากจริงจัง ผมกลืนนำลายลงคอช้าๆ...ภาพ....ของชายที่ใช้เลห์กลบีบบังคับและไล่ต้อนให้จนตรอกกลับค่อยเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว....
ที่สุดแล้ว...ชายคนนี้...ก็แค่...
" ...ผมยอมสกปรกถ้าจะทำให้สังคมและบ้านเมืองสะอาด...ยอมถูกตราหน้าว่าเป็นคนชั่วไม่ต่างกับนักโทษแบบพวกคุณ ยังดีกว่าจะปล่อยให้เรื่องราวมันเลวร้ายเกินจะควบคุม....ถ้าคุณคิดจะรับปากเล่นๆไม่ทำจริง คิดจะวางมือหลับหูหลับตาไม่ทำอะไรเพื่อพรรคพวกหรือเพื่อคนที่มีอิทธิพลเหล่านั้นก็เดินหนีออกไปซะ...ที่นี่มีเพียงคนที่พร้อมจะสละชีวิตเพื่อคำว่า"ความถูกต้อง"และไม่สนใจแม้ตัวจะต้องตายเท่านั้น "
ไอ้เนมจ้องมองใบหน้าของพัสดีที่เบือนไปมองภาพเบื้องนอกผ่านกระจกใส มองเสี้ยวหน้าที่ผมเคยนึกไม่พอใจ...หรืออาจจะชิงชังกับมัน...พร้อมกับเม้มปากแน่น...
...ผู้ชายคนนี้....ที่ทำไปทั้งหมด ก็แค่...แค่คนที่พร้อมจะพลีชีพให้กับความถูกต้อง โดยไม่สนใจว่าต้องทำวิธีใด เท่านั้นเอง...
...ผมที่ลังเล ผมที่ไม่กล้าทำ ผม...ที่นิ่งเงียบเพียงเพราะว่าคนๆนั้นคือคนที่ผมรัก ไม่ยอมทำตามที่เขาต้องการเพราะกลัวว่าพี่โตจะเป็นอันตราย..หากพอเขาพูด....เขาบอก...เขากล่าวให้ผมนึกถึง..ให้มองเห็นบางอย่าง...ที่ตัวผมเองแทบจะลืมไปแล้ว จึงได้ตระหนัก...
ความละอายแล่นวูบเมื่อรู้....รู้ว่าตัวเองเห็นแก่ตัวแค่ไหน...
...มองแค่ตัวเอง มองแค่คนที่รัก มองแค่เท่านั้น ไม่ได้มองว่าหากปล่อยให้เรื่องราวบานปลายจะเกิดผลร้ายใดต่อสังคมบ้าง...
"....จำไว้ด้วย....ว่านับแต่คุณตอบตกลง...คุณก็ได้เลือกทางเดินอีกทางให้ตัวเองแล้ว " พัศดีนิ่งเงียบไปครึ่งหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเฮือก " และจำไว้ ว่าหากคิดจะพูดไป สถานะของคุณจะถูกเปิดเผย...และผม ก็ไม่ลังเลหรอกหากจะตัดเบี้ยที่ไร้ประโยชน์ออกไปจากแผนการณ์..."
เอ่ย...แล้วเจ้าของคำพูดก็หันหลัง...ไม่คิดจะสนใจตัวผมอีกต่อไป นิ่งเฉยเย็นชาราวกับผมไม่มีตัวตนอยู่..
...ผมพยักหน้ารับช้าๆ...ก่อนจะเดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าเรียบชา....แม้หัวใจจะเต้นเร่าด้วยความหนักหน่วง ลำบากใจ
.... รู้แล้วว่าทำไมพัศดีปรมัตถ์ถึงมาอยู่ที่นี่ ทำไม เขาถึงถูกส่งมายังเรือนจำแห่งนี้...
....และรู้ ว่านี่คือแผนการณ์ที่วางมายาวนานเพียงใด..
คนเจ้าแผนการณ์ก็ต้องเจอกับคนเจ้าแผนการณ์ คนที่วางแผนร้ายก็ต้องเจอกับคนที่ร้าย...และเจ้าเล่ห์เจ้ากลไม่แพ้กัน...
ผู้คนในฝั่งที่เรียกว่าความดีไม่ได้มีเพียงสีขาว วิธีการที่จำจัดการกับคนชั่ว ไม่ได้มีเพียงวิธีทางแห่งความถูกต้อง...
บางครั้ง คนเลวก็ต้องเจอกับแผนการณ์ที่ไม่ต่างกัน...
สีขาวหรือสีดำไม่สำคัญ ผลลัพธ์ที่ออกมาต่างหากจะเป็นทางชี้นำว่าใครคือคนชั่ว...หรือคนดี...
...................
....ก้าวออกมาจากห้องสอบสวน เดินผ่านทางเดินแคบๆไปสู่อาณาเขตของเรือนจำที่แสนเคยคุ้น...เสียงร้องครืนครางของเมฆฝน และสายลมที่หอบกลิ่นหญ้าโชยพัดเข้าจมูก ทำให้ดวงตาที่หรุบต่ำลงของผมค่อยเบิกกว้างขึ้น และจ้องมองท้องฟ้าที่เคยสดใส บัดนี้เริ่มหม่นครึ้ม...เจือจางด้วยกระแสของพายุฝนที่จะโหมกระหน่ำ...
....มอง...จ้องมองและใคร่ครวญคิด...คิดถึงเรื่องราวทั้งหมด...
สีดำแปรเป็นสีขาว...และสีขาวที่เอียงเทกลายเป็นสีดำ ที่สุดแล้วผมก็รู้...ไม่มีใครมีเพียงด้านเดียว ทุกคนล้วนแต่เป็นสีเทาทั้งนั้น...
เคยเกลียดชังไม่พอใจพัศดีที่หาเรื่องกลั่นแกล้งทำร้าย ทว่า...เมื่อรู้ถึงปลายทางที่เขาทำไป...ผมก็โกรธไม่ลง...
คนๆนั้น...รัก...ในสิ่งที่ผมออกปากว่ารัก แต่ไม่ได้ทำเพื่อมัน
คนๆนั้น...ทำ...ยอมสละตัวและทำทุกอย่างเพื่อสิ่งที่เรียกว่า" ประเทศชาติ "
ผมที่เคยคิดถึงแต่ตัวเอง มองตัวเองเป็นศูนย์กลาง มองว่าถูกรังเกียจ ถูกทำร้าย ถูกสังคมประณาม หากแต่ผมก็ไม่เคยคิด...ลืมที่จะนึกไปถึง"สังคม"ภายนอกว่าเกิดอะไรขึ้น...
....หากปล่อยให้นักโทษที่เป็นตัวการใหญ่ของการขนส่งยาเสพติด ผู้มีอิทธิพลที่ทุกคนยำเกรงออกไปภายนอก ออกไปกางมือกางเท้าโลดแล่นในสังคมโดยปราศจากการควบคุม มันจะเกิดอะไรขึ้นเล่า?..
ทุกวันนี้ปัญหามันเกิดขึ้นเพราะคนเลวที่ไม่เคยสำนึกตัวไม่ใช่หรือ มันเกิดขึ้นเพราะคนโลภ คนเห็นแก่ตัวไม่นึกถึงคนอื่นไม่ใช่หรือไง..
แล้วจู่ๆ ทำไม ผมถึงคิดอยากจะไปรวมกลุ่มให้ตัวเองสกปรกน่าขยะแขยงขึ้นมากกว่าเดิม?
ฝ่าเท้ากาวเข้ามายังเรือนนอน ย่ำเท้าถึงอาณาเขตแดนสิบสอง...ที่อยู่ของเหล่านักโทษร้ายแรงที่มีแต่ผู้คนหวาดกลัว จ้องมองใบหน้าที่เคยคุ้นและท่าทีอันแสนคุ้นชินของผู้คนโดยรอบ..
ภาพของกลุ่มคนที่แสนคุ้นตายืนคุยอะไรกันเงียบๆหน้าห้องขังทำให้ดวงตาผมค่อยหรี่ลงเล็กน้อย...และ....เดินก้าวไปหาด้วยสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นเดิม...
" ทำอะไรอยู่เหรอครับ ?" ผมออกปากถาม จ้องมองใบหน้าของชายสองคนที่แสนเคยคุ้น...หนึ่งคือพี่วิทย์ และอีกหนึ่ง...คือพี่ทินที่ไม่ได้พบมานานพอดู
" อะไร...? ก็คุยกันแหละ ตามประสาคนไม่เจอกันนาน ก็ไอ้ทินมันหายหัวไปนอนให้ผัวมันกกอยู่ที่แดนสิบนี่หว่า" พี่วิทย์หัวเราะหึหึๆ ก่อนจะร้องจ้ากเมื่อพี่ทินหวดฝ่าเท้าเข้าที่หน้าแข้งเข้าให้
" พี่โตล่ะครับ? "ผมออกปากถาม ยิ้มและหัวเราะรับกับอาการกระฟัดกระเฟียดของพี่วิทย์...มองทั้งคู่ด้วยสีหน้าอ่อนเดียงสาราวกับไม่รู้เรื่องอะไรเช่นเดิม
...ไม่เห็นหรอก...ว่าพี่ทั้งสองคนกำลังหยิบยื่นอะไรให้กัน
...ไม่ได้ยินเลย...ไอ้คำพูดที่บอกว่า "ให้" ใครรับมันไปนั้น...
ผมจ้องมองสีหน้าของชายทั้งสองคนด้วยท่าทีเหรอหรา มองใบหน้าของพี่วิทย์และดวงตาที่ฉายแววลำบากใจขึ้นมาวูบหนึ่งของพี่ทิน และเมื่อคิดถึงวันเวลา...ก็พยักหน้ารับ
" ครับ....อยู่ที่อาคารเยี่ยมสินะ "
ผมหันหลัง เดินออกมาอย่างว่าง่าย ไม่ได้หันกลับไปมองสีหน้าลำบากใจของพี่วิทย์กับพี่ทินเลย ขณะที่สมองใคร่ครวญสิ่งที่ได้ยินอย่างรวดเร็ว
...เสียงกระซิบนั้นยังดังชัดเจน คำพูดที่ว่าให้"มอบ" ของอะไรบางอย่างในมือพี่วิทย์ ให้พี่ทินและพี่ทินจะมอบให้พี่คม คนที่ถูกเรียกว่าผัวของพี่ทิน ชายหนุ่มหน้าเคร่งที่ใส่ตรวนหนักบนข้อเท้าคนนั้น...
ผมเดินออกไปอย่างลอยเหม่อ ที่สุด....จึงได้มาถึงอาคารเยี่ยม...หากทำได้เพียงยืนนิ่งและจ้องมองพี่โตที่นั่งคุยอยุ่กับแฟนสาวด้วยสีหน้ายิ้มน้อยๆไม่กล้าจะเดินเข้าไปด้วยรู้ว่าไม่มีความเกี่ยวข้อง ทำได้เพียงยืนนิ่งและจ้องมองมันด้วยสีหน้านิ่ง
เรียบ...คล้ายจะเย็นชาและนิ่งเฉยกับมัน ทว่าแท้จริงก็รุ้ดี ว่ามันไม่ใช่...
ทั้งที่คำว่ารัก...คำบอกรักของพี่โตยังคงดังก้องอยู่ในสมอง ลอยวนอยู่ราวกับเสียงกระซิบข้างๆหู...
..แต่...เมื่อได้เห็นภาพความสนิทสนมที่ปรากฏอยู่ รอยแยกของความกังวลในหัวใจจึงค่อยเผยออกขึ้นมาทีละนิด...ทีละนิด...
ทำเหมือนลืม ไม่นึกถึง ไม่กังวล ไม่อะไรทั้งนั้น...แต่ความจริง มันไม่ใช่ ผมยังคิด และยังคงคิดถึงอยู่เสมอ...
ความจริง...ที่แม้พี่โตบอกว่ารัก แต่ก็ยังมีใครอีกคนรออยู่ข้างนอก...
คำพูด...ที่บอกว่าไม่สามารถตัดใจได้ แม้ตอนนี้พี่โตจะบอกว่ารักและบอกว่าผมสำคัญกว่า...แต่....มันก็ยังไม่อาจจะแน่ใจ หรือวางใจ...
. .มองแล้วได้แต่ถอนใจ ครู่หนึ่งคิดเรื่องที่ตัวเองคิดจะทำในตอนแรก พลันอยากจะหัวเราะให้ฟันหัก...
...อยากจะขำ
..ขำตัวเองที่พยายามปกป้องพี่โตอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งที่เขาอาจจะไม่ได้แยแสสิ่งเหล่านั้นด้วยซ้ำ...
...ไม่มีอะไรประกันว่าหากออกไปแล้วพี่โตจะเป็นเหมือนเดิม...เพราะขนาดออกปากว่ารักผม เขาก็ยังเดินมานั่งคุยกับ"คนรัก"อีกคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ต่อให้บอกว่ารัก ผมก็เป็นผู้ชาย และเป็นผู้ชายที่ติดคุก..เป็นเพียงนักโทษตัวดำหน้าเคร่งที่อาศัยอยู่ในเรือนจำแห่งนี้..
ต่อให้บอกว่ารัก แต่มันเป็นเพียงรักที่อยู่ในคุก ไม่ได้หมายถึงข้างนอกนั่น...
แล้วตอนนี้ที่ตัวเองมานั่งคิดจนปวดหัว เพื่อจะปกป้องคนอย่างพี่โตที่ตัดสินใจเด็ดขาดไปแล้วว่าจะทำอะไร มันน่าขำตัวเองเสียจริงๆ
ที่จริงแล้วเมื่อสามอาทิตย์ผ่านไปจากเหตุการณ์การสอบสวนผมครั้งล่าสุด..จากข้อตกลงของพัศดีกับผมที่มีต่อกัน มาจนบัดนี้แล้วเรื่องราวทุกอย่าง ทั้งความสงสัยของผม ข้อสังเกตของพัศดี สารพัดความสงสัยที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมของพี่โต เมื่อนำมาเรียงร้อยประสานกันเป็นเรื่องเดียว ผมก็พบกับ"ความจริง"หนึ่งที่ตัวเองรู้ได้ไม่ยาก..
...มีคนกำลังเคลื่อนไหว เพื่อเตรียมตัวก่อจลาจล..ก่อความวุ่นวาย...ใช่..
...มีคนกำลังวางแผนแหกคุก ..วางแผนออกไปจากที่นี่ และกำลังระดมพลกันอยู่เงียบๆ...ใช่..
...และ...ตัวการใหญ่เหล่านั้นอยู่ในแดนสิบสอง...
ใช่...
ใช่แล้ว..
นับแต่ผมรับปากพัศดีว่าจะสืบ นับแต่ได้เบาะแสจากคำพูดของผู้ชายคนนั้น ความสงสัยที่เกิดขึ้นในใจก็เริ่มเด่นชัด..ชัดขึ้น...ชัดขึ้นทุกวัน..
ได้คำตอบแล้ว...ว่าพี่โตเรียกคนนั้นคนนี้มาหาทำไม...
รู้แล้ว ว่าพี่ทินถูกย้ายไปอยู่กลุ่มอื่นเพราะสาเหตุไหน..
...กระทั่งรู้ ว่าทำไมพี่โตถึงให้ผมย้ายไปทำงานกับกลุ่มพี่วิทย์...
..พี่โตรู้ดีว่าผม...ไอ้เนมคนนี้ พอรู้และระเคะระคายใจว่าพี่โตกำลังคิดจะทำอะไร ไอ้ผู้ผดุงความยุติธรรม ไอ้คนโง่อย่างผมต้องออกปากห้าม ต้องต่อต้าน..ต้อง...ไม่เห็นด้วย..
เพราะฉะนั้นพี่โตถึงได้ย้ายผมไป...ให้ผมไปอยู่กับกลุ่มอื่น ให้ผมไปไกลหูไกลตา..ให้ผมไปอยู่ห่างๆความผิดปกติและให้คนอื่นจับตาดูผมไว้..
..นั่นจึงเป็นเหตุและผลที่สมบูรณ์ในตัวของมันเองแล้ว ว่าพี่โตทำไปเพื่ออะไร..
เพราะพี่โตรู้จักผมดี..อาจจะมากกว่าที่ผมรู้จักพี่โตด้วยซ้ำ..พี่โตถึงได้กันผมออกไปจากเรื่องนี้ พี่โตถึงได้พยายามเอาผมออกห่างจากเรื่องวุ่นวายทั้งหมด..
โดยไม่รู้แม้แต่น้อย ว่าผม...กำลังเอาตัวเองมาอยู่ในแผนการณ์นี้โดยเต็มใจ
....ผมไม่เคยบอกอะไรกับพัศดี ไม่เคยบอกว่าพี่โตกำลังระดมคน ไม่เคยบอกว่าคนอื่นกำลังทำอะไร ไม่เคยบอก..ไม่เคยพูด..
เพราะผมรู้..รู้ดีว่าหากพูดไปแล้วอะไรจะเกิดขึ้น...หากพี่โตจะต้องโทษหนักกว่าเดิม หากคนอื่นจะต้องเดือดร้อน หากเป็นแบบนั้น ผมขอไม่พูดเสียดีกว่า..
....แต่แล้วดูตอนนี้สิ...
คนที่ผมปกป้อง คนที่ผมพยายามแทบเป็นแทบตายเพื่อเขา...กลับ....
ผมถอนหายใจเบาๆ พยายามที่จะไม่เอาเรื่องความกลัวของตัวเองมาปะปนกับเรื่องที่จะเกิดขึ้น...การกระทำของผมมันอาจจะเป็นเรื่องงี่เง่า เป็นการตัดสินใจโง่ๆที่จะทำอะไรก็ไม่ทำให้เสร็จ กลับคาราคาซังอยู่แบบนั้น เหมือนอยู่กึ่งกลางของสองฝ่ายที่ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็เจ็บทั้งนั้น..
..ตอนนี้...ผมกำลังคิด....
...คิดว่าจะทำอย่างไรดีต่อเรื่องราวที่ตัวเองได้รู้..
...ระหว่างพี่โตที่ทำเพื่อลูกพี่ ทำเพื่อคนในกลุ่ม และทำเพื่อจะได้ออกไป...และ...อาจทำเพื่อ....คนที่รอคอยเขาอยู่ข้างนอกนั่น
....กับพัศดีที่บอกว่ายอมสกปรก ยอมทำเรื่องไม่ดีกลั่นแกล้งนักโทษคนนั้นคนนี้เพื่อจะขัดขวางไม่ให้ป๋าออกไป...สิ่งที่เขาทำ...เขาทำไป...เพื่อ...ผู้คนอีกมากมาย
...และ....คิด...คิดถึงเรื่องราวของตนเอง คนที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องถูกมองว่าเป็นพวกสองหน้า ทรยศพรรคพวกอยู่ดี...ความจริงมันคือแบบนั้น และ ยังไงมันก็ต้องเป็นแบบนั้นไม่มีแปรเปลี่ยน..
...แต่ตอนนี้ผมกำลังคิด..กำลังคิดบ้าๆ บ้าเพราะความกดดันและคำถามที่ได้รับจากทั้งฝั่งพัศดีและท่าทีของพี่โต..
...คิดบ้าๆที่จะเป็นนกสองหัวให้เต็มที่ไปเสียเลย
...ข่าวของพี่โต รู้แต่ไม่พูด...พูด แต่บอกไม่หมด
...ขณะที่พัสดีกำลังทำอะไร ผมก็จะสืบหาและบอกพี่โตเช่นเดียวกัน..
แต่แน่นอน ผมไม่บอกหมด เช่นเดียวกับที่ผมไม่บอกข่าวทั้งหมดที่ผมรู้แก่พัศดี..
จะแกล้งปิดหูปอดตา แกล้งไม่รู้ไม่เห็นแล้วเก็บเอาความเคลื่อนไหวของทั้งสองฝ่ายมาไตร่ตรองว่าเมื่อถึงที่สุดแล้ว ควรจะทำยังไง..
มันอาจเป็นเรื่องงี่เง่าบ้าบอที่พยายามจำเก็บงำท่าทีของทั้งสองฝ่าย และนิ่งพิจารณาทำตามแผนโง่ๆของตัวเองราวกับว่าผมนั้นป็นศูนย์กลางของโลก
มันอาจเป็นการกระทำที่ไม่น่าเกิดขึ้นสำหรับคนที่ได้ยิน ได้ฟังว่าพัศดีคิดจะทำอะไรเพื่อใคร.. คนอย่างผมควรจะรับปาก คนอย่างผมควรจะช่วยเขาอย่างสุดกำลัง ไม่ใช่เหรอ?...
มันก็ควรจะเป็นแบบนั้น ถ้าผมไม่คิด...ว่าหากยอมจมลงไปทั้งตัวแล้วจะต้องเจอกับอะไร...
อย่างที่เขาบอกว่าผมเอาคอลงไปพาดกับเขียงแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็เสี่ยงทั้งคู่ ...แล้วเรื่องอะไร ผมถึงต้องเร่งวันตายให้ตัวเอง..
คนเรามีทั้งขาว และดำ สีสันใดจะแปดเปื้อนมากกว่ากันไม่สำคัญเท่ากับว่าปลายทางคืออะไร..
ก็เช่นเดียวกับที่ผมจะทำ และถึงอย่างไร...ผมก็จะทำแบบนั้น...
...จะทำ แม้ว่าคำโกหกมันจะถมตัวจนตายก็ตาม...
ผมถอนหายใจและหันหลังเดินจากอาคารเยี่ยมด้วยสีหน้าเรียบเฉย...นัยน์ตาหรุบต่ำจ้องมองรองเท้าและมองพื้นหญ้าสีเขียวใต้ฝ่าเท้า..
พลันรู้สึกถึงความเย็น...เม็ดฝนเย็นๆที่ตกต้องผิวแก้มและใบหน้าทีละเม็ด...ทีละเม็ด...
....ก่อนมันจะค่อยทวีเพิ่มน้ำหนักมากขึ้นจนกลายเป็นสายฝนกระหน่ำ...เทลงบนร่างของผมที่บัดนี้เหมือนคนโง่ที่ไม่รู้จะเดินไปทางใด..
..............
หายไปนานเป็นชาติ ไม่ได้อัพนิยายนานเป็นเดือน...ทั้งที่บอกว่าจะอัพอาทิตย์ละตอน ชาวบ้านคงอยากเอาไม้หน้าสามมาทุบกบาลอิชั้นให้หัวหลุด...

บอกได้ก็แค่คำว่าขอโทษและจะ(พยายาม)ไม่ทำอีกแล้ว คราวนี้เราจะขยับจริงๆแล้วนะ โฮ วว ว ว ว

...ส่วนตอนนี้...งงกันไหม? ฮ่าๆ
เรื่องของเรื่องคือพัศดีไม่พอใจที่เนมมันไม่บอกอะไรเลยทั้งที่รับปากว่าจะเป็นสาย เลยบอกออกมา ให้เนมได้คิด ขณะที่เนมก็เริ่มไม่มั่นใจว่าที่พี่โตอยากออกไป อยากออกไปเพราะ...อะไรกันแน่...

ระเบิดเวลาเริ่มทำงาน? ฮ่าาาาา ทั้งที่หวานกันมาไม่กี่ตอนแท้ๆน้อ...เหอๆ
ปล. เตรียมตัวรับม่าม่าหมูน้ำตกซะ ซะ ซะ ซะ ซะ

ปล.2 คาวี่พรุ่งนี้อัพจ้า