Improbable 23 : หลับตา
โน๊ตดนตรีบนแฟ้มกระดาษขนาดเอสี่วางอยู่บนโต๊ะ ผมหยิบมันมาวางไว้บนที่วางโน๊ต ไวโอลินสีมะฮอกกานีวางอยู่ในกระเป๋าบุนวมขนาดพอดี เอื้อมมือไปรับ pitch pipe จากอาจารย์ธีระมาตั้งเสียงตามปกติ...ในยามบ่ายสองของวันธรรมดาๆวันหนึ่งในแดนสิบสอง
จะแปลกไปบ้างก็ตรงร่างของใครสักคนที่ผมเคยคุ้นนั่งกอดอกจับจ้องมาจากนอกห้องเรียน หน้าตาออกจะบูดบึ้งเมื่อผู้คุมไม่ยอมให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาในห้องเรียนวิชาดนตรี..
เหลือบมองคนที่เข้ามานั่งข้างในไม่ได้ก็ยังอุตส่าห์ไปจับจองร่มไม้หน้าห้องเรียน แล้วเรียกพรรคพวกไปลากเอาเจ้าม้าหินอ่อนผู้โชคร้ายมาใช้เป็นที่นั่ง ส่งสายตาวาวๆจ้องมองมาภายในอาคารจนชาวบ้านเขาเกร็งกันเป็นแถบๆ เพราะไม่รู้ว่าวันนี้พี่โตแกผีเข้าหรืออะไรยังไงถึงได้นึกมานั่งอยู่ตรงนี้ ....มานั่งจ้องคนเขาจะซ้อมดนตรีกันแบบไม่ให้คลาดสายตา..
อาจารย์ธีระถอนหายใจเบาๆเมื่อนักโทษรายหนึ่งนั้นเล่นจบไป ได้ยินเสียงเอ่ยปากบอกให้ฝึกซ้อมแบบเนือยๆ ขณะที่ผมพลิกโน๊ตเพลง kiss in the rain แล้ววางลงบนที่วางอีกครั้ง ด้วยวันนี้ตั้งใจว่าจะเล่นเพลงนี้เพื่อฝึกซ้อม..
" สมาธิเสียหมด " เสียงคนสอนบ่นเบาๆทำให้ผมที่กำลังเอาไวโอลินพาดบ่าชะงัก...มองหน้าอาจารย์ธีระงงๆ
"....ก็มานั่งอยู่อย่างนั้น ใครเขาก็นึกว่าทำอะไรไม่ถูกตาเข้า พาลจะเกร็งจนคิดอะไรไม่ออกไปใหญ่ " คำกล่าวหานั้นมาพร้อมกับสายตาเชิงตำหนิตรงแน่วไปยังชายหนุ่มที่คุณก็รู้ว่าใครแล้วถอนใจยาว ไม่วายทิ้งหางตาเป็นคำถามมาใส่ผมราวกับเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดเสียอย่างนั้น อะไรกันฟ่ะ
" ช่วยไล่ๆออกไปได้ไหม ? "
" ....... " เอางั้นจริงเหรอ? จะเอางั้นจริงดิ อยากให้ผมโดนกระทืบหรืออยากจะโดนกระทืบเองล่ะครับอาจารย์ธีระ..คิดจะขัดใจพี่โตแกต้องดูเลเวลตัวเองด้วยนะครับ
ผมเหลือกตามองชายหนุ่มตรงหน้าแล้วได้แต่นิ่งไม่ตอบคำ ท่าทีฝ่ายนั้นก็คงรู้ดีว่าเราต่างไร้ปัญญาจะจัดการอะไรกับบอสตัวนี้พอๆกัน จึงได้แต่บ่นงึมและถอนหายใจเท่านั้น ไม่มีทางจะไล่พี่โตออกไปไหนได้ เพราะมันก็ไม่ได้ผิดกฏหรืออะไร พี่โตไม่ได้เข้ามายุ่งยามข้างในห้องซ้อม ก็แค่นั่งฟังดนตรีแค่นั้น ต่อให้นักโทษรายอื่นจะเกร็งจนเยี่ยวราด มันก็ไม่อาจใช้เป็นสาเหตุการไล่พี่โตออกจากอาณาบริเวณนี้อยู่ดี
คิดแล้วก็โคลงหัว ไม่รู้ว่าพี่โตเป็นอะไรขึ้นมานะช่วงนี้...นับแต่ผมกลับมาจากขังเดี่ยวเมื่อสองวันก่อน พี่โตก็มีท่าทีแปลกไปจนผิดหูผิดตา หลังจาก...เอ่อ...บอกว่ารักกันให้ดีใจแล้ว อีกวันพี่โตก็ไปหาป๋าคาดว่าน่าจะเอ่ยปากให้ฝ่ายนั้นจัดการเรื่องพัศดีให้แน่ๆ เพราะตอนนี้ผมยังไม่ถูกเรียกไปสอบสวนหรือทำอะไรอีก แล้วจากนั้น...อ่า พี่โตก็แปลกไป...มันก็ไม่ใช่การทำตัวแปลกไปแบบ...ผิดปกติหรือชวนสงสัยหรอกนะ แต่ว่ามันเป็นการผิดปกติไปในแง่ของความหวานเอาใจใส่กันและตามติดชนิดไม่ยอมให้ผมคลาดสายตาไปไหนอีกแล้ว กระทั่งมาซ้อมไวโอลิน ยังตามมาและนั่งเฝ้าแถมสั่งให้ผมซ้อมให้เห็นเสียด้วย..
บางที....เหตุการณ์ที่ผมถูกพาตัวไปโดยที่พี่โตไม่รู้ และเหตุการณ์ที่เราได้แต่เฝ้าคิดถึงกันและกันโดยทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น อาจจะส่งผลกระทบในใจของผู้ชายที่ผม...รัก... มากกว่าที่คิดก็ได้..
ใช่ไหมล่ะ โดยเฉพาะเมื่อผมเป็นคนรัก...ของพี่โตด้วยแล้ว...
เผลอยิ้มแล้วกดน้ำหนักมือขึ้นอีกนิดทำเอาผิดคีย์จนต้องสะดุ้ง ไอ้เนมหน้าแดงจัดทั้งด้วยความเขินปนกับความอับอายต่อสายตาตำหนิของอาจารย์ธีระ นึกก่นด่าตัวเองสักสามสี่รอบฐานคิดฟุ้งซ่านจนเป็นผลต่อการฝึกซ้อม
อ่ะ แต่มันไม่ใช่ความผิดผมนะ ก็ใครบอกให้พี่โตมันมานั่งอยู่ตรงหน้านี่ล่ะ ใครบอกให้พี่โตมายิ้มแป้น ทำตาหวาน เท้าคางมองหน้าไอ้เนมด้วยสายตาแบบนั้นกันเล่า...โอ้ยยย มันเขินนะเฟ้ย แถมยังสุขสุดๆ อ้ากก บ้าไปแล้ววววว
ค้อนขวักใส่คนที่ยังนั่งทำตาหวานใส่ไม่เลิก สติฟุ้งซ่านเพราะท่าทีแปลกๆกับตาหวานๆนั่นที่มองมาทีทำเอาอ่อนยวบยาบ นี่มันอะไรกัน!!!! ผมกับพี่โตรู้จักกันมาสามสี่ปีแล้ว ล้วงลักควักไส้เห็นกันชนิดที่ไม่เหลืออะไรจะมาอายแล้วแท้ๆ แต่ทำไมไอ้คำว่ารักคำเดียวมันทำให้เราเป็นไปได้ถึงขนาดนี้กันเนี่ย
สูดหายใจลึก พาดไวโอลินขึ้นบนบ่าอีกครั้งและตั้งใจฝึกซ้อมให้สติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้งก่อนจะถูกอาจารย์ธีระแกเตะโด่งถีบออกไปนอกห้องด้วยความหมั่นไส้จัด ผมหลับตาลงช้าๆ สิ่งสุดท้ายที่มองเห็นก่อนหลัลตาลง ยังคงเป็นใบหน้าของพี่โตและรอยยิ้มที่ผมชอบเช่นเคย...
ผมสูดหายใจลึก...ใบหน้าประดับรอยยิ้ม ยามเมื่อนึกถึงเนื้อเพลงและเรื่องราวที่ผ่านพ้น...
และ...นึกถึงรอยยิ้มกับใบหน้าของพี่โต
ใช่...Kiss in the rain นี่ล่ะ...เหมาะสมที่สุดแล้ว..
.....
"ทำแบบนั้น ชาวบ้านเขากลัวหมดเลยรู้ไหม? " ออกปากบ่นทันทีที่ออกมาจากห้องซ้อม แต่คนฟังทำท่าเฉยเสียแล้วขยับไหล่สองสามทีราวกับส่งสัญญาณ... ไอ้เนมกลอกตาหน่ายๆก่อนจะออกแรงบีบนวดไหล่ขาใหญ่แห่งแดนสิบสองไปด้วย...ถึงจะบอกว่ารักแต่เรื่องใช้งานมันคนละเรื่องครับ ชิ
" ทำอะไร แค่มานั่งฟังเพลง "คำแก้ตัวนอกจากจะไม่แนบเนียนแล้วยังฟังไม่ขึ้นอย่างรุนแรง
" ร้อยวันพันปีไม่เห็นชอบ แล้วไหงช่วงนี้ถึงนึกอยากฟังขึ้นมาได้ล่ะ " ออกปากจิกกัดอย่างรู้ทัน ฝ่ามือที่นวดบนไหล่รู้สึกถึงอาการสะดุ้งอย่างคนมีชนักติดหลัง ทั้งน่าขำและนึกอาดูรจนต้องแอบยิ้ม..ยิ้มไม่ให้ใครเห็นบนหลังพี่โตนั่นแหละ...
" ก็น้องเนมที่รักเล่นนี่ ไม่อยากฟังได้ไง จริงไหม? " วาจาที่พูดออกมาอย่างไม่อายปาก ทำเอาผมที่กระหยิ่มยิ้มย่องอยู่สะดุ้งเฮือก ผิวแก้มร้อนผ่าวจ้องมองคนพูดที่ไม่แสดงอาการขัดเขินใดๆราวกับพูดประโยคธรรมดาสามัญประมาณ"กูหิว"อย่างไรอย่างนั้น มองแล้วนึกอัศจรรย์ใจในความหนาของใบหน้าเสียจริงๆ...แม่เจ้าโว้ยยย
" น้องเนมที่รักเล่นมานานแล้วครับถ้าพี่โตไม่รู้.." ผมออกปากสวนกลับทันทีด้วยไม่ยอมให้ตัวเองต้องมาเขินแทบบ้าอยู่คนเดียว...เหมือนจะได้ผล เพราะพี่โตชะงัก....แล้วหัวเราะหึๆ
ฝ่ามือของผมที่บีบนวดไหล่คนตัวโตอยู่ถูกดึงรั้งได้อย่างง่ายดาย ปลายนิ้วกร้านไล้หลังมือและปลายเล็บสีขาว นัยน์ตาสีเข้มหันมาสบมองแววตาของผมที่อยู่ใกล้ๆ..ทั้งหวานเชื่อมเสียจนชวนให้ใจสั่น
" อยากอยู่ด้วยกัน...ไม่ชอบหรือไง? " แค่นี้ทำผมเขินไม่พอใช่ไหม คนพูดถึงได้เอาหน้าผากมาแนบชิด ออกแรงโขกเบาๆกับหน้าผากของผมพอให้รู้สึก ตาคู่นั้นจ้องเขม็ง..แสดงความรู้สึกออกมาอย่างไม่ปิดบัง..
อยากจะยิ้มเขิน หรือหัวเราะแก้ขวยแล้วออกปากต่อล้อต่อเถียงเช่นที่เคยเป็น ทว่าใจความบางอย่างของบทสนทนา แววตา หรืออะไรสักอย่างนั้นทำให้ผมชะงัก..แขนข้างที่ว่างซึ่งเกาะอยู่บนไหล่หนาย้ายลงมาที่สอดเข้ากับบั้นเอวพร้อมกับกอดไว้แน่น..
" ชอบสิ " หัวเราะหึๆเมื่อพี่โตรั้งตัวให้นั่งลงบนตัก ตากวาดมองรอบๆเผื่อใครมาเห็น แต่เมื่อห้องดนตรีปิดแล้วและไม่มีร่างของผู้คุมหรือสิ่งมีชีวิตชนิดใดอยู่จึงยอมนั่งลงและเอนกายพิงแผ่นหลังแกร่งอย่างว่าง่าย...รับไออุ่นจากตัวคนซึมซับและถ่ายทอดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว..
" ร้อนจัง..." ริมฝีปากชื้นแนบลงบนผิวเนื้ออ่อนตรงซอกคอ ฝ่ามือหนาสอดเข้าไปไล้บั้นเอวช้าๆ..เสียงกระซิบที่แฝงนัยยะที่รู้กันดีเป็นของพี่โตคนเดิมไม่ผิดแน่ คนที่พลิกจากสถานการณ์หวานๆมาหื่นได้หน้าตาเฉย ..
" ปล่อยสิ จะได้หายร้อน " ตอนนี้เวลาคงปาเข้าไปสามโมงกว่า แดดร้อนเปรี้ยงยังไม่หายไปไหนเลย มากอดรัดอะไรกันตรงนี้ก็สมควรจะร้อน และเพราะมันร้อน มันจึงไม่สมควรที่จะทำอะไรมากกว่ากอดด้วย
" น่า....." ฝ่ามือยังรุกไล่ไม่ยอมแพ้..ริมฝีปากยังตามขบกัดไม่หยุด จนชัดจะเสียใจที่ตัวเองเลอซาบซึ้งกับบรรยากาศหวานๆเมื่อครู่ซะจริงๆ
" ไม่เอา....ตอนกลางคืนเถอะ " ผมไม่ได้หื่นนะ บอกไว้ก่อน แต่ถ้าห้ามอย่างเดียวมีหรือพี่โตจะฟัง ต้องหลอกล่อถ่วงเวลาสิ อยู่กิน เอ๊ย อยุ่กันมานานก็พอรู้นิสัยอยู่หรอก
" เฮ้อออ ก็ได้ " ที่สุดพี่โตก็ยอมละมือออกจนได้ ฝ่ามือนั้นเปลี่ยนจากสอดไล้บั้นเอวเป็นกอดไว้แทน พร้อมกับปลายคางพาดลงบนไหล่ผมโยกตัวกอด ออดอ้อนราวกับเด็กน้อยเสียอย่างนั้น
เปลี่ยนอารมณ์เร็วจนตามไม่ทันจริงน้า... ไอ้เนมได้แต่บ่นอยู่ในใจ จำยอมให้พี่โตกอดไว้เหมือนตุ๊กตาแต่โดยดี..
" ...เนม...."
" หืม..." ตากำลังมองท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีเงียบๆคิดอะไรเรื่อยเปื่อย พี่โตก็สงเสียงทัก ผมครางรับไปส่งๆก่อนจะหลับตาลงช้าๆ..
"...ตอนที่...ถูกสอบสวน " ใจความเครียดเคร่งไม่น้อยทำให้นัยน์ตาต้องลืมขึ้นในที่สุด..ผมเม้มปากเข้าหากันช้าๆเมื่อคิดถึงโมงยามอันน่าหวาดหวั่น " พัศดี..มันพูดอะไรเกี่ยวกับพวกป๋าไหม?"
" เอ๋ ?" ผมชะงัก...เบิกคิ้วงงๆ
" ...เมื่อวานไปหาป๋ามา..มันบอกว่ายังตกลงเรื่องสอบปากคำไม่ได้เลย " นั่น...หมายความว่าผมอาจจะต้องถูกเรียกไปอีกหรือ?
" ไม่เป็นไรหรอก.. " เหยียดยิ้มออกมาช้าๆ สบตาพี่โตพยายามให้ความมั่นใจคนที่ผมรักและคนที่รักผมอย่างหนักแน่น " ต่อให้ถูกสอบกี่ครั้ง ผมก็จะไม่..บะ......"
" ไม่ใช่เรื่องนั้น ! " พี่โตส่ายหน้า ร้องเสียงห้วนสวนคำพูดของผมขึ้นมาอย่างอัดอั้นใจ สีหน้าคนพูดเครียดขึ้งเมื่อคิดถึงเรื่องที่ผมต้องพบเจอ นัยน์ตาพี่โตสั่นไหว...ชวนน่าสงสารนัก..
"....กูไม่อยากให้มึงไปไหนไกลๆตาอีกแล้ว " ผมชะงัก...นิ่งไป เมื่อได้ฟังคำสารภาพจากปากของผู้ชายที่กอดตัวเองไว้แน่น..
นี่เหมือนเป็นคำตอบกรายๆของพฤติกรรมในช่วงนี้ สิ่งที่ผมคิดว่ามันแปลกประหลาดและเป็นผลมาจากคำบอกรักของเราทั้งสองคน
มันก็อาจจะใช่ เพราะจะมีใครไม่ดีใจ เมื่อได้ฟังคำรัก...จากคนที่รอมาตลอด
ทว่า...อีกหนึ่งสาเหตก็อาจมาจากสิ่งนี้..
เพราะความสุขของเรามันยังไม่ยั่งยืน เพราะไม่อาจวางใจได้ เพราะหวั่นกลัว...ว่าจะมีใครมาพรากจากกันอีก
ผม...อาจจะต้องถูกสอบสวน ถูกทำร้าย โดยที่พี่โตช่วยอะไรไม่ได้...ในความรู้สึกของผม ผมอาจจะเจ็บ อาจจะหวาดกลัว ไม่เข้าใจต่างๆนาๆ
แต่กับความรู้สึกของพี่โต คนที่รักและห่วงแทบบ้า คนที่ไม่สามารถทำอะไรเพื่อคนที่ตัวเองรักได้ และต้องคอยห่วงกังวล คิดอะไรร้ายๆสารพัดว่าผมจะต้องพบเจอกับอะไร..
พี่โต คงไม่อาจจะทนกับเรื่องราวเหล่านี้ได้ ไม่อาจจะทนกับสภาพที่มีผมเป็นดั่งตัวประกัน จะถูกจับเชือดวันไหนก็ไม่รู้..
เพราะฉะนั้น เวลานี้ จึงอยากปกป้อง อยากดูแล อยากจะอยู่ใกล้ๆให้มากที่สุด
" ผม....."
"...อยากออกไปข้างนอกนั่นไหม? " จู่ๆพี่โตก็โพล่งขึ้นมาท่ามกลางความเงียบงันในบทสนทนา...ผมชะงักค้าง ขมวดคิ้วแน่น..
ออกไปข้างนอก...?
ถามถึงความต้องการน่ะหรือ?
" อยากสิ " ผมยิ้ม ยิ้มให้กับดวงตาสีดำสนิทที่จ้องมองมาไม่กระพริบของพี่โต ก่อนจะถอนหายใจเฮือก คิดถึงเรื่องราวที่วาดหวังไว้ยามได้ออกไป"ข้างนอก" ที่พี่โตว่า นอกกรงขัง หนีจากเรื่องราวโหดร้ายทั้งหลาย..
...ถ้าออกไปแล้วผมจะไปอยู่กับแม่... อยากจะอยู่ดูแลแม่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อยากจะชดใช้หยดน้ำตาที่ผมทำให้ท่านเสียไป..
อยากจะกอดน้ำแน่นๆ อยากจะให้กำลังใจและดูแลน้องสาวที่ผมรักให้ดีที่สุด
...และ อาจจะได้พบกับพี่โต อาจจะได้พุดคุย บางที....เราอาจจะเป็นเหมือนในนี้ก็ได้ เราอาจจะได้รักกันข้างนอกนั่นก็ได้..
จะดีสักแค่ไหนล่ะ ถ้าหากผมจะได้ยิ้มอยู่ภายใต้ท้องฟ้าที่ไร้ลวดหนามและกรงขังอีกครั้ง...
...อยาก...จะมีอิสระ....อยาก จะเล่นไวโอลินท่ามกลางทุ่งหญ้าหรือภูเขา อยากจะก้าวเดินบนผืนดินแห่งนี้อีกครั้ง...ในฐานะของ"คน" ที่กลับมาเป็นคนผู้เต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณอีกครั้ง
ใครๆในที่นี้ต่างก็มีความหวังแบบนี้ทั้งนั้น...
โตมองใบหน้าของเจ้าคนบนตักที่กำลังยิ้ม...ยิ้มกว้างยามคิดและวาดฝันถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง คิดถึงสิ่งที่เนิ่นนานเหลือเกินกว่าจะได้พบเจอ..
ขาใหญ่แห่งแดนสิบสองมองท้องฟ้าที่สดใส เมฆสีขาวลอยไปตามสายลม นกตัวน้อยที่บินผ่านและดวงตาวันส่องแสงจ้า...
ฝ่ามือค่อยกำแน่น..สุดหายใจลึก สบมองดวงตาสดใสของคนรัก...คนรักที่รักและสำคัญมากเหลือเกิน..
วางฝ่ามือลงบนแก้มมันแล้วไล้เบาๆ อย่างสเน่หา..รัก....รักเหลือเกิน ห่วงใยและอาทรหนักหนา
เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ทีหนักในหัวใจของมันมีมากขนาดนี้ รักจนใบหน้าและรอยยิ้มของแฟนสาวแทบจะหายไปจากความทรงจำ และยิ่งตระหนักรู้...รู้ชัด...ในยามที่มันถูกพาตัวไป หัวใจปวดร้าวทุรนทุรายแทบขาดใจ ทรมารแค่ไหนก็รู้ตัวเองดี..
ริมฝีปากแตะลงบนผิวแก้มขาวไล้เบาๆเเล้วประทับรอยชื้นบนริมฝีปากบาง สอดปลายลิ้นเข้าลิ้มลองความหวานของร่างในอ้อมแขน ฟังเสียงครางเครือในลำคอเหมือนแมวจนอดจะไล้ปลายนิ้วลงบนแผ่นหลังหยัดโค้งและลำคอขาวบางไม่ได้...
รัก.... รัก.....รัก
เพราะรัก...ถึงได้ปกป้อง เพราะสำคัญ...ถึงได้ยอมทำทุกสิ่ง...
" นั่นสินะ....ใครๆก็อยากออกไปทั้งนั้น " เอ่ยคำพูดนั้นแล้วยิ้มให้เจ้าคนที่มีสีหน้างวยงงอยู่ครู่หนึ่ง มันพยักหน้ารับอย่างกระตือรือล้น เอ่ยปากเล่าถึงความฝันของตน..และที่ทำให้โตยิ่งดีใจ คือความฝันนั้น มันมีเขารวมอยู่ด้วย...
...ใครๆก็อยากออกไปใช่....ใครๆก็อยากไปจากนรกแห่งนี้
แต่มันทำไม่ได้..ไม่อาจจะทำได้ ไม่อาจจะหนีจากที่แห่งนี้ไปได้ จนกว่าโทษทัณฑ์ทั้งหลายที่ถูกตัดสินไว้จะชดใช้หมดสิ้น..
....แต่ใครก็ตามที่ทำไม่ได้....เขานี่แหละ จะทำให้มันเป็นไปได้เอง..
ด้วยอิทธิพลของสามคนนั้น ด้วยอำนาจ เม็ดเงิน กำลังคนที่มีอยู่ในมือ เขาจะทำให้มันเกิดขึ้น..
การพบกันเมื่อวาน พวกมันบอกถึงกำหนดการที่กระชั้นชิดเข้ามา นัยยะนั้นยังคงแฝงแววข่มขู่และวาดฝัน โตเคยลังเลแต่บัดนี้ เขาแน่ใจแล้ว..
จ้องมองใบหน้า...มองดวงตาพราวระยับ ความงดงามและสดใสในแววตาคู่นี้ไม่เคยหายไปแม้ผ่านไปนานแค่ไหน...นี่เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้โตรู้สึก ว่าการตัดสินใจของตนเองไม่ได้ผิดพลาด
เพราะมันเหมาะกับท้องฟ้ากว้าง มากกว่ากรงขังแคบๆมืดๆ
เพราะมันทำให้เขามีความสุข เขาจึงต้องการให้มันมีความสุข..มากขึ้น...มากขึ้น....มากเท่าที่ตัวเองจะให้ได้..
ต่อให้ต้องตะกาย ป่ายบันไดไปคว้าให้ก็จะทำ..
จะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรมันได้อีกแล้ว..
หากอยู่ที่นี่แล้วไม่ปลอดภัย ก็ต้องออกไป แม้จะเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเท่ากันก็ตามที..
ไม่ใช่ไม่มีทางเลือกอีกแล้ว.. แต่ตอนนี้เขาเลือกที่จะทำมันต่างหาก
...............
..ถ้าหากหลับตาลงข้างหนึ่ง ไม่ยอมมองความจริง ไม่ยอมเห็นอีกด้านของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ก็จะมีความสุข
คำว่ารักก็ได้มาแล้ว การอยู่เคียงข้างกันก็ได้มาแล้ว กอดจูบความสัมพันธ์ทางกายก็ดำเนินมาอย่างแนบชิดทุกขั้นตอนเสียจนไม่อาจจะกล่าวอ้างอะไรได้อีก
ถ้านี่คือความสุข...มันคือความสุขที่แฝงความขื่นขม
แต่หากมันเป็นความทุกข์ระทม นี่ก็คงเป็นความทุกข์ที่งดงามที่สุด..
สายลมเย็นๆโชยพัดช่วยบรรเทาความร้อนจากแสงแดดที่แผดจ้าได้บ้าง ร่มไม้ใต้เงาต้นมะม่วงต้นโตออกผลดกได้ทุกปีเป็นที่พักพิงชั้นดีสำหรับเหล่านักโทษที่ต้องการพักผ่อน หลับตาลงแล้วเอนตัวพิงโคนต้นไม้ให้เปลือกไม้แผ่ความเย็นมาสู่ร่างกายที่ร้อนผ่าวเพราะแสงแดดและหยาดเหงื่อ เงยหน้าขึ้นมองดวงตาวันที่ส่งแสงจ้ามือกำคอเสื้อขยับมันเข้าๆออกๆให้ลมสอดเข้าสัมผัสผิวกายใต้ร่มผ้า
ไม่นานฝ่ามือที่เคยคุ้นก็วางลงบนกระหม่อมพร้อมกับผ้าขาวผืนบางชุบน้ำเย็นแนบลงบนผิวแก้ม...
" เหนื่อยหน่อยนะ "
" อือ...." เมฆรับคำเบาๆ สบตาคนพูดที่ค่อยทรุดตัวลงข้างกาย สอดปลายนิ้วมาแทรกประสานกับฝ่ามือทิ้งให้ความเงียบและความสงบของบรรยากาศยามบ่ายไหลลอยผ่านไปเรื่อยๆให้เข็มนาทีวิ่งช้าๆในยามที่มีกันและกัน..
....เอนกายลงพิงบ่า หนุนศรีษะเกยพาดไหล่หลับตาลงช้าๆ ล้า...เหนื่อย...เกินจะทน
ร่างเจ้าตัวเล็กหลับตาลงด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน ทำให้วิทย์ลอบถอนใจ เอื้อมมือไปหาใบหน้าที่หลับตาพริ้มลูบไล้มันแผ่วเบาอย่างนึกอาดูร..
....ริมฝีปากห่อเข้าหากันสูบลมหายใจจากปอดมาสู่ริมฝีปาก ให้สายลมนั้นปล่อยออกมาเป็นสำเนียงกรีดเบาๆของสายลม..
เสียงผิวปากดังเบาๆใกล้ๆหูทำให้คิ้วที่ขมวดเข้าหากันค่อยคลายลงอย่างไม่รู้ตัว...เมฆยิ้มออกมาทั้งที่ยังหลับตา เขาเอื้อมมือกอดแขนชายหนุ่มข้างกายไว้ ฟังเสียงเพลงไร้ทำนองจากปากของคนรัก แม้จะไม่อาจบอกได้ว่ามันคือบทเพลงไหน ทว่าท่วงทำนองที่มีให้กันเพียงสองคนก็พิเศษและน่าจดจำมากกว่าใคร...
มันแผ่วเบา..แต่เต็มไปด้วยความสุข...
สายลมเย็นไล้ยอดหญ้า ระเรี่ยพัดเอาความชื้นขึ้นสู่เบื้องบน แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงเริ่มอ่อนแสง มันเริ่มคล้อยต่ำบ่งบอกเวลาที่ผ่านมานานพอควร..นัยน์ตาสีเข้มตวัดมองเหล่าพรรคพวกที่นั่งพัดคุยกันเบาๆด้วยสีหน้าเริงรื่น..ก่อนจะตวัดมามองคนข้างกายวิทย์ยกมือไล้เส้นผมตัดสั้นของมันเบาๆ ริมฝีปากที่ส่งเสียงมานานพอดูหยุดลงและคลี่เป็นรอยยิ้ม ค่อยขยับศรีษะเจ้าคนที่ผลอยหลับไปแล้วมาหนุนตัก..
ฝ่ามือสอดไล้เรือนผม...นัยน์ตาทอดมองรอบด้าน ทิวทัศน์เดิมๆ...ภาพเดิมๆแสนคุ้นตา...ทว่า มันก็อุ่นใจ...
.... ก่อนที่เขาจะหลับตาลงข้างหนึ่ง...มองความจริงที่ปรากกอยู่ด้วยดวงตาอันไร้ความทุกข์ระทม..
ทุกอย่างออกมาดี...
เราต่างกาวผ่านปัญหามาได้แล้ว..ด้วยหัวใจ ด้วยความรักที่มอบให้กัน
เรารักกัน เราตกลงกันได้ เรามีความสุข...เรา...สองคน...
นิ่วหน้า...ริมฝีปากเม้มเข้าหากันอย่างเผลอไผล ที่สุดดวงตาที่ปิดลงข้างหนึ่งจึงเบิกขึ้นอีกครั้ง วิทย์กระพริบตาปรับดวงตาที่เบลอพร่าของตนชั่วครู่..พลันแสยะยิ้มขื่น..
หลับตาลงข้างหนึ่ง ทำเป็นไม่รู้ ทำเป็นไม่เห็น กวาดขยะซุกใต้พรม มองผ่านปัญหาที่อยู่ตรงหน้า อาจจะสบายใจ แต่ปัญหาไม่ได้หายไปไหน มีแต่จะเพาะตัวและเกิดเป็นแผลใหญ่เช่นเดิม..
เรื่องที่ผ่านมาใช่จะไม่เคยเกิด เมื่อสามปีก่อนก็เคยตกลงกัน ก็เคยเป็นแบบนี้ ต่างฝ่ายบอกว่าจะรับฟัง ต่างฝ่ายต่างคิด ว่าตนเองจะมีความสุข แล้วอย่างไร มันมีความสุขเพียงไม่นาน ความหวาดระแวง ไม่ไว้ใจ ความทุกข์ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เกิดขึ้นทั้งที่ต่างก็พูดและคิดว่าเราจะเป็นไม่เป็นอะไรอีกแล้ว...
ตกลงกันกี่ครั้ง พุดคุยกันกี่คราว มันก็คงเป็นเช่นนี้ ตกลงกัน แก้ปัญหากัน สัญญาว่าจะเชื่อใจกัน แต่อีกไม่นาน พอมีอะไรมากระทบ ทุกสิ่งก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม..
เหมือนกันวนเวียน เดินหลงวนในหนทางที่ไม่มีทางออก..
วิทย์หลับตาลงอีกครั้ง... ทว่ายังคงขมวดคิ้ว ความรู้สึกสงบสุขในใจ คงไม่ต่างอะไรกับความสงบเงียบหลงพายุใหญ่ มีค่า...ทว่า ก็ต้องเตรียมรับมือต่อไปเช่นกัน
ละครชีวิตไม่จบลงตราบใดที่มีลมหายใจ จะปล่อยวาง ละเลยไม่ใส่ใจ จะวางใจปล่อยชีวิตแล่นไปตามกระแสของผู้คน เดินตามเงาของใคร หรือวิ่งหา"หัวใจ"ของใครที่ไหน ก็ต้องคิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน
สิ่งที่สำคัญในตอนนี้ไม่ใช่การถามตัวเองว่าต้องการอะไร แต่เป็นการ"แยกแยะ" ความรู้สึกทั้งหมด รวมทั้งเหตุและผลทั้งหลาย
เอามารวมเป็นเรื่องเดียวกัน เอาความรู้สึกทั้งหลายมาไตร่ตรองจนหมดในคราเดียวเขาก็คงไม่เว้นจะเป็นบ้า
ต้องค่อยๆคิดทีละเปลาะ ต้องค่อยๆแยกทีละเรื่อง...ทีละเรื่องออกจากกัน..
ต้องช่วยกันคลาย"ปม"เชือก"ที่ผูกมัดหัวใจและวิญญาณ ต้องตามหาเงื่อนที่ขมวดแน่นแล้วแก้มันออกให้ได้...
หาเหตุ...หาต้นตอของทุกสิ่ง ว่ามันเกิดจากอะไร เกิดจากใครกันแน่ เพราะความผิดพลาด เพราะความโกรธแค้น เพราะความเคืองใจ เพราะอะไร....เพราะเหตุใดเราถึงไม่อาจจะก้าวออกจากวังวนบ้าๆที่น่าสมเพชนี่..
....ท้องฟ้าเริ่มถูกแต้มด้วยเฉดสีแดง เสียงนกร้องดังขึ้นมาเป็นระยะ เสียงของผู้คนที่เคลื่อนไหว ดวงอาทิตย์หลบอยู่หลังยอดไม้..และความเย็นที่สัมผัสผิวกาย ทำให้เมฆขมวดคิ้ว..ค่อยๆลืมตาขึ้นมาในที่สุด..
นอนหนุนตักวิทย์ตั้งแต่เมื่อไหร่เขาจำไม่ได้ จำได้ลางๆว่านั่งเอนตัวพิงบนไหล่ฟังเสียงผิวปากระเรื่อยไปกับสายลมก็รู้สึกง่วงจนเคลิ้มหลับ..
" เมฆ...." น้ำเสียงเรียบเรื่อย...เอ่ยออกมาแผ่วเบาดวงตาของวิทย์มองตรงมายังตัวเขาที่นอนอยู่บนตักฝ่ามือนั้นลูบผิวแก้มที่เย็นชื้นจากสายลม รอยยิ้มของคนพูดบางเบาแต่ไม่ยากเกินจะมองเห็น
"....ครับ? " เลิกคิ้ว...ถามกลับ..งวยงงกับปลายนิ้วชี้ของวิทย์แตะลงบนเปลือกตาซ้ายดันให้มันปิดพับลงข้างหนึ่ง..
มองใบหน้าของคนที่รักด้วยดวงตาข้างเดียวของตน เห็นแสงจัดจ้าของตะวันที่ถูกร่างและแผ่นหลังของอีกฝ่ายบังไว้ และมองเห็นสีสันของท้องฟ้าระเรื่อแดง..และมองตามริมฝีปากสีจางซึ่งขยับไหว..
" เราออกไปจากที่นี่ด้วยกันไหม? "
ริมฝีปากของคนฟังอ้าค้าง...ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้าง เมื่อปลายนิ้วชี้นั้นละออกจากเปลือกตา..
เมฆมองหน้าคนพูด...มองหาร่องรอยของอาการขบขัน มองหาแววตาขี้เล่น ทว่ามันกลับปรากฏเพียงคำถามที่ต้องการคำตอบสะท้อนมาไม่หยุด.. ริมฝีปากของคนพูดยกยิ้ม...มองไปยังกำแพงสูง...รั้วหนาม...ป้อมปราการ และกระบอกปืนในมือของผู้คุมด้วยดวงตาวาววับ..
" เราจะได้มีความทรงจำด้วยกัน เราจะได้อยู่ด้วยกัน...และ....มีความสุข..."
..เพียงเรา...สองคน สองคนเท่านั้น..
...นั่นคล้ายจะเป็นสิ่งที่ต้องการนานมาแล้ว...นั่น.....ราวกับเป็นคำอธิษฐานของใครสักคน ที่ไม่มีวันเป็นจริง...
ช้า....นาน.....เมฆจึงผ่อนลมหายใจช้าๆเขาหลับตาลงอีกครั้ง...
" ...นี่....เป็นคำขอแต่งงานรึเปล่า?"
ลมหายใจของคนฟังไม่แม้แต่จะสะดุดไหว รอยยิ้มที่ประทับบนริมฝีปากยังคงปรากฏเช่นเดิม...
" ใช่ "
เมฆมองหน้าคนพูด...เขาจ้องหน้าวิทย์นัยน์ตาสะท้อนภาพชายหนุ่มที่รักนักหนา ใบหน้าแววตา ริมฝีปาก ทุกสิ่งที่ประกอบเป็นคนๆหนึ่งตัดกันกับสีของท้องผ้าที่เริ่มมืดมัว
เอื้อมมือไปหา...แตะปลายนิ้วลงบนเปลือกตาของคนรัก..ทำเช็นเดียวกันที่ฝ่ายนั้นกำลังทำกับเขา..
...เรา.....จะปิดตาลงข้างหนึ่ง..
เหลือเพียงดวงตาหนึ่งข้าง ที่จะจ้องมองกันและกันเท่านั้น
เมื่อแก้ปมไม่ได้...พวกเขาจะ"ตัด"มันออกไปเอง
.................
มาช้า...โฮก ก ก ก ก บอกไว้หลายวันแล้ว ไม่มาสักที ขอโทษค่า ขอโทษจริงๆ

จะอัพตั้งแต่เมื่อวานของเมื่อวานแล้ว แต่ปวดหัวมาก ปวดตาด้วย ไมเกรนถามหาสองวันติดๆ ไม่มีเรี่ยวแรงเลยพี่น้องงง T T

เอาเถอะ ยังไงก็มาแล้วเนาะ ตอนนี้ก็หวานๆกันไปสองคู่ พี่กันย์จะโดนตัดออกจากสารบบสามผีแล้วสินะ แต่จะยอมไหมต้องรอกันต่อไป
จะว่าไปที่พี่โตตัดสินใจจะช่วยพวกป๋า ก็เพราะเหตุนี้ด้วยล่ะเนาะ เพราะเนมต้องเจอแบบนี้ พี่มันเลยต้องตัดสินใจเด็ดขาดเสียที รู้สึกว่าพอพี่โตยอมรับว่ารัก พี่แม่งก็รักมากขึ้นเรื่อยๆเนาะ ทุ่มเทให้น้องมันทุกอย่างเลยเชียว น่ารักว่ะพี่โตวว ขอจุ๊บทีดิ๊ /หลบตีน

ส่วนวิทย์เมฆ..อ่า รู้สึกรักคู่นี้มากขึ้นทุกๆ...ชอบตอนที่วิทย์ผิวปากจัง ลมเย็นๆกับเสียงผิวปากนี่มันช่างเขากันดีแท้~

แจ้งข่าวค่า ^ ^
หนังสือรีปริ้นล๊อตสุดท้ายตอนนี้มีคนจองหมดแล้วนะคะ ใครที่อยากได้ถ้าหลุดจองแล้วจะแจ้งค่า

ปล. ใครๆก็ไม่รักพี่กันย์ / หลบมีดอิคุณหมอ
