Improbable 22 : เดินหน้า
ฝ่ามือวางทาบลงบนผิวแก้มขาวซีด ที่ปรากฏรอยช้ำสีม่วงเข้มเด่นชัด ค่อยแตะไล้...เกลี่ยผ่านผิวแก้มนั้นแผ่วเบาด้วยปลายนิ้วกร้านเเข็งที่รู้ดีว่ามันสั่น...สั่นระริกด้วยความห่วงหาปนหวาดหวั่นในจิตใจ
...คนสำคัญ ของสำคัญที่อาจจะหลุดหาย เจ็บปวดทุรนทุรายกับการเสียมันมากเพียงใด ตอนนี้....รู้ชัด...
ชัดเจนเช่นเดียวกับความสมเพชเวทนาในใจตนที่ไม่อาจจะช่วยอะไรได้ ไม่อาจจะใช้อ้อมแขนปกป้อง ไม่อาจจะโอบกอดไว้และเป็นเกราะกำบังป้องกันมันจากทุกสิ่ง...โดยเฉพาะกันตรายที่เกิดขึ้นจากความใกล้ชิด อันตราย ที่เกิดขึ้นเพราะมันอยู่เคียงข้างและ"เป็นที่รัก" ของตัวเขา..
โตถอนหายใจเบาๆ ร่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติดสีสดค่อยๆขยับโน้มกายเข้าไปใกล้ ก้มตัวแนบชิดจับจ้องดูเเลเจ้าคนป่วยที่น่าสงสารนักบนเตียงอย่างห่วงหา สายลมจากด้านนอกโชยพัดมาด้านในของห้องพยาบสลจนผ้าม่านสีขาวสะบัดพลิ้วไหว เผยให้เห็นท้องฟ้าสดใสและแสงแดดที่เริ่มเจิดจ้าขึ้น บ่งบอกว่าเวลาล่วงเลยมาจนสาย ทว่า...เจ้าคนตัวเล็กที่มันเพิ่งกลับมาเมื่อเช้ามืดก็ยังนอนหลับตาพริ้ม..ไม่ขยับกาย
ใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากแตกระแหง ร่องรอยฟกช้ำปรากฏชัดบนใบหน้าและผิวกายยิ่งทำให้เลือดในกายเดือดเร่าและทุรนทุรายด้วยความกังวลห่วงหา...พื้นที่ในใจ...ไม่รู้ว่ามันครอบครองได้มากมายเพียงใด มาบัดนี้ เด่นชัด...
.....สำคัญ....สำคัญมากจนเสียไปไม่ได้...
...ทั้งห่วงหาอาทรมากมายเสียจนทุรนทุรายแทบบ้า..
เนื้อตัวพลันสั่นสะท้านอย่างลืมตัวเมื่อสมองจินตนาการถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ การสอบสวนครั้งต่อไป คนที่ไม่อาจจะเล่นงานได้ และสิ่งที่มันต้องพบเจอ...
ก้มมองปลายนิ้วสีขาวที่ปรากฏรอยดำและเล็บที่ฉีกขาด บ่งชัดว่ามันคงจะทรมารและหวาดผวา ...ครั้งเดียวก็มากพอแล้วสำหรับคนหนึ่งคน หากมันจะต้องพบเจออีก..แม้เจ้าตัวจนทานทนไหว แต่หัวใจของเขาคงแทบแตกสลาย คงต้องปวดร้าวแทบบ้า..
ไอ้คนๆนั้น ไม่ว่ามันจะเป็นผู้คุมแสนดีพิทักษ์คุณธรรมมาจากไหน ไม่ว่ามันจะเป็นวีรบุรุษมากำจัดคนเลวอย่างพวกเขา ถึงมันจะดี แต่มันไม่มีวันจะได้รับการให้อภัย
ความผิดที่มัน"ใส่ร้าย" ความผิดที่มันทำร้ายคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยด้วยอย่างไอ้เนม ต่อให้มันจะดีมาจากไหน มันก็เลวบรมในสายตาของเขา
เล่นงานคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรเพื่อขู่ เพื่อกลั่นแกล้งให้ทรมารและหมดความอดทน วิธีการแบบนี้มันแตกต่างจากวิธีการของคนเลว วิธีการของนักโทษ พวกเดนคนในสายตาของสังคมอย่างพวกเขาตรงไหน
ในเมื่อกล้าทำขนาดนี้ กล้าท้าทาย กล้าท้าชนตรงๆ ตัวเขาก็จะตอบแทนมันอย่างสาสมไม่แพ้กัน !!
".......อือ...." เสียงครางเบาๆในลำคอของคนป่วยทำให้โตค่อยละออกจากภวังค์ นัยน์ตาสีเข้มก้มลงมองใบหน้าที่ซีดขาว หัวคิ้วที่คลายลงบ่งบอกสัญญาณของนิทราเริ่มขมวดมุ่น แพขนตาหนาขยับไหวระริกราวกับปีกผีเสื้อ บ่งชัดว่าเจ้าตัวกำลังจะตื่นจากการสลบไสลไปด้วยความเหนื่อยอ่อน..
แสงแดดอ่อนพาดลงบนเสี้ยวหน้าขาว จากการไหวพะเยิบของผ้าม่านตามแรงลม โตชะงัก ลุกขึ้นหันรีหันขวาง ตั้งท่าจะไปปิดหน้าต่างไม่ให้แสงสาดกระทบดวงตาของคนป่วย แต่ก็อยากให้สายลมเย็นๆโชยชายให้มันสบายตัว ที่สุดจึงได้แต่ใช้ร่างกายบดบังแสงแดดอ่อน ให้เปลือกตาบางค่อยเผยอเปิดขึ้นโดยไร้อาการนิ่วหน้าเพราะแสงแดดที่จ้าจัดบาดตา
"....พี่....." เสียงเรียกเบาๆในลำคอดังขึ้นเมื่อดวงตาสีดำสนิทสุกใสคู่นั้นค่อยเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า มันมีสีหน้างัวเงีย ปนกับงุนงงกับท่าทีแปลกประหลาดของเขาเล็กน้อย แต่โตไม่สนใจ ยังคงยืนบังแสงแดดจ้าพร้อมกับโน้มตัวเข้าไปหา ฝ่ามือแตะลงบนผิวแก้มที่ปรากฏร่องรอยฟกช้ำอย่างอาทร..
"...หิวน้ำไหม? " เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา...แฝงความสั่นไหวจนรู้สึกได้ ฝ่ามือที่แตะลงบนผิวขาวสั่นระริกไหว ด้วยความดีใจปนกับความหวาดหวั่น หลากหลายอารมณ์ที่ซัดเข้าหายามได้สบมองดวงตาคู่นี้...นัยน์ตา...ที่จำหลักฝังรอยความทรงจำแนบแน่นในหัวใจ ดวงตาที่คิดถึงมากมายแม้ยามห่างไกลกันไม่กี่ชั่ววัน หากแต่ยาวนานนักในความรู้สึก
....และยิ่งนาน เนิ่นนานเมื่อรู้ ว่ามันต้องเจ็บปวด มันต้องทุกข์ทรมานและสับสนเพราะต้นเหตุคือเขา
" ครับ...." เจ้าตัวเล็กพยักหน้ารับน้อยๆ นั่นทำให้โตยกมือลูบหัวมันเบาๆอย่างห่วงใยก่อนจะผละไปรินน้ำเปล่าจากแก้วใสหน้าเครื่องกรองน้ำในห้องพยาบาล หันมาอีกครั้งคนที่เคยนอนแบ่บก็ยันตัวลุกขึ้น นั่งอยู่บนเตียงและจ้องมองมายังตัวเขาด้วยดวงตาซื่อๆ ท่ามกลางแสงแดดอ่อนและสายลมเย็นที่พัดมาจากเบื้องนอก..
..ไม่รู้ทำไม..ภาพนั้นทำให้โตรู้สึกตื้อในอกขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาปิดตาลงชั่วขณะหนึ่งอย่างรวดร้าว คำถามสั้นๆดังขึ้นในอกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ ยามเมื่อคิดถึงคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า
...คนอย่างมัน อย่างไรก็ไม่เหมาะกับที่แบบนี้...เจ้าคนที่มีแววตาซื่อๆใสๆ รอยยิ้มอ่อนๆและโกรธใครไม่เป็น ไม่เหมาะสมกับ"นรก"แห่งนี้สักนิด..
จะดีแค่ไหนนะ ถ้าหากวันนึง มันจะได้ไปยืนอยุ่ข้างนอกกรง ได้ไปยิ้มและหัวเราะกับเขา"ข้างนอก"นั่น..
มันจะมีความสุขมากกว่านี้ มันจะยิ้มได้มากกว่านี้ มันจะได้เล่นไวโอลินที่ตัวเองชอบท่ามกลางท้องฟ้าสดใสและทุ่งหญ้าสีเขียวสดด้วยรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมด้วยความสุข..
....ไม่ใช่คนที่ต้องใส่ชุดนักโทษ นั่งอยู่ในสภาพบอบช้ำ ดวงตาแฝงแววทุกข์ระทมเบื้องหน้า...
" ขอบคุณครับ..." คำตอบรับนั้นดังขึ้นเบาๆ ยามเจ้าตัวยื่นมือมารับน้ำจากมือเขา โตก้มมองฝ่ามือที่มีรอยช้ำ เขานิ่วหน้านิดๆ จากนั้นจึงส่ายหัวและดึงแก้วน้ำนั่นห่างจากมือที่ยื่นมาหา
"...ค่อยๆกิน..." ยกแก้วน้ำจรดริมฝีปากบาง ท่ามกลางสีหน้างวยงงสงสัยของมัน ฝ่ามือข้างหนึ่งโอบแผ่นหลังไว้แล้วรั้งเข้าหาตัวเบาๆ อีกข้างค่อยๆป้อนน้ำใสลงสู่ริมฝีปากบางที่มีร่อยรอยบอบช้ำ จ้องมองการเคลื่อนไหวของลูกกระเดือกบนลำคอกระทั่งฝ่ามือของมันกระตุกเสื้อเขาเบาๆเป็นสัญญาณ โตจึงยอมวางแก้วนั้นลงบนกรอบหน้าต่างใกล้ตัว
" เปื้อนหมด..." เจ้าคนป่วยยังมีหน้ามาบ่น มันงึมงัมแล้วยกมือเช็ดปลายคางที่เลอะไม่น้อยด้วยใบหน้าแดงก่ำ ก้มหน้างุดๆกึ่งเขินกึ่งทำตัวไม่ถูก น่าเอ็นดีเสียจนต้องหัวเราะออกมาเบาๆ
" อย่าขำสิ " มันหันมาทำหน้ามุ่ยใส่ โตส่ายหัวช้าๆ ฝ่ามือลูบหัวมันเบาๆก่อนจะไล้ระเรื่อยลงมายังขมับ ข้างแก้ม จรดปลายคางและลำคอ...
" เจ็บมากไหม ? "น้ำเสียงถามแหบพร่า ทำให้คนฟังชะงัก...ก่อนจะผ่อนลมหายใจช้าๆ ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าขื่นขมปนสังเวช...ในชะตากรรมของตัวเอง
" เป็นนักโทษ ยังไงก็ต้องเจอแบบนี้สักครั้งอยู่แล้ว...ไม่เป็นไรหรอก " เนมออกปากตอบสั้นๆดวงตาจับจ้องสีหน้าและแววตาของ"ขาใหญ่"เบื้องหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ " ผม...บอกว่าไม่เป็นไร .."
..ผมหมายความแบบนั้นจริงๆ..
ต่อให้ต้องถูกสอบสวน ต่อให้ต้องถูกทรมาร กักขังทำร้ายอีกกี่ครั้ง..ต่อกี่ครั้ง...
ผมก็ไม่มีวันอ้าปากใส่ร้ายใคร ผมก็ไม่มีวันจะออกปากพูดอะไรที่ตัวเองไม่รู้..
"....กูขอโทษ.." เสียงกระซิบของพี่โต ..แววตาสั่นๆและสีหน้าขื่นขม ทำให้ผมค่อยๆหลับตาลงช้าๆ จมูกรู้สึกตื้อตันขึ้นมา ยามนึกถึงความเจ็บปวด ความกดดันที่ผ่านพ้น หากแต่มันสับสนปนเปกันกับความห่วงใยที่ผู้ชายคนนี้มีให้ผม..
" ไม่เป็นไร...ผมไม่เป็นไรจริงๆ " เอนตัวพิงไหล่พี่โตไว้ หลับตาลงและกระซิบบอก ทั้งบอกตัวเองและบอกคนข้างๆ บอกคนที่กอดผมไว้ด้วยลมหายใจสั่นๆว่าไม่เป็นไร..
....ปลุกปลอบ..ทั้งตัวเองและพี่โต ..บอกให้"เรา"ไม่หวั่นไหวและมีกำลังใจสุ้ต่อไป..
..."เรา"ที่ต่างกำลังหวาดหลัวว่าจะสูญเสียกันและกันไปทั้งคู่...
" กูทำให้มึงเดือดร้อน..."น้ำเสียงพร่าแหบของพี่โตดังขึ้นเบาๆ " เพราะมึงอยู่ใกล้กู..."
" พี่อย่าโทษตัวเองเลย..." ผมบอกเบาๆพลางยกมือโอบตอบคนที่กอดผมไว้แน่น...ปลอบใจไม่ให้พี่โตรุ้สึกผิด และโทษตัวเองมากไปกว่านี้...
" ....ไม่เป็นไรนะ กูจะช่วยมึงเอง.." พี่โตสูดหายใจลึก เอ่ยปากสัญญาด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงขึ้น " กูจะไม่ให้มึงเจอแบบนี้อีก.."
คำสัญญานั้นทำให้ผมค่อยๆหลับตาลงอย่างเชื่องช้า เบียดกายซุกซบแผ่นอกแกร่ง..หลับตานิ่งอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายที่คอยปกป้องมาตลอดเวลาที่ผ่านผัน..
....คำพูดของพี่โต พูดอะไรออกมาแล้ว..ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามนั้น..
บอกว่าจะปกป้องคือปกป้อง บอกว่าจะดูแล มันก็คือแบบนั้น ..ไม่เคยผิดสัญญา ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง นับตั้งแต่วันนั้น..วันที่สัญญาว่าเราจะอยู่ข้างๆกัน วันที่นั่งมองสายฝนที่พร่างพรมและจับมือกันไว้ดั่งคำสัญญา..
" ครับ...ผมเชื่อ "
...เชื่อมั่น และไว้ใจในตัวผู้ชายคนนี้ มากกว่าใคร ...
" เนม....." เสียงคนพูดสั่นๆ...สั่นไหวและไม่มั่นใจเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่...ผมชะงักค่อยๆเงยหน้าไปมองสบตาคู่นั้น แต่ทว่าพี่โตเบือนหน้าหนี...ราวกับมีอะไรบางอย่างในหัวใจ..
"...ครับ....."
"...จำได้ไหม...ที่....ที่กูบอกว่ามึงเป็นคนสำคัญ...มาก....พอๆกับ.....กิ้ง...." คำพูดนั้นทำให้ผมขมวดคิ้ว งวยงงปนไม่เข้าใจ และ....นึกขุ่นใจว่าพี่โตจะพูดเรื่องนี้ออกมาทำไม?
...จะพูดเรื่องคนที่พี่รักอีกคน...ในตอนนี้ทำไม?
".........." เสียงระบายลมหายใจยาวๆของผมและการนิ่งเงียบไม่ตอบคำ คงมากพอจะเป็นคำตอบของพี่โตแล้ว อ้อมกอดนั้นจึงค่อยรัดแน่นขึ้น ทว่าใบหน้าและแววตาของคนๆนี้ก็ยังเสมองไปทางอื่น ไม่ยอมสบตา..
"...แต่....ตอนนี้....." เสียงกลืนน้ำลายลงคอ ทำให้ผมยิ่งต้องขมวดคิ้วมุ่น พี่โตหันกลับมามองหน้าผมอีกครั้ง สีหน้าเริ่มลังเล..ไม่แน่ใจ
" ตอนนี้มึงเชื่อกูไหม? เชื่อคำพูดที่กูพูดไหม? "
" พี่? "ผมเลิกคิ้ว สีหน้ายิ่งงวยงงหนักขึ้น...กับ....อาการลังเลและคำพูดที่ไม่ปะติดปะต่อของพี่โต...
"ตอบสิ...." คำพูดเร่งเร้า ทำให้สีหน้าของผมยิ่งงวยงงและขัดข้องใจ ทว่าเพราะอ้อมกอดที่ยังคงแนบแน่นและแววตาสั่นๆ ทำให้ผมค่อยผ่อนลมหายใจช้าๆ...พี่โต อาจจะคิดถึงเรื่องที่ผมเคยบอก ว่าไม่เชื่อถือคำพูดของเขา ไม่เชื่อ..และไม่ไว้ใจ...
....คำพูดที่เคยพูดเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว แต่บางที มันอาจจะฝังใจ มันอาจจะมีความสำคัญมากกว่าที่คิด..
...หรือพี่โตต้องการความมั่นใจ ต้องการให้ผมเชื่อ และต้องการให้ผมยืนยันว่าจะอยู่ข้างๆกันแบบนี้..
"....เชื่อสิ....." ผมตอบสั้นๆ สบตาคนพูดเพื่อแสดงความจริงใจ พี่โตมองหน้าผม..และ.....ใบหน้าก็เริ่มลั่นเลิ่กเหลือบมองซ้ายขวาและปรากฏรอยแดงบวกกับท่าทีไม่มั่นใจ ดูแปลกตา และไม่เข้ากันสถานการณ์เอาเสียเลย
"....พี่...." ผมร้องทักไปอย่างงๆ กึ่งขัน แต่อ้อมแขนของพี่โตก็รัดแน่นขึ้น พร้อมๆกับใบหน้าที่ซุกลงกับไหล่...กอดแน่น...แนบแน่นมากกว่าครั้งไหน...
" ถ้าตอนนี้มึงเชื่อกูแล้ว...กูจะพูด.....พูดอีกครั้งนะ...." พี่โตกระซิบบอกเบาๆ พร้อมกันนั้นผมได้ยินเสียงสูดหายใจลึกและ...ลางสังหรณ์บางอย่างเริ่มตงิดๆ...
" ....ตอนนี้กูรู้แล้ว....เข้าใจชัดเจนแล้วว่าใครสำคัญมากที่สุด..."
" อยากพูดให้มึงรู้ และอยากให้มึงเชื่อ...เชื่อคำพูดของกูอีกครั้ง..."
ฝ่ามือที่กอดผมแน่น ค่อยผละออกมาและบีบกำไหล่ไว้ ใบหน้าแดงๆหายากของพี่โตมองมาที่ผมพร้อมกับสบตา...
...ผมองริมฝีปากคู่นั้น มันค่อยๆขยับ ขณะที่เสียงบางอย่างแทรกซึมเข้ามาในสมอง...ดังก้องเสียจนผมรู้สึกหูอื้อ...ตาลาย....
...คำพูดนั้น....
...คำที่บอกว่า...
รัก......................
เสียงเอะอะ...เสียงตะโกนและเสียงพูดคุยกันดังขึ้นมาใกล้ ทำเอาร่างของสองนักโทษที่อยู่ในห้องพยาบาลชะงัก โตถึงกับสถบอุบออกมาอย่างหัวเสีย กว่าจะยอมรับ กว่าจะเข้าใจ และออกปากพูดคำๆนั้นออกมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ แต่กลับถูกขัดคอด้วยเรื่องงี่เง่าไร้สาระอะไรอีกก็ไม่รู้
หันขวับไปมองหน้าของเจ้าคนป่วยที่บัดนี้ขึ้นสีเสียจนแดงก่ำน่ารักแล้วความหงุดหงิดที่พุ่งริ้วๆก็ค่อยลดลงไป โตแตะปลายนิ้วลงบนผิวแก้มของมัน รู้สึกถึงร่างที่สะดุ้งเอือกและดวงตาคู่นั้นที่เสหลบ น่ารักเสียจนต้องคว้าตัวมันมากอดแน่นๆอย่างอดรนทนไม่ไหว..
ปึง!! เสียงประตูที่เปิดอ้า ทำให้ขาใหญ่แห่งแดนสิบสองขมวดคิ้วมุ่น จำต้องละอ้อมกอดจากร่างของเจ้าตัวน้อยแสนรักไว้เมื่อมองเห็นร่างที่คุ้นตาถูกแบกมาด้วยฝีมือของนักโทษ และมีผู้คุมยืนมองด้วยสีหน้ายุ่งยาก หัวคิ้วขมวดมุ่น..
หันไปมองเจ้าคนข้างกายที่ค่อยยันตัวขึ้นมาจากเตียง จ้องมองภาพเบื้องหน้างงๆ สีหน้าแดงจัดของมันค่อยจางลงไปและเอื้อมมือมาเกาะเสื้อด้านหน้าไว้ ส่งสายตางวยงงไปยังภาพที่มองเห็น
โตถอนหายใจเบาๆ ยกมือลูบหัวมันแล้วค่อยดึงมันลุกขึ้นช้าๆ สภาพร่างกายโดยทั่วไปดีขึ้นมากแล้ว ไม่มีท่าทีเหนื่อยอ่อนสะโหลสะเหลให้เห็นเมื่อได้พักผ่อนและความเครียดค่อยลดลง จูงมือมันลงจากเตียงแล้วพามายืนอยู่ข้างๆร่างของเจ้าคนเป็นหมอที่เคยดูแลคนอื่น...ซึ่งบัดนี้นอนนิ่ง ตาลอยๆยิ้มโง่เหมือนคนบ้าสติหลุด..
" เห...นั่นมัน? " ผมอุทานออกมางงๆเมื่อมองตามสายตาพี่โตแล้วพบว่าร่างที่ถูกหามเข้ามาคือพี่กันย์...ในสภาพเลือดไหลอาบศรีษะและหน้าผาก ดวงตาลอยเหม่อและท่าทีสติสตังไม่เต็มนั้นทำให้ต้องอ้าปากหวอ
" เกิดอะไรขึ้น ? "เสียงพี่โตถามเบาๆ ดังขึ้นข้างกาย เหลือบมองคนพูดพลันนึกถึงคำที่ได้ฟังมาเมื่อครู่ ...หัวใจก็กระโดดระทึกขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่รุ้กะละเทศเอาเสียเลย
...คำบอกรัก...
จากปากของ"คนข้างๆ"ที่บัดนี้บอกว่ารักและผมเป็นคนที่สำคัญที่สุด...
ดีใจไหม....ดีใจสิ ดีใจมาก...มากจนตัวเองยังคาดไม่ถึง
ฝ่ามือที่สัมผัสไหล่เบาๆนั้นทำให้ผิวแก้มร้อนผ่าว ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตาพี่โต มองตาคู่นั้นแล้วก็ต้องหลบวูบด้วยความขัดเขินที่มาจากไหนไม่รู้มากมายนัก...
"...มันถูกตีหัวอยู่นอกห้องพยาบาล มึงอยู่ในนี้ไม่ได้ยินเสียงอะไรเหรอ " เสียงถามของผู้คุมทำให้ผมค่อยดึงตัวเองมาสู่สถานการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง ผมส่ายหัว พร้อมๆกับพี่โตที่ขมวดคิ้วมุ่น ออกปากปฏิเสธ
" ไม่นี่...ไม่เห็นได้ยินเสียงร้องโวยวายอะไร "
" แล้วมึงล่ะ .." ผู้คุมหันมามองที่ผม สายตาสะดุดกับร่องรอยบนร่างกายผมเล็กน้อยแล้วเลิกคิ้ว..
"...ผมหลับอยู่ เพิ่งตื่นเมื่อกี้..." และไม่ได้ยินเสียงอะไร...นอกจากคำว่ารักที่บัดนี้ยังก้องไปมา..
" ลองถามมันสิ " พี่โตหันมายักคิ้วล้อเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ หมั่นไส้จนต้องซัดกำปั้นใส่หลังเบาๆ แก้เขิน อยู่ในเหตุการณ์แบบนี้แล้วยังจะมีอารมณ์มาล้อ ..
"...โดนทุบจนสติสตังหายไปแล้วมั้ง... " ผุ้คุมออกปากบ่นแล้วส่ายหัว " แล้วจะให้ใครมาทำแผลให้ล่ะว่ะ ทุกทีเป็นคนรักษาวันนี้เสือกมาโดนเอง .."
ผู้คุมออกปากบ่นดังๆแล้วหยิบวิทยุสื่อสารประจำตัวที่เหน็บอยู่ข้างเอวมาติดต่อกับแดนอื่นเพื่อหาตัวหมอหรือใครก็ตามที่สามารถพยาบาลคนเจ็บได้ ก่อนจะเดินย่ำเท้าหนักๆออกจากห้องไปพร้อมกับออกปากไล่นักโทษที่มารุมล้อมรวมทั้งพวกเราสองคนให้ออกไปด้วย
" มันยังป่วย ! " พี่โตตะโกนเถียงเมื่อผู้คุมทำท่าจะไล่ผมให้ออกจากห้องและไปทำงาน แต่คนฟังส่ายหัว
" ยังไงก็เดินไหวแล้ว ทำงานไม่ไหวก็ออกไปพักข้างนอก " สิ้นเสียงผู้คุม พี่โตก็บ่นงึมงัมออกมาอย่างไม่พอใจ นัยน์ตาที่จับจ้องร่างพี่กันย์ซึ่งตอนนี้ค่อยหลับตาลงช้าๆด้วยสีหน้าราวกับหมดอาลัยด้วยหัวคิ้วที่ขมวดแน่นเข้าหากันช้าๆ...
"....ไปนั่งข้างนอกเถอะ " ที่สุดพี่โตก็ถอนหายใจเฮือกแล้วหันมาดึงมือผมให้เดินตามออกไป เเละเมื่อไม่มีร่างของเราสองคน พี่กันย์ก็ถูกทิ้งให้นอนเดียวดายอยู่บนเตียงพยาบาลเพื่อรอให้หน่วยรักษาพยาบาลของแดนอื่นเข้ามาดูแล..
ผมขมวดคิ้วแน่นอย่างคาใจไม่น้อย ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หันไปมองเสี้ยวหน้าของพี่โตที่ฉายแววครุ่นคิดบนหนักใจอะไรสักอย่างแล้วยิ่งชวนให้สงสัย แต่ก่อนจะได้ทักอะไรฝีเท้านั้นก็ค่อยหยุดลงตรงใต้ร่มไม้ ร่างของพี่โตหมุนกลับมาหาผมอีกครั้ง พร้อมกับนัยน์ตาที่จับจ้องและคำถาม...
" แล้วมึงล่ะ...รักกูไหม? "
ผมฟังคำถามแล้วชะงัก...อ้าปากหวอ...ชั่วขณะนึงนึกอย่างจะบ่นว่าคนที่ถามออกมาได้ไม่คิด ..
ถ้าไม่รัก ถ้าไม่ห่วง ถ้าไม่เชื่อใจ จะยอมถูกซ้อม จะยอมนั่งเงียบไม่ปริปากอะไรออกไปงั้นหรือ?
ขนาดนี้ยังจะมาถาม ว่ารักรึเปล่า..
ผมถอนหายใจแรง เม้มปากแน่นยามจ้องมองสีหน้าหวั่นไหว..ปนไม่แน่ใจนิดๆของคนตรงหน้า...ดวงตาที่วาววับพลันอ่อนลงอย่างไม่รู้ตัวเมื่อรู้...เข้าใจว่าพี่โตถามมันเพื่ออะไร.
...ต่อให้ที่ผ่านมามันจะชัดเจนมากแค่ไหน แต่ตราบใดที่ไม่ได้ยินจากปาก ก็ยังมีเศษเสี้ยวความหวั่นไหว ความไม่แน่ใจลึกๆอยุ่เสมอ..
เพราะต่างก็หวาดหวั่นว่าจะไม่สามารถครอบครองสิ่งที่มีได้ตลอดไปด้วยกันทั้งคู่..
ผมวางฝ่ามือลงบนใบหน้าของพี่โต ค่อยๆสบมองแววตาคู่นั้น ...ดวงตาที่เเสนจะเคยคุ้น เมื่อได้ยินคำรักจากปากคนตรงหน้า ก็แทบไม่ต้องคิด...ไม่ต้องถามใจเลย ว่ารู้สึกเช่นไร
ในยามที่พบเจอสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ในยามที่ไม่มีใคร ไม่เหลือใคร ในยามที่ควรจะไม่พอใจหรือโกรธแค้นพี่โตที่ทำให้ผมต้องมาพบเจอกับสิ่งเลวร้าย...หัวใจ...ก็ยังคงเฝ้าคิดถึงและเชื่อมั่นในตัวของผู้ชายตรงหน้า..
ไม่ต้องถามแล้ว..
ไมต้องคิดแล้วว่ารู้สึกเช่นไร....
ผมเม้มปากน้อยๆรู้สึกถึงใบหน้าที่ผ่าวร้อนของตนเอง ฝ่ามืออีกข้างค่อยแนบลงบนใบหน้าของพี่โต ค่อยๆดึงให้คนตัวโตโน้มกายลงมาใกล้ ให้ตาสบตา..ให้เราได้มองหน้ากันและได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน..
ริมฝีปากของผมห่างกับอีกฝ่ายเพียงลมหายใจคั่น เสียงหายใจแผ่วกระชั้นเต็มไปด้วยความคาดหวัง และดวงตาที่ฉายแววห่วงหาอาทร..รักใคร่..อย่างไม่ปิดบังของพี่โตทำให้หัวใจที่เต้นแรงยิ่งตะโกนก้อง..
ผมค่อยๆทาบริมฝีปากลงบนเรียวปากหยักหนา แตะเบาๆ และเล็มทาบทับอย่างอ่อนหวาน...ส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดด้วยหัวใจ
เสียงลมหายใจหอบสั่นของเราสองคนประสานกันชัดเจน หากแต่มันไม่ได้ดังมากมาย...หรือดังจนกลบเสียงของผม...เสียงกระซิบเอ่ยคำๆหนึ่งจากหัวใจ..
คำที่อยากจะพูดมานานแสนนาน...
"...ผม...รักพี่ครับ..."
...................
ความมึนงง...ความปวดหนึบตรงท้ายทอยเป็นผลให้ดวงตามัวพร่าจนต้องหลับตาลง รู้สึกแสบร้อนและสัมผัสได้ถึงกลิ่นของยาที่โชยชัดเจน กันย์กลืนน้ำลายลงคอช้าๆ รู้สึกถึงลำคอที่ปวดหนึบ อ้าปากรับยาจากเสียงบอกเบาๆและกลืนเม็ดยาขมๆส่งผ่านลำคอเพื่อหวังว่าความเจ็บปวดจากรอยแผลนี้จะบรรเทา
รอยแผลที่ปรากฏและรอยเลือดถูกเช็ดออกและดูแลเรียบร้อยแล้วด้วยฝีมือของแพทย์ประจำเรือนจำที่เคยคุ้น กันย์ครางขอบคุณอีกฝ่ายในลำคอเบาๆ ก่อนจะทรุดกายลงนอน ดวงตาปิดพับลงเพราะไม่อาจจะทนรับแสงจัดจ้าที่ลอดทอมาจากหน้าต่าง..
..หัวใจปวดหนึบ...มึนชาไปด้วยความผิดหวังและรวดร้าว..
เจ็บ...เจ็บเสียจนแทบไม่อยากหายใจ เจ็บจนไม่รุ้จะตัดสินใจเช่นไรต่อ...ไม่รู้จะทำอย่างไร..
นอนนิ่งซึมซับความรวดร้าวและความพ่ายแพ้จากแผนการที่พังยับไม่มีชิ้นดี หัวใจรวดร้าวและผิดหวังจนแทบคิดอะไรไม่ออก โสตประสาทอันเลือนรางบอกให้รู้ว่ามีร่างของใครสักคนเข้ามาภายในห้อง ประตูปิดลงเบาๆไม่นานฝ่ามือของใครสักคนก็วางลงบนแผ่นอก แตะเบาๆคล้ายจะอยากรู้ว่าหัวใจเขาเขากำลังอยู่ดีไหม หรืออยากรู้ว่าตัวเขากำลังหายใจอยู่รึเปล่า..
" ผมบอกแล้ว...ให้มาร่วมมือกัน...พี่ก็ยังปฏิเสธ "...น้ำเสียงนั้นค่อยคุ้นหู...กันย์ขมวดคิ้วรู้สึกถึงฝ่ามือที่ไล้แผ่นอกช้าๆและสัมผัสของลมหายใจผะผ่าวใกล้ๆ...
"...ออกไปห่างๆได้ไหม..." เขาเอ่ยเสียงเรียบ...ไม่สนใจลมหายใจที่สะดุดลงของอีกฝ่าย ไม่คิดจะเปิดนัยน์ตาไปมองดูแววตาหรือใบหน้าของมัน " มีอะไรก็ว่ามา...เป้.."
"...ผมมาถาม..." มันเอ่ยขึ้นมาเบาๆ...ละมืออกจากแผ่นอกของเขาแล้ว เหลือเพียงปลายนิ้วที่แตะลงบนท่อนแขน...
" ว่าตอนนี้ พี่จะคิดสนใจแผนการณ์ของผมได้หรือยัง? "
กันย์ชะงักกับคำพูดนั้น...พลันนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา และความพ่ายแพ้ย่อยยับของตนเอง...
เขาขยับยิ้มอย่างอ่อนเปลี้ย ผ่อนลมหายใจแผ่วเบา...
" นั่นสินะ "
...........
ตอนนี้รักพี่โตมาก

โซโฮก ที่สุดพี่ก็อ้าปากบอกรักแล้ว..สิริรวมกว่าจะรู้ตัวก็สามปีกว่า นี่ถ้าไอ้เนมมันไม่โดนแบบนี้อีกนานไหมเนี่ยกว่าจะยอมอ้าปาก
ส่วนเนม.....โอ๋ๆ ขวัญเอ๊ยขวัญมาเนาะ..เอาคำว่าที่รักของพี่โตไปปลอบขวัญน้า~

...และ...พี่กันย์&เดอะเป้.. คู่ชั่วกำเนิดใหม่เรอะ (555+) อันนี้ก็ต้องรอกันต่อไป
ปล. ชื่อตอน ความจริงแล้วคือ เดินหน้าต่อไป >>> (กร้ากกก โดนเตะ

) อ่ะล้อเล่นน~~
ขอบคุณที่ติดตามค่า
