Improbable 10 : ระแวง
..ดูแลคนของมึงให้ดี...เกิดอะไรขึ้นก็อย่ามาเสียใจทีหลัง..เสียใจภายหลัง?
ใครจะเสียใจ...
แค่มึงเลิกยุ่งกับพวกมันก็พอ..เลิกยุ่ง...
...ใครจะตัดใจได้ง่าย...ขนาดนั้น...
นาฬิกาแขวนผนังในห้องพยาบาลบอกเวลาเก้าโมงเช้า...เสียงพูดคุยกันของนักโทษข้างนอกแว่วมาเบาๆ หน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้โดยมีม่านสีทึบปลิวไสวไปตามแรงลม..เผยให้เห็นภาพที่ชินตา ภาพของนักโทษหลายรายกำลังเดินมารดน้ำผัก หรือบ้างก็กำลังช่วยกันขุดดินทำแปลงผักแทนที่มันถูกถอนออกไประกอบอาหาร ภาพของการทำงานและเสียงพูดคุยนั้นเป็นสิ่งที่มองเห็นมาจนชินตา กับกิจวัตรประจำวัน สิ่งที่ต้องทำทุกวันๆ...
เช่นเดียวกับตัวผม ที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะไม้อัดสีน้ำตาลเข้มที่พื้นผิวของมันหลุดลอกออกจนกลายเป็นรูโหว่เล็กบ้างใหญ่บ้าง ก้มลงตรวจรายชื่อคนป่วย เช็คดูจำนวนของยาไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด และเริ่มนั่งเขียนรายงานสรุปประจำสัปดาห์..กับกิจวัตรเดิมๆ...เรื่องเดิมๆที่ทำมันทุกวันจนเคยชิน..
...แต่ในสมองกลับไม่ได้จดจ่อกับตารางสี่เหลี่ยมในกระดาษขาวตรงหน้าสักนิด...
คำพูดของเจ้าคนที่เป็น"หัวหน้า"ในตอนเช้ายังคงดังก้องในสมอง ชวนให้ครุ่นคิดพอๆกับแผนการ์ณของป่าและพรรคพวก...ที่คิดจะเอาแดนสิบสองมาเป็นปราการให้ตัวเอง....
และกับสองประโยคสุดท้าย...ประโยคของไอ้โตที่ยังคงวนเวียนในสมองอย่างที่ทำเช่นไรก็แงะไม่ออก..
อย่าเสียใจภายหลัง...
ผมยิ้มมุมปากออกมาบางๆอย่างเยาะหยัน...กับถ้อยคำที่ติดตรึงในสมอง เสียใจภายหลัง? ไม่รู้ว่า"มัน"ไปรู้อะไรมาจากใครที่ไหน หรือว่าจับความผิดปกติอะไรจาก"ไอ้หมอนั่น"ได้...มองเห็นถึงท่าทีผิดปกติที่ยากจะปิดกับใครได้มิด กับคนที่โกหกได้ห่วยบรมที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จัก...
...ไม่รู้ว่ามันกำลังเตือนให้ผมดูแลใคร หรือกลัวว่าจะต้องเสียใจกับอะไร ถึงมันจะเก่ง จะฉลาด และเข้มแข็งจนสามารถควบคุมคนทั้งแดนได้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับผม ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะต้องสนใจ หรือเกรงกลัวในตัวมัน...
ถึงมันจะเป็นลูกพี่ ทว่ามันก็แค่ลูกพี่ตามคำสั่งของพวกข้างบนนั้น มีหน้าที่สั่งผมให้ทำตามคำสั่งของคนเหล่านั้น..ไม่ได้มีเอกสิทธิ์อะไรพิเศษนักหนาให้ผมนึกหวั่นเกรงสักนิด.
.
แล้วคำเตือนจากมัน...คนที่เคยถูกเจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมทำร้ายในตอนนั้น จะมีค่าอะไรให้ผมสนใจงั้นเหรอ?
...อย่ามาเตือนเหมือนรู้ดีให้ขำไปหน่อยเลย..
จะทำอะไร...จะคิดอะไร ตราบใดที่ไม่สะเทือนถึงแกงค์ ไม่ใช่สิ่งที่มันจะมาห้ามปรามกันได้
เพราะมันรู้ มันถึงทำได้แค่ปราม แค่เตือน แต่ไม่อาจจะยื่นมือเข้ามายุ่งได้อย่างที่ใจอยากทำ
....มันไม่โง่พอจะมาเสือกสาระแนเรื่องของคนอื่น แม้ว่าคนเหล่านั้นจะเกี่ยวพันกับมันแค่ไหน เพราะขนาดเรื่องของตัวเองมันยังจะเอาตัวไม่รอด...
....ผมทำอะไรแล้วไม่มีวันเสียใจภายหลัง...
แน่นอน...ไม่ว่าจะหักหลังหรือทำร้ายใครก็ตาม..
แกร๊ก.....
เสียงประตูห้องเปิดออกทำให้ผมละความสนใจจากหน้ากระดาษขาวและภวังค์ในสมอง เงยหน้าขึ้นและเตรียมพร้อมสำหรับคนป่วยรายแรกของวัน...แต่ทว่าคนที่เข้ามากลับไม่ใช่คนป่วยอย่างที่คิด...
ผมส่งยิ้มไปให้คนที่เดินเข้ามาหา "น้องชาย" สุดที่รักเดินกระทืบเท้าโครมๆเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าบึ้งๆที่บ่งชักว่ากำลังอารมณ์ไม่ดีสุดๆ..
" มีอะไร? "ผมออกปากถามเจ้าตัวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มเอ็นดู กับท่าทีอันน่าหัวร่อของเจ้าตัว
" ไม่มีอะไรแล้วเข้ามาไม่ได้เหรอ? หรือว่าต้องไส้ขาดไปสักมิลถึงจะมาเหยียบได้ " ดูเอาเถอะ คนพาลออกปากว่าให้ผมเเจ้วๆ ผมขยับรอยยิ้มกับถ้อยคำประชดประชันที่ชวนขบขันปนนเอ็นดู ก่อนจะลุกจากเก้าอี้ เดินวนออกจากโต๊ะประจำตำแหน่งมายืนยิ้มยักคิ้วกับเจ้าคนที่กำลังทำท่ากระฟัดกระเฟียดใส่ตอนนี้..
" อารมณ์เสียอะไรล่ะ? โดนใครแกล้งมา หือ? " ผมเลิกคิ้ว ออกปากถามพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบไหล่ผอมๆนั้นช้าๆอย่างประสงค์ให้เจ้าตัวใจเย็นขึ้นอีกนิด..จะได้คุยกันอย่างสบายอารมณ์ขึ้นอีกหน่อย..
".....ไอ้พี่โตน่ะสิ " เมฆบ่นงึมงัมพลางขมวดคิ้วแน่น และถ้อยคำนั้นก็ทำให้ผมขมวดคิ้วเข้าหากันทันที... " เพราะไอ้เป้คนเดียวเลย ชิ ! "
" หือ? " ผมถามออกไปสั้นๆกับคำพูดที่ชวนงวยงงไม่น้อย
" ไอ้พี่โตแม่งมาไล่ถีบผม ก็ที่ผมลากไอ้เนมไปจับตาดู"ชู้"ผัวมันวันก่อนน่ะสิ "เมฆอ้าปากบ่นฉอดๆ และไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่า ถึงรู้สึกว่าเจ้าตัวเน้นคำว่าชู้" ดังอย่างผิดปกติ..
" เพราะไอ้เป้นั่นล่ะ แม่งทำอะไรน่าสงสัย แถมยังแรดฉิบหาย ไอ้!@#$%^&* .... "จากนั้นก็เป็นเสียงบ่นพร่ำฟังไม่ได้ศัพท์ของเมฆที่พูดออกมาปาวๆ ผมยิ้มน้อยๆ รู้ดีว่าสถานการ์ณแบบนี้ควรทำอะไร ....ที่ควรจะทำก็แค่พยักหน้ารับรู้และส่งเสียงอือๆอาๆให้เจ้าตัวระบายอารมณ์ไปตามเรื่อง...
" ยิ้มอะไรอ่ะ...โหยยยยย ชอบมันล่ะสิ ไอ้เป้น่ะ ง่ายๆแบบนั้นก็ดีสินะ " ...สุดท้ายเจ้าตัวก็วกมากัดผมหน้าตาเฉย น้ำเสียงเข้มๆพร้อมกับดวงตาคู่โตที่ถลึงมองพร้อมกับแก้มที่เริ่มพองลม บ่งชัดว่ารายนี้น่ะ จับตาดูผมกับไอ้เป้มานานพอดูแล้ว
" หึ...ใครจะสนใจมันกัน " ผมส่ายหัวอย่างขบขันเมื่อคิดถึงชายผู้เป็นเจ้าของคำครหาทั้งหลาย...ไอ้เป้...คนที่เข้ามาไม่นานก็เริ่มก่อเรื่องให้ได้ปวดหัวกันไปทั้งแดน....โดยเฉพาะการปั่นหัวไอ้พวก*ติดเหลือง ทั้งหลาย จนเป็นที่แสลงตาน้องชายของผมนักหนา..
อยากจะบอกว่าไม่คิดจะสนใจไอ้นกต่อคนนั้นสักนิด...กับคนที่ถูกใช้มาดูลาดเลาหรือสืบข่าวน่ะ มีใครอยากจะวุ่นวายกับมันนัก..ใครอยากจะเห็นสีหน้าท่าทางยิ้มเยาะที่น่าโมโหของมันให้สุขภาพจิตย่ำแย่...
แต่ผมก็ไม่ได้พุดอะไรออกไปกับเมฆ ตอนนี้ก็ทำเพียงแต่ยกมือลูบหัวเจ้าตัวเบาๆ แล้วใช้มือทั้งสองข้างโอบร่างเล็กๆนั้นมาแนบชิด..
" พี่.....อย่าสิ " เมฆขยับตัวกุกกักกับอ้อมแขนของผม..
" นิดเดียวเ อง " ผมกระซิบกับเส้นผมของเจ้าตัวเบาๆ "นะ"
ผมยิ้มออกมาเมื่อเจ้าตัวไม่ได้ดิ้นขลุกขัลกอะไรมากนัก เมฆกำเสื้อผมไว้หลับตาลงเมื่อผมกดริมฝีปากทับลงไปที่เรียวปากบางๆคู่นั้น นัยน์ตาคู่โตหลับพริ้มลงด้วยสีหน้าพออกพอใจ....
" อือ....." เจ้าตัวส่งเสียงครางเบาๆในลำคอ ขณะที่ผมผละริมฝีปากจาก ซุกไซ้ลงมาบริเวณลำคอ
" อย่าสิ..เดี๋ยวพี่วิทย์เห็น " น้ำเสียงห้ามนั้นไม่ได้ทำให้ผมหงุดหงิดไปมากกว่าชื่อของไอ้หมอนั่นที่ออกมาจากปากคนตรงหน้า เมฆส่ายหัว สีหน้ามุ่ยลงนิดๆเมื่อมองเห็นรอยบูดบึ้งในแววตาของผมชัดเจน...
...เวลาที่"เรา"อยุ่ด้วยกัน ที่ผมเกลียดที่สุด คือชื่อของมันที่ออกมาจากปากของเมฆ...
เกลียดพอๆกับเวลาที่เห็นมันโอบกอดแสดงความเป็นเจ้าของคนตรงหน้านี้...
"...วันนี้.....ไปขนต้นไม้ที่โรงเพาะชำนะ "เมฆบอกผมเบาๆ ด้วยสีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย
" อืม..แล้วจะตามไป " ผมยกมือลูบเส้นผมเมฆเบาๆและปล่อยให้เจ้าตัวผละออกจากอ้อมแขน และเดินออกไปจากห้อง.
.
ผมกลับมานั่งอยุ่บนเก้าอี้ตัวเดิม บนโต๊ะที่ยังมีเอกสารสามสี่ฉบับวางอยู่ มือจับปากกา แต่คิดอะไรไม่ออกสักนิด..สายตาผมมองไปยังหน้าต่างที่เปิดอ้า มองเห็นนักโทษที่กำลังทำกิจกรรมต่างๆโดยไม่มีใครสนใจมองมาที่นี่สักคน...
....นี่มันไม่ใช่ความลับ...สำหรับผม
...แม้ว่าจะตกลงกันแล้ว ว่าผมมีศักดิ์เป็นอะไรสำหรับน้องชายคนนั้น แต่ทว่า...ความจริงแล้ว ผมไม่คิดจะถอนตัวออกไปสักนิด
การกอดจูบกันเป็นเรื่องธรรมดาที่ผมกับเมฆยังทำอยู่แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน...ผมไม่คิดว่ามันเป็นการทรยศนอกใจใคร เช่นเดียวกับที่เมฆไม่สนใจว่ามันกำลังนอกใจใครไปแล้ว..
ผมไม่เคยออกปากถามเมฆถึงความคิดในเรื่องนี้ ไม่เคยคิดจะถามว่ารู้สึกยังไงที่กอดจูบกับพี่ชายขณะที่รักกับใครอีกคน...
ผมไม่สนใจ"มัน" เช่นเดียวกับที่เมฆไม่คิดจะห้ามตัวเอง...
เมฆน่ะรู้ดีว่า"มัน" กำลังรักใคร...
"มัน" คิดว่าความรู้สึกของตัวเองเป็นความลับ ที่หากไม่พูดออกมาก็ไม่มีทางรู้ แต่ทว่า มันลืมคิดไปว่าสีหน้าท่าทางตลอดจนแววตานั้นสามารถสื่ออะไรหลายๆอย่างออกมาได้..
เมฆรู้ดีว่ามันรักผม...
แต่เมฆไม่แน่ใจว่ามันรักตัวเองเท่ากับที่รักผมรึเปล่า...
ผมยิ้มออกมาบางๆขณะที่ก้มลงเขียนรายงานอีกครั้ง ผมรู้ดีว่าคนหลายใจอย่างมันนั้นรักเราทั้งสองคน...มันรักเมฆและผม แต่เรื่องอะไรที่ผมจะบอกเมฆ...บอกให้เมฆมั่นใจว่ามันก็รักตัวเองเหมือนกัน
คนหลายใจและเอาแต่ได้ ไม่มีสิทธิ์มารับความรักของเมฆไว้เเต่เพียงผู้เดียว ในขณะที่มันไม่ได้ทุ่มเทให้กับหัวใจของเมฆอย่างเต็มที่..
ผมนี่แหละที่ใช้ช่องโหว่ของความไม่เชื่อใจและการทรยศที่เป็นบาดแผลของมันและน้องชายของผม
ใครจะบอกว่าผมเลวหรือเห็นแก่ตัวผมก็ไม่สนใจหรอก เพราะคนพวกนั้นไม่ได้มารู้สึกอย่างเดียวกับผม ไม่ได้มาปวดร้าวทุรนทุรายกับความมรักที่หลุดลอยไปจากมือและผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
....ผมมาไม่ทันในยามที่เมฆต้องการผมมากที่สุด มาไม่ทันช่วงเวลาที่เมฆต้องเจ็บปวดทุรนทุรายกับการหักหลังของคนที่ตัวเองรัก แต่อย่างน้อย ผมก็มาทันที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในใจคน...
เมฆเป็นพวกรักเดียวใจเดียว เป็นคนที่ยึดมั่นถือมั่นกับความรักของตัวเองก็จริง...แต่ทว่า เมฆก็อ่อนไหว และยังหวั่นระแวงกับรอยแผลที่กลัวว่ามันจะซ้ำรอยเดิม..
ใช่...สองคนนั้นรักกัน...แต่ทว่า เสี้ยวหนึ่งของหัวใจก็ยังหวาดระแวง กลัวการทรยศ
พนายามบอกตัวเองว่าไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้ พยายามเฝ้าบอกว่าไม่มีอะไรที่จะต้องหวั่นกลัว เมื่อผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดไปแล้ว..
แต่แน่หรือ?
คนสองคนที่เคยรักกันและผ่านการหักหลังทรยศกันและกันมาแล้ว ช่วงเวลาหนึ่งความรักที่ฝังใจและความอ่อนไหวเหล่านั้นอาจจะทำให้พวกเขากลับมารักกันด้วยความเข้าใจลึกซึ้งถึงความเจ็บปวดเหล่านั้น แต่ไม่นานหรอก ผ่านช่วงเวลานั้นไม่นาน ความสงบสุขและชีวิตที่ราบเรียบจนน่าหวาดหวั่นนั่นแหละจะเป็นตัวกระตุ้นให้เริ่มคิด..
สิ่งที่คนเคยเจอพายุจะหวั่นกลัวที่สุดไม่ใช่เมฆครึ้มหนา แต่เป็นความสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหวและอากาศร้อนอบอ้าวของวันนั้นต่างหาก
เพราะรุ้ดีว่าความสงบมันนำพาพายุร้ายมาหาตนเองเสมอ..
.....สามปีที่ผ่านมา ชีวิตมันสงบสุขจนเกินไป สงบจนรอยแผลที่ค่อยสมานเข้าหากันนั้นเริ่มปริแตกอีกครั้ง
ไม่ใช่ด้วยความโหดร้ายแต่เป็นเพราะความหวาดระเเวงชีวิตที่แสนสุขนั่นเอง..
.
....คนสองคนที่ยังหวาดระแวงกันอยู่อย่างนั้นน่ะ ต่อให้รักกันแค่ไหน ก็ไม่อาจจะเชื่อใจกันได้หรอก
ทำได้เพียงอยู่เคียงข้างกันโดยที่มีรอยแผลนั้นคอยกั้นความรู้สึกให้ห่างจากกันเช่นกำแพงบางๆ...คอยกระตุ้นความทรงจำที่โหดร้าย ให้เจ็บปวดทุกครั้งที่มองสบตากัน
แอ๊ด...
" เมฆอยู่ไหน? " เสียงเรียกสั้นๆนั้นทำให้ผชะงัก เงยหน้าขึ้นมามอง"มัน"ที่ยืนอยู่ตรงประตูที่เปิดอ้า
".....แค่นี้ก็ไม่มีปัญญาจะหา" ผมเเสยะยิ้มใส่มันอย่างรังเกียจ มันมองหน้าผม เม้มปากแน่น
"....ไม่ตอบกูจะไป "
" เมื่อกี้เมฆมาที่นี่ " ผมยิ้มมุมปากน้อยๆ สบมองแววตาที่แฝงความไม่พอใจของมัน " บอกว่าอยู่ที่โรงเพาะชำ "
ปัง !!!
เสียงปิดประตูไม่ได้ทำให้ผมโกรธ ตรงกันข้ามมันทำให้ผมนึกขัน...
ผมมองเห็นรอยแยกของความหวาดระแวงที่แฝงมาในสีหน้าของมันอย่างชัดเจน...
เช่นเดียวกับรอยแผลสีขาวบนลำคอที่ต้องปกปิดไว้ แต่ทำอย่างไรก็ไม่มิด..
...ถ้ามันกับเมฆ...ไม่ได้พบเจอหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตจนกลายมาเป็นแบบนี้ ทั้งสองคนอาจจะเป็นคู่รักที่สมบูรณ์แบบ... เป็นคนรักที่เข้าใจกันและกันได้อย่างดี
แต่ก็อย่างที่บอก ว่ามันเป็นไปไม่ได้...
ผมรู้ว่าอะไรที่เป็นสาเหตุทำให้มันติดคุก...ไม่ใช่เพราะถูกคนรักหักหลังหรอกหรือ..
ผมรู้ว่าอะไรที่ทำให้มันหลงรักผม หากไม่ใช่เพราะผมคอยดูแลมันด้วยความอ่อนโยนจอมปลอมเหล่านั้น..
.....และผมรู้เช่นกัน ว่ามันกำลังหวาดระแวงสิ่งใด
แม้ว่าผมกับเมฆจะไม่มีอะไรไปมากกว่ากอดและจูบกันเป็นบางครั้ง และเมฆก็ยอมให้ผมเพราะไม่กล้าขัดใจกับความเชื่อฝังใจลึกๆ ว่าไอ้วิทย์ไม่ได้รักมันจริง...
แต่ว่ากับไอ้วิทย์...มันระแวง
ผมกับเมฆทุกครั้งที่เราอยู่ใกล้กัน ระแวงทุกครั้งที่เราสนิทนสมกับเกินพี่น้อง แม้ว่าเมฆจะไม่ได้เห็นผมเป็นอะไรมากกว่านี้...
แค่รู้สึกไม่เชื่อมั่นในกันและกัน แค่นั้นก็บอกได้แล้วว่าความรักนี้จะไม่ยืนยาว..
ผมพยายามบอกเมฆครั้งแล้วครั้งเล่าว่าทั้งสองคนน่ะไม่ใช่คนที่จะรักกันได้
พยายามบอกแล้วว่า...รัก...ของเมฆกับไอ้คนนั้น สักวันมันก็จะจบลง ...
เวลาสามปีที่ผ่านมา ผมค่อยๆเพาะต้นกล้าของความหวาดระแวงกันและกันขึ้นช้าๆ แทรกเข้าไปในหัวใจของคนสองคน...ให้หยั่งรากลึก...
ไม่แสดงออกว่าไม่พอใจหรือเป็นปรปักษ์ เพราะการทำแบบนั้นอาจจะทำให้ทั้งคู่ร่วมกันต่อต้าน
ไม่ทำอะไรบู่มบ่ามเหมือนครั้งที่แล้ว แต่ปล่อยให้เวลาเป็นสิ่งที่บอกให้ค่อยๆรู้ตัว
ผมจะต้องลำบากแสดงตังให้ชัดเจนว่าจะแยกพวกเขาออกจากกันทำไม...
ในเมื่อความไม่เชื่อใจ ที่มี แค่นั้นก็มากเกินพอ..
.....ผมไม่เลิกยุ่ง...
ผมไม่หยุด...
ที่จะต้องหยุดน่ะ...คือความรักของเมฆกับมันต่างหาก....
.............................................................
แอ๊ด..
ประตูห้องพยาบาลเปิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นร่างของคนที่กำลังกลายเป็นประเด็นถกเถียงในแดนนี้...คนที่เข้ามา"ป่วน" อย่างไอ้เป้...
แน่นอนว่ามันไม่สนว่ามันจะป่วนอะไร แต่ทว่า การที่มันทำให้เมฆต้องมาหงุดหงิดใจก็ออกจะเกินไปหน่อย
" ว่าไง สร้างความร้าวฉานไปถึงไหนแล้วพี่..." ผมพ่นลมหายใจช้าๆกับคำพูดของมัน...ไอ้เป้อาจจะฉลาดก็จริง แต่...มันโง่เง่าในการพูดจาเอามากๆ
พอจะรู้ว่าทำไมพวกข้างบนนั้นถึงไม่ยอมให้มันทำงานใหญ่ มันฉลาดรู้ทันคนก็จริง แต่มันผูกใจคนไม่เป็น ทำได้แต่สร้างความหงุดงิดน่าหมั่นไส้ ไม่ใช่ความรู้สึกชื่นชมหรือคล้อยตามอย่างที่ไอ้โตมันทำได้
นั่นก็เป็นอีกเหตุผลล่ะมั้ง ที่ผมต้องแพ้มัน...
"...มีอะไร?" ผมเลิกคิ้วถาม ไอ้เป้มันผิวปากเบาๆแล้วเดินว่อนรอบๆห้อง ชวนให้ขัดตานัก..
" ถ้าว่างนักก็ไปช่วยคนอื่นทำงาน ก่อเรื่องนักอยากถูกขังลืมรึไง " ผมเปรยเรียบๆ ทำให้มันชะงัก ไอ้เป้มีสีหน้าขัดใจ ก่อนที่มันจะพ่นลมหายใจลงช้าๆ
"นี่ ให้ผมช่วยมั้ยล่ะ ? " คำพูดของมันทำให้ผมชะงัก...เลิกคิ้ว
" ช่วยอะไร?" "ผมถามกลับ ถึงจะรู้ว่ามันคงเสนออะไรไร้สาระ แต่ก็อดจะถามไม่ได้...
" แหมๆ ก็แย่งไอ้เมฆมาให้ไง ของแค่นี้ง่ายจะตาย " ไอ้เป้เสนออกมาพลางหัวเราะร่วน "แค่เล่นเรื่องไอ้วิทย์มันนนอกใจ แค่นั้นก็จบ "
"........." ผมถอนหายใจเบาๆกับคำพูดโง่เง่า...และทางเลือกไร้สาระของมัน
อยากจะบอกนัก...ว่าเรื่องของสองคนนั้น มันไกลจากคำว่านอกใจไปโข...แต่ก็ไม่คิดจะเปลืองน้ำลาย..
" ทำไม? คิดว่าผมทำไม่ได้เหรอพี่.." ไอ้เป้มันยังพยายามเหลือเกินในการเสนอแนวคิดเหมือนนางอิจฉาในละครหลังข่าว " อย่างไอ้วิทย์น่ะอ่อนจะตาย...อย่างมันเจออะไรนิด..."
" เงียบ "ผมตัดบทสั้นๆด้วยสีหน้าไม่พอใจ ขี้เกียจจะได้ยินเสียงพร่ำพรรณนาถึงเจ้าหมอนั่น ถึงจะเป็นคำด่าทอหรืออะไรก็ไม่อยากได้ยินให้รกหู ไม่อยากฟังให้หงุดหงิด แสลงตา ไม่อยากให้หน้ามันมาล่อยว่อนในสมองไปมากกว่านี้..
" อะไรกัน ไม่พอใจเหรอ? ..." ไอ้เป้หรี่ตามองผมแล้วหัวเราะร่า "หรือว่าที่จริงแล้วหลงรักไอ้วิทย์ว่ะพี่....บางทีเห็นมองมันตาวาวเลยนะ......"
" ไม่มีอะไรช่วยออกไปด้วย " ผมสั่งห้วนๆ เริ่มหงุดหงิดกับมันเข้าจริงๆแล้ว
"..หึ อุตส่าห์เสนอแผนดีๆก็ไม่สน จะทนตาร้อนดูชาวบ้านเขารักกันอีกนานแค่ไหน "
" แผนการ์ณโง่ๆเหมือนนางอิจฉาในละครไทยน่ะ ในนี้ไม่มีใครงี่เง่าพอจะเชื่อหรอก.. " เพราะเอาเข้าจริงๆการนอกใจมีอะไรกับคนอื่น สำหรับผู้ชายแล้ว มันก็แค่เท่านั้น การนอกกายไม่ได้หมายความว่าจะไปรักคนอื่นเสียหน่อย
" แล้วที่พี่ทำน่ะมันไม่ยิ่งกว่ารึไง แหย่คนโน้นแกล้งคนนี้ แหมๆ เลวนะเนี่ย " เสียงพูดกวนประสาทชวนให้เส้นประสาทเต้นยิก ผมวางปากกาลงบนโต๊ะ ตวัดสายตามองไอ้เป้แล้วถามออกไปสั้นๆ
" ต้องการอะไร "
" พี่ชอบเป็นลูกน้องพี่โตเหรอ? "มันถามกลับ อ้อ ว่าแล้วต้องมาแนวนี้
" ไม่เกี่ยวกัน นั่นเป็นคำสั่ง "ผมตอบไปตามตรง
" ถ้างั้น....ถ้าพี่โตมันล้ม..จะดีมั้ยล่ะ" ไอ้เป้มันถามผม " พรรคพวกมันก็ต้องล้มไปด้วย ไม่ว่นาสจะเป็นไอ้วิทย์หรือใคร แล้วพี่ก็จะได้มาง่ายๆเลยบนะ " ผมนิ่วหน้านิดๆเมื่อนึกถึงการ"ล้ม"ที่ไอ้เป้มันว่า แต่ข้อเสนอของไอ้เป้ไม่ใช่สิ่งที่น่าตกใจเท่าไหร่ ผมยิ้มมุมปาก มองหน้ามันกลับ
" มีแผนการ์ณอะไรรึไง ? "
" แน่นอน "ไอ้เป้มันว่าเสียงเริงร่า ขณะที่ผมยิ้มมุมปาก อยากจะหัวเราะให้ลั่นกับความคิดโง่ๆของมันนัก...
คนฉลาดแต่ไม่เฉลียวอย่างมัน ไม่รู้ป๋าคิดอะไรถึงให้มันมาเดินเรื่อง..
ผมทบทวน แต่ก็ได้คำตอบในทันที...กับนิสัยของคนข้างบนพวกนั้น ที่คงอยากเล่นสนุกกับการป่วนเหมือนเด็กของไอ้เป้ ที่ไม่ได้ทำให้ภูเขาใหญ่สั่นสะเทือนแม้แต่น้อย..
ผมมองหน้ามันที่กำลังเล่าแผนการ์ณของตัวเองแล้วโคลงหัว ...ต้นหญ้าที่คิดว่าตัวเองสูงเสียดฟ้า คิดจะขยับถอนรากเพื่อให้ภูเขาถล่มลงมางั้นเหรอ?...
นอกจากโง่แล้วยังไม่มีหัวคิด แต่ทว่า ผมก็ยังนิ่งฟัง ทำเป็นสนอกสนใจ เพื่อคำนวนหาทางหนีทีไล่ ...และเพื่อจะวางแผนตลบหลังมันให้แนบเนียน
ไอ้เป้มันมองออกเรื่องที่ผมกับไอ้โตไม่ถูกกัน เสียแต่มันมองไม่ออก ว่าสำหรับเรื่องผลประโยชน์และความอยู่รอดแล้ว คนเราน่ะต้องเลื้อยไปยึดไม้ที่แข็งแกร่งกว่าเป็นเรื่องปกติ
และแน่นอนว่าต่อให้คนโง่ที่ไหน ก้มองออกทั้งนั้น ว่าไอ้โตมันแกร่งกว่าไอ้ควายตรงหน้า..
ผมพยักหน้าอือออกับแผนการ์ณที่มันพูดออกมา ทำเป็นสนใจนักหนา ขณะที่สมองกำลังคิดใคร่ครวญ..
....ต้องกันเมฆออกจากเรื่องวุ่นวาย และบอกไอ้โตให้เตรียมรับมือแผนการ์ณโง่ๆของไอ้เป้..
หน้าตาน่าโมโหของเจ้าคนนั้นโผล่มาอย่างกะทันหัน ผมพ่นลมหายใจลงช้าๆ..ปัดมันไปไกลจากสมอง..
ส่วนไอ้วิทย์ จะเป็นหรือตายก็ช่างหัวมัน...
..............................................................
....
ภาษาไทยในเรือนจำ
*ติดเหลือง = นักโทษที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ
อุ้ยยยย นังกันย์ตอนนี้นี่มันตัวร้ายชัดๆ (มีดจิ้มพุง

)
พี่กันย์แกก็ยังร้ายๆลึกๆไปตามประสา ขณะที่ไอ้"ง่าว"เป้ก็ถึงคราใกล้ชะตาขาด ...เหอๆ
สำหรับแผนนี้ของพี่กันย์ก็ถือว่าเบๆนะค่ะ เพราะเรื่องสามพีนี่มีรากฐานมาจากครึ่งแรก เรื่องของเรื่องก็คือวิทย์กับเมฆรักกันแต่ต่างฝ่ายต่างระแวงกัน ปากบอกไม่กลัวอะไรอีกแล้ว แต่เมฆก็ยังฝังใจว่าพี่วิทย์รักกันย์ ขณะที่พี่วิทย์ก็ระแวงความสนิทสนมของเมฆกับพี่กันย์ กลัวถูกหักหลังเพราะมีปมในใจ ....ก็เลยเข้าทางคุณหมอแกซะ...นี่ไม่ใช่เรื่องที่จู่ๆก็ดผล่มานะ มันมีแผลมๆมาแล้ว เริ่มวายามาตั้งหลายตอน แต่ไม่ค่อยมีคนรู้สึกอ่ะ (ทำไมหนอ??)
จะว่าเรื่องนี้เมฆทรยศพี่วิทย์ก็ไม่เชิง และจะว่าพี่วิทย์น่าสงสารก้ไม่ใช่ อิชี้นคิดว่ามันครือๆกันนี่ล่ะ เพราะต่างฝ่ายก็ต่างไม่แน่นพอกัน พี่กันย์นี่เป้นฝ่ายยุ แต่ถ้าคนถูกยุหนักแน่นพอ เรื่องก็คงไม่เกิดใช่ไหมล่ะ เรื่องสามผีนี่บอกได้ว่าไม่ต้องหาปัจจัยยิ่งใหญ่อะไรมาเลย แค่ใช้ความรู้สึกของคนสามคนนี่ก้เกินพอเลยล่ะ
อันนี้ยังไม่ถือเป็นพาร์ทอินไซต์พี่กันย์อย่างแท้จริงเท่าไหร่ บอกเรื่องตอนนี้ในมุมพี่กันย์คร่าวๆก่อนค่ะ ครึ่งหลังนี่สามผีจะมาให้ปวดกบาลกันมากขึ้น(ฮา) เพราะยังลงเอยกันไม่ได้ ส่วนพี่โตกับน้องเนมก็แบ่งกันคนละครึ่งนะ
ปล. ประกาศค่ะ ตอนนี้มีหนังสือเหลืออยุ่ประมาณ 4เล่ม ใครสนใจ PMหรือส่งเมล์มาจองได้นะค่ะ
ปล. สอง เน็ตเน่ามาก อุตส่าห์ติดเน็ตเองแล้ว แต่เล่นไม่ได้ โทรโวยที่ศุนย์แต่เขาเช็คแล้วสัญญาณก้มาตลอด ให้จนท.มาดูก็ไม่มีอะไรแต่ไม่รู้ทำไมไวเลสชอบมาๆหายๆ เสียบสายแลนยิ่งแล้วใหญ่ คอมพ์คนอื่นเปิดได้แต่ของเราเล่นไม่ได้ เอาโน๊ตบุ๊คไปเช็คช่อมแล้วยังไม่มีอะไรดีขึ้น มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ยยยยยยย