Improbable 12 : เหตุผล
"...ทำไมถึงอยากรู้ขึ้นมาล่ะ? " ผมนิ่ง...เมื่อสบมองรอยยิ้มบนใบหน้าของอาจารย์ธีระ ใบหน้าของเขานั้นยิ้มแย้ม แต่ทว่าสายตากลับไม่ได้เป็นแบบนั้น ดวงตาคู่นั้นจ้องมองมาที่ผมด้วยความนัยอันลึกล้ำ...นัยยะที่แฝงอันตรายมาอย่างไม่อาจจะปิดบัง
" รู้ไม่ได้เหรอครับ? "ผมเลิกคิ้ว มองหน้าคนถาม
" นั่นสินะ ยังไงก็เคยทำงานด้วยกันมานี่ "อาจารย์ธีระทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ไม้ ใบหน้ายิ้มแย้มมองสบตาผมอย่างไม่หลบ หากความนัยน์ของคำพูดนั้นกลับทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว
" ......"
" แต่ถ้าอยากรู้นัก ทำไมไม่ถาม...คนที่อยู่ข้างๆคุณดูล่ะ "คำพูดนั้นทำให้ผมเผลอเม้มปากเข้าหากันอย่างลืมตัว นัยน์ตาของผมหรี่ลงเล็กน้อยจ้องมองสีหน้ายิ้มเย็นของอาจารย์ธีระ...เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับพี่โตไม่ได้เป็นความลับ และแน่นอนว่าเขาก็คงรู้ทั้งจากปากคำของนักโทษคนอื่นๆ หรือแม้แต่จากท่าทางของพี่โตเอง แต่ว่า...การจงใจลากวนไปประเด็นอื่นแบบนี้ มันไม่ใช่ตัวเขาเอาเสียเลย
"...ผมไม่คิดว่าพี่โตจะรู้หรอกครับ ก็มันเป็นเรื่องของคุณนี่ เขาไม่ได้มีสิทธิเข้านอกออกในได้แบบอาจารย์เสียหน่อย " ผมตอบกลับจ้องมองท่าทางของผู้ชายยตรงหน้า เขาฟังคำพูดของผมแล้วพยักหน้ารับช้าๆสีหน้าเข้าอกเข้าใจ
" ก็จริงนะ.....แต่มันยิ่งทำให้ผมสงสัยใหญ่ ว่าขนาดคนนั้นเขายังไม่รู้...หรือไม่อยากรู้แล้ว ...คุณจะมาอยากรู้ทำไมกันล่ะครับ? " วาจายอกย้อนนั้นเล่นมาให้ชวนสะอึก ผมเบิกตาขึ้นน้อยๆ จ้องมองสีหน้ายิ้มแย้มของอาจารย์ธีระแล้วรู้สึกหนาวยะเยือกในอก
"............"
" หรืออยากเอาอะไรออกไป ? " อาจารย์ธีระเลิกคิ้ว ออกปากถาม
" ผมหมายถึงเอาอะไรเข้ามาต่างหาก..." ไอ้เนมตอกกลับอย่างรวดเร็ว ผมรู้สึกพอใจขึ้นมาเมื่อพบว่าสีหน้าของอาจารย์ธีระเจื่อนไปวูบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะหัวเราะเบาๆแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้
" ....ทางเรือนจำ มีกฏให้ตรวจค้น.."น้ำเสียงเรียบเฉยนั้นออกปากอธิบายขณะที่เดินไปยังกระดานดำหน้าห้อง ซึ่งมีโน๊ตเพลงเขียนไว้
"อย่างละเอียด...แต่ว่า ถ้าอาศัยความเคยคุ้นแล้วก็แค่ตรวจลวกๆเท่านั้น...ผมทำงานที่นี่มาหลายปี....."
"........."
ฝ่ามือสีขาวนวลคว้าเอาแปรงลบกระดานมาทำความสะอาดอย่างไม่เร่งร้อน ก่อนจะวางลงและเริ่มเขียนตัวโน๊ตลงไปอีกครั้งหนึ่งอย่างเชี่ยวชาญ
" หากสงสัยว่าทำไมผมถึงทำได้ ก็คงต้องลองถามเจ้านายของคุณดู " เสียงปากกาเขียนกระดานดังเอี๊ยดอ๊าดสอดแทรกคำพูดนิ่มๆเรียบๆนั้น ก่อนเจ้าตัวจะวางปากกาไวท์บอร์ดลงบนร่องกระดานเบาๆอย่างไม่ใส่ใจ " ทุกอย่างก็อยู่ที่พวกเขา...ไม่ใช่เหรอ? "
รอยยิ้มในหน้าของอาจารย์ธีระยังคงมีอยู่อย่างเบาบางบนผิวหน้า นัยน์ตาคู่นั้นหรึ่ลงน้อยๆ จ้องมองใบหน้าของผม แล้วหยิบกระเป๋าเอกสารของตนเองมาถือไว้ บ่งชัดว่ากำลังจะขอตัวออกไปจากห้อง
" เดี๋ยว....." ผมชะงัก ออกปากขอคุยกับอาจารย์ธีระต่อ ขณะที่เจ้าตัวเดินออกไปทางประตู...
".....อย่าสอดรู้อะไรให้มากเกินตัว ...ระวังจะเป็นอันตราย "น้ำเสียงเย็นๆดังขึ้นจากปากของอาจารย์ธีระ " และเรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะเอามาคุยกันในที่สาธารณะ...ระวังคำพูด ระวังปากและระวังความคิดของตัวเองเสียบ้าง ถึงจะมีขาใหญ่คุ้มกะลาหัว แต่มันก็ไม่ได้ใหญ่คับฟ้า...."
"......."
" ...บ่ายสามโมงกว่าแล้ว ปิดห้องซ้อมให้ด้วย..." คนพุดโยนกุญแจดอกเล็กๆมาให้ผมแล้วเดินออกไปอย่างไม่ใส่ใจ ผมเหลือบมองแผ่นหลังในเชิ๊ตสีฟ้าอ่อนของเขาแล้วเม้มปากแน่น หรี่ตาลงน้อยๆอย่างครุ่นคิด
เสียงเคาะหน้าต่างเบาๆทำให้ผมสะดุ้ง หันกลับไปมองต้นเสียงก็พบว่าผู้คุมกำลังทำหน้าเคร่งมองหน้าอยู่ ผมจึงรีบดึงประตูเลื่อนลงแล้วล๊อกกุญแจอย่างเร่งร้อน หางตาเหลือบมองเห็นเงาของผู้คุมเดินมาด้านหลัง ไอ้เนมรีบส่งกุญแจในมือให้กับผู้คุมอย่างรวดเร็ว สบมองแววตาเคร่งจากชายในชุดสีกากีแล้วกลืนน้ำายเอื้อก รีบเดินออกมาจากหน้าห้องดนตรีอย่างรวดเร็ว
" เดี๋ยว ! " เสียงร้องทักของผู้คุมทำให้ผมชะงัก หน้าซีดลงทันควัน หันกลับไปมองหน้าผู้คุมที่มองหน้าผมเขม็งแล้วลอบกลืนน้ำลายเอือก
" ...คราวหลังฝึกเสร็จแล้วไม่มีอะไรก็ไม่ต้องมาเพ่นพ่านแถวนี้ล่ะ.....ของหายเมื่อไหร่มึงจะเจอดี "
" ครับนาย...." ผมรับคำเสียงอ่อย หลบตาผู้คุมที่มองมาเขม็ง ก่อนร่างในชุดสีกากีจะส่ายหัวแล้วถอนหายใจเบาๆ
" เรื่องเยอะจริงนะแดนนี้นี่...มีปัญหาฉิบหาย มิน่าพัสดีถึงบอกให้ดูดีๆ "เสียงบ่นของผู้คุมทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่น ไอ้เนมชะงักฝีเท้ามองหน้าผู้คุมอีกครั้ง
" ไม่ต้องมามองหน้า ....พวกมึงนี่แหละตัวดี กับไอ้หน้าใหม่นั้นอีกคน ลากคอมันไปสั่งสอนซะบ้าง " ฝ่ามือกร้านยกกระบองในมือมาขู่ผมสั้นๆแล้วถลึงตาใส่ ชวนให้ขวัญปลิวหายไปจากตัวไม่น้อย ผมหัวเราะแหะๆแล้วรีบเดินออกมาจากบริเวณนั้นทันที ขณะที่สมองก็คิดถึงคำพูดของอาจารย์ธีระและเหตุการณ์เมื่อครู่
....ท่าทางพิรุธ..ตอนพูดว่าจะเอาอะไรเข้ามา..
พัสดีบอกให้จับตาดู..
..ไอ้เป้....มากวนแถวนี้บ่อยๆ..
ผมขมวดคิ้วมุ่นด้วยสีหน้าเคร่ง คำเตือนจากปากอาจารย์ธีระก็เคร่งเครียดไม่น้อย...บรรยากาศตอนนี้เหมือนเมื่อครั้งที่ผมเข้ามาใหม่ๆไม่มีผิด...
มีหมากตัวใหม่เข้ามา หมากตัวอื่นๆในกระดานก็เริ่มขยับตัว...
ต่างฝ่ายต่างรู้และสังหรณ์ใจได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง แต่ไม่มีใครพูด....
ถ้าหมากพูดไม่ได้ ก็มีแต่พวกเรือน ขุน ไม่ก็คิงกับควีนเท่านั้นล่ะมั้ง ที่จะยอมเปิดปาก...
...แต่ว่าคนเหล่านั้นจะยอมพูดกับเบี้ยที่ไม่มีความสำคัญอย่างผมรึเปล่าก็เท่านั้น...
ไอ้เนมถอนใจเบาๆ พลางเดินไปยังเรือนอนด้วยสีหน้าครุ่นคิด...
....ต้องมีอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง...ผมแน่ใจ
...............................................................................
เพดานห้องสีหม่นด้วยผ่านอายุการใช้งานมานาน มีเพียงแสงสว่างจากหลอดนีออนซึ่งกระพริบสั่นเดี๋ยวติดเดี๋ยวดับวูบวาบไปมา เสียงลมหายใจของชายต่างวัยหลายสิบคนในชุดนักโทษสีเข้มที่นอนหลับไหลอยู่ภายในห้องทำให้นัยน์ตาที่เหม่อมองเพดานสีหม่นปิดพับลงช้าๆ ฝ่ามือควานสะเปะสะไปไปข้างกาย หากเมื่อสัมผัสถึงไออุ่นของผิวเนื้อและลมหายใจของคนข้างตัว ดวงตาที่ปรือปิดนั้นจึงกระตุกไหวและเปิดออกอีกครั้ง..
ดวงตากลมโตทอดมองร่างสูงที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างกายด้วยสีหน้าเครียดขึง ฝ่ามือที่วางอยู่ใกล้ท่อนแขนอุ่นร้อนนั้นกระตุกมาวางบนแผ่นอกของตนเองอย่างลืมตัว
พลิกกายนอนตะแคงตัว และสอดแขนหนุนศรีษะของตนเองไว้ เพื่อจะได้สามารถทอดมองใบหน้านิทราสนิทของคนที่อยุ่ข้างกายได้...ใบหน้าที่สงบลงในยามหลับไหลนั้นแสนคุ้นตาและชวนให้หัวใจสั่นไหวเช่นทุกครา หากแต่ฝ่ามือของเขากลับไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้อง...
เสียงครางพร้อมกับเสียงพ่นลมหายใจแรงของนักโทษที่นอนใกล้ทำให้ร่างทั้งร่างสะดุ้งเฮือก และปลายนิ้วที่จะเอื้อมไปแตะผิวหน้าขาวก็กระชากเข้าหาตนอย่างลืมตัว ร่างเล็กงอเข้าเข้าหาตัวมากยิ่งขึ้น นัยน์ตาที่เบิกค้างหรุบต่ำลงอย่างว้าวุ่น..
"...พี่......" น้ำเสียงของตนที่เล็ดรอดออกมาจากลำคอช่างเบา...เบานักแม้จะเป็นเสียงในค่ำคืนอันเงียบสงบ ที่มีเพียงเสียงลมหายใจดังอยู่
...เบา...เพราะเขาไม่กล้าจะพูดให้ดังขึ้น...ไม่กล้า...แม้กระทั่งจะแตะปลายนิ้วลงไปยังผิวเนื้อ บนใบหน้าของคนที่เขารัก..
กำมือเข้าหากันแน่นอย่างว้าวุ่น กวาดสายตามองรอบๆห้องขังที่มืดสลัวและเงียบสงัด แสงจากดวงไฟตรงหน้าประตูเรือนส่องกระพริบไหวเสียจนภาพที่มองเห็นเลือนราง มองเห็นเงาของผู้คุมที่ยืนอยู่ข้างนอกทอดยาวและขยับวูบวาบดูคล้ายกับดวงวิญญาณโผนเข้ากระซิบกระซาบกันผ่านลมหายใจของผู้คนในที่แห่งนี้...
ความอึดอัดว้าวุ่นอวลในหัวใจจนไม่อาจจะข่มตาหลับ หวาดหวั่น ระแวง สงสัย และหวั่นไหวเสียจนไม่กล้าจะทำอะไรสักอย่าง
ทอดมองผิวเนื้อบริเวณลำคอของชายหนุ่มข้างกายดลยไปจนถึงหลังหู มองเห็นพลาสเตอร์สีขาวแปะอยุ่บนนั้นอย่างชัดเจนเสียจนหัวใจเจ็บแปลบ..
....เมฆกระพริบตาถี่เมื่อน้ำใสไหลเอ่อจากดวงตาและทิ้งตัวลงข้างแก้ม...เขายกมือขึ้นอุดปากกลั้นสะอื้นจนตัวสั่น
นัยน์ตากลมโตปิดพับลงทิ้งขนตายาวทาบบนผิวแก้มชื้น ดวงตาปิดแน่น คิ้วขมวดเข้าหากันแน่นเมื่อความเครียดเข้าจู่โจมจมหัวใจเต้นระรัว...
.... หวาดกลัวความเปลี่ยนเปลงและการถูกทอดทิ้ง...
ภาพของพี่ชายที่รักและคนรักของตนยืนคุยกับและกระซิบด้วยความเคร่งเครียด ก่อนจะผละจากกันอย่างรวดเร็วยามที่เขาก้าวเท้าไปใกล้นั้นให้เกิดความสงสัย...คนสองคนที่มักจะทะเลาะวิวาทและไม่พูดดีต่อกันกลับหายไปไหนสองคนบ่อยๆด้วยสีหน้าระแวดระวัง...ดวงตาทั้งสองคู่ที่จ้องมองเขาอย่างระวังไง ราวกับว่ากลัว...กลัวอะไรสักอย่าง...
หากนี่เป็นความฝัน สำหรับเขามันเรียกได้ว่าฝันร้าย เขาไม่ได้หวาดหลัวการถูกปกปิด การถูกระวังไม่สนใจ แต่ที่เขาหวาดกลัว คือการเข้าใกล้กันด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ของผู้ชายสองคน
หนึ่งคือพี่ชายที่รักเขามาก และเกลียดคนที่เขารักจับใจ
อีกหนึ่งคือผู้ชายที่เขารักมาก และคนๆนั้นก็รักพี่ชายของเขาด้วยเช่นกัน...
...ถ้าได้เข้าใกล้กันมากกว่านี้ ถ้าห่างไปจากเขามากกว่านี้
สิ่งที่เขาหวาดหวั่นเป็นที่สุดจะไม่มาถึงหรือ?
บาดแผลที่ลำคอของวิทย์ยิ่งชวนให้หัวใจหวาดระแวงหนัก ...แผลเป็นที่เจ้าตัวไม่เคยเผยให้ใครได้เห็น ไม่เคยเลย..
.
นอกจาก "พี่"ของเขา ในยามค่ำของวันหนึ่ง
ไม่มีใครได้แตะต้องแผลนี้กระทั่งตัวเขา...หากแต่ วิทย์กลับเดินไปให้พี่ชายของเขาสัมผัสมันและตรวจตราดูด้วยตัวเอง...
เมฆเม้มปากแน่น นัยน์ตาที่ปิดแน่นค่อยปรือเปิดขึ้นมาอีกครั้งอย่างระทมทุกข์ สับสน...ตอนนี้เขาสับสนจนไม่รู้จะพูดยังไง...ใจเขาอยุ่กับวิทย์ ร่างกายเขาอยู่กับวิทย์ แแต่ว่าใจของวิทย์อยู่กับใคร..
เคยแน่ใจว่าหัวใจของวิทย์อยู่ที่เขา...คิดแบบนั้นอยู่จนกระทั่งเขามองเห็นคนรักของตนเดินเข้าไปหาพี่ชายในยามเย็นของวันที่มีเมฆครึ้ม และให้พี่ชายแตะต้องบาดแผลที่อีกฝ่ายหวงนักหวงหนา..
....ไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น..
หัวใจที่เคยมั่นใจว่าได้ครอบครองเพียงผู้เดียวเริ่มไหวหวั่นไม่แน่ใจ ...เมฆจำได้ดีว่าเขาไม่เคยลืม ไม่ลืมแววตาของพี่ชายที่ทอดมองลำคอของคนที่เขารักเลยสักวัน..
นั่นทำให้หัวใจที่เคยมั่นคงเริ่มโลเล ไม่มั่นใจ เขาหวาดกลัวความจริงเสียจนไม่กล้าถาม เขาหวาดหวั่นไม่อยากรับรู้สิ่งที่ไม่ต้องการเสียจนปิดปากเงียบมาจนถึงบัดนี้...
เขาเงียบ...เงียบไม่พูดอะไร เขานิ่ง ทำหน้าไม่ทุกข์ร้อนไม่สั่นไหว ตีสีหน้าไม่รู้เรื่องราวเมื่อวิทย์เดินกลับมากอดและบอกรัก...
คำบอกรักที่เอ่ยขึ้นมาหลังจากถูกพี่ชายของเขาแตะต้อง
...จำได้ว่าตอนนั้นเขายิ้มรับ แม้ว่าหัวใจจะปวดร้าวหวั่นไหว ยิ้มรับ...แม้ว่าจะหวาดหวั่นเหลือคณาว่าคำพูดนั้นอาจจะไม่ได้หมายถึงตัวเอง
..บอกรัก...บอกใครกัน...
บอกเขา หรือบอกผู้ชายอีกคนที่รักเขา...
พูดกับใคร หมายถึงใคร?
หมายถึงเขา หรือ..ใครกัน
แม้ว่ามันเป็นแค่การพบปะที่ไม่มีสาระอะไร แค่ผู้ชายสองคนนั่งบนโต๊ะเงียบๆและพูดคุยกันไม่กี่ประโยคแล้วออกมา ทว่าภาพของแววตาพี่ชายและปลายนิ้วที่แตะบนผิวเนื้อของวิทย์กลับติดตา ตรึงให้เขาอยุ่กับที่...ในใจของเขาก็ไม่ได้คลายความหวั่นไหวนั้นลงเลย แม้วันเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ ทำได้เพียงเก็บมันเอาไว้และบอกตัวเองว่าอย่าหวั่นไหว
...เขาบอกตัวเองให้เลิกกลัว กลัวสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น เขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อสองคนนั้นเกลียดกันมากเสียจนอยากจะฆ่าให้ตาย และอีกทั้งพี่ชายยังรักเขาเสียจนไม่ยอมมองใคร
ทว่าเมื่อพี่ชายเข้าหา กอดจูบรุกเร้าและกระซิบบอกให้ครุ่นคิดถึงความนัยน์ว่าคนที่เขารักนั้น...คิดอย่างไร...
...พุดให้ลองคิด ว่าแท้จริงแล้วใครกำลังหลอกตัวเอง..
แม้กระทั่งวันนี้ เรื่องราวเมื่อครานั้นยังตามมาหลอกหลอน กลั่นแกล้งให้หวาดผวาในใจ กลัว...กลัวเหลือเกินว่าจะถูกทิ้ง ถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง...
เมฆครางในลำคอเบาๆ ขณะที่เอื้อมมือสั่นเทาไปยังลำคอของอีกฝ่าย เขาเบียดตัวเข้าไปใกล้ร่างสูงเพรียว เเว่วเสียงครางในลำคอของวิทย์ดังขึ้นเบาๆพร้อมกับท่อนแขนที่ตวัดพาดลงบนเอว หากดวงตาและฝ่ามือกลับจับจ้องไปที่ลำคอของคนรักด้วยสายตามาดหมาย
...เขาไม่เคยได้แตะ ไม่เคยได้รับอณุญาติให้แตะมัน
ไม่เคยเลยสักครั้ง...
พี่กันย์เป็นใคร พี่กันย์เป็นคนสำคัญมากแค่ไหน ถึงได้ยอมให้แตะต้อง ถึงได้ยอมให้ดูรอยแผลนั้น
จำได้ดีว่าพี่วิทย์ได้แผลนี้มาพร้อมกับรอยกรีดบนใบหน้าของเขา...รอยแผลของเขาหายไปแล้ว ทว่ารอยแผลของพี่วิทย์กลับไม่เคยหาย...
ไม่เคยเอาพลาสเตอร์นั้นออกจากลำคอตนเอง...ทำเพียงแวะเวียนไปเอาพลาสเตอร์อันใหม่จากพี่ชายมาปิดไว้..
ทำไม มันคือแผลอะไร ทำไมถึงให้พี่ชายแตะมัน ทำไมกัน...
เม้มปากแน่นยามที่ปลายเล็บสั้นๆของเขาค่อยสอดเข้าไปใต้พลาสเตอร์สีขาว เขาออกแรงดึงมันเบาๆหากแต่ไม่มีท่าทีว่าจะหลุด เมฆเม้มปากแน่น พลาสเตอร์นี้วิทย์มักจะเปลี่ยนมันทุกอาทิตย์ ไม่เคยเอาออกแม้กระทั่งตอนอาบน้ำ ดังนั้นมันจึงสามารถหลุดได้อย่างง่ายดายเพียงใช้แรงดึงน้อยนิด..
จำได้ว่าพลาสเตอร์นี้เริ่มเก่าแล้วและวิทย์ก็บ่นว่าจะไปเปลี่ยน เพราะฉะนั้น...
เมฆเม้มปากแน่น เขาลอบสังเกตสีหน้าของคนที่นอนหลับอยู่อย่างระแวดระวัง เบียดตัวเข้าไปในอ้อมแขนหนาแนบแน่นขึ้นหวังจะให้รอยกอดนั้นแนบแน่นพอที่จะไม่ให้คนที่หลับอยุ่สะดุ้งตื่นขึ้นมาเล็บสั้นๆพยายามแงะมันออกอย่างสุดความสามารถ มือสั่นด้วยความเกร็งบวกกว่าความหวาดหวั่น...
แปะ..
พลาสเตอร์สีขาวหล่นแหมะติดอยู่ที่ปลายนิ้ว ทำให้ความดีใจเเล่นวูบ เมฆพยายามเพ่งตัวมองหลังหูของคนรัก หากแต่แสงไฟติดๆดับๆนั่นกลับทำให้ทอดมองได้ยากนัก..
ชายหนุ่มเม้มปากแน่น นึกอยากจะได้ไฟฉายซักกระบอกทั้งที่ไม่มีวันได้พบ เขาดูตอนกลางวันไม่ได้ เพราะเจ้าตัวไม่ยอมแน่ๆ แต่หากจะแอบดูมันตอนกลางคืนก็ไม่มีแสงเสียอีก
เขาครางเบาๆในบำคออย่างขัดใจ พยายามเพ่งมองให้ได้ อย่างไม่ยอมแพ้ และในที่สุดแสงไฟนีออนจากด้านนอกก็ติดขึ้นและสาดเข้ามาภายในห้องขัง พาดลงบนลูกกรงเหล็กจนเกิดเงาดำ แต่แสงสว่างนั้นก็ยังพาดอยุ่ใกล้ๆตัวเขา ทำให้สามารถมองเห็นภาพได้...ชัด
....ชัดเจนเสียงจนอยากนึกว่าตัวเองตาฝาด
ความรู้สึกแปลกประหลาดวาบในอกจนร่างสั่นไหว เมฆเบิกตากว้าง ขณะที่แสงไฟดับลงอีกครั้ง ทิ้งให้ห้องขังมีเพียงความมืด...
เมฆร้องเสียงสั่นในลำคอ เขาใช้ปลายฟันขบริมฝีปากแน่นอย่างอดรนทนไม่ไหว...
ร่างทั้งร่างสั่นระริก น้ำตานองเอ่อ เขายกปลายบนิ้วไล้บนหลังหุของคนรักอีกครั้ง อย่างหวังให้ตัวเองตาฝาด หากแต่รอยนูนบนผิวที่เคยเรียบเนียนกลับทำให้หัวใจสั่นกระตุก
...G U N.... ทั้งดวงตาที่มองเห็นทั้งปลายนิ้วที่สัมผัส บ่งชัด...
นัยน์ตาคู่โตเบิกกว้างน้ำตาที่แห้งเหือดไหลพรากเอ่อท้นดวงตาจนภาพเบื้องหน้าสั่นไหว
หัวใจกรีดร้องร่ำไห้ด้วยความปวดแสบปวดร้อน...เจ็บ เจ็บเสียจนพูดไม่ออก
เจ็บกว่าไม่รัก เจ็บกว่าต้องจำทนเงียบนิ่งไม่แสดงท่าทีใดๆ...เจ็บ....
เจ็ยเพราะถูกหักหลัง...
.....
" พี่รักเมฆ "
"คนสำคัญ"
"กูรักมึง "
"ถ้ามึงเป็นงูเห่า จะฉกก็ฉกให้ตายทั้งคู่...มึงเป็นคนสำคัญของกู"
" อย่าสนิทกับมันมากเกินไปได้ไหม...ทำตาหวานใส่"พี่ชาย" ตัวเอง..."รัก
คนสำคัญ
น้องชายที่รัก คนที่รัก...รัก.....รักมาก...
...พี่ชายที่บอกว่ารักเขามาก กรีดร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของไว้บนร่างของผู้ชายที่เขารักมาก และผู้ชายที่บอกว่ารักเขาเช่นกัน ก็ปกปิดรอยนั้นไม่ยอมให้ใครได้เจอ ลับหลังก็ไปพบกันสองคน....
มันเรียกว่าอะไร....
นี่มันอะไรกัน...
สุดท้ายแล้ว คนที่โดนหลอกน่ะมันเขาทั้งนั้น !!!
รัก ....พูดว่ารักทั้งที่ทำแบบนี้ รักงั้นเหรอ? ทำไม...ทำไมถึงได้ทรยศหักหลัง
ทำไมพี่ชายถึงได้แย่งของสำคัญของเขาไปอีกแล้ว...
ทำไมคนที่เขารักถึงต้องทอดทิ้งเขาไปทุกคน...
ทำไมกัน!!...
ดวงตากลมโตที่นองเอ่อด้วยน้ำตาวาววับและเบิกกว้าง ความเจ็บปวด หวาดหวั่น รวดร้าวจนคิดอะไรไม่ออกเต็มแน่นอยู่ในหัวอก เจ็บปวดเสียจนจุกแน่น..เจ็ย เจ็บเสียจนสมองมึนเบลอ ตื้อหนักแทบคิดอะไรไม่ออก
ปลายนิ้วเรียวจิกลงบนพื้นซีเมนต์เเข็งชืด ฝ่ามือสั่นระริกและปลายฟันที่เขาเขาหากันแน่น...เล็บสั้นๆกดแน่นครูดกับพื้นซีเมนต์เสียจนเจ็บแปลบ ทว่าเขาไม่สนใจยังคงกดปลายเล็บลงบนผิวซีเมน์อย่างต่อเนื่อง ไม่สนว่าจะเจ็บ ไม่สนว่าจะเกิดแผล
ให้ร่างกายเจ็บปวด ดีกว่าหัวใจต้องทุกข์ทรมาร
ร่างหายเขาต้องนี้เจ็บเพียงเท่านี้ หากหัวใจร้าวร้านกว่านับพันเท่า !!!
...พี่ชายที่รัก พี่ชายที่พร่ำคำว่ารัก พี่ชายที่โอบกอดกระซิบคำว่ารักมาตลอดหลายปี
...ผู้ชายที่เขารัก ผู้ชายที่พูดว่ารักเขา และปกป้องเขามาตลอด
สองคนนั้นคงกำลังแกล้งแสดงละครตบตาเขาอย่างเนบเนียน ทำเหมือนเขาเป็นคนโง่
แสร้งทำเป็นเกลียด แสร้งทำเป็นไม่ชอบหน้า หากลับหลังกลับยิ้มร่า พุดคุยแสดงคงวามรักกันอย่างมีความสุข โดยไม่มีใครสนใจเขา
กลั้นสะอื้นในลำคอเสียจนตัวสั่น เขาอยากจะร้องไห้และกระชากร่างของคนที่นอนหลับอยุ่มาโวยวายต่อว่าให้สาใจ อยากจะเดินไปกรีดร้องใส่พี่ชายที่ทำหน้าซื่อ อยากจะทำร้าย อยากจะกู่ก้องให้สาสมกับความเจ็บปวดที่ได้รับ
กับความรักที่ถูกหักหลัง
ทำไม ทำไมเขาต้องพบเจอความผิดหวังอยุ่ตลอด
ทำไม... ทำไมความรักที่พยายามไขว่คว้าถึงไม่ได้มาสักที
เมฆบิดตัวออกจากอ้อมแขนแกร่งที่เปลี่ยนจากความอบอุ่นเป็นเย็นยะเยือกและแผดเผาหัวใจเสียจนแทบมอดไหม้ เขาซุกหน้าลงกับหมอนของตน กลั้นสะอื้นกลั้นน้ำตาเสียจนร้างทั้งร่างสั่นไหว
ในมือของเขามีพลาสเตอร์ที่ดึงออกมาจากหลังหูของคนรักติดอยู่ เขากำมันแน่น ระลึกถึงคนที่ให้มันมา และคนที่สร้างรอยแผลนั้นมาให้
....ทั้งที่ลืม พยายามลืมมันไปแล้วถึงความสูญเสียและความวิปโยคในชีวิตของเขา ที่เกิดขึ้นเพราะผู้ชายที่เขาเรียกว่า พี่
ทั้งที่รัก ทั้งที่ไว้ใจ ทั้งที่อยู่ข้างๆ ชายคนนั้นกลับทรยศความไว้ใจและความรักของเขาอย่างง่ายดาย
ฉกชิงความรัก แย่งเอาคนที่เขารักมาอีกครั้ง...
ทำร้ายให้เขาต้องเจ็บปวดเพราะไม่มีใครต้องการ ทำให้เขาจนตรอกเสียต้องพบเจอกับนรกบนดิน...
...ภาพของพี่ชายที่รักแสนรัก เคยแตกร้าวไปแล้ว และเขานี่อหละพยายามเก็บมันมาประกอบใหม่อีกครา หากทว่าเมื่อรอยแยกนั้นจะแนบกันสนิท เจ้าของมันกลับดึงกระชากภาพนั้นให้ขาดวิ่นด้วยตัวเอง..
พี่ชาย พี่ชาย พี่ชายของผม
ทำไม ทำไม ทำไมพี่ถึงต้องทรยศผม ทำไมพี่ถึงต้องทำร้ายผม ทำไมพี่ต้องแย่งชิงคนที่ผมรักไป
....G U N...
ทำไมต้องเป็นพี่....
ปลายนิ้วที่ชุ่มไปด้วยเลือดเอื้อมมือกำลูกกรงบนศรีษะแน่น ร่างที่สั่นไหวนั้นกัดฟันกรอด แววตาคุกรุ่นด้วยความโกรธ ความปวดร้าว ความเสียใจจนแทบคลั่ง !!
พลาสเตอร์สีขาวถูกแปะลงบนที่เดิมอย่างรวดเร็วด้วยปลายนิ้วเปื้อนเลือดสีสด ดวงตากลมโตจ้องมองใบหน้าของชายที่เขารักนักหนาด้วยหยาดน้ำตาไหลเอ่อ ในยามค่ำคืนที่ทุกชีวิตหลับไหล กลับมีเพียงร่างของนักโทษชายคนหนึ่งนอนเบิกตาโพลง ดวงตาแดงก่ำด้วยน้ำตาและความคั่งแค้น...
...." พี่......"
เสียงกระซิบของเมฆดังขึ้นฝ่าความเงียบอีกครั้ง แม้มันจะเบาแสนเบาเช่นเดิมหากทว่าน้ำเสียงนั้นไม่ได้สั่นไหว เช่นเดียวกับฝ่ามือที่กำแน่นเข้าหากันแน่น...และดวงตาที่วาววับด้วยน้ำตาแต่ฉายชัดถึงความไม่พอใจ
..........................TBc.
เป็นยังไงบ้างค่ะตอนนี้ 
ตอบตามตรง ว่าเขียนแล้ว"สะใจ"หมอกันย์อย่างมากมาย
...ไงล่ะ วางแผนดีนัก เจ้าเล่ห์นัก เจ้าแผนการณ์นัก...
สุดท้ายไอ้สิ่งที่วางมาอย่างแยบยล ก็ต้องพังทลายลงเพราะการกระทำที่มาจากความสะใจของตัวเอง..
สงสารเมฆมากๆ ตอนนี้เขียนไปน้ำตาซึมไป เจ็บปวดและผิดหวังร่วมไปกับเมฆจริงๆ พี่กันย์ฆ่าตัวตายของแท้ ทั้งเรื่องที่เรียกพี่วิทย์ไปคุยแล้วเมฆมาเจอ อาจจะจำกันได้ในตอนพิเศษ สองคนนี้จำต้องพบกันด้วยสาเหตุที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากแผลของวิทย์ พี่กันย์พยายามทำให้เมฆระแวงพี่วิทย์ เพื่อจะ"แย่ง"มาเป็นของตัวเอง วางแผนไว้เพื่อจะได้กระตุกใยแรงๆทีหนึ่งจนล้มครืน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว
เมฆที่กำลัง"กลัว"ความสนิทสนมของทั้งสองคนจากภาพที่เห็นและจากความระแวงที่มีมาก่อนหน้ามาตอนนี้บวกกับรอยแผลที่พี่กันย์ทำไว้อีก เรียกว่าจะยังไงก็คงกู่ไม่กลับ กับพี่กันย์เรียกว่าสาสม แต่สำหรับวิทย์แล้ว เรียกว่าน่าสงสาร..
สำหรับเมฆ...อืม ที่ผ่านมาเหมือนไม่คิด เหมือนไม่มีอะไร แต่...คนไม่แสดงออกไม่ได้หมายความว่าไม่รู้สึก คนที่ไม่พุดไม่ได้หมายความว่าไม่คิด คนที่"นิ่ง"ทำเฉยไม่รุ้ร้อน ใช่ว่าจะไม่สนใจอะไรเลย...
ความหลังระหว่างเมฆกับพี่กันย์ใกล้จะเปิดเผย อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เมฆเกลียดพี่กันย์ในตอนเริ่มแรกของเรื่อง และอะไรที่ทำให้เมฆเคียดแค้นเป็นทบเท่าพันทวีจากการกระทำของพี่กันย์...ใกล้จะเปิดเผยแล้วค่ะ
ครึ่งหลังนี้สามผีค่อนข้างเยอะ อาจจะปวดหัวแต่ช่วยไม่ได้ (555+) คราวนี้อัดมาม่าเต็มแรงแล้วนะ ไม่ผ่อนล่ะ 555+ 
ปล. เชียนเสร็จตั้งแต่เมื่อวาน จะมาโพสต์แล้วเน็ตเน่า อ้ากกกกกกก จะบ้าตาย 
..