.......
เท็ดประคองร่างผอมบางลงจากรถ เด็กหนุ่มกลัวรถเก๋งทุกชนิดจนเขาต้องใช้รถบรรทุกของบริษัทมาส่งที่ฟาร์ม ทันทีที่แพทย์เซ็นอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลชายหนุ่มก็รีบส่งข่าวมาให้ดาน่ารู้ แต่ยังไม่ได้บอกแดนนี่เพราะเกรงว่าแดนนี่จะรออยู่เฉยๆไม่ได้
“กาย…คุ้นตากับที่นี่ไหม?” คิ้วเรียวขมวดมุ่นแล้วก็คลายออก หน้าเผือดลงกว่าเดิม
“ไม่คุ้นเลยครับ…ผมขอโทษ”
“ขอโทษทำไม กายไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา…เข้าบ้านกันเถอะป่านนี้พ่อกับแม่คงรอเราอยู่แล้ว…ตื่นเต้นไหม?”คำชวนราวกับเด็กเล่นซนทำให้ซันอดยิ้มไม่ได้ ทั้งที่ใจสั่นระรัวมือก็เย็นเฉียบ เขากำลังจะได้เจอกับครอบครัวแล้ว ประตูเปิดออกพร้อมๆกับร่างโปร่งบางก้าวพรวดเข้ามาหา
“กาย!…กายของแม่” แขนเรียวหอมกรุ่นกอดรัดแน่นจนซันผวา เด็กหนุ่มดิ้นหนีอย่างตกใจ
“ไม่!…ปล่อยผม ปล่อย!” ดาน่าคลายอ้อมแขนออกอย่างตกใจ ร่างผอมบางถอยกรูดไปอยู่ในอ้อมแขนของเท็ด ดวงตาโตที่มองเธอตื่นตระหนกแต่เมื่อสบตากันและได้เห็นความปวดร้าวในสายตาของดาน่า เด็กหนุ่มก็หน้าเผือดอย่างเสียใจ
“ขอ…ขอโทษครับ…ผมตกใจ…ไม่ได้ตั้งใจจะหนีคุณเลยครับ…ผม…”
ซันเงยขึ้นมองเท็ดอย่างขอความช่วยเหลือ น้ำใสคลอเต็มตา สับสนและอัดอั้นที่จำคนในครอบครัวไม่ได้
“กาย…อย่าเสียใจเลยลูก แม่ต่างหากที่ต้องขอโทษ แม่ดีใจมากไปเลยโผเข้าไปกอดอย่างนั้นเป็นใครก็คงตกใจ กายเองก็ต้องการเวลาปรับตัวเหมือนกันใช่ไหมลูก...หรือว่าแม่จะแก่มากไปลูกเลยจำไม่ได้หือเท็ด?” ประโยคหลังทำให้บรรยากาศตึงเครียดคลายลง เด็กหนุ่มขยับเข้ามาหาดาน่าช้าๆดูลังเลไม่แน่ใจ แต่จู่ๆซันกลับเป็นฝ่ายกอดดาน่า ความอบอุ่นคุ้นเคยหลั่งไหลเข้ามาท่วมท้น
‘แม่’ คนคนนี้คือแม่ของเขา แม่ที่เขาเคยใฝ่ฝันมาตลอดว่าคงมีสักวันที่เขาจะได้เจอ
แขนเรียวกอดกระชับขึ้นอีก ดาน่ายืนตะลึงเงยขึ้นสบตากับเท็ดก่อนจะยิ้มปากสั่น กอดตอบร่างผอมแนบแน่น
“แม่…แม่ครับ”
“กาย…โอ! กายของแม่…แม่คิดถึงลูกคิดถึงเหลือเกิน แม่ฝันถึงลูกทุกคืนอยากกอดอยากจูบลูก แต่พอได้กอดลูกก็กลายเป็นอากาศว่างเปล่าทุกครั้ง คนดีของแม่ ต่อไปนี้แม่จะไม่ยอมให้ลูกไปไหนอีกแล้ว” เท็ดยืนนิ่งลำคอตีบตัน ดาน่าทั้งหัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน ไม่มีความยินดีใดมากไปกว่านี้อีกแล้ว
นับแต่เท็ดโทรมาบอกเธอก็เฝ้ารอด้วยความหวาดหวั่น กลัวเหลือเกินว่าจะเป็นเพียงความฝัน แต่ตอนนี้เธอได้กอดลูกอีกครั้งแล้วจริงๆ
“ดาน่า เสียงรถเท็ดมาไม่ใช่เหรอ แล้วนี่หายไปไหนกันหมด ดาน่า…”
เสียงแดนนี่เรียกหาดังมาจากในบ้าน ดาน่าคลายอ้อมแขนออก เช็ดน้ำตาบนหน้าเซียวอย่างทะนุถนอม ยิ้มกว้างอย่างยินดี
“กาย…ไปลูกไปเซอร์ไพร์สพ่อกัน…ถ้าพ่อรู้ว่ากายยังไม่ตายพ่อต้องดีใจมากแน่ๆเลย ไปเท็ดเดินบังน้องไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยเปิดตัว” ดาน่ารีบดันไหล่เท็ดนำเข้าไป อีกมือจูงซันไว้แน่นราวกับกลัวหาย แดนนี่นั่งอยู่บนรถเข็นหน้าห้องรับแขก เขาเหลียวกลับมาเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู
“เท็ด!…ฮะฮะพ่อว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นเสียงรถของเท็ด แม่นะสิหูเพี้ยนเขาว่าไม่ใช่ อ้าว!แล้วนั่นพาใครมาด้วยล่ะ?”
“ดูสิคะนี่ใคร” ดาน่าดึงไหล่บางมาข้างหน้าช้าๆ แดนนี่ขมวดคิ้วจ้องมองเด็กหนุ่มเขม็ง
“หืม?คุ้นๆนะ…เหมือน…กาย!กายลูก!” แดนนี่ผวาขึ้นจากรถเข็นจนเกือบล้ม เท็ดกระโดดเข้าไปคว้าไว้ได้ทัน พยายามจะประคองให้แดนนี่นั่งแต่แดนนี่ปัดแขนของเท็ดออกเพื่อจะตะเกียกจะกายมาหาลูก ซันผงะ ภาพซ้อนทับผุดวาบขึ้นมาในหัว เป็นภาพผู้ชายคนนั้นกำลังกระชากคอเสื้อเท็ดขึ้นมาต่อยเลือดแดงฉานอาบเต็มหน้าเท็ด
“ไม่!…อย่านะ!…อย่า!…อย่าทำร้ายเขา!”ร่างบางโผเข้าไปผลักจนแดนนี่ล้มลงอีกมือพยายามลากเท็ดให้ออกห่าง เท็ดตะลึงพอได้สติก็พยายามจะเข้าไปจับแดนนี่แต่ซันกลับดึงเขาไว้ ดาน่าอ้าปากค้างพอได้สติก็รีบเข้ามาประคองแดนนี่ซึ่งก็ตกใจไม่แพ้กัน
“ไม่!…อย่าทำร้ายเขานะ…เท็ดหนีไปสิ…ไป!”
“กาย!กาย!หยุด!ได้ยินไหมกาย?นี่กายผลักพ่อทำไม กายตั้งสติหน่อยสิ”
เท็ดจับไหล่บางไว้แน่น ภาพซ้อนทับในหัวหายไปซันยืนนิ่งงัน นี่เขาทำอะไรลงไป? เขาผลักคนพิการจนล้ม? ทำไมเขาเห็นผู้ชายคนนี้ทำร้ายเท็ด? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา หรือว่าเขาวิกลจริตไปแล้ว!
“ผม…ผมขอโทษ…ผมไม่ได้ตั้งใจ…ขอ…ขอโทษครับ” ซันผงะถอยหลังกรูด สายตาตกใจของคนทั้งสามทำให้เขาเสียใจ ก่อนจะวิ่งหนีออกมาอย่างเสียขวัญ
“กาย!เดี๋ยวกาย…อย่าไปกาย!…กายฟังพี่…กาย!” เท็ดวิ่งตามมาทันที่บันไดขั้นล่างสุด ซันพยายามจะสะบัดมือออกแต่เท็ดรัดร่างผอมมากอดแน่น เด็กหนุ่มตัวสั่นน้ำตาไหลพราก ร่างที่ดิ้นรนค่อยๆสงบลงเหลือแต่เสียงสะอื้น
“ผมขอโทษ…ผมไม่ได้ตั้งใจจะผลักเขา….ผมไม่ได้ตั้งใจ…ไม่รู้เหมือนกันว่าทำอย่างนั้นทำไม…ขอโทษครับ…ขอโทษ…ฮือ”
“กาย…อย่าร้องไห้คนดี ไม่ต้องกลัวไม่มีใครโกรธน้อง ทุกคนเข้าใจกายนะ”
“แต่…แต่ผมผลักเขา…ผมไม่ได้ตั้งใจแต่จู่ๆผมก็เห็นภาพเขาทำร้ายคุณ ผม…ผมไม่รู้…ไม่รู้ว่าทำไมต้องทำแบบนั้น”
“เห็นพ่อทำร้ายพี่เหรอ…กาย…พระเจ้า!…น้องจำได้!” เท็ดอุทานอย่างยินดี คลายอ้อมแขนออกเพื่อมองเด็กหนุ่มให้ถนัดขึ้น ตาโตดูสับสนกังวลและตกใจ
“ผม…ผมจำได้…จำได้ใช่ไหม…เขาเคยทำร้ายคุณจริงๆเหรอ?”
“ใช่…แต่มันเป็นความผิดของพี่แล้วพ่อก็แค่โมโหไปชั่ววูบเท่านั้น”
“แต่ผมเห็นเขาทำร้ายคุณจนเลือดไหล…แล้ว…ไม่!นึกสิ…นึกให้ออก…นึกสิ…โธ่!” เด็กหนุ่มบีบขมับตัวเองแรงๆพยายามจะนึกให้ออก เท็ดดึงมือที่กดขมับออกและรวบร่างบางมากอดไว้
“กาย…อย่าทำอย่างนี้ ช่างมันนึกไม่ออกก็ช่าง อย่าบังคับตัวเองอย่างนี้มันไม่ดีกับตัวกายเลยนะ”
“แต่ผมอยากนึกให้ออก…ผม”
“เท็ด…กายเป็นไงบ้าง?”ดาน่าตามออกมามองอย่างเป็นห่วง
“ผมไม่เป็นอะไรแล้วครับ…ผมขอโทษ” ซันหน้าสลดด้วยความเสียใจ ดาน่าเดินมากอดร่างผอมไว้ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยชวนเบาๆ
“เข้าไปข้างในกันไหมลูก…พ่อเขาอยากเจอกาย”
เด็กหนุ่มเหลียวมองเท็ดก่อนจะพยักหน้าช้าๆ ดาน่าโอบร่างบางกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง แดนนี่นั่งอยู่บนรถเข็นเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าอูมแดงกล่ำ สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
“กาย…กายมาหาพ่อสิลูก”
ซันเดินเข้าไปหาช้าๆแต่เมื่อแดนนี่ยื่นมืออกมา ภาพที่แดนนี่ทำร้ายเท็ดก็ผุดขึ้นมาในหัวอีก ซันเงยขึ้นสบตา ใบหน้าเย็นชาเกรียวกราดซ้อนทับเข้ามา เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกถอยหลังกรูดแต่แดนนี่คว้าข้อมือเขาไว้แน่น
“ไม่!…อย่า…อย่าจับตัวผม…เท็ด…ช่วยด้วย!” ซันพยายามสะบัดมืออก แต่ภาพซ้อนทับก็หายไปเหลือเพียงหน้าซีดเผือดที่ดูตกใจและเสียใจของแดนนี่
“ผม…ผมขอโทษ อึก…” ซันคู้ตัวลงและอาเจียรออกมา เท็ดช้อนร่างผอมขึ้นมาอุ้มอย่างตกใจ เด็กหนุ่มกดศรีษะแน่นหน้าซีดขาวและเริ่มดิ้นทุรนทุรายเพราะอาการปวดศรีษะ
“กาย!..กาย!อย่าเป็นอะไรนะลูก เท็ดช่วยน้องด้วย!” แดนนี่ตัวสั่น ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“กาย…กายเป็นไงบ้าง…กายตอบพี่หน่อย”
“ดาน่าลูกเป็นอะไร?…เท็ดน้องเป็นอะไร?”
“ผมจะพากายไปโรงพยาบาล…แม่ครับดูพ่อก่อนนะ เดี๋ยวผมโทรมา”
เท็ดช้อนร่างอ่อนพับขึ้นอุ้มวิ่งออกไปที่รถ แดนนี่พยายามจะเข็นรถตามไปแต่ดาน่ายึดเขาเอาไว้
“อย่าค่ะ!…เท็ดกำลังจะพากายไปโรงพยาบาลแล้ว”
“ผมจะไปด้วย…เร็วดาน่าไปโรงพยาบาลกัน เท็ดรอพ่อก่อน”
“ไม่คะ!เราไปไม่ได้ ยิ่งเราไปด้วยเท็ดจะยิ่งช้านะคะ ให้เท็ดพากายไปโรง-พยาบาล ก่อนเดี๋ยวเราค่อยเอารถตามไปนะคะ” แดนนี่นั่งนิ่งขึงมองตามรถของเท็ดไปอย่างผิดหวังขณะที่ดาน่าวิ่งไปคว้ากุญแจรถกับเสื้อคลุมของเธอและแดนนี่ แต่เมื่อกลับมาที่ห้องโถงก็เห็นแดนนี่ฟุบอยู่บนรถเข็น
“คุณคะ!…ตายแล้วหน้าคุณซีดจัง เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ดาน่า…ลูกเกลียดผมคุณเห็นไหมดาน่า…กายเกลียดผม เขาไม่ยอมให้ผมถูกตัวเขาด้วยซ้ำ เขาทั้งเกลียดทั้งกลัวผม ผมเป็นปีศาจไปแล้วในสายตาลูก
ดาน่านี่ผมทำผิดขนาดนี้เชียวหรือนี่?”
“คุณคะ…แดนนี่!…ตายจริง!…เดี๋ยวค่ะเดี๋ยวใจเย็นๆค่ะ อ้าปากค่ะแดนนี่ อมไว้นะคะ ใจเย็นๆค่ะที่รัก” ดาน่ารีบเอายาให้แดนนี่อม อาการโรคหัวใจของแดนนี่กำเริบอีกแล้ว ดาน่าเข็นรถของสามีกลับไปที่ห้องนอน ค่อยๆประคองให้แดนนี่นอนลงบนเตียง ครู่ใหญ่อาการของแดนนี่ก็ค่อยทุเลาลง ดาน่าลูบศรีษะสามีอย่างอ่อนโยน หัวใจของคนเป็นพ่อกำลังแหลกสลาย ปฏิกิริยาของกายทำให้แดนนี่ตกใจ
“ที่รักคะ…กายความจำเสื่อมน่ะคะเขากลัวคนแปลกหน้าทุกคน เท็ดเองกว่าจะทำให้เขายอมรับได้ก็ตั้งนาน แล้วนี่เราเพิ่งเจอลูกครั้งแรกลูกอาจจะสับสนไปบ้าง อย่ากังวลเลยค่ะ เดี๋ยวพอลูกหายตกใจก็จะยอมรับคุณเองแหละค่ะ”
“คุณก็รู้ว่าไม่จริงดาน่า กายยอมรับคุณ แต่ลูกไม่ยอมรับผม เขาไม่ยอมให้ผมถูกตัวเขาด้วยซ้ำ”แดนนี่เหลียวกลับมาสบตาภรรยา น้ำตาลูกผู้ชายไหลริน มันเป็นความเจ็บปวดที่แสนสาหัสไม่น้อยกว่าครั้งที่เขาคิดว่ากายตาย ดาน่าสะอื้นบีบมือสามีแน่น
“ให้เวลาลูกอีกหน่อยนะคะแดนนี่”
“แล้วถ้ากายไม่ยอมรับผมตลอดไปล่ะดาน่า…ผม…ผมจะทำยังไง?”
“ที่รักคะ…อย่าเพิ่งคิดอะไรไปก่อนเลยนะคะ ไว้ถึงเวลานั้นแล้วเราค่อยมาคิดกันว่าจะทำยังไง” แดนนี่พยักหน้าช้าๆความหวังดูริบหรี่และเลือนลางเหลือเกินสองสามีภรรยากุมมือกันแน่นเหมือนจะช่วยปลุกปลอบกันและกัน
“หมอครับ กายเป็นไงบ้าง?”
“เขาเครียดนะครับ เครียดมาก คงพยายามจะนึกให้ออก บีบคั้นตัวเองจน
ช็อค” จิตแพทย์หนุ่มใหญ่ดูกังวลอย่างเห็นไห้ชัด อาการของเด็กหนุ่มทำให้เขาวิตก เท็ดถอนใจยาวหน้าหมอง ริชเดินมาตบไหล่เพื่อนเบาๆ ราเชลก็เข้ามายืนข้างๆ อาการของกายทำให้ต้องตัดสินใจเรียก‘ซอเรน’มาดูแลจนได้
“ผมจะทำยังไงดีครับหมอ?”
“ผมว่าคุณน่าจะพาเขาไปพักผ่อนที่ไหนสักแห่ง เป็นที่ๆเขาไม่เคยไปเลยยิ่งดี เพราะหากไปเห็นอะไรที่คุ้นตาเขาต้องพยายามนึกอีกแน่ๆ ผมว่าแทนที่เขาจะจำได้กลับจะทำให้แย่ไปมากกว่านี้”
“ฉันว่าพาไปที่รีสอร์ทก็ดีนะ ที่นั่นค่อนข้างเงียบ คงช่วยให้กายรู้สึกดีขึ้น”
ริชเสนอความเห็นขึ้นมาเบาๆ เท็ดเองก็เห็นด้วย
“ดีเหมือนกัน กายไม่เคยไปที่นั่นคงไม่มีปัญหาเรื่องคุ้นตาจนต้องพยายามนึกให้ออกอีก”
“งั้นฉันจะให้ทางโน้นเตรียมรอรับ ว่าแต่นายจะพากายไปเมื่อไหร่?”
เท็ดหันกับมาปรึกษาหมอ เมื่อรู้ว่าสามารถไปได้ทันทีริชก็ออกไปโทรศัพท์สั่งลูกน้องแต่ก็ไม่วายคว้าข้อมือราเชลออกไปด้วยเพราะไม่อยากให้อยู่ใกล้ชิดกับซอเรน นาย-แพทย์หนุ่มมองตามอย่างอาวรณ์ เท็ดเองก็สงสารแต่เรื่องนี้คงไม่มีทางที่จะช่วยให้ซอเรนสมหวังได้ เขาได้แต่ภาวนาให้คนดีอย่างซอเรนได้เจอคนที่เขามีสิทธิ์รักได้เร็วๆ
“พ่อกับแม่นายว่าไงบ้าง?” ริชถามขณะที่ช่วยเท็ดขนของขึ้นรถตู้
“แม่เห็นด้วย ส่วนพ่อตั้งแต่วันที่ถูกกายผลักก็เอาแต่ซึมไม่ยอมกินอะไรเลย นี่แม่ต้องพาไปบำบัดอีกแล้ว หมอก็ขอให้แม่พาพ่อไปพักผ่อนเสียที คราวนี้เห็นว่าจะไปหาป้าแมรี่ที่สิงค์โปร์ คงช่วยให้อะไรๆดีขึ้นบ้าง” เท็ดดึงท้ายรถปิดลง วันนี้เขาจะพากายไปพักผ่อนที่รีสอร์ทบนเกาะส่วนตัวของตระกูลแฮมิลตัน ที่นั่นต้อนรับนักท่องเที่ยวเกรดเดียวคือญาติมิตรและคนในตระกูลแฮมิลตันเท่านั้น แม้เกาะนี้จะค่อนข้างใหญ่แต่ก็ไม่มีคนภายนอกเข้าไปอยู่ ชาวบ้านที่นั่นคือครอบครัวของพนักงานที่ทำงานให้รีสอร์ทเท่านั้น ริชจัดการเคลียร์ไม่ให้มีใครเข้าไปพักได้อีกจนกว่าเท็ดกับกายจะกลับเพื่อให้กายได้เป็นส่วนตัวมากที่สุด
“ทางโน้นเอาเครื่องบินมารอรับที่ท่าเรือแล้ว โชคดีนะเท็ด….ขอให้นายทำให้กายกลับมาเป็นกายคนเดิมได้สำเร็จ”
“ขอบใจมากริช”
……………
“กาย…ดูโน่นสิ…สวยไหม…นั่นแหละเกาะที่เราจะไปพักกัน”
“สวยจัง…เกาะนั่นของริชหรือครับ?”
“จะว่าอย่างนั้นก็คงได้ แม้ตอนนี้จะเป็นของตระกูลแฮมิลตันแต่อนาคตก็ต้องเป็นของริชอยู่ดี…กายเตรียมตัวนะเครื่องจะลงแล้ว”
เครื่องบินโดยสารขนาดเล็กร่อนลงจอดบนลานอย่างนุ่มนวลแสดงถึงฝีมือของคนขับ ร่างสูงโดดลงมาก่อนจะหันไปช้อนร่างผอมบางอุ้มเข้าไปในอาคาร ซันหน้าแดงพยายามจะลงเดินเองแต่ก็ถึงเสียก่อน ชายหนุ่มวางเขาลงเบาๆบนเก้าอี้ตัวใหญ่ในห้องรับรอง
“สวัสดีครับคุณเท็ด คุณกาย รีสอร์ทแฮมิลตันยินดีต้อนรับครับ”
“แจ็ค!นี่นายมาอยู่ที่นี่ได้ไงเนี่ย?”
“คุณริชส่งผมมาทำงานที่นี่ครับ ยินดีที่ได้รับใช้คุณเท็ดอีกครั้งครับ”
“กาย…นี่แจ็คเพื่อนเก่าของพี่กับริช”
เท็ดก้มลงบอกเด็กหนุ่มเบาๆซันเงยขึ้นยิ้ม แจ็คมองการแสดงออกของเท็ดอย่างเผลอๆ สายตาที่เปี่ยมด้วยความรักความห่วงใยของทั้งสองทำให้เขาเต็มตื้นและเจ็บปวดอยู่ลึกๆเมื่อนึกถึงตัวเอง
“โอ้โห!อย่าเรียกว่าเพื่อนเก่าเลยครับ สวัสดีครับคุณกายยินดีรับใช้ครับผม”
“ครับ…เอ่อ ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณแจ็ค”
“ว้า!อย่าเรียกผมซะหรูอย่างนั้นสิครับเดี๋ยวผมตกงานกันพอดี”
ซันหน้าแหยแต่แจ็คกับเท็ดหัวเราะชอบใจ แจ็คนำเท็ดและกายไปยังบ้านพักด้วยรถไฟฟ้าที่ใช้ในสนามกอล์ฟ รีสอร์ทขนาดใหญ่ประกอบด้วยหมู่อาคารหรูหราและบ้านพักนับสิบหลัง แต่หลังที่ริชเลือกไว้ให้เป็นบ้านพักขนาดเล็กตั้งอยู่ริมน้ำตกค่อนข้างห่างจากบ้านหลังอื่นๆ สวนที่จัดให้ใกล้เคียงกับธรรมชาติงดงามจนเด็กหนุ่มตะลึง ทางเล็กๆทอดยาวจากตัวบ้านไปจรดชายหาดท่ามกลางดงสนและป่าโปร่งร่มรื่น แสงแดดยามเย็นสาดส่องทั่วบริเวณจนกลายเป็นสีเหลืองทองอ่อนๆ
ซันเดินสำรวจบ้านอย่างตื่นเต้น บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้สองชั้นบันไดทางขึ้นอยู่ด้านหน้า ซึ่งเป็นระเบียงกว้างตลอดแนวโปร่งโล่ง หลังคาระเบียงเป็นวัสดุกันความร้อนสามารถพับเก็บได้ มีไม้สนกั้นเป็นราวรอบ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใดๆนอกจากเก้าอี้นอนปูด้วยเบาะสีสดใสตั้งชิดด้านใน ห้องนอนสองห้องอยู่ติดกันแต่ด้านหลังมีระเบียงแยกกันเป็นสัดส่วน กลางห้องตั้งเตียงขนาดใหญ่สี่เสา มีมุ้งโปร่งสีครีมตกแต่งให้สวยมากกว่าจะใช้งานจริง ด้านที่ติดกับระเบียงหลังเป็นกระจกใสทั้งแถบแต่มีม่านสีอ่อนปิดไว้ หากต้องการความโล่งสบายก็สามารถรูดเก็บได้ ใต้ระเบียงด้านหน้าเป็นสวนสวย แต่ระเบียงด้านหลังจะติดกับน้ำตกจำลองสูงประมาณ 3-4เมตร น้ำที่ตกลงมาค่อนข้างแรง ยามที่ลมแรงๆจะพัดเอาละอองน้ำมาถึงระเบียงทีเดียว ซันเพิ่งสังเกตว่าแม้จะเป็นสองห้องนอนแต่กลับมีห้องน้ำเพียงห้องเดียว โดยตั้งอยู่ระหว่างสองห้องนอน ยังดีที่มีล็อคอยู่ด้านในทั้งสองประตู
แม้จะไม่มีคำพูดใดๆแต่สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดีนั้นก็ทำให้เท็ดพอใจแล้ว แก้มซีดเซียวเริ่มเป็นสีระเรื่อเพราะเด็กหนุ่มเดินไปจนทั่วบริเวณ ลมแรงที่เริ่มเย็นทำให้เท็ดนึกเป็นห่วง แต่ยังไม่อยากขัดใจ
“ไปเดินดูหาดได้ไหมครับ?”
“ลมแรงนะ จะไปเดินริมทะเลตอนนี้เลยเหรอ?”
“ครับ…แต่ถ้าคุณเท็ดเหนื่อยค่อยไปพรุ่งนี้ก็ได้”
“พี่ไม่เหนื่อยหรอก ถ้ากายอยากเดินเล่นก็ไปกันเลย”
ซันสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ กลิ่นเค็มที่คุ้นเคยมาตลอด7ปี ลมแรงปะทะหน้าเย็นเยือกจนต้องห่อไหล่นิดๆ ยังไม่ทันขยับเสื้อคลุมตัวใหญ่ก็ถูกสวมให้ราวกับเขาเป็นเด็กเล็กๆ
“วันนี้ค่อนข้างเย็นใส่ไว้หน่อยนะจะได้ไม่เป็นหวัด”
หางเสียงที่ทอดอ่อนโยนอบอุ่น ซันขอบคุณเสียงเบาอย่างเขินๆ ก่อนจะเสมองไปรอบๆถึงจะเป็นเกาะเหมือนกัน แต่ที่นี่กลับให้ความรู้สึกแตกต่างกับที่ๆเขาเคยอยู่ ที่นั่นเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติที่เข้าไปอยู่เพื่อหลบซ่อนจากสายตาเจ้า-หน้าที่ รอจนได้รับกรีนการ์ดแล้วก็ไป แต่บางส่วนก็สมัครใจที่จะอยู่ที่นั่นเพราะลงหลักปักฐานไปแล้วหรือไม่ก็ไม่มีที่ไปเพราะเคยมีคดีติดตัว ส่วนเขาเองก็เหมือนเด็กหลงทางที่ไม่มีปัญญาบอกแม้แต่ชื่อตัวเอง ซันถอดรองเท้าออกแล้วเดินลุยไปบนทรายนุ่มๆ หากอยู่ที่เกาะขืนทำแบบนี้เท่ากับฆ่าตัวตายทางอ้อมเพราะที่นั่นเต็มไปด้วยเศษแก้ว ขยะ เปลือกหอย เปลือกปูฯลฯ หางตาเขายังเห็นปลายรองเท้าผ้าใบก้าวตามมาเงียบๆ ซันปล่อยอารมณ์ไปกับความเขียวครึ้มของต้นไม้รอบกาย หาดทรายขาวทอดยาวและไปสิ้นสุดที่ผาหินเตี้ยๆ นกทะเลโฉบผ่านลงมาใกล้ราวกับไม่กลัวมนุษย์ เด็กหนุ่มเหลียวไปมองคนข้างหลังนิดหนึ่งทำให้เสียจังหวะการเดิน อาการเจ็บแปลบบริเวณสะโพกเป็นสิ่งยืนยันได้อย่างดี ขาที่ก้าวได้สบายๆเริ่มขัดๆทำให้ต้องเขยกมากขึ้น ซันหน้าร้อนผ่าว เป็นครั้งแรกที่นึกอายความพิการของตนเอง นับแต่ฟื้นจากความตายเขาไม่เคยแยแสต่อสายตาของคนรอบข้าง ไม่สนใจว่าใครจะสมเพชเวทนาแค่ไหน เพราะการที่ลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าสมองว่างเปล่า ไม่ใครหรือความทรงจำใดๆนั้นทุกข์ทรมานยิ่งกว่าที่จะมานั่งอับอายกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่ครั้งนี้เขากลับไม่อยากให้ผู้ชายคนนี้เห็นความพิการของตัวเอง ทางเดียวที่ทำได้คือหยุดเดิน ซันหันกลับมาเผชิญหน้ากับร่างสูง รอยยิ้มอ่อนโยนรอรับอยู่ก่อนแล้ว
“เหนื่อยหรือยัง?…เดินมาตั้งไกล พักก่อนนะ”
ร่างสูงทรุดลงนั่งก่อนจะตบพื้นทรายข้างตัวเบาๆซันค่อยๆหย่อนตัวลงเพราะสะโพกเริ่มตึงและปวดมากขึ้น
“คุณริชดูสนิทกับคุณมากเลยนะครับ”
“ไม่รู้ว่าเริ่มญาติดีกันตอนไหน แต่กว่าจะรู้ตัวพี่กับริชก็กลายเป็นเพื่อนซี้กันไปแล้ว เมื่อก่อนตอนที่เขาสนิทกับกาย….”
“ทำไมครับ?”
“เปล่า…แค่จะบอกว่าเขาเคยเป็นคู่หูกับกายมาก่อนนะ”
“งั้นหรือครับ….ฮะ…ฮัดเช้ย!”
“เราคงเดินกันนานไปแล้วล่ะ เข้าบ้านเถอะเดี๋ยวจะไม่สบาย”
“เอ่อ…นั่งอีกเดี๋ยวได้ไหมครับ…ฮัดเช้ยๆ!”
“ไม่ไหวแล้วมั้ง พี่ว่าเรากลับบ้านพักกันดีกว่า”
ซันอึกอักเพราะอาการปวดสะโพกเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนไม่อยากเคลื่อนไหวตอนนี้ ร่างสูงผุดลุกขึ้นพร้อมๆกับดึงเขาลุกขึ้นมาด้วย ปัดทรายที่ติดบนสะโพกและต้นขาออกให้เบาๆก่อนจะช้อนตัวเขาขึ้นอุ้มหน้าตาเฉย ซันสะดุ้งดิ้นจะลงแต่ก็เจ็บสะโพกจี๊ดขึ้นมาจนต้องหยุด ได้แต่ปล่อยให้ชายหนุ่มอุ้มเดินลิ่วราวกับตัวเขาไม่มีน้ำหนัก
อ้อมแขนนี้อบอุ่น..ซันหลับตาซบบนอกกว้าง กลิ่นหอมอ่อนๆคุ้นเคยเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอชวนให้เพลิดเพลินอยากให้ทางเดินทอดยาวไกลไปเรื่อยๆไม่มีวันสิ้นสุด…กลิ่นหอมของดอกไม้อบอวล รอบๆตัวเริ่มอุ่นขึ้น ไม่มีเสียงลมหวีดหวิวมาปะทะ ซันยังคงหลับตาพริ้มแม้จะรู้สึกว่าจังหวะการก้าวเดินเปลี่ยนไปแต่อ้อมแขนนี้กลับโอบล้อมความคิดของเขาให้หมุนวนอยู่ในนี้เท่านั้น จู่ๆแผ่นหลังก็สัมผัสกับความนุ่มหยุ่น กลิ่นดอกไม้ผสมกับกลิ่นแดดหอมกรุ่น ผ้านุ่มๆคลุมลงมาบนอกพร้อมๆกับลมหายใจร้อนแตะเบาๆที่หน้าผาก
“ฝันดีนะ คนดีของพี่”
“อืม…” แล้วอนุสติก็ลางเลือนไป
……………
“กาย…กาย…ลุกไหวไหม?”
“อืม…คุณเท็ด…กี่ทุ่มแล้วครับ?”
“เกือบ5ทุ่มแล้ว…กินซุบสักนิดนะจะได้กินยา” เด็กหนุ่มตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น อาหารถูกยกมาถึงเตียง รสชาติของซุบถูกใจเด็กหนุ่มมากจนกินหมดอย่างรวดเร็ว
“เอาอีกไหม?”
“พอแล้วครับ เอ่อ…ที่นี่เขาทำซุบอร่อยจังครับ” ซันออกตัวเขินๆเมื่อเห็นตาคมเป็นประกายระยับ
“กายชอบใช่ไหม?”
“ครับ…มันอร่อยกว่าที่ร้านอีก”
“ถ้างั้นพรุ่งนี้จะให้มีซุบอีกนะ”
“ขอบคุณครับ…คุณเท็ดละครับทานอะไรหรือยัง?”
“เรียบร้อยแล้ว…ถ้าอิ่มแล้วก็นอนต่อนะ”
“ผมตาสว่างแล้ว…ขอออกไปรับลมที่ระเบียงได้ไหมครับ?”
“เอาสิ…เดี๋ยวนะ” ชายหนุ่มลุกออกไปที่ระเบียงแล้วกลับเข้ามาหอบผ้าออกไปหลายผืน ซันนั่งงงไม่เข้าใจว่าเท็ดทำอะไร
“เอาละเรียบร้อย มาสิ…”
“ครับ…ทำไมผ้ามันเยอะอย่างนี้ละครับ?”
“ก็อากาศค่อนข้างเย็น กลัวว่ากายจะเป็นหวัดเอานะสิ”
“ขอบคุณครับ” ร่างผอมแทบจะจมหายลงไปในกองผ้าห่ม เท็ดทรุดลงนั่งข้างๆ ไอตัวร้อนผะผ่าวจากร่างหนาทำให้เด็กหนุ่มเผลอกลั้นใจ หัวใจเต้นระรัวขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ลมทะเลหอบเอากลิ่นหอมของดอกไม้และไอเย็นจากน้ำตกขึ้นมาถึงบนระเบียง ซันสูดลมหายใจยาวลึกเพื่อให้หัวใจเต้นช้าลง เสดึงผ้ามาห่มเพื่อให้เกิดระยะห่างจากร่างสูง แต่ชายหนุ่มกลับเข้าใจไปอีกทาง
“หนาวเหรอ…อุ่นขึ้นไหม?”
ซันใจหายวาบเมื่อถูกรวบเข้าไปไว้ในตักกว้าง ปากซีดเผยอเหมือนจะกล่าวคำปฏิเสธแต่กลับไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ร่างกายกลับเอนซบลงอย่างง่ายดาย ปากร้อนสัมผัสบนหน้าผากแผ่วเบา เด็กหนุ่มหลับตาลง แต่กลับเผยอปากเหมือนรอคอยบางอย่าง… ‘รอคอยงั้นเหรอ นี่เรากำลังรออะไร?’ ซันลืมตาขึ้นแล้วก็รีบหลับลงไปใหม่เพราะเห็นชายหนุ่มกำลังจะก้มลงมา ลมหาย ใจรินรดที่หน้าผากและแก้มจนร้อนผ่าวทั้งหน้า
“ถ้าง่วงก็หลับไปเลยนะ”
‘เฮ้อ!…ใครจะไปหลับลง ก็เล่นกอดซะแน่นขนาดนี้…จะว่าไปก็อุ่นดีนะ’ เด็ก-หนุ่มเผลอคิดโน่นคิดนี้และผลอยหลับไปด้วยฤทธิ์ยา
...............
