บทที่ 6 ครับ
ขอบคุณที่เสียสละเวลามาอ่าน มาคอมเมนท์ และกดคะแนนให้ครับ (แม้คะแนนได้เกิน 1000 มาพอประมาณแล้วก็ไม่มีวี่แววจะหาเมียได้ซักที สงสัยต้องไปดาวน์บ้านที่หมู่บ้าน Golden Beam ดีกว่า)
Chapter 6
โลกมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 12,756 กิโลเมตร แต่ภีรวัสกลับเห็นว่าโลกกลมๆ ใบนี้ช่างเล็กนัก เขากำลังจะข้ามถนน แต่ทันทีที่เห็นชายหนุ่มร่างสูงก้าวลงจากรถวอลโว่โฟร์วีลด์สีเงินและจำได้ว่าเป็นใคร ก็ต้องรีบหันหน้าเข้าหาแม่ค้าขายเครื่องดื่มแล้วทำทีเป็นกำลังจะสั่งน้ำปั่น
ภีรวัสได้ยินเสียงปิดประตูรถ ในใจนับหนึ่งถึงสิบ รอเวลาว่าคนที่ก้าวลงจากรถที่จอดข้างฟุตบาธคงจะเดินไปพ้นรัศมีการมองเห็น ชายหนุ่มคิดเข้าข้างตัวเอง เมื่อครู่ที่กำลังจะข้ามถนน เขายกมือขึ้นป้องใบหน้าจากแสงแดด พันตรีหม่อมหลวงพล เจ้าของรถวอลโว่คงมองไม่เห็นเขา
"โลกกลมจังเลยนะครับดอกเตอร์ภีรวัส" เสียงห้าวดังขึ้นข้างหู "มาไกลถึงที่นี่ ผมก็โชคดีได้เจอคนที่อยากเจอที่สุด"
"ขอน้ำแตงโมปั่นหนึ่งแก้วครับ" ภีรวัสสั่งเครื่องดื่มเบาๆ ทำทีไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายพูด
"ผมเกือบจะจ้างนักสืบตามหาคุณซะแล้ว ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เจอตัวง่ายๆ แบบนี้"
"ไม่เอาหวานนะครับ" นักวิจัยหนุ่มทำเป็นหูทวนลม
"ภีรวัส บอกผมซิว่าทำไม" พลถามเสียงต่ำ "ผมทำอะไรผิด อยู่เฉยๆ คุณก็หายหน้าไป"
"ผมมีโปรเจ็คด่วนต้องไปทำ" ภีรวัสถอนหายใจเบาๆ แล้วหันไปเผชิญหน้ากับ "โจทย์เก่า" ช้าๆ
"คุณจงใจหลบหน้าผม"
"เปล่า" ภีรวัตนปากแข็ง
"แล้วทำไมไม่บอกผมซักคำ"
"คุณไปราชการต่างจังหวัดไม่ใช่หรือ ตอนนั้นผม..."
"โทรศัพท์ก็มี" พลแทรก "จะโทรไปบอก จะฝากข้อความเอาไว้ หรือรับโทรศัพท์ของผม หรือโทรกลับผม แก้ตัวยังไงก็ฟังไม่ขึ้นหรอก และที่สำคัญ คุณเปลี่ยนเบอร์โทร จงใจหนีหน้าผมชัดๆ"
"ไม่ได้แก้ตัว" ภีรวัสปฏิเสธ "ผมให้เหตุผล"
"ถ้ายังงั้น บอกเหตุผลจริงๆ ที่คุณหนีผมไปมาซิ บอกให้ผมได้ยินต่อหน้า บอกให้ผมได้ยินชัดๆ"
"จะมาบีบให้ผมพูดทำไมก็ไม่รู้ อะไรที่แล้วก็แล้วไปเถอะผู้พัน" ภีรวัสตัดบท หันไปรับเครื่องดื่มจากแม่ค้า แล้วก้าวเท้าเดินจะข้ามถนน
"เดี๋ยวสิภีร์" พลคว้าแขนชายหนุ่ม "บอกผมมาก่อน"
"ผู้พันพล อะไรที่ผ่านมาก็ให้ผ่านไปเสียเถอะ อย่าให้ย้อนเวลากลับไปอีกเลย ผมไม่อยากพูดอะไรที่..."
"ให้ผมบอกเหตุผลไหมล่ะ ที่คุณหายไปเพราะคุณหมดสนุกแล้ว"
"อะไรนะ" ภีรวัสหันขวับมามองนายทหารหนุ่มที่ยืนจับแขนเขาไม่ยอมให้ข้ามถนน
"ผมตามหาคุณมาหลายเดือน เลยได้รู้อะไรดีๆ จะว่าโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ที่ผมไปรู้จักกับคนอีกสองสามคนที่รู้จักคุณกับ..."
ภีรวัสกลั้นหายใจรอฟังคำพูดของผู้พันหนุ่มที่จงใจทิ้งช่วง
"กับคู่หู"
"ใคร" ทั้งที่เข้าใจว่พลหมายถึงอิศรา แต่ภีรวัสก็แกล้งทำเป็นอยากรู้
"ผมไม่ยอมหรอกภีร์ อยู่ๆ จะมาทิ้งผมไม่ได้ ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่การกระทำที่ไม่มีเหตุผลแบบนี้ คุณก็รู้ว่าผมรักคุณ กว่าสามเดือนที่เราคบกัน มันเป็นช่วงเวลาที่พิเศษที่สุดของผม ผมไม่เข้าใจจริงๆ กำลังไปกันได้ดี พอผมบอกรักคุณ คุณก็หายไป ผมไม่เข้าใจ คุณจะกลัวอะไร คุณเองก็ทำท่าว่าอยากมีความสัมพันธ์แบบคู่รัก แต่ทำไมพอผมจริงจัง คุณถึงได้ตัดเยื่อใยผมแบบนี้"
ภีรวัสกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น เห็นแววตามั่นคงแฝงด้วยความเจ็บปวดของพลแล้วทำให้พูดอะไรไม่ออก พลเป็นคนที่สองที่ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหว และเป็นคนที่สองที่จริงจังกับความสัมพันธ์มาก นับตั้งแต่พงศธร นักบินหนุ่มที่เขาทิ้งไปเมื่อปีที่แล้ว และจนป่านนี้ ฝ่ายนั้นก็ยังทำใจไม่ได้
...ชักจะยุ่งกันไปใหญ่แล้ว ทำยังไงดี...
"ผู้พันครับ ขอเวลาผมอีกซักหน่อย" ภีรวัสเปลี่ยนท่าที "จริงอย่างที่คุณพูด ผมคงกลัว คงสับสน ไม่มั่นใจ เพราะฉะนั้น ขอเวลาให้ผมอีกนิด ได้ไหมครับ"
"คุณต้องการขอเวลา หรือต้องการยื้อเวลา" พลเสียงเข้ม
"โธ่ อย่ามาว่ากันแบบนี้สิ ผมจะยื้อเวลาไปทำไม มันไม่มีเหตุผล"
"หรือคุณเจอคนใหม่" พลถามเสียงเรียบ ในใจอยากจะพูดว่า "เหยื่อรายใหม่" ด้วยซ้ำ
"เจอใครที่ไหนกัน ผมทำแต่งาน โครงการวิจัยที่กำลังทำอยู่กว่าจะได้ทุนมาก็เลือดตาแทบกระเด็น ผมไม่มีเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นหรอก" ภีรวัสแก้ตัว ภาพใบหน้าคร้ามเข้มของพันตรีวรุตม์ฉายวาบขึ้นมาในหัว
...ตายล่ะ หากผู้พันพลมายุ่งกับเราตอนนี้ มีทางแพ้อิศราเห็นๆ ไม่ได้การ ต้องทำอะไรซักอย่าง...
"ผู้พันครับ ผมก็รู้สึกแย่เหมือนกันที่จากมา ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่อธิบายยาก แต่ผู้พันคงไม่รู้ว่าผมเจออะไรหนักเหมือนกัน มันมีอะไรในชีวิตหลายเรื่องที่ผมต้องรับมือ เห็นภายนอกผมดูมีความสุข สนุกสนานร่าเริง แต่ข้างใน..." ภีรวัสตีหน้าเศร้า
"ทำไมคุณไม่บอกผม ไม่คุยกับผม" เสียงของพลอ่อนลง
"ผมไม่อยากรั้งคุณไว้ คนดีๆ อย่างผู้พัน ไม่น่าจะต้องมาเสียเวลากับผม"
"อย่าพูดยังงั้นสิครับ"
"ผู้พันครับ ขอเวลาให้ผมจัดการเรื่องต่างๆ ให้เรียบร้อยก่อนนะครับ อย่าเพิ่งเร่งรัดอะไรเลย เรายังมีเวลากันอีกเยอะ ผมต้องทำงานวิจัยให้เสร็จเสียก่อน หากชิ้นนี้สำเร็จ ก็จะเป็นผลงานที่จะช่วยผมให้มีโอกาสได้ทุนอีกโครงการใหญ่ของยูเอ็น งานนี้สำคัญกับผมมาก ผมตั้งตารอมาเกือบห้าปี ผมไม่อยากพลาด ผมขอโทษ ผมอยากได้เวลาอีกซักนิด เผื่อเราจะได้เริ่มต้นกันใหม่"
พลมองใบหน้าคมเข้มของภีรวัสนิ่ง เขายอมรับว่าหลงไหลชายหนุ่มมาก ใบหน้าหล่อเหลาของภีรวัสตรึงใจเขาตั้งแต่แรกเจอ เรือนร่างหอมกรุ่น ผิวกายเนียนละเอียด สัมผัสทุกสัมผัสของภีรวัสฝังลึกในใจเขาจนยากจะลืมได้
"นะครับผู้พัน ผมคงต้องอยู่ที่นี่ซักพัก รอทำวิจัยเสร็จ กลับเข้ากรุงเทพฯ เราก็ค่อยสานสัมพันธ์กันต่อ เราสองคนยังมีเวลากัน รอผมอีกซักหน่อย ไม่เกินสองเดือนผมก็ทำวิจัยเสร็จ"
"ผมย้ายมาประจำที่นี่" พันตรีพลพูดเสียงเบา
...โอยตายแล้ว...
ภีรวัสอึ้ง ยิ้มให้พลบางๆ เพราะไม่รู้ว่าพูดอะไรดี แรกที่เจอพลแล้วเขาต้องตกใจนั้น ตอนนี้ตกใจมากกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายย้ายมาประจำการที่นี่ และเวลาสามเดือนที่เขาต้องทำงานวิจัยที่ภาคเหนือก็คงไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คาด
...ต้องเผด็จศึกผู้พันวรุตม์ให้ได้ภายในหนึ่งเดือน กลับไปตกลงกับอิศราใหม่ กำหนดเวลาให้สั้นลง เพราะหากปล่อยเวลาให้ผ่านไป เขามีทางแพ้มากกว่าชนะ...
ทันทีที่แยกกับพล หรือจะเรียกให้ถูก ทันที่พลปล่อยตัวเขา ภีรวัสก็รีบโทรศัพท์หาอิศรา แต่โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ ติดต่ออย่างไรก็ไม่ได้ ชายหนุ่มจึงรีบตรงกลับบ้าน โดยหวังว่าอิศราคงนอนหลับอยู่บนเปลหน้าบ้านเช่นเคย
"ผู้พันวิษณุ" ภีรวัสพึมพำเมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่บนม้าหินอ่อน ทันทีที่เห็นเขา วิษณุก็ยิ้มกว้าง รีบเดินตรงเข้ามาหา แล้วบอกว่ามารอตั้งนานแล้ว ไม่มีใครอยู่บ้าน
"ผมไม่ทราบว่าอิศราไปไหนครับ วันนี้เราตกลงกันว่าต่างคนต่างแยกไปทำธุระส่วนตัว" ภีรวัสพูด ทันทีที่วิษณุเดินเข้ามาถึงตัว
"ผมไม่ได้มาหาคุณอิศรา" วิษณุยิ้มพราว "ผมมาชวนคุณภีรวัสไปทานข้าว"
"ยังไม่ถึงเวลาอาหารเย็นเลย" ภีรวัสท้วง ยกข้อมือขึ้นดูเวลา ทำสีหน้าเป็นปกติ ไม่แสดงออกว่าตกใจ
"ไปเดินเล่นริมแม่น้ำกันก่อนก็ได้ครับ พอหิวแล้วก็ลงเรือ ออกไปทานอาหารกัน"
...ลงเรือหรือ ไปทานอาหารอะไรกันกลางน้ำ...
"ร้านนี้อร่อยมากครับ เป็นแพที่ลอยไปตามน้ำ นั่งทานกันบนแพเล็กๆ ของใครของมัน ล่องไปเรื่อยๆ บรรยากาศสดชื่น ในกรุงเทพฯ หาแบบนี้ไม่ได้เลยนะครับ"
...คงกินลงหรอก นั่งแพไปก็ตัวสั่นไป กลัวตกน้ำ...
"คือว่า..." ภีรวัสอึกอัก
"อย่าปฏิเสธเลยนะครับ ให้ผมได้เป็นเจ้าภาพพาคุณภีรวัสสัมผัสธรรมชาติบริสุทธิ์ซักครั้งเถอะ รายการนี้ผมภูมิใจนำเสนอ" วิษณุยิ้มไม่ยอมหุบ ท่าทางกระตือรือร้นจนภีรวัสไม่กล้าปฏิเสธ
...นึกว่าปิ๊งอิศราเสียอีก ทำไมมาเป็นแบบนี้ไปได้ ถ้าวิษณุมาจีบเรา ก็ยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้อิศราได้ใช้เวลากับผู้พันวรุฒม์อย่างสะดวก ไหนจะพลที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาเป็นตัวแปรอีก ทำไมเกมการแข่งขันกับอิศราครั้งนี้ถึงมีแต่เราที่เจออุปสรรคกันนะ...
"กลับมาเหนื่อยๆ คุณภีรวัสไปอาบน้ำให้สดชื่น ผมจะรออยู่ข้างล่าง เสร็จแล้วจะได้ไปกันเลย อย่าปฏิเสธน้ำใจทหารบ้านป่าเลยนะครับ นานๆ ได้มีโอกาสทานอาหารมื้อพิเศษกับเขาซักที"
"ครับ" ภีรวัสพยักหน้าแล้วเดินขึ้นไปบนบ้านช้าๆ แม้จะยังรู้สึกมึนๆ กับสถานการณ์ที่เกิดพลิกผันขึ้นมาเสียดื้อๆ แต่ก็ยังพยายามคิดหาทางเอาตัวรอด
"เอ่อ ผู้พันคุณหมอวิษณุครับ" ภีรวัสชะงัก หันไปหาคนที่ยืนมองเขาอยู่ที่เชิงบันได
"เรียกผมวิษณุเฉยๆ ก็ได้ ไม่ต้องเรียกเต็มยศขนาดนั้น" วิษณุยิ้มพราวเช่นเคย
"ผมอยากขอความช่วยเหลือผู้พัน พอดีเพื่อนเดินทางมาจากกรุงเทพฯ เขาอยากเที่ยวชมธรรมชาติ แต่ว่าผมไม่มีเวลาว่างและก็ไม่ค่อยรู้ทางเท่าไหร่ ไม่ทราบว่าผู้พันพอจะมีเวลา..."
"พาเที่ยว" วิษณุแทรก "ได้สิครับ ผมรับรองเต็มที่ ว่าแต่ว่า คุณภีรวัสอย่ามัวแต่ทำงานจนไม่มีเหลือเวลาไปเที่ยวกับผมบ้าง"
"ไม่ต้องห่วง ผมจะใช้บริการวิษณุทัวร์ให้คุ้มค่าตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ผู้พันอย่าเพิ่งเบื่อก็แล้วกัน"
...ลองผลักพลให้วิษณุดูซักหน่อย แม้จะเป็นขั้วเดียวกัน แต่ก็น่าลอง เผื่อวิษณุจะเข้าใจผิด คิดว่าพลเป็นฝ่ายตรงข้าม ดูๆ ไปพลก็ไม่ได้ห้าวเข้มเหมือนวิษณุหรือวรุตม์ ไม่แน่ วิษณุอาจจะถูกใจพลก็ได้ อย่างน้อยก็เป็นการซื้อเวลาให้กับตัวเขาเอง แต่หากไม่ได้ผล ก็พยายามยัดเยียดให้อิศราเป็นการหันเหความสนใจ...
...แต่พลเคยเจออิศราแล้ว ไม่เห็นมีวี่แววจะชอบอิศราสักนิด และท่าทางอิศราจะมาดมั่นกับวรุฒม์มาก เรื่องนี้อาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด...
...ปวดหัวจริงๆ เลย ให้ตายสิ...
อิศรานั่งหัวสั่นหัวคลอนอยู่บนเบาะรถจี๊บทหารที่กำลังทะยานไต่ขึ้นไปบนเขา โชคดีด้านที่เขานั่งอยู่ติดกับภูเขา และเหวลึกอยู่ทางด้านฝั่งคนขับ ในใจอดด่าตัวเองไม่ได้ที่เกิดเผลอพูดขึ้นว่าอยากถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกดินสวยๆ พันตรีวรุตม์เลยเสนอตัวพาขึ้นมายังดอยที่เขาต้องบอกกับตัวเองว่า ยังไงก็ไม่ขึ้นมาอีกเด็ดขาด ถนนลูกรังแคบแสนแคบไต่ขึ้นมาบนเขาสูงลิบ มองออกไปนอกรถเห็นแต่ท้องฟ้ากว้างใหญ่สุดสายตา ขาขึ้นไม่เท่าไหร่เพราะเขานั่งฝั่งซ้าย แต่ขาลงนี่สิ ด้านที่เขานั่งเป็นเหวลึก ห่างจากขอบถนนไม่กี่เมตร แม้จะลงจากเขาตอนพลบค่ำ มองไม่เห็นหุบเหวเบื้องล่างชัดเจน ทว่า เขารู้ดีว่าตัวเองคงรู้สึกกลัวมากขึ้นกว่าเดิม เพราะยิ่งมองไม่เห็น แต่การขับรถลงเขาตอนมืดๆ ยิ่งทวีความหวาดเสียว เพราะประสาทรับรู้อยู่ว่า พ้นขอบถนนนั้นเป็นเหวลึก
"น่าเสียดายที่คุณภีรวัสไม่ได้มาด้วย" จู่ๆ วรุตม์ก็พูดโพล่งขึ้นมาหลังจากที่ขับรถเงียบๆ มาชั่วขณะ อิศราหันหน้าไปมองอย่างสงสัย ผู้พันหน้าคมจึงพูดต่อว่า "คุณอิศราจะได้มีเพื่อนคุย ผมคุยไม่เก่ง คุณอิศราจะได้ไม่ต้องนั่งเบื่อ"
...ไม่ได้นั่งเบื่อ นั่งเกร็งและกลัวต่างหาก...
อิศราตะโกนอธิบายอยู่ในใจ แล้วพูดออกมาว่า "ผมไม่ได้เบื่อ คือว่า เอ่อ กำลังชื่นชมธรรมชาติอยู่ครับ"
"พอถึงยอดดอย จะต้องตาค้าง วิวสวยมากเลยนะครับ แต่ว่าที่ที่เราจะไปแคมป์ปิ้งกันสวยกว่าที่นี่"
"ครับ อยากเห็นใจจะขาด" อิศรายิ้ม แล้วหันเกร็งมือจับข้างเบาะแน่นเพราะวรุตม์เข้าโค้งแรงๆ
"อีกหน่อยก็ถึงแล้วครับ"
...โอย ใจจะขาดอยู่แล้ว อย่าอาเจียนออกมานะอิศรา ห้ามทำอะไรขายหน้าเด็ดขาด...
"คุณอิศรากับคุณภีรวัสท่าทางสนิทกันมาก" วรุตม์เปลี่ยนเรื่อง
...จะมาชวนคุยอะไรตอนนี้ เขาอ้าปากแทบจะไม่ไหวแล้ว...
"ครับ" อิศราตอบรับสั้นๆ
"รู้จักกันมานานแล้วหรือครับ"
อิศราพยักหน้า พยายามทำหน้าให้เป็นปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งใกล้ถึงยอดดอยตามที่วรุตม์บอก ถนนยิ่งแคบและชัน วรุตม์กลับเร่งความเร็วรถขึ้น ตอนนี้เขาหูอื้อ แทบไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายถาม
"ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยหรือครับ"
...โอย ทำไมจะมาอยากรู้ตอนนี้นะ นั่งเงียบมาตั้งนาน เกิดจะมาซักอะไรเขาตอนนี้...
"เปล่าครับ" อิศราตอบ รู้สึกว่าตัวเองเสียงสั่น
"นานกว่าเรียนมหาวิทยาลัยเลยหรือครับ นึกแล้วเชียว" วรุตน์หันมายิ้มให้บางๆ
...อย่าหันหน้ามาสิผู้พัน เดี๋ยวรถได้ตกเขากันพอดี ไม่กลัวบ้างหรือไงนะ...
"ผมก็รู้จักกับวิษณุมาตั้งแต่ก่อนเข้า จ.ป.ร. เหมือนกันครับ มาแยกกันตอนเรียนจบ แต่ท่าทางคุณอิศรากับคุณภีรวัสเป็นเพื่อนสนิทที่แทบไม่เคยแยกกันเลย ใช่ไหมครับ"
...ไม่ไหวแล้ว จะให้อ้าปากตอบผู้พันวรุตม์ เขาต้องอาเจียนแน่ๆ เลย...
"ชะ...ใช่...ครับ" อิศราเริ่มตะกุกตะกัก
"ถึงแล้วครับ" ทันที่ที่อิศราตอบคำถาม นายทหารหนุ่มก็จอดรถ อิศรายังนั่งนิ่ง ตอนนี้ไม่ได้ยินคำพูดของวรุตม์ต่อไปอีกแล้วเพราะเขารู้สึกกำลังหน้ามืดจะเป็นลม
"คุณอิศราครับ ถึงแล้วครับ" วรุตม์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เพราะอีกฝ่ายไม่ไหวติง
...อิศรากลัวความสูง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าคนที่บอกว่าชอบปีนเขานั้นเป็นโรคกลัวความสูง...
...เอ ไม่ใช่สิ อิศราไม่ได้บอก ภีรวัสต่างหากเป็นคนพูด สองคนนี้ดูเหมือนจะแกล้งอะไรกันซักอย่าง มีอะไรกันนะ เขาต้องรู้ให้ได้ และหากว่าอิศรากลัวความสูง ถ้าเช่นนั้น ที่อิศราบอกว่าภีรวัสชอบล่องแก่ง ฝ่ายนั้นก็คงกลัวน้ำ หรือว่ายน้ำไม่เป็นละสิ...
...อืม ชักจะสนุกแล้วล่ะ...
วรุฒน์ลงจากรถ เดินอ้อมมาหยุดยืนอยู่ข้างประตูฝั่งอิศรา ชายหนุ่มหน้าซีด กำลังหายใจแรง ใบหน้ามองตรงไปข้างหน้า จนเขาเรียกชื่อเบาๆ อีกครั้ง จึงหันมามองเขาช้าๆ
"ถึงแล้วครับ ได้เวลาพอดี พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน" วรุตม์เปิดประตูรถ แล้วหลุบตาลงมองมือของชายหนุ่มที่กำขอบเบาะรถจนเกร็ง
"ผู้พัน" อิศราเสียงแผ่ว
"ลงก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมหยิบกล้องให้" วรุตม์แตะแขนอิศราให้ขยับตัว ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ แล้วก้าวเท้าลงจากรถ แต่ครั้นเท้าแตะพื้นก็เข่าอ่อน ทำท่าจะทรุดฮวบ วรุตม์สอดแขนเขาโอบเอว รัดเอาร่างอ่อนปวกเปียกของอิศราเอาไว้ได้ก่อนที่ชายหนุ่มจะลงไปกองกับพื้น
...ขายหน้าจริงๆ เลยเรา แต่ตอนนี้ไม่ไหวแล้ว แขนขาไม่มีแรงเลย...
...แต่แขนของผู้พันวรุตม์ทำไมแข็งแรงจัง ทหารอะไรกลิ่นตัวหอมน่าดม ตัวก็อุ่น อยากจะซุกหน้าเข้ากับอกกว้างแล้วหลับซักงีบ...
"เป็นอะไรครับ ไม่สบายหรือเปล่า ไปนั่งพักตรงโน้นก่อนดีกว่า" วรุตม์พยุงอิศรา ฝ่ายนั้นเลยได้โอกาสโอบร่างแกร่งของนายทหารยึดไว้แน่น
"ผมไม่ไหวแล้ว" อิศราเริ่มรู้สึกดีขึ้นเพราะเมื่อรถจอด เท้าเหยียบพื้น อาการหวาดกลัวความสูงก็เริ่มหายไปโดยอัตโนมัติ แต่การได้แนบชิดกับวรุตม์เช่นนี้ทำให้เขาไม่อยากขยับตัว
"แข็งใจเดินหน่อยนะครับ ไปนั่งพักตรงโน้นให้ลมโกรก จะได้รู้สึกสบายขึ้น" วรุตม์พาอิศราเดินช้าๆ ครั้นอิศราเห็นจุดที่นายทหารจะพาไปนั่งก็เริ่มจะเข่าอ่อนอีกครั้ง หากกายท่อนบนกลับฝืนตัวเอาไว้
"เอ่อ ผมรู้สึกดีขึ้นแล้วครับ ไปนั่งตรงโน้นก็ได้" อิศราบุ้ยปากไปอีกด้าน
"ตรงนั้นเห็นวิวชัดเจนที่สุดแล้วครับ จะได้ภาพสวยๆ คุณอิศรานั่งรอผมซักครู่ ผมจะไปเอากล้องมาให้" วรุตม์ทำไม่รู้ไม่ชี้ พาอิศราเดินไปจนถึงโขดหินใกล้หน้าผาจนได้
อิศราไม่อาจขัดขืน ทันที่ที่ถึงโขดหิน เขาก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น หันหลังให้หน้าผา พิงโขคหินเหมือนจะให้เป็นที่กำบัง
...โอย ใจจะหยุดเต้นอยู่แล้ว ทำไมวรุตม์ไม่รู้สึกสงสารเขาบ้างเลยหรือ ทำหน้ายิ้มๆ อยู่ได้ ดูไม่ออกหรือยังไงว่าเขากลัวความสูง...
...อ้าว ไม่อยากให้วรุตม์รู้นี่น่า เขามองไม่ออกก็ดีแล้วนี่ จะได้ไม่หน้าแตก แล้วนี่จะหาเหตุผลอะไรมาอธิบายอาการที่กำลังเป็นอยู่นี่ล่ะ...
...ภีร์นะภีร์ ไม่น่าเลย คอยดูนะ จะยุให้ผู้พันวรุตม์ชวนไปล่องแก่ง ดูซิ จะมีสภาพเหมือนเราหรือเปล่า...