(ตอนที่ ๔๖)
วันนี้เราพากันไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าเพราะน้องออมอยากได้ของเล่น เราพยายามลืมข้อกังวลเรื่องพ่อใหญ่ไป ผมลองชี้ชวนให้น้องออมเล่นของเล่นหลายๆอย่าง ท่าทางของน้องออมที่มีต่อผมดูเหมือนจะดีขึ้นมาหน่อย “อันนี้ไงคะน้องออมเป็นเครื่องคิดเงิน เวลาน้องออมเล่นขายของกับเพื่อนที่บ้านมีคนมาซื้อของน้องออมก็เป็นคนเก็บเงิน เหมือนพี่สาวที่เคาท์เตอร์แบบนั้นไง น่าสนุกออก” ผมชี้ให้น้องออมดูแคชเชียร์กดแป้นเครื่องบันทึกเงินสดคิดเงินทอนเงิน น้องออมมองตาแป๋วอย่างสนใจ
เด็กๆเวลาเห็นของเล่นตาจะเป็นประกายครับ น้องออมก็เก็บสีหน้าอยากได้ไว้ไม่มิด “แต่มันแพง คุณพ่อคงไม่ซื้อให้ เดือนนี้หนูใช้สิทธิซื้อของเล่นไปแล้ว1 ชิ้น ต้องรอเดือนหน้าค่ะ” น้องออมบอกขึ้นมาผมถึงรู้ว่าใหญ่มันกำหนดกับลูกไว้แบบนี้กันไม่ให้ลูกซื้อของฟุ่มเฟือย ก็ไม่เลวนะครับ
“ถ้าคุณพ่อไม่ซื้อให้ งั้นลุงซื้อให้เองดีมั้ยคะ” ของเล่นเด็กราคาไม่ถูกนะครับ เดือนนี้ผมคงต้องอดเหล้าอีกตามเคย เพราะซื้อของให้เด็ก
น้องออมส่ายหน้า “หนูต้องไปขออนุญาตคุณพ่อก่อนค่ะ คุณพ่อไม่ให้รับของคนอื่นโดยที่คุณพ่อไม่รู้” ผมเผลอถอนหายใจออกมา เลี้ยงเด็กนี่มันยุ่งยากละเอียดอ่อนไปเสียทุกเรื่องแบบนี้เลยเหรอ ใหญ่มันคิดมากไปรึเปล่านี่
“งั้นน้องออมไปบอกคุณพ่อเลยค่ะ” เป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ใหญ่มันผละจากครูน้ำออกมา ผมเห็นสองคนยืนคุยกันเครียดมาตั้งนานแล้ว น้องออมวิ่งไปเกาะแขนใหญ่ ใหญ่มันย่อตัวลงฟังหลานพูด ผมดูแล้วยังรู้สึกเอ็นดูกิริยาท่าทางที่มันทำต่อหลาน ถ้าใครไม่รู้ก็คงนึกว่ามันเป็นพ่อของน้องออมจริงๆ สักพักน้องออมเดินหน้างอจูงมือใหญ่มาหาผม
“คุณพ่อไม่ให้รับ” น้องออมทำตาแดงๆเหมือนจะร้องไห้
ผมเท้าสะเอวถามใหญ่ “ทำไม เงินกะ..เอ๊ย เงินผมนะไม่ใช่เงินคุณ จะซื้อของรับขวัญหลานแค่นี่ทำไมไม่ให้ซื้อ”
“ผมไม่อยากให้ลูกเสียคน เล่นของเล่นแพงๆ”
“แพงตรงไหนแค่พันกว่าบาทเอง” ผมเถียงใหญ่ขึ้นมาทันที ใหญ่มันถลึงตาใส่ผม “ตั้งพัน แล้วหลานผมตัวแค่นี้ เงินก็ยังไม่รู้จักหา ของเล่นพวกนี้ไม่กี่ครั้งก็เล่นเบื่อ ฝันจะทำให้ลูกผมเคยตัว”
“ก็มันนานๆที จะซื้อก็....”
ใหญ่ยกมือห้ามผมพูด “พอแล้ว เลิกพูดดีกว่า ไปหาอะไรกินดีกว่า”
ใหญ่ก้มหน้าลงพูดกับหลาน “เดี๋ยวคุณพ่อให้ลุงฝันเลี้ยงไอติมชดเชยแทนแล้วกันนะคะ หนูต้องเป็นเด็กดีเชื่อฟังคุณพ่อนะคะ” น้องออมพยักหน้าทำตาปรอยๆแต่ไม่วายเหลือบดูของเล่นที่ผมจะซื้อให้อย่างเสียดาย ผมก็สงสารนะครับแต่ไม่อยากขัดใจใหญ่มัน ได้แต่เดินตามสองพ่อลูกไปอย่างขัดใจ
ขณะที่เราทานไอศกรีมกันอยู่นั้นไอ้หนุ่ยมันโทรเข้าสายมาหาผมพอดี “โหลฝันมึงอยู่ไหน อยู่กับใครวะ”
“ไมวะ กูก็อยู่กับ...” ผมหันไปดูซ้ายขวา หน้าหลัง น้องออมกับครูน้ำและใหญ่กำลังคุยกันอยู่ไม่มีใครสนใจผม
“อ้าวเงียบไปอีก...ถามว่าอยู่ไหน อยู่กับใครก็บอกมา ทำมาลึกๆลับๆนะมึง”
ผมต้องพูดกระซิบกระซาบกลัวคนอื่นได้ยิน แต่ก็มีความสุขจนอยากบอกให้หนุ่ยมันรู้
“เออๆ ใจเย็นดิ กูอยู่กับแฟนกู ใหญ่มันลงมาหากูเว้ยเฮ้ย หึหึ” ใหญ่หันหน้ามาพอดีเมื่อผมพูดจบ ทำสีหน้าเหมือนถามว่าผมคุยกับใคร ผมเลยต้องบอกเสียงเงียบๆไปว่า “หนุ่ย” ใหญ่พยักหน้าเข้าใจแล้วกลับไปคุยกับหลานต่อ
“หมั่นไส้โว้ย เอาแฟนมึงมาคุยกับกูหน่อยซิ ไม่งั้นกูไม่เชื่อ อย่ามาโม้ลอยๆนะมึง เดี๋ยวนี้คนยิ่งชอบพูดจามั่วๆนึกว่าคนอื่นเค้าโง่กันหมด พูดอะไรคนก็เชื่อ”
“ไอ้บ้า กูไม่ได้นาธานเว้ย เดี๋ยวกูให้ที่รักกูคุยกับมึงเอง”
“ใหญ่ หนุ่ยขอคุยด้วย” ผมส่งโทรศัพท์ให้ใหญ่มารับไป
“สวัสดีครับพี่หนุ่ย ...ครับ”ใหญ่ยิ้มสนุกและหัวเราะเวลาคุยกับไอ้หนุ่ยอยู่นานจนผมชักหวง สักพักใหญ่ทำหน้าแดงเงยหน้าขึ้นมามองผมทำตาเขียวใส่ ผมได้แต่สงสัยว่ามาทำตาดุใส่ผมทำไม
“เอ้า พี่หนุ่ยจะคุยด้วย” ใหญ่ยื่นโทรศัพท์ให้ผม แต่อีกมือกลับมาหยิกขาผมอย่างแรงจนผมเผลอร้องออกมา
“โอ๊ย...เจ็บ”
ใหญ่ขึงตาใส่ผมอีกครั้งไม่ให้ร้อง ครูน้ำทำหน้าสงสัยว่าผมร้องทำไม แต่น้องออมก็คงสงสัยด้วย “คุณลุงเป็นอะไรคะ”
“คุณลุงเจ็บ...”ผมมองหน้าใหญ่ยิ้มยั่วก่อนพูดต่อ “เจ็บที่หัวใจ”
“คุณลุงไม่สบายเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ ลุงเป็นโรคหัวใจ” ผมยิ้มทั้งปากและตา ไม่อยากละสายตาไปจากใหญ่ ใหญ่หยิกผมแรงๆอีกครั้งแต่ผมไม่กล้าร้องขึ้นมาอีก ทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วไปคุยกับหนุ่ยต่อ
“หึหึ...ไงหนุ่ย มึงพูดไรกับใหญ่วะ ทำกูเจ็บตัวเลยนะมึง”
ไอ้หนุ่ยหัวเราะดังลั่นพูดไปก็หัวเราะไปด้วย “กูบอกแค่ว่า มึงบอกกูว่าอยู่กับเมีย หึหึ”
ไอ้หนุ่ยมันปากหาเรื่องจริงๆ ครับ “เจี้ยแล้วไอ้หนุ่ย มิน่าเค้าหน้าแดงเป็นลูกตำลึง มึงมาแปลงคำพูดกูได้ไงวะ เกิดเค้าโกรธกูขึ้นมากูจะทำไง”
“โกรธอะไร เค้าไม่เห็นว่าอะไร พูดงุบๆงิบๆ มึงออกมาเจอกันหน่อยสิ พาแฟนมึงมาด้วย คิดถึง…อยากเห็นหน้า”
“อ้าวไอ้นี่ อย่ามายุ่งกะของๆ กู” ผมหันไปมองใหญ่อีกครั้งยิ้มอยู่ที่มุมปาก “ของๆ กู กูหวงเว้ย”
“เออๆ กูรู้แล้วว่าหวง แต่อยากเจอ ไปกินเหล้ากัน เปรี้ยวปาก ช่วงนี้กูโสดเซ็งๆว่ะ”
ผมก็อยากคุยกับมันเหมือนกัน คุยเรื่องเครียดๆกับมันผมหายเครียดทุกที กลับบ้านมาก็สบายใจขึ้นมาได้ บางทีมันอาจจะช่วยผมคิดอะไรได้บ้าง แต่ผมจะเอาน้องออมกับครูไปทิ้งไว้ที่ไหนดีระหว่างที่เราไปสำมะเลเทเมากัน
ผมวางสายจากไอ้หนุ่ยแล้วหันไปบอกใหญ่ “ใหญ่ ไอ้หนุ่ยชวนไปกินข้าวกัน”
ใหญ่พยักหน้าทำสีหน้าดีใจ “ดีสิ พี่หนุ่ยบอกกูแล้วจะได้คุยกันยาวๆ พี่หนุ่ยคุยสนุก”
ผมบุ้ยหน้าไปทางครูน้ำกับน้องออมว่าจะเอาไปไว้ไหน ครูน้ำหันมาพอดีเหมือนจะรู้ “น้ำดูหลานให้เองค่ะ พวกพี่ๆไปเที่ยวกันเถอะ” ผมเลยบอกไปว่า
“ไม่เป็นไรครับเราไปกันค่ำๆ ครูอยากไปไหนอีกมั้ยครับ เดี๋ยวผมพาไป” เอาใจหน่อยครับ วันนี้ผมเป็นพระเอกขอทำตัวดีกับเด็กและสตรีสักหน่อย
“ไปไหนก็ได้ค่ะ ไม่มีแพลนอะไรเลย” ครูน้ำยิ้มตอบกลับมา ท่าทางแกคงทำใจเรื่องผมกับใหญ่ได้แล้วหรือไม่ก็ทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วมั้ง
ผมเองก็คิดอะไรไม่ออก เลยตัดสินใจพาทุกคนไปพิพิธภัณฑ์สยาม อยู่ไม่ไกลครับตรงข้ามวัดโพธิ์ไม่ต้องเสียค่าเข้าชมด้วย ภายในจัดแสดงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนกรุงเทพตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน การนำเสนอก็น่าสนใจเป็นแบบสมัยใหม่มีทั้งภาพและเสียงดึงดูดความสนใจได้ดีทีเดียว มีทั้งพ่อแม่พาเด็กเล็กและวัยรุ่นสนใจเข้าชมกันมากมาย ทั้งผมและใหญ่กับครูน้ำช่วยกันตอบคำถามน้องออมกันอย่างสนุกสนาน ที่นี่จัดเป็นอุทยานการเรียนรู้ที่น่าไปมากกว่าพาเด็กๆไปเล่นตามห้างอีกครับ น้องออมเล่นจนเหนื่อยหลับไป พวกผมถึงพากันกลับบ้าน
ช่วงหลังๆ ถ้ามีเวลาผมจะเป็นคนดูแลอาหารการกินของแม่โดยผมจะเป็นคนทำให้แม่กินเอง นอกจากว่าผมกลับมาไม่ทันพี่ฝ้ายที่มาอยู่เป็นเพื่อนแม่ก็จะเตรียมไว้ให้ หรือไม่ผมก็ซื้อมาจากข้างนอก ที่จริงแม่บอกว่าทำกินเองได้แล้ว แต่ผมก็ยังไม่ยอม ผมอยากมั่นใจก่อนว่าแม่มีสุขภาพที่แข็งแรงพอที่จะทำอะไรด้วยตัวเองได้ ผมจึงจะตามใจแม่
ผมเข้าไปทำกับข้าวโดยให้ใหญ่พาน้องออมไปอาบน้ำก่อน ส่วนครูน้ำนั่งคุยกับแม่ผม สักพักครูน้ำก็ตามเข้ามาในห้องครัว “ให้น้ำช่วยทำอะไรบ้างคะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ ไปอาบน้ำได้เลย ลงมาจะได้กินข้าวพอดี” ผมบอกโดยไม่หันไปมองแล้วทำกับข้าวต่อไป
ครูน้ำเข้าไปหยิบจับผักที่ผมกองๆไว้ แล้วส่งยิ้มมาให้ผม “พี่ฝันเก่งนะคะ ท่าทางทำกับข้าวเก่ง” ผมส่ายหัวแล้วหัวเราะ
“อย่าเชื่ออะไรที่เห็นครับ ของอย่างนี้มันต้องลองก่อน บางทีแค่มองอย่างเดียวภาพมันลวงตานะครับ”
ครูน้ำหยิบผักไปที่อ่างซิงค์แล้วช่วยผมล้างผัก “อืม จริงค่ะ ตอนแรกน้ำดูไม่ออกจริงๆว่าพี่ฝันกับพี่ใหญ่รักกันเกินเพื่อน” ครูน้ำพูดจบแล้วนิ่งเงียบไป ผมต้องหันมามองหน้าครูอย่างตกใจเห็นเพียงแววตาจริงใจที่มองกลับมา
“น้ำขอโทษนะคะ ที่ทำให้พวกพี่ลำบากใจ”
“ผม...ผม” ผมกลายเป็นคนติดอ่างไปเลยครับ พูดไปต่อไม่ถูกเลย
“น้ำไม่ได้ตั้งใจจะมาเป็นมือที่สามระหว่างพวกพี่เลยนะคะ” ครูน้ำพูดต่อไปอีก เค้าเป็นครูนี่ครับก็ต้องพูดเก่งกว่าผมอยู่แล้ว ผมเริ่มกังวลว่าผมควรพูดอะไรบ้าง แต่จะพูดอะไรดีล่ะ
“เอ่อ...ผม”
“ที่น้ำยอมมาที่นี่ก็เพราะอยากมาเจอพี่ฝัน มาพูดกันตรงๆนี่ล่ะค่ะ” ครูน้ำนี่ตรงกว่าที่ผมคิดนะครับ ผมเสียอีกที่ยังไม่กล้าพูดอะไรออกมาเท่านี้ ผมรู้สึกอายผู้หญิงขึ้นมาทันที
“ผมขอบคุณนะครับที่เข้าใจเรา” ในที่สุดผมก็เอ่ยออกมาได้หนึ่งคำ ผมกำลังจะพูดต่อแต่ตอนนี้กับข้าวที่ทำค้างๆอยู่มันเริ่มส่งกลิ่นไหม้ทำให้ผมต้องทำไปพูดไปด้วย
“ผมรู้ว่ารักของเรามันอาจไม่ปกติสำหรับใครหลายๆคน แต่ความรักมันห้ามกันยากครับ” ผมหันไปสบตาครูอีกครั้งเพื่อยืนยันทุกคำที่ผมพูด
“น้ำทราบค่ะ ความรัก...นอกจากห้ามกันยากแล้ว มันก็บังคับให้รักก็ไม่ได้ด้วย” ผมเหลือบตามองครูน้ำเห็นรอยยิ้มเศร้าๆ แต่นั่นก็คือยิ้ม ก็ยังดีที่ยังยิ้มได้
“คุยอะไรกัน กูช่วยมั้ย” เสียงใหญ่ที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้เราต้องหยุดการสนทนาปัญหารักๆ กันไว้แค่นั้น
“มาสิ ครูไปอาบน้ำก่อนเถอะครับ ผมได้ผู้ช่วยแล้ว ครูเป็นแขก ผมไม่อยากให้ต้องมาตัวเหม็นไปด้วย”
“โอเคค่ะ น้องออมไปไหนแล้วคะพี่ใหญ่” ครูน้ำล้างมือแล้วเตรียมผละออกไปจากเราสองคน ผมคิดเล่นๆ ในใจว่าขอให้ล้างมือจากเรื่องผมกับใหญ่ด้วยจริงๆก็ดี
“เล่นอยู่กับแม่ฝัน ไม่ต้องห่วง แม่บอกว่าจะดูให้” ใหญ่บอกครูเสร็จก็เข้ามาชะโงกดูว่าผมทำอะไรบ้างไม่ได้สนใจครูน้ำอีกต่อไป
“ทำอะไรกินมั่ง ฝัน”
“งั้นเดี๋ยวเจอกันที่โต๊ะอาหารนะคะ” ครูน้ำพูดขึ้นมาลอยๆ แต่ใหญ่ไม่ได้ตอบอะไร ผมหันไปดูเห็นหลังครูเดินออกไปไวๆ อดสงสารครูขึ้นมานิดหน่อย
“ครูน้ำนี่ก็นิสัยดีนะ ถ้ามึงเป็นเพื่อน…” ผมยังพูดไม่จบใหญ่หันมามองหน้าผมเหมือนจะเอาเรื่อง ผมต้องกลืนน้ำลายหลบตามันไม่กล้าพูดต่อ แกล้งหันไปทำกับข้าวต่อ
“พูดต่อสิ ถ้ากูเป็นเพื่อนแล้วไง” ใหญ่ดึงแขนเสื้อผมแรงๆ
“ไม่มีอะไร...เลิกคุยดีกว่า กูจะทำกับข้าวแล้ว” ผมไม่พูดดีกว่าเดี๋ยวเสียเรื่อง เผลอๆจะเป็นเรื่องแทนซะด้วย
“มึงไม่พูดกูก็รู้ มึงจะยกกูให้เค้างั้นสิ” ใหญ่มันรู้ใจผมอีกแล้วว่าผมคิดอะไร ใหญ่พูดจบทำท่าจะหันหลังหนีผมไป ผมต้องรีบคว้าตัวมันไว้
“มึงอย่างอนสิ กูรักมึงนะ ถ้ามึงเป็นเพื่อนกูก็อยากให้ได้รักกับคนดีๆ”
“ถึงแม้กูจะไม่รักเค้า มึงก็จะยกให้เหรอ” ใหญ่มันย้อนถามผมกลับ
“ถ้ามึงรักคนอื่นกูก็ไม่ว่า” ผมดึงตัวมันมาใกล้กว่าเดิม รวบเอวมันไว้ในอ้อมแขนรัดแน่น “แต่ถ้ามึงรักกู กูก็ไม่ยอมยกให้ใคร”
“เฮ้ย อย่าดิ เดี๋ยวใครเห็น” ใหญ่มันรีบผลักผมออกหลังจากที่ผมขโมยหอมแก้มมันไปแล้ว อยากขี้งอนดีนักต้องเล่นซะให้เข็ด
“เค้ารู้กันทั้งบ้านแล้วกลัวอะไรอีก” ใหญ่มันค้อนให้ผมแล้วถองศอกใส่
“พูดอะไร หลานกูยังเด็ก เค้าไม่เข้าใจหรอก”
ผมปลดแขนลงแล้วถอนหายใจ “เฮ้อ...เซ็ง” อุปสรรคของผมนี่มีทั้งเด็กสตรีและคนชราเลยครับ เป็นกลุ่มคนที่แตะไม่ได้เสียด้วย
“ฝัน กับข้าวเสร็จรึยังลูก หลานหิวแล้ว” แม่เดินเข้ามาดูพอดี ผมกับใหญ่รีบปรับสีหน้ากันแทบไม่ทัน ใหญ่บอกแม่ไปแทนผมว่า “ใกล้เสร็จแล้วครับ เดี๋ยวผมยกออกไป”
แม่ลับสายตาไปเท่านั้นใหญ่เดินเข้ามาหาผมที่กำลังทอดไข่เจียวให้น้องออม พูดเสียงอ่อยๆว่า “กูขอโทษนะ ที่คนรอบตัวกูทำให้มึงเซ็ง” ใหญ่มันคงนึกว่าผมอารมณ์ไม่ดี แต่ที่จริงแล้วผมก็บ่นไปยังงั้นเองครับไม่ได้คิดอะไรจริงจัง
“กูพูดเล่น บ่นไปงั้น อย่ามาขอโทษสิ กูใจไม่ดี” ใหญ่มันยังเงียบอยู่ยืนจัดอาหารหันหลังให้ผม ผมดึงแขนให้มันหันหน้ามามองผม ดวงตาของมันแดงๆ
ผมต้องดึงตัวมันมากอดไว้หลวมๆ แล้วตบไหล่เบาๆพูดกับมันด้วยเสียงอ่อนโยน “กูขอโทษ กูไม่ได้ว่าคนรอบตัวมึง กูมันก็ปากหมาแบบนี้ ชอบพูดอะไรพล่อยๆ อย่าเสียใจนะ ยังไงกูก็สู้อยู่แล้ว สู้เพื่อมึงไง”
ใหญ่ส่ายหน้าแล้วเบี่ยงตัวออกมา “ไม่ได้เสียใจ แต่ใจเสีย กลัวมึงรำคาญไปซะก่อน”
“หึหึ ระดับมึงแล้วยังมีใจเสียอีกเหรอ กูรักมึงจนขนาดนี่ไม่ต้องกลัว” ผมลูบหัวมันอย่างเอ็นดูแล้วล้อมันว่า “ไป กินข้าวฝีมือกูกัน เดี๋ยวลูกรอนะคะคุณพ่อขา”
ใหญ่หัวเราะดังๆ ขึ้นมา “ไอ้บ้า ชอบมาล้อกู ไป...คุณลุงขา ไปกินข้าว”
เราประสานเสียงหัวเราะกันอีกครั้ง ยังไงเราก็ต้องรักกันเข้าใจกันไว้ครับ เตรียมพร้อมร่างกายและจิตใจให้พร้อมกับอุปสรรคที่เราต้องเผชิญเร็วๆนี้
++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
