เหมือนเงียบเหงายังไงไม่รู้เนอะ
*********************
(ตอนที่๓๘)
หกโมงเช้าวันรุ่งขึ้นผมกับใหญ่ตื่นไม่ไหวครับก็เมื่อคืนเราเล่นกันหนักไปหน่อย แหะๆ จนหกโมงครึ่งแม่ต้องมาทุบประตูเรียก พวกผมเลยตาเหลือกรีบแต่งตัวกันอย่างไว ไม่ใช่อะไรครับ งานกั้นประตูเป็นความตั้งใจอย่างแรกของผมเมื่อรู้ว่าพี่ฝ้ายจะแต่งงาน แล้วผมจะมาพลาดได้ยังไงครับ งานผ่านไปอย่างสนุกสนานผมได้มาหลายพัน ฮ่าๆๆ ไอ้ใหญ่เองก็ด้วยเพราะเรากั้นคู่กันอยู่ประตูหลังๆ แถมวิ่งรอกกันทุกประตู ไหนๆผมต้องเสียพี่สาวไปทั้งคนนี่ครับ ก็ต้องให้คุ้มกันหน่อย
ช่วงสายๆผมกับใหญ่ตัวเป็นเกลียวช่วยงานแม่แทบไม่มีเวลาคิดหรือคุยเรื่องอะไรเป็นส่วนตัวได้เลยครับ พอตกบ่ายงานจบรอแค่งานเลี้ยงตอนกลางคืนผมกับใหญ่ก็หมดแรงพอดี นอนหลับกันเป็นตาย
“ฝัน ตื่นเหอะสี่โมงกว่าแล้ว อาบน้ำแต่งตัวไปงานกันดีกว่า”ใหญ่มาเขย่าปลุกผมให้ลุกแต่ผมลุกไม่ไหวจริงๆครับนอนไปแค่สองชั่วโมงเอง ผมนอนกลิ้งตัวไปมาแต่ไม่ยอมตื่น
ใหญ่มาพลิกตัวผมอีกครั้ง ส่งเสียงเรียกกวนใจ“ตื่นๆ เดี๋ยวแม่ก็มาปลุกอีกรอบหรอก เมื่อเช้ายังอายไม่พอใช่ไหม โตแล้วยังต้องให้แม่มาเรียกอีก”
ผมยังไม่ยอมตื่นหันตัวหนีใหญ่ “มึงไปอาบก่อนดิ กูจะนอน”ผมโบกมือไล่มันไป
“กูเสร็จแล้ว”ใหญ่มันทำเสียงรื่นเริงจนผมอยากแกล้งครับ
ผมลืมตาทันที “อะไร...เสร็จได้ไง กูยัง...ไม่เสร็จเลย”ผมมองใหญ่ทำตาหวานเยิ้มใส่
ใหญ่มันกำลังจะโวยออกมา “ก็กู....ไอ้บ้าฝัน ลามก” ใหญ่มันหน้าแดงชกผมหลายหมัดเลยครับจนผมต้องคว้าหมัดมันไว้ ไม่งั้นผมคงเขียวไปทั้งตัว
“เจ็บนะ...เดี๋ยวเหอะเล่นแรงๆ เดี๋ยวคืนนี้แรงคืนเลยนี่”ผมยื่นหน้าทำตาระยิบระยับใส่ แถมไล่จูบปากใหญ่แต่ใหญ่ก็หลบไวยังกับลิงลพบุรี
ผมแกล้งดึงตัวมันลงมานอนด้วยจนได้ เราเลยนอนกอดกันอยู่อย่างนั้น ผมลูบแก้มใหญ่นอนมองหน้ามันเพลินๆ
“เหนื่อยมั้ย ช่วยงานทั้งวันเลย” ผมซึ้งใจที่มันมาไกล มาช่วยงานผมแท้ๆเลย แทนที่จะมาเป็นแขกสบายๆ
ใหญ่ส่ายหน้า “ไม่เหนื่อย สนุกดี กูชอบงานมงคลแบบนี้”
ผมกระชับอ้อมกอดมันแน่นแล้วถามคำถามที่ไม่อยากถามเลย “มึงกลับวันไหน อยู่นานๆได้ไหม”
ใหญ่ซุกตัวเข้ามาในอ้อมกอดผมบอกเสียงอ่อยๆ “กูก็อยากอยู่ แต่เป็นห่วงที่บ้าน พรุ่งนี้กูบินกลับตอนเที่ยงๆ”ผมจูบใหญ่ที่หน้าผาก
“มึงเหนื่อยแย่เลย เดินทางอย่างกับต่อรถเมล์เลยนะมึง” แค่คิดว่ามันต้องจากไปอีกผมก็โหวงๆในอก เศร้าใจที่เราจะต้องอยู่ห่างกันแบบนี้ เจอกันก็ได้เพียงเวลาสั้นๆ
“กูเต็มใจ ทีมึงยังไปหากูอย่างกับขึ้นวินมอไซด์ หึหึ” ผมหัวเราะ ใหญ่มันไม่ยอมแพ้ผมจริงๆ ต้องหาทางย้อนคืนจนได้
“ยอกย้อนนักนะ เจ้าปากนี่”ผมลงโทษมันด้วยการจูบแรงๆ เราควานหาความหวานจากปากของกันและกันจนหายใจแทบไม่ทัน ใหญ่ต้องผลักตัวผมออกห่างเมื่อผมเริ่มกอดก่ายมันแน่นไปทุกส่วนของร่างกาย
“พอแล้วฝัน เรายังมีงานนะ”ผมต้องผละจากใหญ่อย่างเสียดาย นอนเอามือปิดตาแล้วยิ้มอยู่คนเดียว แล้วหัวเราะออกมาดังๆ
“มึงบ้าไปแล้วรึไง หัวเราะไรวะ”ใหญ่มันถามผมอย่างโมโหเหมือนผมขำแล้วไม่แบ่งมันยังงั้นแหละ
ผมหันไปนอนตะแคงเท้าคางมองหน้ามัน “กูแค่คิดเล่นๆว่า...” ผมหยุดพูดไปดื้อๆ
“ว่า...?”ใหญ่มันรอไม่ไหวจนต้องย้อนคำถามผมซ้ำ
แต่ผมก็เงียบอีกใหญ่เลยพูดอีก “ว่าอะไรเล่าไอ้บ้าเอ๊ย...”
ใหญ่มันงอนที่ผมแกล้งจะลุกหนี ผมต้องรีบดึงมือมันไว้ แล้วรีบเฉลย “ว่า...เราน่าจะเป็นคู่แต่งงานนะ จะได้เข้าหอเลย”
ใหญ่มันหน้าแดงหันมาค้อนผมแล้วบอกว่า “มึงนี่นับวันยิ่งเพี้ยน...”ใหญ่แกะมือผมออกแล้วเดินออกจากห้องไปแต่ยังไม่วายมาเร่งผมอีก “เร็วๆเข้านะกูจะไปรอข้างล่าง มันแต่คิดอะไรบ้าๆอยู่ได้”
ผมมองตามมันไปแล้วยิ้ม มีความรัก มีคนรักมันดีอย่างนี้เอง
งานเลี้ยงช่วงกลางคืนไม่ยุ่งยากอย่างที่คิดครับ เนื่องจากเป็นงานค็อกเทล ผมกับใหญ่เลยเดินคุยเล่นไปเรื่อย ญาติผู้ใหญ่ต่างถักผมเกรียวกราว คำถามยอดฮิตคือ “เมื่อไหร่ฝันจะแต่งงานบ้าง” ผมได้แต่หัวเราะแหะๆแล้วลากไอ้ใหญ่ออกไปจากวงสนทนานั้น แรกๆผมกับใหญ่ก็ขำๆครับ เหมือนตลกผู้ใหญ่ที่มาแซว แต่เมื่อเจอคำถามบ่อยๆเข้า แล้วเป็นคำถามแบบเดิมๆ ใหญ่มันเริ่มหน้างอแล้วครับ ผมก็เริ่มหงุดหงิด ทำไมทุกคนต้องมาถามเหมือนแกล้งผม ผมเลยลากใหญ่กลับบ้านก่อน แม่จะว่าผมก็ยอมแล้วครับ
เราตัดสินใจไปหาที่นั่งดื่มกันต่อสองคน ใหญ่ถามผมว่าทำไมผมไม่เรียกหนุ่ยมาด้วย ผมจะเรียกมาทำไมล่ะครับ
“กูอยากอยู่กับมึงสองคนมากกว่า เอามันมาทำไมพูดมากจะตาย”
ใหญ่หัวเราะ “มึงปากจัดนะ พี่เค้าออกจะคุยเก่ง คุยสนุกด้วย”
“นั่นแหละ ยิ่งร้ายใหญ่ เดี๋ยวมาขโมยซีนกู เดี๋ยวมึงไปหลงเสน่ห์มันอีกคน ยุ่งตาย” พอพูดจบ
ใหญ่มันเหยียบเท้าผมทันทีแล้วแยกเขี้ยวใส่ “ปากเสียเรื่อยนะมึง”
จากนั้นเราคุยกันทุกเรื่องสัพเพเหระจนเหมือนไม่มีเรื่องไหนที่เราไม่ได้พูดคุยกัน แต่ก็เหมือนมีเรื่องมากมายที่เรายังอยากคุยอีก แล้วก็อีก แล้วก็อีก จนเมื่อใหญ่มันเริ่มหาวผมมาดูเวลาตีหนึ่งกว่าแล้วครับ ถึงแม้ผมกับใหญ่จะดื่มกันไม่มากแต่ต่างก็มึนๆกันไปไม่น้อย เรากลับไปถึงบ้านแม่ปิดไฟนอนเงียบแล้วครับ ผมกับใหญ่ค่อยๆเดินย่องขึ้นบ้านกลัวแม่ตื่นมาต่อว่าที่เราแอบหนีออกมาจากงานแล้วยังกลับดึกอีก
“กูรู้สึกผิดกับแม่มากเลยว่ะ แทนที่มึงจะได้อยู่ดูแลแกกลับมาพามึงหนีเที่ยวอีก บาปกรรมจริงๆนะกู”ใหญ่มันต่อว่าตัวเองจนผมชักคล้อยตาม แต่จะไปยอมรับผมก็ผิดด้วยสิครับเลยต้องพยายามปลอบใจมัน
“แม่เค้าไม่ว่าหรอก เค้ารู้ว่านานๆมึงมาที แล้วกลางวันเราก็ช่วยแกเต็มที่แล้ว มึงก็รู้แม่กูใจดีจะตาย มึงไม่ต้องห่วงหรอกน่า”
ใหญ่พยักหน้าหงอยๆผมเห็นมันซึมไปอีกครั้งไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ “มึงอย่ากังวลเรื่องนี้เลย กูง่วงแล้ว เราไปอาบน้ำกันดีกว่านะ”ผมจูงมือมันไปที่ห้องน้ำ มันก็เดินตามมาครับจนผมปิดประตูลงกลอน ใหญ่ถึงกับสะดุ้งโหยงโวยขึ้นมา
“เฮ้ย!มึงทำอะไร มึงจะอาบก็อาบไปก่อนสิ กูรอข้างนอก” ใหญ่หันหลังจะเดินออก แต่ผมรีบดึงตัวมันไว้รวบมากอดแล้วบอกว่า
“ดึกแล้ว อาบด้วยกันนี่แหละ จะได้ไม่ต้องรอกัน จะได้นอนไวๆ” ใหญ่ส่ายหน้าแล้วดิ้นจะออกไปท่าเดียว
ผมต้องย้ำอีกว่า “กูสัญญาว่าอาบน้ำจริงๆ นะกูอยากอาบกับมึง มึงจำได้ไหม ตอนเราอยู่ปีหนึ่งที่เราไปรับน้องแล้วพี่เค้าบังคับให้เราอาบน้ำด้วยกันหมดทุกคน แล้วมึงโวยวายไม่ยอม กูโคตรประทับใจเลยว่ะ”
ใหญ่พยักหน้า ใบหน้านึกถึงความหลัง “จำได้สิ ไอ้พี่หมึกแม่มกวนตีน บังคับกันอยู่ได้ พอกูไม่ยอมมันก็ไม่เห็นว่าไรนี่หว่าเรียกไปกินเกล้าด้วยกันอีก หึหึ นึกแล้วก็ตลกดี เอ๊ะ...แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วยที่มึงจะมาอาบกับกู”
ซวยเลย...ใหญ่มันดันไม่หลงกลผม มันเปิดประตูแล้วครับจะออกไปผมเลยกอดมันอีกที ขอร้องมันดีๆอีกครั้ง
“อาบน้ำด้วยกันเถอะ มันไม่มีเหตุผลหรอก กูแค่อยากอาบกับมึงสักครั้ง...นะใหญ่”
พอเจอผมอ้อนแบบนี้ใหญ่มันเงียบเลยครับ แต่มันใจอ่อนปิดประตูห้องน้ำลงใหญ่ยืนนิ่งอยู่นานจนผมเริ่มถอดเสื้อผ้าออกใหญ่ถึงเริ่มถอดบ้าง เราต่างไม่พูดอะไรครับ ผมก็ไม่รู้เหตุผลลึกๆว่าทำไมผมถึงอยากทำแบบนี้ก็แค่...อยาก
ผมเปิดฝักบัวอาบน้ำจนตัวเองจนเปียก ใหญ่ยังยืนอยู่ห่างๆจนผมต้องเดินมาจูงมือมันไปแล้วเปิดน้ำใส่ตัวมันบ้าง ใหญ่มันอุบๆอิบๆหน้าแดงพูดว่า
“กูไม่ใช่ต้นไม้มึงไม่ต้องมารดน้ำกู”ใหญ่มันดึงฝักบัวไปจากมือผมบอกผมว่า
“กูอาบเองได้”
ผมขำแต่ก็ปล่อยให้ใหญ่มันอาบน้ำไป ผมฟอกสบู่ตัวเองแล้วส่งสบู่ให้มันบ้าง ใหญ่มันก็รับไปเงียบๆ เราต่างคนต่างอาบจริงๆครับเหมือนมาใช้ห้องน้ำร่วมกันมากกว่า จนใหญ่อุตริล้างหน้าในขณะที่ผมอาบน้ำอยู่ไม่ทันได้มอง
“ฝันขอน้ำล้างหน้าให้กูหน่อยสบู่เข้าตาแสบว่ะ”
ผมหัวเราะ “ไม่ให้ อยากได้มึงก็หากูให้เจอสิ”ใหญ่ไม่กล้าลืมตาครับทำตาหยีเพราะแค่นี้ก็คงแสบพออยู่แล้ว
“ฝันอยู่ไหน?” ใหญ่ควานหาผมเหมือนคนตาบอด แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ผมหัวเราะวิ่งหนีไปมาอยู่รอบๆกายมันจนผมนึกสงสาร
“ฝันกูแสบตาจริงๆนะ มึงอยู่ไหน”
จนในที่สุดใหญ่มันก็หยุดนิ่งเหมือนจะงอนผมที่แกล้งไม่เลิก ผมคว้าตัวมันไว้ได้พอดีแล้วกอดเอวมันไว้ ผมฉีดน้ำใส่หน้าใหญ่แล้วค่อยๆลูบไล้ล้างสบู่บนใบหน้าใหญ่ไปด้วย ผมถามใหญ่ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ไหนแสบจริงๆเหรอ”
ใหญ่กะพริบตาก่อนเปิดเปลือกตาช้าๆเราประสานสายตากัน ผมยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าแล้วก้มลงจูบใหญ่อย่างอ่อนหวาน มือใหญ่เกาะบ่าผมไว้แน่น จนเมื่อผมถอนริมฝีปากออกไปใหญ่ทำตาลอยเหมือนฝัน สีหน้ามันตอนนี้น่ารักมากๆครับ ผมถามมันว่า
“หายแสบตารึยัง”
ใหญ่พยักหน้า “หายแล้ว มึงแกล้งกูอีกแล้วนะ ไอ้บ้า” ผมหัวเราะอย่างมีความสุขแล้วรวบตัวมันมากอดอีกครั้ง
“แกล้งไว้ก่อนแล้วค่อยปลอบไง”
กว่าเราจะออกมาจากห้องน้ำได้ ก็ดึกมากแล้วครับ ผมกับใหญ่เพลียจนเมื่อหัวถึงหมอนก็หลับไปอย่างรวดเร็วในอ้อมกอดของกันและกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ผมกับใหญ่นอนกันสบายๆไม่มีใครยอมลุก จนแม่มาเคาะประตูปลุก “ฝัน ใหญ่ ตื่นรึยังลูก มากินข้าวกัน”
“คร๊าบบบ...แม่” ผมตะโกนตอบแม่ไปแต่ก็ยังนอนนิ่งๆ
ผมนอนบิดขี้เกียจอย่างสบายใจ นอนมองหน้าใหญ่ที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดผม แล้วกระชับอ้อมแขนแน่น ผมนอนนึกถึงคำสอนของผู้ใหญ่เรื่องการใช้ชีวิตคู่ ในงานแต่งงานมีผู้ใหญ่มากล่าวอวยพรคู่บ่าวสาวนอกจากจะให้ข้อคิดคู่บ่าวสาวแล้วยังกระทบใจผมอย่างแรง
ท่านกล่าวว่า ‘การใช้ชีวิตคู่ต้องใช้ทั้งความรักและความอดทน เมื่อแรกรักกันทุกอย่างก็ดูสวยงามไปหมด แต่เมื่อเราเข้าสู่การใช้ชีวิตคู่กันแล้วก็ต่างต้องมีปัญหาหรืออุปสรรค เราทั้งคู่ต้องใช้เหตุผล ความเข้าใจ การให้อภัย และใช้ความรักช่วยกันประคับประคองให้นาวาแห่งรักดำเนินไปอย่างราบรื่น’
ผมมาได้คิดว่าถ้าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ผมแค่อยู่ตรงนี้คอยเป็นกำลังใจให้ใหญ่ คอยสู้กับปัญหาไปด้วยกันน่าจะดีที่สุด เครียดหรือกังวลไปถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา เปลืองเหล้า เปลืองพาราเปล่าๆ
“คิดอะไรอยู่ฝัน” ใหญ่ลืมตานอนมองหน้าผมมานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แต่เสียงของมันก็ทำให้ความคิดผมกลับมาที่ร่างกายอบอุ่นที่อยู่ตรงหน้า ใหญ่เอื้อมมือมาจับแก้มผมและแปะฝ่ามือไว้อยู่อย่างนั้น ผมประกบฝ่ามือกุมมือมันไว้อีก
“คิดถึงมึงไง”
“คิดเรื่องอะไรล่ะ?”
“อยากให้มึง กลับไปอย่างมีความสุขนะใหญ่ ไว้กูจะเขียนจดหมายไปหา”
ใหญ่เงยหน้ามายิ้มให้ผมแล้วพยักหน้า “อืมมม...กูพร้อมแล้วชาร์จแบตกลับไปเต็มแล้วนี่”
เรายิ้มให้กำลังใจกันและกัน ชั่วขณะหนึ่งผมรู้สึกราวกับว่าผมกับใหญ่ก็เป็นคู่แต่งงานอีกคู่เหมือนกัน
******************************
หวานกันต่อเนื่องไป