^
^สงสัยได้ยินคนเรียกมา
เลยขอมาลงหน่อย***********************************************
(ตอนที่๑๒)
หลังจากรถทัวร์ออกจากเชียงใหม่ได้ไม่นานพนักงานบริการสาวเริ่มแจกข้าวแจกน้ำ ผมรับมาไว้อย่างนั้นแต่ก็ทานไม่ลงเพราะพึ่งทานมาอิ่มๆ ผู้โดยสารส่วนใหญ่ใช้เวลากับอาหารสักพักก็เริ่มเงียบเสียงลง หลายๆคนเริ่มเตรียมตัวนอน ไฟในรถหรี่ลงจนเกือบมืดสนิท ผมพยายามข่มตาหลับอยากจะพักผ่อนให้มากที่สุดเพราะพรุ่งนี้เช้าก็ต้องรีบไปทำงาน แต่ผมก็หลับไม่ลง ไม่ใช่เพราะเป็นการนอนบนรถที่ไม่สะดวกสบาย ไม่ใช่เพราะเหตุผลที่ว่าแอร์เย็นเกินไป เหตุผลทางกายไม่ใช่เรื่องที่สำคัญเลย มันอยู่ที่ความรู้สึกในใจผมเองมากกว่า
ความรู้สึกบางอย่างที่ยังคุกรุ่นในใจ มันเหมือนมีม่านหมอกบางๆบังตาผมอยู่ เหมือนเวลาที่เรามองอะไรที่สวยงามเหมือนอยู่ในฝัน แต่มันก็ลางๆเลือนๆไม่เคยชัดเจน
ผมดีใจที่ผมมาเชียงใหม่ ดีใจที่ได้เจอไอ้ใหญ่ ภายในเวลาหนึ่งวันที่เราอยู่ด้วยกันผมรู้ว่าทั้งมันและผมสนุกจริงๆ เหมือนเราได้ย้อนวันเวลาเก่าๆกลับมาอีกครั้ง ทุกเรื่องที่เราคุยทุกเรื่องที่เราเล่าสู่กันฟังเป็นเรื่องชีวิตใหม่ๆที่เจอก็จริง แต่เราก็ต่างเลือกที่จะแลกเปลี่ยนเรื่องราวดีสนุกๆเล่าสู่กันฟัง
ไอ้ใหญ่ละไว้ไม่พูดเรื่องปัญหาที่มันต้องรับผิดชอบ ผมเองก็ไม่ซักไซ้ไล่เรียงอะไรกับมันเพราะผมก็รู้เรื่องมาพอสมควรแล้ว และไม่อยากให้ช่วงเวลาที่ใบหน้ามันยิ้มๆอยู่ต้องเปลี่ยนมาเป็นใบหน้าที่ร้องไห้เศร้าเสียใจ ผมปลอบใครไม่เป็นจริงๆนี่นา
ส่วนตัวผมเองก็เล่าแต่เรื่องขำๆในที่ทำงาน เราต่างไม่ถามถึงอ้อยหรือออม เหมือนละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าเวลานี้มีแค่เรื่องของเราสองคนเท่านั้น แต่พอถึงเวลาที่ผมจะกลับกรุงเทพฯ มันราวกับว่าทั้งผมและไอ้ใหญ่ต่างก็ทิ้งปัญหาไว้ในใจของกันและกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าปัญหานี้ใครจะเป็นคนที่ให้คำตอบ หรือมันไม่เคยมีคำตอบกันแน่
ผมหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อนความรู้สึกไม่สบายใจยังกวนใจผมอยู่ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไรดี ได้แต่ปล่อยมันไปก่อน ผมคงต้องปล่อยมันไป เวลาคงจะบอกอะไรผมได้ในที่สุด ผมได้แต่หวังไว้แบบนั้น
วันเวลาของผมกลับมาอยู่ที่การทำงานและการเรียนโทเหมือนเคย ไม่มีเสียงโทรศัพท์มาจากไอ้ใหญ่อย่างที่ผมคาดไว้ ผมเองเลยไม่แน่ใจว่าผมควรจะโทรไปหามันรึเปล่า และเราก็ยังไม่มีจดหมายหากันเหมือนเคย เหมือนๆจะวัดใจว่าใครจะอดทนไม่ไหวก่อนกัน ที่จะส่งจดหมายไปบอกว่าคิดถึงกัน เรื่องของอ้อยกับไอ้หนุ่ยเองก็ดูวุ่นๆ เมื่อไอ้หนุ่ยมีทีท่าว่าจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตน มันก็เลยหายไปนาน....ผมรู้มาตลอดว่ามันไปกับว่าที่แฟน แต่อ้อยคงไม่รู้ ปัญหาเลยมาตกอยู่ที่ผมเมื่ออ้อยเริ่มสงสัย
“ทำไมพี่หนุ่ยหายไป”
“ทำไมพี่หนุ่ยไม่มา”
“ทำไมเราติดต่อพี่หนุ่ยไม่ได้” และสารพัดกับคำถามที่ว่าทำไมหนุ่ยหายไปจากชีวิตอ้อย อ้อยเริ่มเสียการควบคุมอารมณ์อย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เริ่มหงุดหงิดใส่ผมและคนรอบข้าง
“ไอ้หนุ่ย..กูไม่ไหวแล้วว่ะ..อ้อยถามกูทุกวัน กูตอบไม่ถูกเลยว่ามึงไปไหน ทั้งที่กูไม่ได้เป็นเลขามึงนะเว้ย”ผมทนไม่ไหวจนต้องโทรไปหาไอ้หนุ่ยแล้วลากมันมาดื่ม
“มึงก็บอกไปตรงๆซิ ว่ากูกำลังดูใจอยู่กับส้ม”ไอ้หนุ่ยมันพูดเหมือนไม่แคร์ความรู้สึกอ้อยเลยครับ ผมเริ่มหงุดหงิดกับมัน แต่ตัวมันดื่มอย่างสบายๆสายตาก็สอดส่ายมองสาวไปทั่ว ไม่ได้ทุกร้อนอะไรเลย
“แล้วทำไมมึงไม่บอกเค้าไปเอง กูเตือนมึงแล้วใช่มั้ย ว่าทำอะไรอย่าให้ความหวังเค้า” ผมดึงแก้วเหล้าในมือมันออก อยากจะให้มันสนใจสิ่งที่ผมกำลังพูดให้มากกว่านี้
“เอ๊ะ....ไอ้ฝันนี่ ก็กูจะไปรับผิดชอบกับความรู้สึกของทุกคนที่มารักกูได้ยังไงว่ะ กูว่ากูทำดีที่สุดแล้วนะ ที่กูหลีกเลี่ยงไม่เจออ้อย อ้อยเองก็น่าจะรู้”มันกระชากแก้วเหล้ากลับคืนไป แล้วทำหน้าดุใส่ผม
“ก็....แล้วทำไมมึงไม่ชอบอ้อย อ้อยเค้าดีนะเว้ย”ผมเริ่มหาเหตุผลมาช่วยอ้อย
“กูไม่ถียง..อ้อยเป็นคนดี สวย น่ารัก นิสัยดี คุยด้วยแล้วสบายใจ แต่...”
“แต่...อะไร....”น้ำเสียงของผมเคร่งเครียดไปเองแล้วตอนนี้ ราวกับว่าผมเป็นตัวอ้อยเสียเองถึงอยากจะรู้เหตุผล
“แต่ปัญหาคือ...กูไม่ได้รักอ้อย..แบบนั้น” ซึ่งก็คือจบ เมื่อไม่รัก....ไอ้หนุ่ยก็คงไม่ฝืนใจมารัก มันเป็นคนทำอะไรตรงไปตรงมาในบางเรื่อง ทั้งที่เรื่องนั้นมันทำให้บางคนต้องเสียใจ
“มึงไม่ชอบบ้างเลยเหรอ ซักนิดนึงก็ไม่เหรอ”ไอ้หนุ่ยส่ายหน้า แล้วบอกว่า “ไม่ใช่..”
“กูชอบนะ..แต่แบบเพื่อนมากกว่า ไม่ใช่แบบแฟน” ผมเองก็พูดไม่ออกผมจะไปบีบให้มันมารักอ้อยได้ยังไง แต่ที่แน่ๆตอนนี้ผมสงสารอ้อยที่สุด แต่ก็ไม่ใช่หน้าที่ผมที่จะเป็นคนบอกอ้อยเรื่องนี้ ไอ้หนุ่ยต้องช่วยอ้อยให้รู้ด้วยการบอกกับอ้อยตรงๆ
ผมกระแอมกระไอกลืนน้ำลายก่อนที่จะบอกกับไอ้หนุ่ย
“ถ้ามึงเห็นว่ากูเป็นเพื่อนมึง แล้วมึงคิดที่จะคบกูต่อไป”ไอ้หนุ่ยเลิกคิ้วมองหน้าผมนิ่ง ผมพยายามช่วยอ้อยได้แค่นี้เอง
“กูอยากให้มึงพูดความรู้สึกของมึงตรงๆกับอ้อยไปเลย มึงอย่าให้เค้าต้องทุกข์เพราะความไม่รู้อีกต่อไปดีกว่า มึงจะทำเพื่อกูได้มั้ย” ไอ้หนุ่ยวางแก้วลงแล้วกอดอก ถอนหายใจ แต่ก็พยักหน้า
“ก็ได้..แต่กูบอกมึงตรงๆนะ กูรักที่จะคบกับมึง กับอ้อย กูแฮปปี้นะเว้ย กูเองก็ไม่อยากเลิกคบอ้อยเพราะเรื่องนี้ แต่กูไม่ชอบฝืนใจตัวเองเพื่อความรู้สึกของใครว่ะ”
“ความจริงมันเจ็บปวดก็จริงนะฝัน แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าหลอกลวงกันไปเรื่อยๆ ถ้าเราเริ่มที่ความรู้สึกที่มันไม่จริง มันก็คงจบลงไม่สวย และคงไม่อยู่ได้ยั่งยืนหรอก มึงเชื่อกูสิ”
พูดอีกก็ถูกอีก ผมโต้แย้งอะไรมันไม่ได้เลย บางทีความจริงคงเป็นยาที่ช่วยรักษาอ้อยให้หายจากอาการที่เป็นอยู่ได้บ้าง ไอ้หนุ่ยสัญญาว่าจะนัดคุยกับอ้อยในเร็ววันนี้ ผมก็ได้แต่หวังว่าอ้อยจะเป็นผู้ใหญ่พอ แล้วใช้เหตุผลในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ ผมคงทำได้เพียงมองดูเพื่อนอยู่ห่างๆเท่านั้นเอง
คืนนี้ผมกลับบ้านไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง สงสารอ้อยเป็นอันดับแรก ออกจะนับถือความเข้มแข็งของไอ้หนุ่ย มันมีจุดยืนที่หนักแน่นกับเรื่องนี้ดีจริงๆ ออกจะดูใจร้ายไปหน่อยแต่นี่แหล่ะคือไอ้หนุ่ย
ผมออกจะเหงาๆโดยไม่รู้สาเหตุ เลยหยิบจดหมายมาเขียนหาเพื่อนรักของผม...ไอ้ใหญ่
ใหญ่เว้ย...
วันนี้กูเพิ่งได้ฟังเพื่อนคนหนึ่งพูดมาว่ะ เค้าทำให้กูได้ใช้สมองคิดเรื่องความรักอีกครั้ง เค้าบอกว่า “ เค้าไม่อาจจะรับผิดชอบกับความรู้สึกของทุกคนที่มารักเค้าได้หมดหรอก เพราะเค้าไม่อยากฝืนความรู้สึกของตัวเองเพื่อใคร”
“ ความจริงมันเจ็บปวดก็จริง แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าหลอกลวงกันไปเรื่อยๆ ถ้าเราเริ่มที่ความรู้สึกที่มันไม่จริง มันก็คงจบลงไม่สวย และคงไม่อยู่ได้ยั่งยืน”
กูฟังแล้วแย้งไม่ออกเลย แต่มึงว่ามั้ย บางครั้งความจริงถ้ามันโหดร้ายกับเราเกินไป เราก็ยังอยากที่จะฝันต่อแล้วไม่ยอมรับรู้ความจริง ปิดหูปิดตาแล้วหลอกตัวเองไปเรื่อยๆจะดีกว่า อย่างน้อยความฝันก็หล่อเลี้ยงให้เราได้มีกำลังใจอยู่ได้ต่ออีกไปนานๆ เพราะคนเลือกที่จะฝันในสิ่งที่สวยงามเสมอ
แล้วมึงล่ะ..เลือกแบบไหน...กูอยากรู้
คิดถึงมึงว่ะ..ใหญ่แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ อีกไม่กี่วันต่อมาหลังจากที่ไอ้หนุ่ยบอกว่าจะนัดคุยกับอ้อย คืนวันหนึ่งอ้อยก็มาหาผมที่บ้านด้วยใบหน้าที่หม่นหมอง ผมต้อนรับอ้อยด้วยความลำบากใจอย่างที่สุด รู้สึกเหมือนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับไอ้หนุ่ยโดยไม่รู้ตัว
“อ้อยนั่งก่อน เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้ อ้อยอยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย” อ้อยส่ายหน้าแต่ผมอยากถ่วงเวลาคุยไปก่อนเลยไปหาอะไรมาอ้อยดื่ม อ้อยมาที่บ้านผมก็3ทุ่มแล้ว แม่กับพี่สาวขึ้นไปบนบ้านกันแล้ว เราอยู่กันตามลำพังจึงคุยกันได้สะดวก
พอผมวางชาร้อนให้ที่โต๊ะ อ้อยก็เริ่มคำถามด้วยเสียงเหมือนคนจะร้องไห้ที่ทำให้ผมถึงกับเป็นใบ้
“ฝันรู้มานานแค่ไหนแล้วที่พี่หนุ่ยมีแฟน”
“.......เอ่อ....”
“ฝันรู้มานานรึยังว่าเราชอบพี่หนุ่ย”ผมก็ยังนั่งอึ้ง พูดอะไรไม่ถูกอยู่ดี จนอ้อยทำหน้าไม่ดีร่ำๆน้ำตาจะหยดอยู่แล้ว
“ฝันยังเป็นเพื่อนเรามั้ย”พออ้อยเงยหน้าขึ้นมาน้ำตาไหลอาบแก้มเป็นทางเลยครับ แววตาที่อ้อยมองผมเหมือนจะต่อว่า อ้อนวอน หรืออะไรก็ไม่รู้ผมดูไม่ออก เห็นน้ำตาอ้อยแล้วผมใจแป้วเลย มือไม้พันกันรีบไปเอากระดาษทิชชูมาให้อ้อยเช็ดน้ำตา
“ฝันเป็นเพื่อนเรา จริงหรือเปล่า หรือเป็นเพื่อนแค่กับพี่หนุ่ย” พอฟังแล้วมันจิ๊ดดด..ครับ
“ผมก็เป็นได้แค่เพื่อนอ้อยมาตลอดไม่ใช่เหรอ....”ผมชักน้อยใจอ้อยเหมือนกัน คำพูดของผมจึงเปลี่ยนเป็นต่อว่าอ้อยมากกว่า “ใจของผมที่ให้อ้อยไปมันก็ยังไม่เติมเต็มหัวใจอ้อยมานานแล้วนี่”
อ้อยเลยยิ่งร้องไห้ไม่หยุด ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาเป็นพัลวัน“เราขอโทษ....เราขอโทษ” ผมทำตัวไม่ถูกอยากจะไปจับมือปลอบอ้อยไว้แต่ก็ไม่กล้า ได้แต่ขยับไปนั่งใกล้ๆกว่าเดิม
“อ้อยจะมาขอโทษเราเรื่องอะไร” อ้อยส่ายหน้าไม่พูดไม่ตอบคำถามผม เอาแต่สะอึกสะอื้น
ผมถอนหายใจบ้าง “เรื่องที่ไม่รักเราเหรอ”
นี่ก็เป็นความจริงเหมือนกันที่ผมยอมรับแต่ไม่เคยพูดออกมา เพราะอ้อยเองก็ไม่พูด พูดไปแล้วก็เจ็บ น้อยใจ แต่ไม่มาก ก็คนเค้าไม่รัก เราจะทำอะไรได้ อ้อยส่งสายตาขอโทษมาที่ผมอีกแต่ก็ยังไม่พูดอะไรต่อ ทำเอาผมอึดอัดเหมือนผมเป็นคนที่หักอกอ้อยเอง
ผมมองอ้อยร้องไห้อยู่นานจนอ้อยเริ่มสงบลงผมจึงเริ่มถามต่อ “อ้อยรักพี่หนุ่ยมากเหรอ”
อ้อยส่ายหน้า “เราไม่รู้ว่ามากแค่ไหน แต่กว่าจะรู้เราก็คิดถึงแต่พี่หนุ่ยตลอดเวลา เราจะทำยังไงดีล่ะฝัน”
ผมอยากจะบอกว่า....รักเค้าแล้วเค้าไม่รักตอบจะให้ทำอะไรอีก..ได้แต่ทำใจมั๊ง แต่ผมก็พูดไม่ได้ ผมจะพูดอะไรก็ช่างยากเย็นเพราะผมเป็นเหมือนคนกลางระหว่างเพื่อนสองคน ก็คงพูดได้เท่าที่ใจคิด
“พี่หนุ่ยเป็นเพื่อนที่ดีนะ อ้อยก็เป็นเพื่อนที่ดีของผม ถ้ารักกันได้จริงๆ ผมก็ดีใจ”ผมเป็นลูกผู้ชายพอครับ ถ้าผู้หญิงไม่รัก ผมก็ไม่รู้จะหวงก้างไปทำไม เพราะผมไม่ใช่แมว
“แต่พี่หนุ่ยก็เป็นแบบนี้ เค้าเป็นผู้ชายตรงๆ ถ้าเค้าว่าไม่ก็คือไม่ ผมว่าอ้อยต้องเข้าใจตรงนี้ด้วย”
“ฝันคิดว่าเราจะดันทุรังเหรอ เราไม่ดื้อด้านขนาดนั้นหรอกนะฝัน ถ้าพี่หนุ่ยเค้าให้เราได้แค่เพื่อนเราก็ยอมรับ”ผมอยากจะบอกว่า...อ้าว...อ้าว...อ้าว...แล้วมาหาผมทำไมล่ะเนี่ย
“ที่เรามาหาฝัน ก็เพราะเราเสียใจ แล้วไม่รู้จะพูดจะระบายกับใครได้ เราแค่อยากหาที่พักพิงใจบ้าง” ผมควรจะดีใจหรือเสียใจกันแน่ก็ไม่รู้ ที่เป็นได้เพียงที่พักพิงใจสำหรับอ้อยได้เท่านั้นเอง
ผมว่าอ้อยก็ดีนะครับ ร้องไห้แต่ไม่คร่ำครวญ ฟูมฟาย ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงยิ่งทำอะไรไม่ถูกมากกว่านี้ ดูแล้วอ้อยก็สงบขึ้น คงกำลังทำใจอยู่ ตอนนี้ก็หยุดร้องไห้ไปแล้ว
“แล้วพี่หนุ่มว่าไงบ้างล่ะอ้อย” พอผมถามอ้อยก็เงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
“พี่หนุ่ยบอกว่า..ชอบที่จะคบกับเราในฐานะพี่น้อง หรือเป็นเพื่อนกันมากกว่า เราเลยอกหักเลย”อ้อยยิ้มกับตัวเองเศร้าๆ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ
“เรื่องหัวใจนี่มันยากจริงๆนะฝัน ทั้งๆที่รู้ว่ารักพี่หนุ่ยไม่ใช่เรื่องง่าย เราก็ห้ามใจตัวเองมาตลอดนะ แต่ใจเราก็ยังซนไปหลงรักเค้าจนได้ ทำตัวเองแท้ๆจะโทษใครได้” ผมทำตัวกล้าๆคว้ามืออ้อยมาจับไว้ บีบมือส่งผ่านกำลังใจไปให้
“อ้อยเป็นคนดี สวยด้วย หาใหม่ให้ดีกว่าพี่หนุ่ยร้อยเท่าพันเท่ายังได้ พี่หนุ่ยกะล่อนจะตาย ลื่นยิ่งกว่าปลาไหล ขืนไปรักมัน มีแต่ต้องช้ำใจ จริงๆนะ” ผมพยายามเชียร์ให้อ้อยกลับมามั่นใจในตัวเองอีกครั้ง
อ้อยยิ้มตอบผมแต่ก็ยังแอบเศร้าอยู่นิดหน่อย “ขอบใจเธอมากนะฝัน ขอบใจที่อยู่ข้างๆเรามาตลอดเลย”
ผมมองหน้าอ้อยตรงๆ อ้อยก็มองผมกลับตาของอ้อยแดงก็จริง แต่แววตาก็ดูสดใสขึ้นเยอะ “เราคงต้องใช้เวลานิดหน่อยกับเรื่องอกหักคราวนี้ ขอตัวไม่ไปเจอพี่หนุ่ยซักพักนะ ขอไปหลบเลียแผลใจก่อน” อ้อยยิ้มได้แล้วจริงๆ ทำใจได้ไวกว่าที่ผมคิดนะ แต่ผมก็ดีใจ ผมเอามือขยี้หัวอ้อยเบาๆ
“อย่านานนะอ้อย...ผมเหงา”
“จ้า...ขอเวลาเราหน่อย ...ฝันรอเรานะ”อ้อยเอามือมากุมมือผมไว้ มืออ้อยเย็นเฉียบ ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าอ้อยให้ผมรออะไร แต่ผมก็พร้อมที่จะรออ้อยเสมอ ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่ครับ ผมเลยส่งยิ้มตอบให้อ้อยไป
“ได้ซิ....เรารออ้อยได้อยู่แล้ว”
**********************************
ขอบคุณทุกๆคลิกที่เข้ามาอ่านค่ะ