พอดีจะไม่อยู่หลายวันเลยมาลงก่อนค่ะ กลัวคนอ่านลืม
************************************
(ตอนที่ ๗)
แล้วไอ้ใหญ่ที่ผมเห็นก็กำลังร้องไห้ น้ำตาของมันไหลรินลงเปียกหมอน มันกระพริบตาถี่ๆไล่น้ำตาออกไป
ผมเดินไปหามันอย่างช้าๆนั่งลงที่เตียงแล้วเอามือเช็ดน้ำตาที่แก้มให้มัน ไอ้ใหญ่ขยับหัวจากหมอนมาวางบนตักผมแล้วเริ่มต้นร้องไห้เงียบๆใหม่อีกรอบ
“ใหญ่ร้องไห้ทำไม....หรือเสียใจที่เห็นกูมา”
ผมถามมันอย่างที่ตัวผมเองยังรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเสียงของผมช่างอ่อนโยนกับเพื่อนได้ขนาดนี้ แล้วผมก็เอามือลูบหัวปลอบมัน
“กูดีใจต่างหากล่ะ..ตอนที่มึงนั่งเฉยๆกูยังนึกว่ากูฝันไป แต่พอมึงหันหน้ามามองกู กูรู้ทันทีว่ากูไม่ได้ฝัน...มึงเป็นตัวจริง”
มันพูดไปสะอื้นไป เสียงอู้อี้ ทำอย่างกับเห็นผมเป็นวิญญาณที่ตายแล้วครบ7วันกลับมาเยี่ยมญาติ
ผมพูดอะไรไม่ออกแต่ปฏิกิริยาของมันที่มีต่อการมาของผมก็คงบอกได้แล้วว่า มันรู้สึกอย่างไรกับผม ความผูกพันของเรามันมีมากมายเกินกว่าที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดใดๆได้ มือของผมยังคงลูบหัวมันต่อไป ผมให้ไอ้ใหญ่มันปลดปล่อยน้ำตาออกมาเต็มที่
ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเศร้าขนาดนี้ แต่แค่ผมมาอยู่ข้างๆมัน ให้มันได้ร้องไห้ ไม่ต้องเก็บทุกสิ่งอย่างไว้กับตัวเองตามลำพัง ผมก็พอใจแล้ว ไม่มีคำพูดปลอบประโลมใจใดๆระหว่างผมกับมัน ผมรับรู้ด้วยหัวใจถึงความเศร้าที่ฝังลึกอยู่ในใจมัน ขณะที่ไอ้ใหญ่เองก็คงสัมผัสความหวังดีและเป็นห่วงของผมผ่านทางมือที่ลูบหัวมันอยู่
พอมันร้องไห้จนพอใจแล้วมันก็เอามือปัดมือผมออกจากหัวมัน แล้วลุกขึ้นนั่งมองหน้าผมถามเสียงสั่นๆทันที
“มึงมาทำไม มาได้ไง ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องมา”
ผมขำกับอาการเขินของมัน เมื่อสักครู่ยังร้องไห้กับตักผมสะอึกสะอื้น แต่พอตั้งตัวได้ก็กลับมากวนเหมือนเดิม ทำหน้าตาแปลกๆจะยิ้มก็ไม่ใช่จะร้องไห้ก็ไม่เชิง ทั้งที่คราบน้ำตายังเปรอะแก้ม พอผมไม่ตอบเอาแต่อมยิ้ม ไอ้ใหญ่คงทนไม่ไหวมันมาเขย่าไหล่ผมแรงๆ ท่าทางโมโหผม
“ทำไมไม่พูดยิ้มอยู่ได้ ขำบ้าอะไรนักหนาว่ะ”
ผมขำกับท่าทางมันจนในที่สุดก็ต้องตอบมันไป “ก็ขำมึงไง ท่าจะเพี้ยนไปแล้ว ไม่เจอกันไม่นาน ประสาทกลับไปแล้วมั๊ง”
ผมเอามือเขกหัวมันให้หายบ้า มันร้อง “โอ๊ย..”แต่หัวเราะ ผมถึงว่ามันประหลาดขึ้นจริงๆ อารมณ์เปลี่ยนได้ตลอด
“มึงรอกูแป๊ปนึงนะ กูไปอาบน้ำ ล้างหน้าเดี๋ยวมา”มันไม่รอคำตอบจากผม วิ่งปรู๊ดเข้าห้องน้ำหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่วายชะโงกหน้ามาอีกที สั่งผมว่า
“มึงอย่าหายไปไหนนะ รอกูด้วย” ผมได้แต่ส่ายหัวขำกับมัน มันก็ยังคงเป็นเด็กซนๆคนเดิมเพื่อนของผม
ใช้เวลาไม่นานไอ้ใหญ่ก็ออกมาพร้อมกับหยดน้ำพราวเต็มตัว มันนุ่งผ้าขนหนูเปลี่ยนเสื้อผ้าไป พูดกับผมไปด้วยไม่หยุดปาก
“มึงมาแต่เช้า คงยังไม่ได้กินอะไรเดี๋ยวกูจะพามึงไปตลาดไปกินข้าว หรือจะกินข้าวอร่อยๆของบ้านกู”
“แล้วนี่มึงคิดไว้รึยังว่าจะไปเที่ยวไหนเดี๋ยวกูจะได้ไปสั่งงานลูกน้องไว้แล้วพามึงเที่ยวเต็มที่”
“มึงไม่ได้เอารถมาล่ะซิ งั้นเดี๋ยวกูไปสั่งให้ลูกน้องเตรียมรถไว้”
“แล้วไหนว่างานยุ่ง โดดงานมาล่ะซิมึง”
“มาทำไมไม่บอกกูก่อน กุได้ไปรับที่สถานี”
“มึงเจอพ่อแม่กูรึยังน่าจะตื่นแล้วนะ”
มันคงจะพูดต่อไม่หยุดถ้าผมไม่เบรกมันไว้ก่อนที่มันจะขาดใจตายไปก่อน
“พอๆๆๆ มึงหยุดพูดบ้างก็ได้ หยุดถามด้วยกูตอบไม่ทัน พูดอย่างกับคนเพิ่งพูดได้หลังจากเป็นใบ้ไปหลายวัน”
ผมสาวเท้าเดินไปหามันก็พอดีกับที่เห็นว่ามันติดกระดุมผิดแถวทำให้เสื้อเบี้ยวไปเป็นแถบ
“ไหนๆๆ หนูใหญ่ มาๆๆป๋าจะติดกระดุมให้ แค่นี้ก็ติดผิด เด็กหนอเด็ก หึหึ”
ไอ้ใหญ่ไม่ยักกะเถียงกลับครับ แต่มันทำหน้าแดงๆ คงจะอายเสแกล้งทำเป็นเอามือเกาหัวแก้เขิน
พูดเก้อๆว่า “กูก็มัวแต่มองหน้ามึงเลยไม่ได้ดูน่ะซิ นิดเดียวเอง กูทำเองด้ายยย” แต่ผมก็ดึงเสื้อมาหาตัวจนตัวมันชิดกับตัวผมจนได้กลิ่นสบู่อ่อนๆรวยรินเข้าจมูก
“ไม่ต้องเลย อยู่เฉยๆ ไม่ต้องพูดแล้ว พูดพอแล้ว”
ผมค่อยๆแกะกระดุมทีละเม็ดๆจนออกมาหมด เห็นหยดน้ำยังเกาะอยู่ที่หน้าอกมัน แล้วก็บ่นออกมา
“เช็ดตัวก็ไม่แห้งแล้วใส่เสื้อเดี๋ยวก็เหม็นอับ เอาผ้ามาเช็ดก่อนซิ”
โดยที่มันไม่ทันตอบ และโดยที่ผมไม่ทันคิด ผมแหวกเสื้อมันออกแล้วดึงผ้าที่มันนุ่งอยู่ออกทันที ชะรอยมันคงเป็นบุญของผมที่ไอ้ใหญ่มันไม่ลืมยังนุ่งบ๊อกเซอร์ลายโดเรมอนอยู่ครับ ผมดึงผ้าหลุดติดมือมาแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ มันก็คงตกใจรีบเอามือปิดของสงวนข้างล่าง
“ไอ้เชี่ยยยย....เล่นอะไรเสียวๆๆ”
แต่ผมก็ไม่สนใจครับเอาเช็ดตัวเช็ดหน้าอกให้มัน เช็ดซอกแขน “บอกว่าไม่ต้องพูด ยกมือขึ้นซิเช็ดไม่ถนัด”
มันก็ว่าง่ายครับยกมือขึ้นข้างนึง แต่อีกข้างยังปิดส่วนล่างไว้อยู่ ผมได้แต่ขำแต่ต้องทำหน้าเก็กไว้ เดี๋ยวงานไม่เสร็จครับ
“อีกข้างล่ะ จะปิดไปทำไม กูไม่สนหรอกน่า”
ไอ้ใหญ่มันเลยกระมิดกระเมี้ยน ค่อยๆยกมือขึ้นสองข้าง ผมเช็ดเสร็จหันซ้ายหันขวาเห็นกระป๋องแป้งวางอยู่เลยเอาแป้งเด็กโปะจักกะแร้มันให้หอมๆ แล้วก็บอกให้มันเอามือลงมันก็ทำตามครับ
“คราวนี้ยืนถ่างขากว้างๆหน่อยมึงจะหนีบไว้ทำไมว่ะ...”มันอ้าปากจะเถียง “ก็..กะ..กู”
ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตามัน “มึงไม่เชื่อกูเหรอ..”
ผมเห็นมันหลบตาผมอ้อมๆแอ้มๆบ่น “ทำไมมันดุจังว่ะ..กูก็เชื่ออยู่นี่ไง”
ผมเอาผ้าเช็ดไปตามหน้าขามัน เช็ดอ้อมหน้าอ้อมหลังจนแห้ง แล้วหยิบกระป๋องแป้งเอามือจับขอบบ๊อกเซอร์เตรียมจะดึงยางยืดออกแล้วโปะแป้งเข้าไปที่ส่วนสำคัญเบื้องล่าง แต่ไอ้ใหญ่รีบคว้าจับมือผมไว้แล้วทำหน้าแดง
“ไม่ต้องๆ..กูทำเอง”ผมขำแต่ก็ปล่อยมันไป ยังไม่อยากทำไข่ชุบแป้งแต่เช้าเหมือนกัน
“โอเค..งั้นกูติดกระดุมให้มึงทาแป้งไป”
ผมดึงตัวมันมาใกล้ๆ กลิ่นสบู่ กลิ่นแป้ง กลิ่นกายมันเข้าสู่จมูกผมเต็มๆ ผมรู้สึกหวิวๆปั่นป่วนใจอย่างบอกไม่ถูก ผมค่อยๆติดกระดุมให้มันอย่างช้าๆ ไอ้ใหญ่เองก็ยังคงถือกระป๋องแป้งในมือไม่ทำอะไรต่อ จนผมติดกระดุมเสร็จ
“อ้าว..ไม่ทาแป้งล่ะถือไว้ทำไม” ผมมองหน้ามันที่ยังคงแดงอยู่
“กะ...ก็มึงอยู่ตรงนี้กูจะทาก็ไม่สะดวกนะซิ..ไอ้บ้า...กูก็อายเป็นนะเว้ย” ในที่สุดผมก็หัวเราะออกมาจนได้ ไอ้ใหญ่มันเขินจนน่ารักจริงๆครับ
เหมือนเด็กนักเรียนยืนอยู่ตรงหน้าผม “กูไม่ดูก็ได้แล้วมึงก็ทาซะจะได้ใส่กางเกงให้เรียบร้อย"
“เออ..มึงห้ามดูนะ”
“อืมมม..ไม่ดูก็ไม่ดูซิ”
“มึงก็หันไปดิ ยืนจ้องหน้ากูอยู่อย่างงี้ ใครจะไปทาได้เล่า..เง้อ” ผมหัวเราะเบาๆอีกครั้ง
“งั้นกูทำแบบนี้ได้มั้ย” โดยไม่รอคำตอบรับจากมัน ผมรั้งตัวมันให้เข้ามาหาตัวผมแล้วเอามือคล้องคอมันไว้หลวมๆ ตอนนี้คางมันเลยพาดอยู่ที่ไหล่ผมจนรู้สึกถึงลมหายใจของไอ้ใหญ่ที่แผ่วๆอยู่ที่ลำคอผม ไอ้ใหญ่ดิ้นขยับตัวไปมาในอ้อมแขนผมอยู่พักหนึ่ง จนผมต้องกดบ่ามันเอาไว้
“ขอกูกอดมึงให้หายคิดถึงหน่อยไม่ได้เหรอ”
ไอ้ใหญ่หยุดขยับตัวแล้วนิ่ง ก่อนที่ผมจะรู้สึกถึงสัมผัสจากอ้อมแขนของมันที่ค่อยๆกอดตอบอย่างลังเล ผมได้ยินเสียงกระป๋องแป้งหล่นลงพื้น ความเงียบกลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่งไม่มีคำพูดใดๆผมลูบหัวมันอีกครั้ง อ้อมกอดของมันรัดลำตัวผมแน่นขึ้น ก่อนที่ใหญ่จะพูดเสียงสั่นๆว่า “ขอบใจนะฝัน....ที่มาหากู”
ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกที่หลั่งไหลมาในใจผมตอนนี้คือความรู้สึกอะไร รู้แต่ว่ามันเต็มตื้นในใจ มันไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เหมือนได้กลับมาบ้านเก่า ความรู้สึกเดิมๆที่อบอุ่นใจ อิ่มใจ กลับเข้ามาอีกครั้ง
“มึงไม่น่าต้องเสียเวลามาเลย ก็กูบอกแล้วว่าไม่เป็นไร กูยังไหว”
ผมถึงกับถอนหายใจ ทั้งที่แย่ขนาดนี้ยังทำปากดีอีก“แล้วมึงไม่ดีใจเหรอ ที่เห็นกู”ผมแกล้งทำเสียงตัดพ้อ ปนน้อยใจ
“กะ...กู..ดีใจซิ..แต่เกรงใจมึงต้องลางานมา”คราวนี้ผมดันตัวมันออกมาอยากมองหน้ามันเต็มๆชัดๆเสียที เราสบตากันตรงๆ ผมพูดช้าๆชัดๆ
“คำว่าเกรงใจ..มึงไม่ควรนำมาใช้กับกู คำนั้นมันไม่ใช้หรอกสำหรับ.....เพื่อน”
มีแววตาวูบหนึ่งของไอ้ใหญ่คล้ายๆจะตัดพ้อ แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า เสียงของมันยังคงแผ่วเบาจนผมไม่รู้ว่าตกลงมันป่วยหรือเปล่าเสียงพูดถึงดูเหมือนคนไม่มีแรงเอาเสียเลย
“เพื่อน..”เสียงของไอ้ใหญ่แหบพร่า มือที่กอดผมอยู่ตกลงทันที ใหญ่ยิ้มให้ผมแต่ทำไมมันช่างดูเศร้าเหลือเกิน
“ใช่ซินะ..ก็เราเป็น..เพื่อน..กันนี่นา” แค่คำพูดนี้ก็ทำเอาผมใจหายๆ ทำไมฟังแล้วมันหวิวๆบอกไม่ถูก
เสียงของผมที่พูดตอบไปเลยเหมือนคนเหม่อลอยไม่เหมือนตัวผมเอง“ใช่เพื่อนกัน..มึงมีอะไรอยากพูดอยากระบายก็บอกมาให้หมดนะ กูอยู่นี่แล้ว” ใหญ่ส่ายหน้า
“ไม่มีอะไรหรอก กูรู้ว่ามึงรับรู้ทุกอย่างที่กูคิด แค่เห็นมึง... ไม่ต้องพูดอะไร แค่นั้น...พอ”
รอยยิ้มของไอ้ใหญ่ที่ส่งให้ผม ทำให้ผมรู้ว่าผมคิดไม่ผิดที่ตัดสินใจมา เรายืนส่งความรู้สึกอยู่นิ่งๆแบบนั้นและคงอยู่อีกนานถ้าไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูเรียก
“เสี่ยครับ..เถ้าแก่ให้มาเชิญเสี่ยกับเพื่อนทานข้าวเช้าครับ” ไอ้ใหญ่เปลี่ยนสีหน้าเป็นกระปรี้กระเปร่าทันที มันคงดีใจที่จะได้กินข้าว คว้ามือผมแล้วดึงผมให้ตามไปทันที
“ไปทานข้าวกัน กูหิวแล้ว แล้วเดี๋ยวกูจะได้พามึงไปเที่ยวกัน” ผมยิ้มรับคำชวนของมันไม่อยากจะบอกให้มันเสียน้ำใจว่าผมไปทานที่ตลาดมาแล้ว ผมเลยไม่ทักท้วงอะไรเดินตามแล้วแต่มันจะพาไป ก็วันนี้ผมตั้งใจแล้วนี่ว่าจะให้เวลากับเพื่อนเต็มที่
*************************
ขอบคุณทุกๆคำติชมค่ะ