54 Queen Victoria Market
ยามเช้าอากาศสดใส แสงแดดสาดส่องไปทั่วบริเวณสวนสวยโดยรอบที่พัก เด็กหนุ่มบิดขี้เกียจอยู่บนเตียงหนานุ่ม ภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ที่ตอนนี้ไร้คนข้างกาย หนุ่ยคลำไปข้างๆตัวไม่พบแม้ร่องรอยของธีร์ หนุ่ยลืมตาขึ้นมาสู้แสงของวันใหม่ เด็กหนุ่มขยี้ตาแล้วมองออกไปที่สวนดอกไม้ ชายหนุ่มยืนกอดอกอยู่บนระเบียงมองออกไปข้างนอก หนุ่ยคว้าเสื้อไหมพรมมาสวม แล้วค่อยๆย่องออกไปที่ระเบียง
“ยืนคิดถึงใครอยู่ครับพี่” หนุ่ยกอดเอวของธีร์ไว้แล้วซุกคางลงที่ต้นคอขาวเนียนนั้น
“ตื่นแล้วเหรอ...” ธีร์หันหน้ามามองเล็กน้อย
“ตื่นแล้วครับ...ตื่นนานแล้ว...ดูสิ” หนุ่ยบดเบียดหน้าขาเข้ากับร่องก้นของธีร์ ผ้าฝ้ายบางๆของบ๊อกเซอร์ที่สวมอยู่ไม่อาจกั้นความแข็งชันไว้ได้ มันร้อนและอุ่น...แต่ทว่าแข็งแรง
“อืม...หนุ่ยนี่...ทะลึ่งจริงๆ” ธีร์หันมาตีเบาๆที่ไหล่กว้างของเด็กหนุ่ม
“อ้าวก็มันตื่นแล้วจริงๆนี่ครับ...” หนุ่ยบดเบียดบั้นเอวเข้าไปอีกครั้ง
“นี่แนะ...” ธีร์เอื้อมมือมาคว้าท่อนอุ่นๆนั้นไว้บีบ...มันโชนเขม็งขึ้นมาอีก ดื้อจริงๆ
“โอ๊ยย...พี่ธีร์...เจ็บนะ...” หนุ่ยร้องโอดโอย...ไอร้อนๆกรุ่นออกมาจากปาก
“หนาวจัง...พี่ไม่หนาวเหรอครับ” หนุ่ยถามธีร์พลางกอดธีร์แน่นเข้าไปอีก
“หนาวดี...พี่ชอบ...บ้านเราไม่หนาวอย่างนี้...” ธีร์ชอบอากาศหนาวๆ...แล้วยิ่งจะชอบเข้าไปอีกเมื่อมีคนรักกอดอยู่แบบนี้
“ผมไม่ค่อยชอบอากาศหนาวๆเลย...มันเหงา...” หนุ่ยหลับตาลงแต่คางยังคงเกยไหล่ชายหนุ่มเอาไว้
“เป็นเด็กเป็นเล็ก...ไม่เห็นจะต้องเหงาเลย...” ธีร์เอ่ยเบาๆโดยไม่ได้หันมามองหน้า
“เหงา สิพี่...พี่รู้มั้ยว่าตอนนั้น...ตอนที่ผมไม่เหลือใครน่ะ...ผมนั่งรถไฟมา กรุงเทพฯ...อากาศตอนกลางคืนมันเย็น...เงียบ...มันเหงาจนจับใจเลยนะ...” หนุ่ยพูดเบาๆออกมาทำให่ธีร์ต้องหันกลับมาเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่ม หนุ่ยยืนหลับตา หางตาปริ่มไปด้วยหยาดน้ำใสๆ
“หนุ่ย...ต่อจากนี้ไป...หนุ่ยจะไม่เหงาอีกต่อไปแล้วนะ...หนุ่ยมีพี่...หนุ่ยมีคุณแม่...แล้วก็มีเพื่อนๆ...อย่าร้องไห้สิครับ...” หนุ่ยน้ำตาไหลรินออกมา...
“อย่าร้องไห้ครับ...คนดีของพี่” ธีร์กอดเด็กหนุ่มเอาไว้ เอามือลูบเส้นผมเบาๆ
“.............” ทั้งสองยืนกอดกันริมระเบียงสักพัก ธีร์ยังแปลกใจอยู่มากๆว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงได้เปลี่ยนโหมดกะทันหันแบบนี้ ทั้งที่ก่อนหน้ายังทะเล้นอยู่เลย หนุ่ยคงคิดถึงอะไรบางอย่าง
“หนุ่ยคิดถึงปู่กับย่าเหรอ...” ธีร์เดาบางสิ่งบางอย่างจากจิตใจของเด็กหนุ่ม
“ครับ...”
“...ถ้ากลับเมืองไทยพี่จะพากลับไประโนดอีกครั้ง...ปีนึงแล้วสินะที่ไม่ได้ไป...” ธีร์ย้อนคิดไปถึงวันนั้นที่พาหนุ่ยกลับบ้าน
“ครับ...ถ้าพี่ไม่ว่างก็ไม่เป็นไร...” หนุ่ยกอดธีร์แนบแน่นอีกครั้ง เด็กหนุ่มสองบุคลิกที่บางครั้งดูอ่อนไหวและเหงาเศร้า บางครั้งก็ร่าเริงสดใสช่างคิดช่างเจรจา บทจะเปลี่ยนอารมณ์ก็เปลี่ยนซะง่ายดายราวกับกดปุ่มเปลี่ยนคลื่นรับสัญญาณ
“ว่างสิครับ...ถ้าเวลาน้อยๆเราก็นั่งเครื่องไปสัก 2-3 วันค่อยกลับก็ได้” ธีร์จับมือหนุ่ยมากุมเอาไว้
“ไปเหอะ...เข้าห้องก่อน...เดี๋ยวค่อยออกไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหาร”
หลังอาหารเช้าแล้วทั้งสองก็ขับรถเข้าเมืองเพื่อตะลอนเที่ยวในเมืองให้ทั่วๆ วันนี้จึงเป็นวันสบายๆไม่ต้องเดินทางไกล ที่โบทานิคการ์เด้นท์ สองหนุ่มเดินจับมือกัน ไม่อายสายตาใครเพราะที่นี่ไม่มีใครรู้จักและผู้ชายกับผู้ชายเดินจับมือกัน ไม่ใช่เรื่องแปลก หนุ่ยกับธีร์รู้สึกอิสระมากๆกับเรื่องการแสดงออก ที่นี่เมลเบิร์น
“สวยจังเลยพี่...” หนุ่ยเดินเข้าไปใกล้ดงดอกไม้ที่ไม่รู้ว่าชื่ออะไร มันเป็นสีม่วงอมน้ำเงิน ผลิดอกบานสะพรั่งไปทั่วเนิน
“ดอกอะไรน่ะ...” ธีร์ไม่รู้เหมือนกัน
“พี่ธีร์ถ่ายรูปกันเถอะ...” หนุ่ยดึงมือธีร์เข้ามายืนเคียงกันแล้วยืดแขนจนสุดเตรียมยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมา
“เราจะมีรูปคู่กันซักกี่รูปเนี่ย...” ธีร์บ่นเบาๆ เมื่อเวลาถ่ายคู่กันจะดูลำบากมาก รูปที่ออกมาอาจจะดูไม่สวยเพราะจะได้บางมุมเท่านั้น
“ไม่เป็นไรนี่...เก็บไว้ในความทรงจำเท่านั้นก็พอ” หนุ่ยบอก แค่นี้เขาก็พอใจแล้ว
อากาศเย็นสบาย ไม่หนาวเกินไป แสงแดดส่องลงมากระทบกับมวลดอกไม้ ทำให้ดูสวยและสดใส สองคนเดินจูงมือกันและชี้ชวนให้ดูโน่น ดูนี่ เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วไม่ขาดปากของหนุ่ยทำให้โลกนี้ดูสดใสไปอีก
“พี่ธีร์...คืนนี้ผมว่าเราไปฟิลิป ไอส์แลนด์กันดีมั้ย”
“พาเหรดนกเพนกวินเหรอ...” ธีร์ถาม
“ครับพี่” หนุ่ยตอบ
หลังเที่ยงหนุ่ยกับธีร์เดินซื้อดูชีวิตความเป็นอยู่ของคนออสซี่ในตลาดควีนส์มาร์เก็ต ย่านใจกลางเมือง ที่นี่มีดนตรีวนิพกอยู่คณะหนึ่ง เปิดการแสดงอยู่ในบริเวณตลาด นักดนตรีประมาณ 10 คนเล่นดนตรีและร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน ผู้คนเหล่านี้เป็นคนเผ่าพื้นเมืองและคนผิวขาวผสมผเสกันไป หนุ่ยยืนมองดูอยู่ด้วยความสนใจ
“เพราะดีนะพี่...” หนุ่ยขยับแข้งขาและปรบมือไปตามจังหวะดนตรี
“เพราะดีก็เต้นตามเลยหนุ่ย...” ธีร์เชียร์ แล้วก็ปรบมือตามอย่างสนุกสนาน ความสนุกสนานที่ทั้งสองหนุ่มแสดงออกมานั้นทำให้นักดนตรีที่ร้องนำเพลงนั้นอยู่เดินออกมาจูงมือเด็กหนุ่มจากระโนดเข้าไปร่วมวงเต้นรำกัน ผู้คนที่มายืนฟังโดยรอบต่างก็ปรบมือและเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะ ดนตรีที่คล้ายๆเร้กเก้ก็ไม่เชิง เพราะมีกลิ่นอายของดนตรีพื้นเมืองผสมอยู่ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ฟังแล้วสนุก ไพเราะแบบแปลกๆ หนุ่ยเข้าไปหมุนตัวแล้วเต้นไปตามจังหวะเพลงอย่างน่ารักและเป็นกันเอง ทำให้ธีร์ที่เพิ่งเคยเห็นเด็กหนุ่มเต้น...อดชื่นชมกับลีลาของหนุ่ยไม่ได้
“มาเร็วพี่ธีร์มาเต้นกัน” หนุ่ยกวักมือเรียกธีร์
“พี่ธีร์...”หนุ่ยเรียกอย่างเดียวธีร์ไม่ยอมเข้ามา จนนักร้องคนเดิมเห็นว่าธีร์ไม่เข้ามาแน่ๆแล้วเลยเดินเข้ามาดึงมือธีร์ ให้เข้าไปร่วมวงไพบูลย์ด้วย
ทั้งสองหนุ่มเต้นกันจนจบเพลง เรียกเสียงปรบมือเกรียวกราวจากผู้ที่อยู่รอบข้าง หนุ่ยกับธีร์ค้อมหัวให้คนโดยรอบ หลังจากนั้นสมาชิกของวงคนหนึ่งก็เดินถือ ซีดีเพื่อนำออกมาขาย ให้คนที่อยู่รอบๆโดยขายในราคาที่ไม่แพงมาก คิดเป็นเงินไทยประมาณ 800 บาท เป็นอัลบั้มชุดใหม่ล่าสุดของเขา ก่อนหน้ามีอีก 2-3 อัลบั้ม ที่ออกมาก่อน หนุ่ยซื้อซีดีมาชุดนึง แล้วเดินจากมา
“พี่ธีร์ดูร้านขายหมูสิพี่” หนุ่ยชี้ให้ดูความแปลกหูแปลกตาที่ต่างจากตลาดในเมืองไทย
“อือ...ดูสะอาดสะอ้านดีนะ...” ธีร์ชมออกมาเพราะเขียงหมูที่นี่เป็นตู้กระจก หมูชำแหละวางเรียงราย ในตู้ใสสะอาด คนขายใส่เสื้อผ้ารัดกุม มีหมวกคลุมผม ถัดมาเป็นบริเวณที่ขายอาหารทะเล ทั้งลอบสเตอร์ ทั้งปลา ปลาหมึก ล้วนดูดีและมีอนามัย บริเวณพื้นทางเดินแห้ง ไม่เฉอะแฉะแบบบ้านเราเลย
“พวกนักการเมืองที่บอกว่ามาดูงานต่างประเทศ...ไม่รู้ว่าเคยมาดูตลาดที่นี่รึเปล่าเนอะพี่” หนุ่ยพูด
“นั่นสิ...พี่ว่าอาจจะมาไม่ถึงหรอก...คงจะไปอยู่แถวคราวน์พลาซ่าแน่ๆ...” ธีร์พูดแล้วทั้งสองก็พากันหัวเราะขบขันในความงี่เง่าและโง่งมโข่งของนักการเมืองของประเทศสารขันธ์
“มาดูงานรึว่ามาเล่นการพนันก็ไม่รู้...” หนุ่ยพูดออกมา
“พี่ธีร์...ไปดูผลไม้กัน...” หนุ่ยจับมือดึงแขนธีร์แล้วออกมาด้านนอก เป็นบริเวณที่ขายผลไม้
“พี่องุ่นน่ากินจังเลย...” หนุ่ยบอกพลางก้มลงดู
“พี่อยากกินกีวี...ถูกมากเลยหนุ่ย...” ธีร์หยิบถุงแล้วขอเลือกซื้อกีวีทันที
“ผมเอาองุ่นนะพี่” หนุ่ยร้องบอกแล้วเลือกองุ่นสีเขียวไร้เมล็ดพวงโตๆแถมราคาถูกจนเหลือเชื่อ
“น่าซื้อไปฝากเต้จังเลย...เต้ชอบกินองุ่น” ธีร์คิดถึงญาติสนิทขึ้นมา...ไม่รู้ป่านนี้เต้กับอ้นเป็นยังไงบ้าง ...