ระโนด <by ต้นคุง>
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ระโนด <by ต้นคุง>  (อ่าน 180360 ครั้ง)

องค์หญิงกำชัย

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 58=
«ตอบ #660 เมื่อ14-10-2009 04:04:24 »

59 ใจสารภาพ

“ญาติคุณพันทิวาค่ะ”  เสียงเจ้าหน้าที่ห้องตรวจเรียก ทำเอาอ้นสะดุ้งจากการเหม่อลอย
“ครับ...”  อ้นเดินเข้าไปที่หน้าเคาน์เตอร์ ขณะที่ส้มออกไปคอยอยู่ที่รถแล้ว
“นี่เป็นผลการตรวจปัสสาวะค่ะ...”
“ครับ...” อ้นแกะซองออกมาดูผล หน้าซีดเผือดเมื่อการแสดงผลของการตรวจครรภ์ออกมาว่า “ท้อง”
“ผมจะพบหมอได้มั้ยครับ...” อ้นถามเจ้าหน้าที่คนเดิม
“ได้ค่ะ..สักครู่นะคะ...”

          คุณหมอแจ้งผลการตรวจครรภ์ของส้มให้อ้นรับทราบอีกครั้ง โดยบอกว่าตอนนี้ส้มท้องได้ประมาณ 2 เดือนแล้ว สุขภาพโดยทั่วไปแข็งแรงทั้งสุขภาพครรภ์และสุขภาพของคนเป็นแม่ “หมอยินดีด้วยนะครับ” เสียงของหมอเจื้อยแจ้ว “ยินดีอะไรล่ะ...กูทุกข์ใจจะตายอยู่แล้ว...” อ้นคิดในใจว่าหมอดูละครมากเกินไปรึเปล่า...เด็กวัยรุ่นอย่างเขาเนี่ยนะ...ต้องมารับผิดชอบกับชีวิตน้อยๆที่กำลังจะเกิด...เฮ้อออ....ยิ่งคิดยิ่งเครียด

“หมอบอกว่าส้มท้องจริงๆ” อ้นเสียงเศร้าสลด
“ก็บอกแล้ว...ยังไม่เชื่อ...ทำไมกลัวส้มจะไปเอากับคนอื่นแล้วมาโมเมให้อ้นเป็นพ่อมันรึไง” ส้มคิดไปไกล อ้นไม่เคยคิดประเด็นนี้เลย...
“เปล่า...อย่าคิดมากสิ...ที่พามาก็อยากจะรู้ว่าต้องดูแลกันยังไงเท่านั้นเอง...” อ้นพูดเสียงเครือๆ เขาแปลกใจในมุมมองที่กร้านโลกของส้ม
“แล้วจะเอายังไง...ส้มไม่อยากจะเอาไว้หรอกนะ” ส้มพูดหน้าตาเฉย...
“อ้นไม่อยากจะให้ส้มทำอย่างนั้นเลย” อ้นพูดพลางนึกถึงคำแนะนำของเจ้าหน้าที่หน้าห้องตรวจ เรื่อง”สถานที่ที่คุณก็รู้ว่าคืออะไร”ตามเบอร์โทรศัพท์ที่ได้มา...มันยังอุ่นอยู่ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ต
“อ้นจะคุยกับพ่อแม่ก่อน...” อ้นพูดไปอย่างนั้นแหละ...แต่ใจน่ะอยากคุยกับเพื่อนๆอีกครั้ง
“เดี๋ยวอ้นไปส่งที่บ้านก่อนนะ...มีอะไรคืบหน้าจะโทรมาหา” อ้นบอกก่อนที่จะออกรถเพื่อไปส่งส้มที่บ้าน


          เด็กหนุ่มขับรถคันหรูไปที่มหาวิทยาลัยเพื่อรับทีมกับแคน โดยได้นัดกับปรีย์ไว้ที่สยาม เด็กหนุ่มทั้งสามนั่งกันมาเงียบๆในรถบรรยากาศชวนหดหู่...

“จะเอายังไงต่อไปดีวะ...” แคนถามเพื่อน
“ไม่รู้สิ...”  อ้นเหม่อลอย มองไปข้างหน้า เด็กตัวเล็กๆเดินขายพวงมาลัยอยู่ข้างถนน อ้นทอดสายตามองตาไป...    “เด็กที่เกิดมา...จะเป็นยังไงบ้างหนอ...จะมีอะไรมารองรับอนาคตของเด็กน้อยที่กำลังจะเกิดมา...หรือถ้ามันแย่เอามากๆลูกเขาจะต้องมาขายพวงมาลัยอย่างนี้รึเปล่า”  อ้นถอนหายใจอย่างหนัก สายตาเหม่อลอยไปเรื่อยๆจนรถคันหลังบีบแตรไล่....
“ปี๊น...ปี๊น....” อ้นสะดุ้ง
“ไอ้อ้น...เป็นอะไรวะ....” ทีมเรียกอ้นเพื่อดึงสติสัมปชัญญะของเพื่อนกลับมา
“เอ่อ...ปะ...เปล่า...เปล่า...” อ้นกดคันเร่งเคลื่อนรถผ่านสี่แยกไฟแดงก่อนที่จะเลี้ยวซ้ายเข้าสยาม
“ไงไอ้ปรีย์...” แคนทักเพื่อนที่นั่งคอยอยู่ที่ร้านอาหาร
“เอาผลมาดูสิ...” ปรีย์ถาม...อ้นส่งกระดาษใบนั้นให้ปรีย์ดู

“อยู่ที่มึงแล้วล่ะ...ว่าจะตัดสินใจยังไง” ปรีย์พูดพลางมองหน้าเพื่อน
“..........” เกิดสุญญากาศอยู่สักพัก...ก่อนที่อ้นจะเปิดปากพูดบางสิ่งออกมา

“กูจะรับผิดชอบทั้งหมด...กูจะคุยกับพ่อแม่ก่อน...แล้วจะไปคุยกับส้ม” อ้นพูดแล้วออกอาการเหม่อลอย
“ดี...มีอะไรก็โทรคุยกัน...พวกกูเป็นกำลังใจให้นะ...มึงอย่าท้อแท้ซะก่อนนะ...” ปรีย์จับมืออ้นแน่น สัมผัสที่ลึกซึ้งถ่ายทอดสู่กันและกัน...แม้ไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากปากแต่มัน ก็เปี่ยมล้นด้วยมิตรภาพ...และความเข้าใจ

“ถ้าโลกนี้ไม่มี”เพื่อน”อ้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า...เรื่องราวที่ทุกข์ใจแสนสาหัสมันจะผ่อนคลายลงได้ อย่างไร...ลำพังเขาเองไม่สามารถที่จะตั้งสติได้ทันแน่ๆ...ถ้าไม่มีเพื่อนๆ คอยพยุง...ไม่ให้ล้ม”

          หลังจากแยกย้ายกับเพื่อนแล้ว อ้นขับรถกลับไปรับเต้ที่ทำงาน เขาเครียดเอามากๆ...เครียดเรื่องที่ส้มท้อง...เรื่องที่เขาตัดสินใจเอาเด็กไว้...เรื่องที่จะต้องกลับไปดูแลส้มและลูก...และที่หนักใจมากที่สุดสำหรับเด็กหนุ่มวัยไม่ถึงยี่สิบอย่างอ้น...เขาจะแยกทางกับเต้ได้อย่างไร...อ้นเคยถามตัวเองมาตลอดตั้งแต่คบกับเต้ว่า “เขารักเต้รึ เปล่า...หรือว่าเขาติดหรู...ติดสบาย...เขามีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย...มีรถเก๋งแพงๆขับ มีโทรศัพท์ใช้ มีเสื้อผ้าสวยๆและดูดี...ถ้าวันนึงต้องขาดสิ่งเหล่านั้นไป...อ้นจะอยู่ได้ มั้ย...แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ...อ้นจะบอกกับเต้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยังไง” อ้นเลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าบริษัท ก่อนจะเดินลงจากรถแล้วก้าวเข้าห้องกรรมการผู้จัดการไปโดยไม่เคาะประตู

“มาแล้วหรือครับอ้น...วันนี้ไปไหนมาบ้าง” เต้ยิ้มและทักทายเมื่อเห็นเด็กหนุ่มเดินเข้ามา
“ไปมหาลัยมาครับแล้วก็ไปนั่งคุยกับเพื่อน...” อ้นไม่เฉไฉ เด็กหนุ่มพูดความจริงเสมอ
“เหรอ...ได้อะไรมาบ้างหล่ะ...” เต้ถามยิ้มๆ
“เปล่าหรอกครับพี่...แค่ไปนั่งกินข้าวกันมา...” อ้นตอบพลางนั่งลงข้างๆชายหนุ่ม อ้นโอบแขนกอดเอาไว้ สัมผัสอันอบอุ่นที่เด็กหนุ่มมอบให้นั้นมันทำให้เต้มีความสุขจริงๆ เต้นั่งทำงาน...คุยกับลูกค้าทั้งวันมันก็เหนื่อยแสนสาหัส...แค่เด็กหนุ่มอิงแอบและเคียงข้าง...เท่านี้ก็ทำให้เต้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแล้ว

“เหนื่อยมั้ยครับพี่...”  อ้นกระซิบถามข้างหู เต้ขนลุก...มันวาบหวิวอย่างประหลาด จมูกโด่งๆของอ้นสัมผัสกับใบหูของเขาอย่างจงใจ
“เหนื่อยครับ...แต่แค่อ้นถามพี่ก็หายเหนื่อยแล้ว...” เต้ยิ้ม
“เอาน้ำส้มสักแก้วมั้ยครับ...” อ้นใจหายวาบเมื่อเอ่ยถึง“ส้ม” เขาน่าจะเลี่ยงไปใช้คำว่า“น้ำผลไม้”แทน
“ก็ดีครับ...” เต้บอกพลางจับมือแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มเอาไว้
“เดี๋ยวผมไปเอามาให้นะครับ” อ้นลุกจากที่วางแขนแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นด้านนอก ก่อนจะเทน้ำองุ่นมาให้ชายหนุ่ม
“นี่ครับพี่...” อ้นยื่นน้ำผลไม้ให้ตรงหน้า

“พี่เต้ครับ...ผมมีเรื่องจะปรึกษาพี่หน่อยน่ะครับ...” อ้นเริ่มเกริ่นนำออกมา
“อะไรครับอ้น...ไปคุยกันที่บ้านดีมั้ย...พี่เสร็จงานแล้ว...กลับไปคุยกันที่บ้านเถอะนะ...” เต้หันไปคว้าเป้มาใส่โน๊ตบุ๊ค
“ก็ได้ครับพี่...” อ้นเดินนำออกมาจากห้องทำงานอย่างว่าง่าย

          บนถนนที่การจราจรติดขัด มันอึดอัดและเนิ่นนานสำหรับความรู้สึกของเด็กหนุ่ม “เมื่อไหร่จะถึงบ้านซักทีนะ”อ้นคิดในใจเหม่อลอยจนเต้ผิดสังเกต

“เป็นอะไรรึเปล่าอ้น...” เต้วางมือลงบนมือเด็กหนุ่ม
“ปะ...เปล่าครับ...” อ้นตอบตะกุกตะกัก
“หาอะไรทานก่อนดีมั้ยครับ...” เต้หิวมาก ตั้งแต่ตอนสายๆเต้ยังไม่มีเวลาทานอะไรเลย
“หิวเหรอครับพี่...ไปสิครับ...พี่จะทานอะไรครับ” อ้นออกจากโลกของความฟุ้งซ่านหันมาดูแลคนที่อยู่ข้างกาย
“ไปอินเลิฟก็แล้วกัน” อ้นเลี้ยวขวาตรงทางแยกข้างหน้าทันที

          สองหนุ่มนั่งทานอาหารกันที่ร้านอินเลิฟริมแม่น้ำเจ้าพระยา บรรยากาศเงียบๆแสงสว่างอ่อนละมุนละไมจากแสงจันทร์วันคืนเดือนเพ็ญ และบทเพลงอันไพเราะจากโฟล์คซองขับกล่อม

“พี่เต้ผมขอเบียร์นะครับ...” ปกติอ้นไม่เคยขอแบบนี้
“จะดื่มเบียร์เหรอครับ...” เต้ถามเพราะไม่แน่ใจก่อนจะกวักมือเรียกพนักงาน

          คืนนั้นกว่าจะออกจากร้านได้ก็ดึกเอาการเพราะอ้นเริ่มจะลื่นไหลไปกับรสชาติและดีกรีที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เต้เองก็มีความสุขมากๆ สองหนุ่มเกือบเมาแต่ก็พากันกลับมาบ้านได้อย่างปลอดภัย...“ไม่เมาไม่กลับ”ตามโครงการของ“สสส.”(ส่งเสริมสุขภาพผู้ดื่มสุรา...อิอิ)

“พี่เต้ครับ...” อ้นกอดร่างบางนั้นไว้ในอ้อมแขนแข็งแรง
“ครับอ้น...” เต้กอดและหอมแก้มเด็กหนุ่ม พลางเอามือจับเส้นผมที่ปรกหน้าผากใสๆ...
“พี่รักอ้นนะครับ” เต้บรรจงจูบปากบางสวยของอ้นไว้ กลิ่นรสของเบียร์ยังกรุ่นอยู่ เรียวลิ้นกระหวัดรัดเกี่ยวกันไว้ ความหอมหวานของริมฝีปากของเด็กหนุ่มทำเอาร่างบางๆของเต้สั่นสะท้าน เสื้อผ้าอาภรณ์ถูกถอดและเหวี่ยงไปทุกทิศทุกทาง สองร่างขาวเปลือยกอดก่ายกันบนเตียง แสงไฟบนเพดานขับผิวของทั้งสองให้ขาวโพลน ผมกระเซิงไม่เป็นทรงของอ้นแม้จะดูรุ่มร่ามแต่ก็เซ็กซี่ยามไร้ซึ่งสิ่งใดๆปกปิดเรือนกาย แก่นกายขนาดยาวแต่ไม่เกินกว่าที่ริมฝีปากของชายหนุ่มจะรับไหว บั้นเอวของเด็กหนุ่มกระทั้นเยือกขึ้นลงตามจังหวะของเสียงสวรรค์...อ้า ...อ้น...

“ขอบคุณครับพี่เต้” อ้นพูดพลางซบลงหอบกับซอกแขนของชายหนุ่ม
“ดีมั้ยครับอ้น...พี่รักอ้นที่สุดเลย...ชีวิตนี้พี่คงขาดอ้นไม่ได้แน่...” เต้พร่ำพรรณนาถึงความรู้สึกประดามี
“ผมก็รักพี่...” อ้นพูด...ใจจริงแล้วเขาเองไม่อยากจะฟังสิ่งที่เต้พูดสักเท่าไหร่ เพราะยิ่งฟังมันก็ยิ่งเจ็บ...เจ็บที่จะต้องสารภาพอะไรบางอย่าง

“พี่เต้ครับ...ผมมีเรื่องจะปรึกษา...” อ้นพูดประโยคนี้อีกครั้ง

“อืม...เรื่องอะไรครับ...” เต้จับหน้าของอ้นมาใกล้ๆ

“พี่เต้...ผม-ทำ-ส้ม-ท้อง”  อ้นพูดช้าๆชัดๆ มันทำเอาชายหนุ่มถึงกับอ้าปากค้าง....


namtaan

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59=
«ตอบ #661 เมื่อ14-10-2009 04:53:16 »

ตกลงอ้นรักเต้หรือเปล่า
แล้วส้มล่ะ อ้นเลือกลูกแล้วรักส้มมั้ย
ดูจากกิริยาวาจาของส้มแล้ว ชักไม่มั่นใจว่าเธอจะคบอ้นคนเดียว
สงสารเต้จริงๆ
ขอบคุณมากนะคะๆ รอลุ้นต่อค่ะ

patz

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59=
«ตอบ #662 เมื่อ14-10-2009 05:46:04 »

สงสารเต้อะ คงช็อคมากๆเลย

อ้นเอง ก็คงไม่อยากทำบาปด้วยแหละ เลยอยากเก็บลูกไว้

ออฟไลน์ •ผั๑`|nกุ้va’ด•

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-69
Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59=
«ตอบ #663 เมื่อ14-10-2009 10:35:29 »

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก~~~

เรื่องนี้จะทำให้คุณยิ้มทั้งน้ำตา   มีความสุขได้ไม่เกิน 3 ตอน คนแต่งก็ใจร้ายเอาความเครียดกับความเศร้ามาเยือน

ฮืออออออออออออออออออออออออออออออออออออ :sad11:

mango

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59=
«ตอบ #664 เมื่อ14-10-2009 12:49:25 »

Thank you,
waiting for next chapter.
pleaseeeeeee :call:

ออฟไลน์ kungyung

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1755
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59=
«ตอบ #665 เมื่อ14-10-2009 13:23:18 »

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก
เริ่มเข้าสู่โหมดเคลียด

DexTunG

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59=
«ตอบ #666 เมื่อ14-10-2009 14:31:02 »

จะมีเรื่องดี ดี สำหรับ อ้น และ เต้ หรือเปล่านะ




ดูแล้วช่วงนี้ออกจะเครียดกันมากเลน




 :z2:     :z2:   :z2:

ออฟไลน์ viky_mama

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 504
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59=
«ตอบ #667 เมื่อ14-10-2009 17:30:08 »

ยิ่งอ่านก็ยิ่งชอบอ้นนะ ลูกผู้ชายตัวจริงมากๆ กล้าทำกล้ารับ

สู้ๆ นะทั้งสองคน

องค์หญิงกำชัย

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59=
«ตอบ #668 เมื่อ15-10-2009 05:07:35 »

59.1 คำขอโทษ

“จริงเหรออ้น” เต้ถามซ้ำ...ไม่ใช่ไม่เชื่อที่อ้นพูด แต่ปากมันพาไป...มันพูดไปตามสัญชาตญาณ ใจสั่นหวิว...น้ำตาร่วงหล่นออกมาทางหางตา
“พี่เต้...ผมขอโทษ...ผมขอโทษ...พี่เต้...ผมผิดไปแล้ว...”  อ้นกอดร่างบางนั้นไว้แน่นแล้วพร่ำพรรณนาคำขอโทษออกมา...
“อ้น...ทำไม...ทำไมถึงท้อง...อ้น...ทำไมมันถึงต้องเป็นแบบนี้...ฮือ...ฮือ...”  เต้ร้องไห้แล้วซบหน้าลงกับแผงอกเปล่าเปลือยของเด็กหนุ่ม
“ผมไม่รู้...ผมไม่รู้ครับพี่...”  อ้นร้องไห้กอดเต้เอาไว้แน่น
“เค้าท้องกี่เดือนแล้ว...หา...อ้น...บอกพี่ซิ...”  เต้ถามพลางร้องไห้พลาง มันเจ็บปวดรวดร้าว มันระบมไปหมดทั้งหัวใจ
“สองเดือนแล้วครับ...”  อ้นตอบแล้วหลบสายตาของเต้ที่จ้องเขม็งมา
“เอาเด็กออกได้มั้ย...” เต้ถาม...แต่ใจก็คิดอยู่ว่า...อ้นคงจะไม่ต้องการแบบนั้น...
“ผม...ผม...เอ่อ...” อ้นอึกอัก
“จะต้องใช้เงินเท่าไหร่...อ้นบอกพี่...ใช้เงินกี่หมื่น...พี่จ่ายให้...” เต้ละล่ำละลัก พยายามจะหาทางออกให้กับแฟนหนุ่ม อ้นเอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าสบสายตาด้วยเลย
“ผมไม่กล้าให้เค้าเอาเด็กออก...ผมกลัว...” อ้นบอกความจริงในใจ ทำเอาเต้ร้องไห้โฮออกมาอีกรอบ...เพราะถ้าอ้นจะเอาเด็กออก...เขากับเด็กหนุ่มก็จะได้อยู่ด้วยกัน สร้างฝันร่วมกันได้ดังเดิม แต่ถ้าอ้นไม่ยอมเอาเด็กออกแล้ว...ทุกสิ่งทุกอย่างที่ร่วมคิด...ร่วมฝัน ...ต้องพังทลายลงในพริบตา...
“หมายความว่า...อ้นจะ...” เต้พูดได้แค่นั้น
“ครับพี่...ผมจะรับผิดชอบทั้งหมด...” อ้นพูดหนักแน่น...อ้นยืนยันคำเดิมแม้จนวินาทีนี้...วินาทีที่จะทำให้หัวใจของเต้...แหลกสลายลงตรงหน้า
“พี่เต้ครับ...ผมรักพี่นะครับ...แต่ผมคงจะร่วมฝัน...ร่วมสุขกับพี่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว...ผมเสียใจ...เสียใจมาก...ที่ทำให้พี่เสียใจ” อ้นจับมือเต้ไว้แน่น
“พี่เข้าใจนะอ้น...ฮือ...ฮือ...ฮือ” เต้ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง อ้นดึงชายหนุ่มเข้ามากอดไว้แน่น สัมผัสรักครั้งสุดท้ายจากอ้อมกอดของคนรักนี่...ไม่รู้ว่ามันทรมานหรือมีความสุขกันแน่...นาทีนั้น...อ้นและเต้ไม่รู้เลย

................................................

          อ้น กลับมาถึงบ้านในวันรุ่งขึ้น เด็กหนุ่มนอนซึมอยู่ในห้องนอนทั้งวัน...ข้าวปลาไม่ได้กิน...จนเย็นย่ำ...พ่อแม่ถึงได้กลับมา พ่อและแม่ของอ้นเป็นข้าราชการครู ฐานะปานกลางและไม่ได้ร่ำรวยอะไร...อ้นเดินหมดเรี่ยวแรงลงมาหาพ่อแม่ข้างล่าง ...ทาวน์เฮาส์สามชั้นที่ยังผ่อนธนาคารอยู่คือที่ซุกหัวนอนของครอบครัว...อ้นรู้สึกไม่อบอุ่นเท่าไหร่นัก...แม้เขาจะเรียนพอใช้ได้แต่ก็ยังไม่เก่งเหมือนกับพี่สาว...หลายครั้งที่ถูกเปรียบเปรย...และกระทบกระเทียบ...เด็กหนุ่มเบื่อที่จะคิด...คิดไปก็ไม่มีประโยชน์...เลิกคิดแล้วออกเที่ยวเตร่กับเพื่อน ที่มหาวิทยาลัยดีกว่า...แต่วันนี้อ้นกำลังเดินคอตกลงมาข้างล่าง...มันเหมือนกับผู้ต้องหาที่กำลังจะถูกศาลสูงพิพากษา...ความผิดอาญาร้ายแรง...

..................................................

“...เพี้ยะ...” เสียงฝ่ามืออันแข็งแกร่งกระทบหน้าใสๆบางๆของเด็กหนุ่ม มันเรียกเลือดสดๆให้ไหลออกมาทางมุมปากทันที
“คุณ...หยุดนะ...”  เสียงแม่ห้าม...แต่ไม่เป็นผล...ความเจ็บและชามันกำลังทำให้ปากหนัก...ใบหน้าก้มลง ต่ำ...น้อมรับ...ทุกสิ่งที่กระทำ...น้ำตาของลูกผู้ชายไหลออกมาเต็มสองแก้ม ...มือบางๆของแม่เชยคางขึ้น...สิ่งแรกที่อ้นมองเห็นคือ...หยาดน้ำตาของแม่ ...หยาดน้ำตาแห่งความรักและอาทร...
“เป็นไงบ้างลูก...เจ็บมั้ย...” แม่ถามพลางดึงเอาอ้นเข้ามากอดไว้...เสียงหัวใจของแม่ดังตึกตัก...ราวกับเสียงปี่กลองที่โหมประโคมตี...
“ไม่ครับแม่...มันน้อยไปด้วยซ้ำ...” อ้นเสียงเครือ...รสเค็มปร่าของเลือดที่มันไหลลงคอกลิ่นคาวติดจมูก...ริมฝีปากด้านในแตกปริ...อ้นเอาลิ้นดุนๆ...เลือดยิ่งออกมาอีก...
“อ้น...พ่อโมโหน่ะลูก...พ่อโมโหมาก...ลูกอย่าโกรธพ่อนะ...” แม่ออกรับแทนพ่ออีกแล้ว...ตั้งแต่จำความได้...อ้นไม่เคยเห็นพ่อจะต้องรับผิดเลยสักครั้ง
“ครับ...อ้นไม่โกรธ...อ้นผิดเองครับแม่..อ้นผิดเอง...อ้นขอโทษ” อ้นกัดริมฝีปากตัวเองแน่น...ความคับอกคับใจต่อพ่อ...ยังมีอยู่อย่างเสมอต้นเสมอปลาย...

“แม่...ไอ้อ้นมันไปทำอะไร...มันไปทำใครท้อง...” เสียงแว้ดๆของพี่สาวมาก่อนตัว
“แกน่ะเงียบๆเถอะ...” แม่สวนกลับ
“ดูสิ...มันไปทำระยำขนาดนี้แล้วแม่ก็ยังไปให้ท้ายมันอีก...บ้านช่องไม่เคยอยู่ ...หนูทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด...แทนที่จะช่วยกันดูแลบ้านบ้างไม่มีละ ...เอาแต่ตะลอนๆไปทั่ว...นี่เมียมันท้องอีก...จะเอาปัญญาที่ไหนมาเลี้ยงลูก...” พี่สาวที่คลานตามกันมายังไม่เข้าข้าง...ไม่ถามสักคำ...เอาแต่บ่นด่าและพล่ามไปเรื่อย...
“..............” อ้นเงยหน้าส่งสายตาแข็งกร้าว...มองไปที่พี่สาวที่กำลังกดรีโมทเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปเรื่อยๆ...แต่ปากไม่หยุดพูด
“แม่ครับ...ช่วยอ้นด้วย...” อ้นกอดแม่แล้วร้องไห้ หัวใจที่แข็งแกร่งดั่งหินผาในวันนั้น...แต่ในอ้อมกอดของแม่...มันอ่อนไหว ..สะท้านเยือก...มันเหน็บหนาวราวกับอยู่บนก้อนน้ำแข็งเลยทีเดียว
“อ้นจะเอายังไงลูก...” แม่ถามถึงทางออก...มีแม่คนเดียวที่เชื่อว่าอ้นเป็นคนที่รับผิดชอบ และสิ่งที่แม่คิดไว้ก็ไม่ผิด
“ผมจะเอาเด็กไว้ครับ...แต่ส้มจะเอาเด็กออก...อย่าให้ส้มเอาออกนะแม่” อ้นร้องไห้...ตอนนี้เด็กหนุ่มไม่เหลือใครอีกแล้วที่จะเป็นที่พึ่งได้...นอกจาก“แม่”คนเดียวเท่านั้น
“อ้นคุยกับส้มรึยังล่ะลูก...” แม่พูดพลางลูกหัวลูกชายด้วยความรักและเห็นใจ
“คุยแล้ว...แต่ส้มไม่ยอม...” อ้นพูดเบาๆเหมือนจะรู้ชะตากรรมของลูก...ในท้องส้ม
“..............” เสียงแม่ถอนหายใจ...
“ถ้าส้มไม่ยอม...อ้นจะทำยังไงล่ะลูก...” แม่ถามทำเอาอ้นน้ำตาไหลออกมาอีก
“ไม่รู้เหมือนกันครับแม่...” เสียงแผ่วๆ...ราวกับคนที่หมดความหวัง
“กินข้าวกินปลาก่อนเถอะลูก....แม่ซื้อไข่พะโล้มาให้อ้นด้วยนะลูก...กินอะไรบ้างรึยังลูก...ไหนดูซิ” แม่ลุกขึ้นยืนพลางดึงเอาร่างเด็กหนุ่มขึ้นมา ร่างกายที่ผ่ายผอมซีดเซียว แววตาที่หมดอาลัยตายอยาก
“ไปกินข้าวกันดีกว่าลูก...เดี๋ยวเราค่อยๆคิดค่อยๆอ่าน” แม่เดินโอบเอวลูกชายเข้าไปในครัว สองคนแม่ลูกช่วยกันแกะกับข้าวถุงใส่ชาม
“พ่อล่ะครับ...” อ้นถาม
“เดี๋ยวแม่ขึ้นไปเรียก” แม่เดินขึ้นไปสักพักแล้วกลับลงมา

“เรากินกันก่อนเถอะลูก...พ่อเค้ายังไม่กิน...” อ้นกับแม่ลงนั่งกินข้าวอย่างฝืดคอเต็มทน
................................................

          เด็กหนุ่มยืนอยู่กลางแดดจ้าหน้าบ้านของส้ม อ้นกดกริ่งเรียกสักพักส้มจึงออกมาเปิดประตู แต่ก็ไม่ให้อ้นเดินเข้าไปในบ้าน

“มาทำไม...” ส้มหงุดหงิดอีกแล้ว
“ส้ม...อ้นอยากจะให้ส้มเอาเด็กไว้...” อ้นเสียงอ่อย...มันแผ่วเบาราวกับอยู่ไกลแสนไกล
“อ้นจะเอาอะไรมาเลี้ยงมัน...อย่าบอกนะว่าจะขี่มอไซค์รับจ้าง...” ส้มแหวขึ้นมาอีก
“เอ่อ...คือ...อ้นจะหางานพิเศษทำ...” อ้นคิดไว้หลายอย่าง...เมื่อคืนนี้นอนคิดทั้งคืน...จะหาเงินยังไงดีเขาอาจจะรับ สอนพิเศษคณิตศาสตร์หรือฟิสิกส์ที่เขาถนัด เดือนๆก็น่าจะได้หลายเงินอยู่
“เป็นเด็กเสิร์ฟ...หรือจะเป็นผัวกะเทย...” ส้มตอกกลับอย่างดูถูก
“ส้ม...มันบาปกรรมนะ...” อ้นพยายามชี้ให้เห็นถึงบาปบุญคุณโทษเผื่อเป็นอีกทางที่ทำให้ส้มสำนึกได้
“อนาคตของส้ม...ไม่ได้อยู่แค่นี้นะ...ถ้าพ่อแม่รู้จะทำยังไง...อ้นจะโดนยิงกบาลรึ เปล่า...ส้มยังไม่รู้เลย...ไม่รู้ละ...ส้มจะไปเอาเด็กออก...” ส้มพูดเหมือนตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
“ส้ม...อย่าเลยนะ...อ้นขอร้องละ...” อ้นน้ำตาไหลอาบแก้ม
“อย่ามาห้ามเลย...พรุ่งนี้อ้นมารับด้วยแล้วกัน...ส้มจะให้แก้วมันไปด้วย...มันรู้ที่” ส้มพูดก่อนจะปิดประตูเหล็กใส่หน้า อ้นคอตก...ทรุดลงนั่งกับพื้นปูนที่ร้อนแล้ง...กระไอแดดสะท้อนเข้าใบหน้า ...หมวกแก๊ปที่สวมอยู่ไม่ได้กันอะไรได้เท่าไหร่เลย...ความร้อนของแดดยังคง แผดเผาร่างผอมและล้าอ่อนแรงนั้น เด็กหนุ่มหมดแรงเดินจึงเข้าไปนั่งในร้านขายน้ำใกล้ป้ายรถเมล์

“ปรีย์มึงอยู่ไหนวะ...มารับกูหน่อยสิ” อ้นส่งเสียงแผ่วๆไปตามสาย ปรีย์รับปากแล้วว่าจะรีบมารับ

          ราวๆ ครึ่งชั่วโมงปรีย์ก็ขับรถมารับ เด็กหนุ่มออกไปจากตรงนั้น ขึ้นรถได้อ้นก็ปล่อยโฮ...ออกมาอย่างไม่อายใครเลย...ที่นี่มีเพื่อนคอยปลอบใจ ...อีกครั้งที่ปรีย์ต้องทำหน้าที่

“ร้องไปเลย...ร้องมันออกมาให้หมด...ระบายมันออกมาเพื่อน” ปรีย์ลูบหลังลูบไหล่เพื่อนรักด้วยความรักและห่วงใย

“อยากไปไหนรึเปล่า” ปรีย์ถาม
“ไม่รู้สิ...กูไม่รู้...จะไปไหนก็ไปเถอะ” อ้นพูดพลางหันหน้าออกด้านข้าง เหม่อมองสรรพสิ่งที่แล่นผ่านไป ดวงตาเด็กหนุ่มแดงช้ำ น้ำตาเริ่มไหลออกมาเป็นทาง ปรีย์พาอ้นขับรถไปหาเพื่อนอีกสองคนคือแคนกับทีม ทั้งสามหนุ่มช่วยกันคุยเพื่อปลอบใจเพื่อนรักของเขา จนกระทั่งตอนเย็นอ้นจึงให้ปรีย์ขับรถไปส่งที่บ้านเต้...ความห่วงหาและความรักที่ก่อเกิดขึ้นในใจทำให้อ้นอดคิดถึงเต้ไม่ได้...

“ปี๊ด...ปี๊ด...ปี๊ด...ปี๊ด...” เสียงสัญญาณที่ไม่มีคนรับสายทำเอาอ้นเริ่มกังวลเล็กน้อย
“เป็นไรวะมึง...ดูกังวลใจยังไงไม่รู้” ปรีย์ถาม
“เอ่อ...เอ่อ...” อ้นไม่รู้จะบอกเพื่อนยังไงถึงความกังวลใจที่เกิดขึ้น
“มึงบอกกูมาเถอะ...มึงมีใครใหม่แล้วหรือไง...แล้วทำไมต้องปิดพวกกูด้วย” แคนถาม
“เจ้าของคัมรี่ที่มึงขับมาน่ะเหรอ” ทีมยิงคำถามเข้าแสกหน้าอ้นอย่างจัง
“เอ่อ...กูโทรหาพี่เค้าไม่ติดว่ะ” อ้นอ้ำอึ้งตอบไม่ตรงคำถาม
“กูเห็นแล้วว่ามึงโทรไม่ติด...กูเลยถามมึงว่า“ใคร”ที่มึงโทรหา”  ปรีย์ชี้แจงและขยายความให้ชัดเจน

“พี่เค้าชื่อ“เต้”...กูกับพี่เค้ารักกัน”  อ้นตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ชื่อเต้ก็ผู้ชายน่ะสิ...”  ทีมถาม

“ไอ้อ้น...มึงเป็นเกย์”   ปรีย์อุทานออกมาอย่างไม่เชื่อหู...


namtaan

  • บุคคลทั่วไป
ครอบครัวอ้นก็ไม่ได้อบอุ่นเอาเสียเลย
ยังดีที่แม่ยังเข้าใจ
ตอนนี้อ้นก็ห่วงสองทาง เรื่องส้มจะเอาลูกออก
แล้วยังจะห่วงเต้อีก เกิดอะไรขึ้นหละเนี่ย
บวก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณมากค่ะ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.1=
« ตอบ #669 เมื่อ: 15-10-2009 05:15:19 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






patz

  • บุคคลทั่วไป
หนักใจแทนอ้นจริงๆครับ อ่านแล้วบางทีทำให้รู้สึกไปเองอะว่า "เป็นคนดีนี่มันเหนื่อยเนาะ"

ออฟไลน์ viky_mama

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 504
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
เฮ้อเศร้า หวังว่าเพื่อนๆ คงไม่รังเกียจอ้นเพราะเป็นเกย์อีกหรอกนะ แล้วทำไมเต้ไม่รับโทรศัพท์ละ เครียดๆๆ

mango

  • บุคคลทั่วไป
worry, worry   :monkeysad:

Thank you, please continue soon na ka.  :L1:

ออฟไลน์ •ผั๑`|nกุ้va’ด•

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-69
 :sad4: โอ๊ยย~~~~ เครียดดดด.....  ลงตับ

เฮ้อออ............ 

 :L2: รีบมาต่อเร็วๆนะคะ 

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
น่าเป็นห่วงจริงๆเลย

เครียดแทนอ้น

ออฟไลน์ kikipanda

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
อ๊ากกกกก อ่านถึงตอนนี้แล้วอึดอัด ขับข้องมากกกกก

เรื่องอ้น-เต้-ส้ม มันไปทางไหนเนียะ :serius2:


DexTunG

  • บุคคลทั่วไป
จะเป็นกำลังใจให้อ้นนะ








 :z2:     :z2:     :z2:

ออฟไลน์ 0nePiece

  • ++..ชีวิตไร้รัก..++
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
 :monkeysad:สงสารเต้

รักอ้น

แต่....
 

เกลียดส้ม   :a5:

ออฟไลน์ kungyung

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1755
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
 :เฮ้อ:ปวดกะบาลแทนอ้นจัง

องค์หญิงกำชัย

  • บุคคลทั่วไป
59.2 รอยยิ้ม

          ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ชายหนุ่มสองคนเข็นรถเข็นสัมภาระผ่านออกมาทางช่องทางของผู้โดยสารที่เดินทางมาจากเมลเบิร์น ธีร์มองหาลุงชดที่มารับแล้วเดินเข้าไปหาทันทีที่พบ สองหนุ่มเดินทางกลับมาบ้านที่เพลินจิต หลังจากที่เข้าห้องใครห้องมันและจัดการกับสัมภาระทั้งหมดแล้ว หนุ่ยเดินเข้าไปหาธีร์ในห้อง

“เหนื่อยมั้ยครับพี่” หนุ่ยกอดเอวแล้วนอนซบกับหน้าท้องเนียนขาว
“ง่วงจังเลย...”  ธีร์บ่นเบาๆแล้วหลับตาลง หนุ่ยนอนหนุนหน้าท้องอยู่อย่างนั้นจนหลับไปด้วยกัน แสงแดดยามบ่ายที่ส่องเข้ามาแยงตาทำให้หนุ่ยลืมตาขึ้นมาสู้แสงจ้า แอร์เย็นเฉียบทำเอาหนาวจนขนลุก หนุ่ยดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างบอบบางเอาไว้แล้วขยับให้หัวของธีร์หนุนแขนแกร่งของเขา

“หนุ่ย....ตื่นแล้วเหรอ...”  ธีร์ครางเบาๆ ตาปรือ
“แสงแดดมันเข้าตาครับ...พี่ธีร์หิวรึยัง”  หนุ่ยถามพลางกดจมูกลงที่แก้มใสๆของคนรัก
“อืม...หิวเหมือนกัน...อยากกินแกงส้มจังเลย...” ธีร์พูดขณะที่ตายังหลับ
“ใจเดียวกันเลย...อยากกินกับเนื้อเค็ม” หนุ่ยพูดพลางขยับตัวจะลุกออกจากเตียงแต่ธีร์คว้าเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวก็ได้...นอนก่อนเถอะ....” ธีร์รั้งเอวเด็กหนุ่มไว้
“งั้นผมโทรไปบอกป้าจิตแล้วกัน” หนุ่ยเลือกที่จะไม่ขัดใจคนรัก หนุ่ยกดโทรศัพท์บอกกับป้าจิต
“ดีครับ...” ธีร์กอดเด็กหนุ่มไว้ในอ้อมแขน
“พี่ธีร์ไปทำงานเมื่อไหร่ครับ...”
“มะรืนนี้...” ธีร์ยิ้มสวย แสงสว่างนวลจากผ้าม่านขับผิวให้ขาวขึ้น
“หนุ่ย พี่มีอะไรจะให้...” ธีร์ลุกลงจากเตียงออกไปหยิบซองสีน้ำตาลมาจากตู้เอกสารข้างโต๊ะเขียนหนังสือ
“อะไรน่ะพี่...” หนุ่ยลุกขึ้นมานั่งมองด้วยความสนใจ ธีร์มีอะไรมาเซอร์ไพรส์เขาอีก
“ก็ที่หนุ่ยเคยขอพี่ไว้ไงครับ...” ธีร์เดินลงมานั่งข้างๆแล้วหยิบเอกสารออกมาจากซอง มันเป็นหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ในคอนโดที่ถนนพระราม 3
“พี่โอนสิทธิ์ให้หนุ่ยแล้วนะ...ต่อไปนี้คอนโดนี้เป็นของหนุ่ยแล้ว”ธีร์ยิ้มอย่างใจดี
“พี่ธีร์...ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้ครับ...ผมแค่พูดเล่นๆ” หนุ่ยตกใจกับสิ่งที่ธีร์ทำให้
“ไม่ได้หรอกหนุ่ย...พี่อยากให้หนุ่ยนะ...อยากให้คนที่พี่“รัก”...หนุ่ยจะไปอยู่ที่คอนโดหรือหนุ่ยจะอยู่ที่นี่ต่อไปก็ได้”  ธีร์พูดแล้วยิ้มกว้าง เขาภูมิใจในสิ่งที่ได้ตัดสินใจมอบอะไรบางอย่างที่มันมีความหมายกับชีวิตให้กับคนที่รักที่สุด ณ เวลานี้
“พี่ธีร์...ขอบคุณครับ...พี่ดีกับผมเหลือเกิน...” หนุ่ยกระพุ่มมือไหว้ขอบคุณแล้วกราบลงที่อก ธีร์กอดรับแทนการรับไหว้
“พี่ดีใจที่ได้ให้อะไรกับหนุ่ย...คอนโดฯนี้มันมีความหมายกับพี่มากจริงๆ...แต่ที่พี่ให้หนุ่ยเพราะหนุ่ยเป็นคนที่มีความหมายกับพี่...เป็นคนที่พี่รัก ...เพราะฉะนั้นไม่มากไปเลยที่พี่จะให้อะไรเล็กน้อยกับคนที่พี่รัก”  ธีร์พูดแล้วน้ำตาไหลปริ่มออกมาทางหางตา มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจแต่มันเป็นน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มใจมากกว่า

“ผมรักพี่...” หนุ่ยไม่รู้จะพูดอะไรมากไปกว่านี้เพราะเขาตื้นตันมากเกินกว่าจะเอ่ยอะไรออกมาได้
“พี่ก็รักหนุ่ยนะ...” ธีร์กอดเด็กหนุ่มไว้แน่น

          เช้าวันรุ่งขึ้นหนุ่ยกดโทรศัพท์ไปหาแคนและได้รับรู้ถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในขณะที่เขาไม่อยู่ หนุ่ยเงียบไปเมื่อแคนเล่ามาถึงเรื่องที่ส้มตั้งท้อง

“แล้วอ้นมันจะเอายังไงวะ” หนุ่ยพูดออกมา
“มันน่ะจะเอาเด็กไว้...แต่ส้มไม่ยอม...จะเอาออกให้ได้...” แคนถอนหายใจหนักหน่วง
“แล้วตอนนี้ส้มเอาเด็กออกไปแล้วใช่มั้ย...” หนุ่ยถามออกมา
“อืม...ส้มแม่งไม่ยอม...บังคับให้ไอ้อ้นพาไปเอาออก...แม่งใจร้ายฉิบหาย...” แคนสบถออกมาด้วยความไม่พอใจ
“ส้มมันคงอยากจะมีอนาคตน่ะ...มึงอย่าไปว่ามันเลย...กูว่าคนเราทุกคนย่อมมีเหตุผลของตัวเอง...ส้มมันเป็นผู้หญิงที่อยู่ในโอวาทของพ่อมันมาตลอด...มึงคิดดูสิ ...ถ้าพ่อมันรู้เรื่องขึ้นมา...ไม่ใช่แค่ส้มหรอกนะที่จะเดือดร้อน...กูว่าไอ้อ้นมันอาจจะไม่มีแผ่นดินจะอยู่ด้วยซ้ำไป...” หนุ่ยมองโลกอย่างเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์
“อืม... คิดอย่างนั้นมันก็ถูก...สงสารแต่ไอ้อ้น...นี่กูไม่รู้เหมือนกันว่ามันหายไปไหน...มันเงียบไปตั้งแต่เมื่อวานซืน...วันที่มันพาส้มไปเอาเด็กออกนั่นแหละ...” แคนเห็นผิดสังเกตที่เพื่อนเงียบไป
“โทรไปหามันบ้างรึเปล่า” หนุ่ยพูดออกมาด้วยความเป็นห่วง
“เปล่า...” แคนพูดเบาๆ
“อ้าว... เวรกรรม...มึงนะมึง...ไม่ดูเพื่อนเลย...เดี๋ยวกูไปรับ...แล้วเราไปหาไอ้อ้นที่บ้านมันกัน...กูซื้อของมาฝากพวกมึงด้วย...คอยเดี๋ยวนะกูจะไปรับ...” หนุ่ยกำลังจะวางหูแต่ได้ยินเสียงแว่วๆมาจากแคนอีกจึงกลับมาพูดใหม่
“อะไรวะ...” หนุ่ยถาม
“มึงรู้รึเปล่าว่าไอ้อ้นมันเป็นเกย์...” แคนพูดเบาๆยังกับจะมีคนมาได้ยินเข้า
“กูรู้แล้ว...” หนุ่ยพูดออกมาก่อนที่จะวางหูไป ทำเอาแคนอ้าปากค้างและเพิ่มความสงสัยอีกว่า...“หนุ่ยรู้ได้ยังไง”

          บีเอ็มดับเบิ้ลยูคันหรูขับออกมาจากบ้านของทีม เด็กหนุ่มสามคนนั่งกันมาในรถ ทั้งหมดมุ่งหน้าไปหาอ้นเพื่อนรัก ด้วยจุดประสงค์เดียวกันคือ... “เยี่ยมเยียนและให้กำลังใจ” สักพักเดียวเด็กหนุ่มทั้งสามคนก็ลงมายืนบิดขี้เกียจหน้าบ้านของอ้น ทีมเดินเข้าไปกดกริ่งที่หน้าบ้าน สักพักแม่ของอ้นก็เดินออกมา หลังจากทักทายกันแล้ว เด็กหนุ่มก็ถามถึงเพื่อนของเขา แต่คำตอบที่ได้รับกลับทำให้ทุกคนคลางแคลงใจเข้าไปใหญ่

“แล้วอ้นไม่ได้บอกแม่เหรอครับ...ว่ามันไปไหน” หนุ่ยถาม
“ไม่ได้บอกหรอกลูก...ปกติอ้นก็ไม่ได้กลับบ้านอยู่บ่อยๆ...” แม่พูดพลางก้มหน้าหลบตาเด็กๆ
“แม่ครับ...บอกหน่อยเถอะครับ...พวกเราเป็นห่วงอ้นจริงๆนะครับ” หนุ่ยอ้อนวอน เพราะรู้สึกว่าแม่มีอะไรที่ยังบอกเขาไม่หมด “ไอ้อ้นอาจจะสั่งไม่ให้บอกใครก็ได้”หนุ่ยคิดในใจ
“แม่ก็ไม่รู้จริงๆ...ถ้าหนูๆรู้โทรมาบอกแม่หน่อยนะลูก” แม่เนียนไปตามบทบาทที่อ้นสั่งไว้
“เอ่อ...ถ้าผมรู้ผมจะโทรมาบอกนะครับ...” แคนพูด
“ถ้าอย่างนั้นผมลาไปก่อนนะครับ...ถ้ามีอะไรผมจะโทรหา...หรือถ้าอ้นกลับมาแล้วแม่โทรหาผมหน่อยนะครับ...ผมจะได้ไม่ต้องห่วงมัน...” หนุ่ยจดเบอร์โทรศัพท์ใส่บัตรทางด่วนแล้วยื่นให้แม่...ก่อนจะยกมือไหว้แล้วพากันเดินออกมาขึ้นรถ

“ไอ้หนุ่ย...ทำไมมันง่ายอย่างนั้นวะ...กูว่ามึงน่าจะเซ้าซี้สักหน่อย...เดี๋ยวแม่ก็บอก” แคนพูดอย่างอารมณ์เสย
“แม่เค้าอาจจะยังไม่อยากจะพูดอะไรตอนนี้ก็ได้มั้ง” ทีมเอ่ยขึ้นมาบ้าง
“เชื่อกูสิ...เดี๋ยวแม่เค้าต้องโทรหากู” หนุ่ยมั่นใจอย่างนั้น แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะวันรุ่งขึ้นแม่ของอ้นก็โทรเข้ามาที่มือถือของหนุ่ย

“ครับแม่...อ้นกลับมาแล้วเหรอครับ...” หนุ่ยส่งเสียงใสๆไปตามสายบ่งบอกว่าดีใจที่จะได้รับข่าวบางอย่างจากเพื่อน
“หนุ่ย...แม่ต้องขอโทษที่วันนั้นแม่ไม่ได้บอกลูก...อ้นสั่งไว้น่ะลูก...” แม่พูดออกมาอย่างที่หนุ่ยคิดเอาไว้ไม่มีผิด
“มีอะไรครับ...ทำไมต้องเป็นความลับด้วยครับ...” หนุ่ยถาม
“อ้นสั่งไว้น่ะลูก...ว่าให้แม่บอกหนุ่ยคนเดียว...แล้วย้ำว่าไม่ให้หนุ่ยบอกเพื่อนๆ” แม่พูดชัดถ้อยชัดคำ
“ครับ...แล้วตอนนี้อ้นอยู่ที่ไหนครับ...” หนุ่ยอยากรู้เหลือเกิน...
“อ้นบวชอยู่ที่หนองคายน่ะลูก...” แม่พูดออกมา
“เหรอครับ...วัดอะไรครับแม่...” หนุ่ยซักถามรายละเอียดของวัดมาจากแม่ก่อนจะยกหูหาธีร์...

“พี่ธีร์ครับ...พี่ธีร์ไปหนองคายกับผมได้มั้ยครับ...” หนุ่มชวนธีร์ไปเป็นเพื่อน
“ไปทำไม...”  ธีร์กำลังงุนงงและจับต้นชนปลายไม่ถูก...เขาเองเพิ่งจะวางหูจากเต้...เต้อาการหนักพอสมควร ธีร์กำลังแต่งตัวเพื่อจะไปหาเต้...ยามเดือดร้อนต้องรีบไปให้กำลังใจ...
“ไปหาอ้นครับ...” หนุ่ยตอบ
“นี่พี่กำลังจะไปหาเต้...เพื่อนเราสร้างเรื่องไว้...พี่เต้จะแย่อยู่แล้วเนี่ย” ธีร์หงุดหงิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น...เขาห่วงเต้มากกว่าอะไรทั้งหมด
“เดี๋ยวผมไปรับนะพี่...จะถึงบ้านแล้ว” หนุ่ยวางสายแล้วเลี้ยวเข้าซอย

          ที่บ้านเต้...หนุ่ยกับธีร์เดินขึ้นไปบนห้องนอนของเต้...ธีร์เดินเข้าไปเห็นเต้ ...ที่ตอนนี้ตาบวมแดงช้ำอย่างหนัก...ธีร์รู้สึกไม่ดีเอามากๆ

“เต้...เป็นยังไงบ้าง...”  ธีร์เดินเข้าไปกอดเต้เอาไว้แน่น...เต้กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงโดยมีธีร์ยืน อยู่ข้างๆ เต้กอดธีร์เอาไว้แน่น...แล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนัก...
“ธีร์...ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...ไม่ไหวแล้ว...เต้ไม่ไหวแล้ว...อ้นจะไปอยู่กับคนนั้น...เต้ไม่ไหวแล้ว...ฮือ...ฮือ...ฮือ”  เต้ระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาอย่างมากมาย...ราวกับเขื่อนที่ไม่สามารถกั้นน้ำตาไว้ได้อีกแล้ว ตัวเต้สั่นระริกไปหมด หน้าซีดเผือดผมเผ้ายุ่งเหยิงราวกับซากอะไรสักอย่าง...หนุ่ยเห็นแล้วก็นึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก
“เต้ทำใจดีๆเอาไว้นะ...ธีร์มีอะไรจะบอก...ข่าวดีด้วยนะ...”  หนุ่ยอ้าปากค้างเพราะไม่นึกว่าธีร์จะบอกเรื่องนี้กับเต้...อ้นไม่ได้สั่งแม่เอาไว้ แต่ธีร์ก็มองหน้าแล้วพยักหน้าให้ หนุ่ยเข้าใจอะไรได้ไม่ยากนัก จึงเปิดปากเล่าเรื่องน่ายินดีให้เต้ฟังจนหมด...
...................................................

          รถเก๋งคัมรี่ไฮบริดสีขาวปลอดพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างสง่างามราวกับจะให้ทันใจ ผู้โดยสารที่ร้อนรุ่มดั่งไฟเผา เต้นั่งอมยิ้มอยู่เบาะหน้าข้างคนขับ สายตามองไปข้างหน้าราวกับว่าจังหวัดหนองคายอยู่ใกล้ๆแค่อยุธยา

“เร็วๆหน่อยก็ดีนะหนุ่ย...”  เต้หันไปหาเด็กหนุ่มที่กุมพวงมาลัยอยู่ เต้กับหนุ่ยเดินทางมาเพียงลำพังสองคน เขาเข้าไปเก็บข้าวของที่จำเป็นแล้วกลับมารับเต้ที่บ้านก่อนจะออกเดินทางมาตั้งแต่เช้ามืด
“เหยียบจนเกือบมิดแล้วนะพี่...อย่าใจร้อนสิครับ...พระไม่หนีไปไหนหรอก...” เต้กับหนุ่ยกำลังไปตามหาพระอ้น...ที่หนีมาบวชเพื่อไถ่บาป...บาปที่ตัวเองร่วมก่อเอาไว้
“อือ...พี่ขอโทษนะ...พี่ใจร้อนไปหน่อย...” เต้ก้มหน้าลง เสียงเพลงจากเครื่องเล่นเพลงในรถดังกังวาน เพลงรักที่หวานและไพเราะจับใจ เต้เหม่อมองออกไปข้างทาง ต้นไม้ต้นไร่และทิวเขาเลื่อนผ่านไปรวดเร็วราวกับวันเวลา สรรพสิ่งที่หมุนเปลี่ยนกันไป บ้างรู้สึกว่าเร็ว บ้างรู้สึกว่าช้า เพราะเราเอาตัวเองเป็นที่ตั้งรึเปล่า...อยากให้เร็ว...อยากให้จบกลับนิ่งและ เนิ่นนาน บางครั้งอยากให้อยู่นานๆกลับกลายเป็นว่าเวลาก็ผ่านไปรวดเร็วราวจรวด

          เด็กหนุ่มวาดพวงมาลัยรถเข้าจอดที่ใต้ร่มไม่ใหญ่ภายในวัดใกล้ศาลาปฏิบัติธรรม ขณะนั้นมีพระหนุ่มรูปหนึ่งกำลังกวาดใบไม้อยู่ใต้ต้นคูณที่ตอนนี้ไร้พวงดอกสีเหลืองสดใส

“พี่เต้...นั่นใช่อ้นมั้ยพี่...” หนุ่ยชี้ชวนให้เต้ดูวัตรปฏิบัติของพระรูปนั้น ใบหน้าหล่อขาวและอิ่มเอิบ ร่างผอมสูงโปร่งตัดกับสบงสีกลัก
“ใช่...ใช่พระอ้นจริงๆด้วย...หนุ่ย...เข้าไปหากันเถอะ...”  เต้เก็บอาการดีใจไว้แทบไม่อยู่ ชายหนุ่มแทบจะวิ่งเข้าไปหาเลยทีเดียวถ้าไม่มีเสียงห้ามจากเด็กหนุ่ม
“พี่เต้...สำรวมหน่อยสิ...” หนุ่ยพูดเสียงเรียบๆ

“...ครับๆ...”  เต้รับคำก่อนที่จะค่อยๆเดินเข้าไปหา พระหนุ่มเงยหน้าจากสมาธิที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ ในขณะที่กวาดลานวัด ดวงจิตที่ใสสะอาดกำลังกำหนดสมาธิ กำหนดลมหายใจเข้าและออก

“พี่เต้...หนุ่ย...”  พระอ้นอุทานออกมาเบาๆ ก่อนจะสบตากับโยมผู้มาเยือนด้วยความตกใจเล็กน้อย...แต่ก็กลับมาควบคุมอารมณ์ได้เป็นปกติ...ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นตรงหน้า พระค่อยๆวางไม้กวาดทางมะพร้าวไว้ใต้ต้นไม้แล้วเดินนำออกไปจากตรงนั้นโดยไม่พูดไม่จาอะไร พระอ้นเดินนำเต้และหนุ่ยมาถึงกุฏิเล็กๆที่มีเพียงหลังคามุงสังกะสี กุฏิที่อยู่ใต้หมู่ต้นไม้น้อยใหญ่ที่ร่มรื่น อากาศเย็นสบาย หน้ากุฏิมีเพียงเสื่อกกผืนเล็กๆปูอยู่ บริเวณโดยรอบสะอาด ไม่มีแม้สุนัขหรือแมวมานอนให้รกหูรกตา กลิ่นดอกไม้ป่าหอมอ่อนๆโชยมาตามลม แม้จะเป็นเวลากลางวันแต่บริเวณที่เป็นที่พักสงฆ์ไม่ได้ร้อนแล้งอย่างถนนหนทางข้างนอกเลยสักนิด  มันเย็นชื่นใจด้วยร่มไม้ใบบัง หรือว่ามันเย็นโดยเงื้อมเงาแห่งร่มกาสาวพัสตร์ สองผู้มาเยือนนั่งลงบนเสื่อกกผืนเล็กนั้นอย่างเงียบเชียบ หนุ่ยอดทึ่งในวัตรปฏิบัติของเพื่อนรักไม่ได้ เขาหันไปมองเต้ซึ่งตอนนี้กำลังก้มหน้าเอามือปาดน้ำตา...หนุ่ยทายใจเต้ไม่ถูกว่ามันเป็นน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มยินดีหรือน้ำตาแห่งความดีใจที่ได้พบกัน

“ออกมาจากกรุงเทพฯตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ...” เสียงนิ่งและเย็นเยียบเอ่ยทักทายก่อนที่พระจะหันมาเผชิญหน้า
“เอ่อ...ออกมาเมื่อเช้ามืดครับ...” หนุ่ยตอบพระด้วยความประหม่าในท่าทาง...จะวางตัวกับพระเพื่อนยังไง...ในเมื่อตั้งแต่โตมายังไม่เคยเจอพระที่ดูสงบและเย็นนิ่งขนาดนี้
“เหนื่อยหน่อยนะ...พระมาอยู่ตั้งไกล...อุตส่าห์มาหาก็ขอบใจมากนะ...” พระพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“พระ...ทำไมพระไม่โทรหาบ้างเลย...พระรู้มั้ย...” เต้เริ่มพรรณนาออกมาแต่หนุ่ยกลับสะกิดก่อนที่จะกลายเป็นคำตัดพ้อ...ซึ่งหนุ่ยเองมองว่ามันไม่ควร
“เอ่อ...พี่ขอโทษ...เอ่อ...ผมขอโทษครับ...” เต้ตะกุกตะกัก...ไม่รู้จะแทนตัวว่ายังไง
“ไม่เป็นไรหรอกโยม...อาตมาไม่ถือ...อาตมาต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ส่งข่าวอะไรให้...ทั้งๆที่รู้ว่าโยมห่วงแสนห่วง...” พระพูดออกมาแล้วก้มหน้าสลดลง
“พระ...พระอย่าขอโทษเลย...ผมเองก็สบายใจแล้วที่เจอกับพระในวันนี้...ผมหายห่วงเมื่อเห็นพระมีความสุขและสงบ” เต้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความรัก...ความห่วงใย
“เอ้ากินน้ำกินท่าซะก่อนสิ...นอนสักงีบนึงมั้ยล่ะ...” พระยื่นน้ำเปล่าให้หนุ่ยหนึ่งขวดพร้อมกับส่งแก้วน้ำให้
“ผมนอนสักงีบนึงได้มั้ยครับ...” หนุ่ยถามแต่ล้มตัวลงนอนขดบนเสื่อ ปล่อยใจให้หลุดลอยออกจากร่างเข้าสู่ภาวะพักผ่อนอย่างแท้จริง หนุ่ยไม่รับรู้ใดๆปล่อยให้พระได้สนทนากับเต้ไปเรื่อยๆ...หนุ่ยปล่อยให้ทุกสิ่งมันหมุนไปตามกรรม...ตามแต่ประสงค์ที่พระต้องการ


“หนุ่ยตื่นเถอะ...เรากลับกันเถอะเย็นแล้ว...” เต้ปลุกให้หนุ่ยตื่นจากหลับใหล สองหนุ่มกราบลาพระแล้วมุ่งหน้าเข้าเมืองเพื่อพักผ่อนที่โรงแรม ก่อนที่จะย้อนกลับมาใหม่ในเช้าวันรุ่งขึ้นและลากลับไปอีกครั้งในบ่ายวันเดียวกัน ตลอดเวลาที่เดินทางกลับ เต้นั่งอมยิ้มตลอดทาง แม้ไม่ได้ขับแต่เต้ก็ไม่หลับไม่นอน...ได้แต่นั่งยิ้มคนเดียว

“เฮ้ย...พี่เต้เป็นอะไร...ยิ้มอยู่ได้” หนุ่ยเรียกเสียงดังทำเอาเต้สะดุ้งเฮือก...
“เปล่า...พี่คิดถึงคำที่พระพูดเมื่อเช้า...” เต้พูดไปยิ้มไป
“อะไร...พระพูดอะไร...”
“พระบอกว่าขอบวชอีกสักพักนึง...ให้ใจสงบแล้วจะสึก...อยากบวชให้ลูก...” เต้พูดแล้วก็ยิ้มให้หนุ่ย
“แล้วเรื่องเรียนล่ะ...” หนุ่ยถาม
“ต้องดรอบไว้ก่อน...ปีหน้าค่อยไปเรียนต่อ...” เต้พูดแล้วก็ยิ้มอย่างมีความสุข

“พี่บอกพระว่าพี่จะรอ...”เต้พูด

“อ้าว...พูดอย่างนี้จะไปเร่งให้พระรีบสึกรึเปล่า” หนุ่ยหยอกเล่น
“จริงรึเปล่า...บาปรึเปล่าอ่ะหนุ่ย...” เต้มีสีหน้าตกใจ
“บาปสิพี่...แต่ถ้าพี่ไม่พูดนะ...พระอาจจะบวชไปอีกหลายสิบปีก็ได้...” หนุ่ยพูดแล้วก็หัวเราะ

“ขอบคุณมากนะหนุ่ย...ถ้าธีร์กับหนุ่ยไม่กลับมาช่วย...พี่คงแย่แน่ๆเลย...” เต้พูดออกมาแล้วยิ้มให้
“ไม่เป็นไรครับ...ผมเต็มใจแล้วอีกอย่างนึงที่ผมกับพี่ธีร์ต้องช่วยก็เพราะว่าเราเป็นพี่น้องกันนะครับ” หนุ่ยยิ้มตอบ
............................

“เหนื่อยมั้ยครับหนุ่ย...” ธีร์กอดรัดกับเด็กหนุ่มหลังจากที่เกมส์รักเพิ่งจบลงไป...หนุ่ยนอนหงายและหอบ หายใจแรง...กล้ามท้องกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะ...ประสานกับการหายใจที่หนักหน่วง เด็กหนุ่มเหนื่อยมากมายราวกับวิ่งรอบหมู่บ้านสักสองรอบก็ไม่ปาน
“เหนื่อยครับ...พี่ล่ะ...เจ็บมั้ย...” หนุ่ยกอดตอบและถามพร้อมกับทำหน้ากวนๆ...มันทำเอาธีร์เกือบละลายไปตรงนั้นให้ได้ นับวันเขายิ่งหลงไหลเด็กหนุ่มขี้เล่นคนนี้มากขึ้นทุกทีทุกที...

          ตอนนี้หนุ่ยกับธีร์ย้ายมาอยู่ที่คอนโดฯแล้ว ทั้งสองคนมีความสุขกันมากกว่ามาก ทุกเย็นทั้งสองจะลงมาออกกำลังกายกันที่ฟิตเนสข้างล่าง บางทีก็ว่ายน้ำ บางวันก็ออกไปซื้อของที่ห้างใกล้ๆหรือเสาร์อาทิตย์ก็พากันไปหาคุณแม่ที่บ้านที่เพลินจิต ไปทำอาหารกินกันหรือไม่ก็ไปไหว้พระกัน ชีวิตที่วนเวียนกันอยู่แค่เราสอง...ธีร์และหนุ่ยมีความสุขมาก...บางครั้งที่หยุดหลายๆวันก็พากันเดินทางไปหาพระอ้นที่หนองคาย...ทั้งหนุ่ย ธีร์และเต้...

“โยม...พระจะสึกเดือนหน้าแล้วนะ...” พระอ้นแจ้งข่าวที่ทำให้เต้ยิ้มหน้าบาน...เต้ดีใจมาก...ไม่ใช่ว่าดีใจที่พรากพระออกมาจากร่มกาสาวพัสตร์ได้หรอก...แต่ดีใจที่ความฝัน...ที่เคยมีร่วมกัน...จะได้มีคนมาร่วมสานร่วมก่อกันใหม่...ตอนนี้งานที่บริษัทก็เจริญเติบโตมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งผลกำไรที่แบ่งปันกันสองหุ้นก็มากมายกว่าเงินเดือนจากงานประจำ ทำให้ธีร์ตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาช่วยเต้ทำงานที่นี่เต็มตัว...หนุ่ยยังคงเสมอต้นเสมอปลายไม่เปลี่ยนแปลง...เรียนเสร็จก็กลับคอนโดฯ...บางทีต้องออกไปรับธีร์กลางดึกเพราะธีร์ต้องเลี้ยงลูกค้า...บางครั้งต้องเดินทางไปต่างประเทศกับธีร์  ..... ก่อนที่อ้นจะสึกสองวัน เต้เดินเข้ามาหาธีร์ที่ห้องทำงาน

“ธีร์...เดือนหน้าฉันฝากบริษัทหน่อยนะ...ฉันจะไปยุโรปสักสองอาทิตย์” เต้พูดหน้าตายิ้มแย้ม
“จริงอ่ะ...พระตอบตกลงแล้วเหรอ...” ธีร์ถามกลับ...
“ไม่รู้ละ...ฉันบอกแกไว้ก่อน...” เต้พูดเขินๆแล้วเดินออกไป
“อิจฉาเว้ย...”  ธีร์ตะโกนออกมาด้วยรอยยิ้ม...เขาดีใจแทนเต้จริงๆ...
“จริงสิ...ถ้าเต้กลับมาจากยุโรปเขาต้องพาหนุ่ยกลับไประโนดอีกครั้ง...หนุ่ยพูดอยู่นานแล้วว่าอยากไปไหว้ปู่กับย่า”

“”””””””””””””””””

“หนุ่ย...เดี๋ยวเดือนหน้าเราว่างๆ...เรากลับไประโนดกันดีมั้ย...”  ธีร์กอดเด็กหนุ่มจากด้านหลัง ขณะที่ทั้งสองยืนชมพระจันทร์ที่สาดแสงส่องลงมา
“พี่จะว่างเหรอครับ...เดือนหน้าพี่เต้จะไปยุโรปนี่ครับ...”  หนุ่ยหันหนากลับมา
“ก็คอยให้เต้กลับมาก่อนก็ได้นี่...”  ธีร์พูด ชายหนุ่มวางแก้วไวน์ลงที่โต๊ะแล้วเอื้อมมือมาโอบรอบเอวเด็กหนุ่มไว้
“ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะครับ...ผมไม่อยากให้พี่เหนื่อย...”  หนุ่ยกอดตอบ แสงจันทร์ขาวนวลสว่างตาขับใบหน้าของธีร์ให้ขาวผ่องดูเป็นนวลใย หนุ่ยกดจมูกลงบนพวงแก้มแดงเรื่อนั้นอย่างแผ่วเบา
“ไม่หรอกครับ...ถ้าหนุ่ยอยากไป...พี่จะพาไป...”  ธีร์พูด
“ผมนั่งเครื่องไปคนเดียวก็ได้นะพี่...สักสองสามวันก็กลับ...”  หนุ่ยพูดออกมา เขารู้สึกไม่อยากให้ธีร์กลับไประโนดอีกเลย...ไม่รู้เป็นอะไร...
“ไม่เป็นไร...หนุ่ยอยู่ที่ไหน...พี่ก็อยากตามไปอยู่ใกล้นะครับ...”  ธีร์ยิ้มให้กับหนุ่ยอย่างมีความสุข   ...


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.1=
« ตอบ #679 เมื่อ: 16-10-2009 06:06:55 »





patz

  • บุคคลทั่วไป
ทางสว่างแห่งรักของเต้กับอ้นเิริ่มเปิดออกแล้วสินะ  :กอด1:

mango

  • บุคคลทั่วไป
Thank you, thank you,
หนุ่ย and ธีร์ will go to ระโนด,
what will happent next  :confuse:

ออฟไลน์ kungyung

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1755
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
อย่าบอกนะ!!!!!
ว่ามันจะมีปัญหาอีกอ่ะ

ออฟไลน์ Chatcha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 717
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
ปัญหาเริ่มคลี่คลาย

ออฟไลน์ kikipanda

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
เฮ้อโล่งอกเรื่อง(พระ)อ้น-เต้ที่(ท่าทาง)จะดำเนินไปได้ด้วยดี  :mc4:

แต่กลับมาติดใจประโยคสุดท้ายของหนุ่ย "ไม่อยากให้พี่ธีร์ ไประโนด" ทำไมอ่ะค่ะ จะเกิดอะไรขึ้นอีกเนียะ~~~ :serius2:(เป็นอิโมที่ใช้บ่อยมากเวลาเม้นท์เรื่องนี้)

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
ทำไมหนุ่ยไม่อยากให้พี่ธีร์ไประโนด.....

กลัว......

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
ทำไมตอนนี้เหมือนจะบอกให้เห็นลางร้ายของธีร์ยังไงไม่รู้
แต่ร้ายก็ดีได้ในที่สุดหลายครั้งแล้วนี่นา ทั้งเรื่องน่านกับวัช เรื่องอ้นกับเต้
ยังไงก็ไม่อยากให้อะไรที่ไม่พึงปรารถนาต้องเกิด เพราะทุกอย่างดูจะเข้าที่หมดแล้วนี่นา
บวก 1 แต้มค่ะ ลุ้นจริงๆ

DexTunG

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อนะ







จะรอคอยตอนต่อไปครับ






 :z2:    :z2:    :z2:

องค์หญิงกำชัย

  • บุคคลทั่วไป
59.3 งานแต่งงาน

          ภาณีนั่งคุยกับป้าจิตในห้องรับแขกที่บ้านเพลินจิต เสียงหัวเราะร่วนแสดงถึงความรู้สึกสุขใจมากกว่า ทั้งนายทั้งบ่าวยิ้มหน้าบานราวกับว่าชาตินี้เพิ่งจะรู้จักคำว่าความสุข

“เออ นี่แนะแม่จิต...ฉันว่าปลายเดือนนี้เราไปเที่ยวเชียงใหม่กันดีมั้ย...ไปกันให้หมดบ้านนี่แหละ...พวกเราไม่เคยไปไหนด้วยกันมานานแล้วนี่” ภาณีเอ่ยขึ้นมา ความใจดีและมีเมตตาอารีย์ของภาณีทำให้คนในบ้านที่ได้สัมผัส จะรู้สึกรักและเทิดทูนเจ้านายคนนี้เสมอ
“แล้วใครจะเฝ้าบ้านล่ะคะคุณ”ป้าจิตเอ่ยขึ้นมา
“ก็จ้างรปภ.มาเฝ้าก็สิ้นเรื่อง...เดี๋ยวดูวันเวลาที่สะดวกอีกที...จิตหารถตู้สักคันนะจะได้นั่งให้สบายๆ...ฉันน่ะไม่ไหวหรอกจะนั่งเครื่องไปคอยที่นู่นแล้วกัน” ภาณีพูด
“อุ้ย...จะดีเหรอคะ...รถก็มีให้ตาชดมันขับไปก็ได้นี่คะ...” ป้าจิตจะช่วยเซฟ
“ไม่ต้องหรอก...ชดน่ะมันขับรถซะจนเบื่อแล้ว...ให้มันนั่งสบายๆหน่อยเถอะ” ภาณีคิดเผื่อคนอื่นๆเสมอ
“แล้วคุณธีร์กับคุณหนุ่ยล่ะคะ...” ป้าจิตถาม
“ต้องแล้วแต่เขาล่ะ...เดี๋ยวนี้ย้ายไปอยู่คอนโดฯกัน...ท่าจะมีความสุขน่าดู...” ภาณีพูดแล้วยิ้มให้กับตัวเอง
“เอ่อ...คุณคะ...ทำไมคุณทั้งสองถึงไปอยู่ที่คอนโดฯล่ะคะ...” จิตถาม
“แหม...จิตก็แค่นี้ดูไม่ออกรึไง...ว่าตาธีร์กับตาหนุ่ยน่ะ...” พูดไม่จบภาณีก็หัวเราะออกมา
“เหรอคะ...น่ารักกันดีจังเลย...จิตดีใจไปด้วยนะคะ...” จิตหัวเราะตาม ทั้งสองหัวเราะกันสนุกสนาน ภาณีไม่เคยรู้สึกสุขใจอย่างนี้มาก่อน

........................................................

“โอ๊ย...เมื่อยจังเลย...” หนุ่ยกระโดดลงมาจากรถตู้...ขณะจอดพักรถที่ปั้มน้ำมันแถวๆจังหวัดกำแพงเพชร
“เมื่อยเหรอหนุ่ย...มานวดให้...” ธีร์เดินมาข้างหลังแล้วบีบนวดบริเวณเอวของหนุ่ย ทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งแล้วบิดตัวหนี
“อย่าพี่...จั๊กกะจี้...” หนุ่ยหัวเราะออกมา คนในบ้านที่ตามออกมาจากรถพากันหัวเราะกันใหญ่ ดีใจและสุขใจในบรรยากาศที่ได้เห็นเจ้านายทั้งสองคนมีความสุข
“หิวกันรึยังครับ...” ธีร์ถามสมาชิก
“ก็นิดหน่อยค่ะ...” ป้าจิตบอก
“เดี๋ยวแวะทานข้าวกันดีกว่าแล้วเดินทางต่อ ป่านนี้คุณแม่ถึงเชียงใหม่นานแล้วล่ะ...” ธีร์พูดแล้วเดินเข้าห้องน้ำตามหนุ่ยไป

“กาแฟมั้ยครับหนุ่ย...” ธีร์เดินเข้ามายืนข้างๆก่อนจะปลดซิปออก
“ดีครับ...” หนุ่ยตอบแล้วขยับขอบกางเกงลงเล็กน้อยก่อนปล่อยสายน้ำอุ่นๆลงโถไป
“ไหนดูสิ...ใหญ่แค่ไหน” หนุ่ยชะโงกหน้าข้ามมาดู“ของ”ธีร์ที่ยืนติดกัน
“ไอ้เด็กบ้านี่...มาแอบดูเค้า...”  ธีร์ดุเอา...แต่ไม่ทำให้หนุ่ยสลดหรือหยุดการชะโงกดู ธีร์อายจนหน้าแดง แดดยามเที่ยงส่องผ่านเข้ามาทำให้เห็นท่อนรักของแฟนหนุ่มรุ่นพี่ชัดเจนขึ้น ...มันขาวใสอมชมพู...เด็กหนุ่มนึกอยากขึ้นมาติดหมัด
“สวยจังเลย...” หนุ่ยเหลือบตาลงต่ำแล้วอมยิ้ม
“อะไรสวย...เด็กบ้านี่...” ธีร์ดุเบาๆด้วยความเขินอาย
“ก็ของพี่น่ะสิ...สวยจัง...เดี๋ยวถึงเชียงใหม่ขอสักทีก่อนนะพี่...” หนุ่ยพูดแล้วยิ้มกวนๆตามแบบฉบับ
“ไม่ให้...แล้วของหนุ่ยล่ะ...อย่าเอาเปรียบเค้าสิ...”  ธีร์ไม่ต้องชะโงกข้ามมาดูเลย...เด็กหนุ่มถอยออกมาจากโถฉี่นิดเดียวธีร์ก็เห็น ท่อนลำขนาดยาวใหญ่ที่เหยียดตรง...วันนี้มันดูสวยกว่าทุกครั้ง...
“ทะลึ่ง...เด็กบ้า...” ธีร์ซัดเพี้ยะเข้าที่ต้นแขนของหนุ่ยก่อนจะเก็บของตัวเองแล้วเดินไปล้างมือ
“กินกาแฟกันเถอะ...” หนุ่ยเดินตามมา....เด็กหนุ่มเอื้อมแขนมากอดคอธีร์แล้วพากันเดินเข้าร้านกาแฟที่อยู่ใกล้ๆ
.............................

          เช็คอินเข้าโรงแรมเรียบร้อยแล้วทั้งสองหนุ่มอยู่ในชุดวันเกิด...ต่างก็ผลัดกันอาบน้ำและสระผมให้แก่กัน ธีร์นั่งลงที่ขอบอ่างส่วนหนุ่ยยืนสระผมให้กับคนรัก

“ไม่ต้องหลับตาเลย...ผมไม่ทำแชมพูเข้าตาหรอก...ลืมตาสิพี่” หนุ่ยแกล้งยื่นสัดส่วนของความเป็นชายไปตรงหน้าธีร์แล้วแกล้งบอกให้ชายหนุ่มลืมตา...
“โอว...หนุ่ยอ่ะ...ทำไมชอบแกล้งนะ...” ธีร์โวยออกมาเมื่อลืมตามาเห็นท่อนเนื้อที่เยิ้มยิ้มอยู่ตรงหน้า
“ถ้าไม่ชอบก็กินมันเลยสิพี่...นะนะ” หนุ่ยขยับเอวเข้าไปใกล้ๆอีก
“หนุ่ย...นิสัยไม่ดี...สระเบาๆหน่อยดิ...” ธีร์บอกให้เด็กหนุ่มสระผมให้เบามือลง แต่ขณะเดียวกันนั้นปากบางสวยของธีร์ก็ครอบลงตรงท่อนเนื้อนั้นอย่างแผ่วเบา
“อ้า...ผมเสียว....พี่ธีร์ครับ...” หนุ่ยขยับมือขยุ้มหัวธีร์ไปมาเบาๆพลางกระดกเอวเนิบนาบ แล้วเพลงสักขีแม่ปิงก็ล่องลอยตามสายลม...ทำเอาหนุ่มๆทั้งสองที่มีหัวใจรักต่อกัน...ถ่ายทอดบทเพลงรักที่แว่วมาให้กันและกันแนบแน่นและเนิ่นนาน...

          ในมื้อเย็นที่ร้านอาหารหรูเชิงดอยสุเทพ บรรยากาศยามค่ำ...ด้านล่าง...คือเมืองเชียงใหม่ความสว่างไสวระยิบระยับของแสงไฟทำให้ดูสวยงามราวกับภาพสวรรค์ ลมเย็นพัดลงมาจากยอดเขาสูงทำเอาธีร์ขนลุกไปทั้งตัว

“หนาวเหรอพี่...เดี๋ยวผมไปเอาเสื้อแขนยาวที่รถมาให้ดีกว่านะ...” หนุ่ยดูแลธีร์อย่างดีอยู่เสมอๆ
“พี่ไปด้วย...” ธีร์อยากอยู่ใกล้ๆกับหนุ่ยแทบจะทุกวินาทีเลยก็ว่าได้
“ไม่เป็นไรครับ...ผมไปแป๊บเดียวเอง...พี่ธีร์คุยกับคุณแม่เถอะ” หนุ่ยบอก แต่ภาณีก็รู้ใจเหลือเกิน
“ธีร์เดินไปเป็นเพื่อนน้องสิลูก...แม่คุยกับจิตได้” ภาณียิ้มให้ธีร์
“ครับ...เดี๋ยวมานะครับคุณแม่” ธีร์พูดเบาๆแล้วลุกออกมากับหนุ่ยก่อนที่จะเดินตรงไปที่รถตู้ที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถ...หนุ่ยเดินไปหยิบเสื้อแขนยาวมาใส่ให้กับธีร์แล้วทั้งสองก็เดินคุยกันไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ที่น้ำตกที่ไหลลงมาเสียงดังกลบความเงียบของราวป่าเสียสิ้น

“ดีมั้ยครับพี่” หนุ่ยถามพลางจับมือคนรักเอาไว้แน่น
“ยังไม่หายหนาวเลย” ธีร์บอกตามจริง
“งั้นผมกอดให้...จะได้อุ่นๆ...” เด็กหนุ่มกอดเอวเอาไว้ ใบหน้าหล่อคมเข้มของหนุ่ยเกือบแนบชิดหน้าหล่อใสของธีร์...
“ดีขึ้นมั้ยครับพี่...” หนุ่ยเกาะกุมเอวบางๆไว้แน่น ร่างกายแกร่งและสูงโปร่งของเด็กหนุ่มชิดใกล้ขนาดนี้ทำให้ธีร์รู้สึกอบอุ่นทั้งกายและใจ...
“หนุ่ย...พี่รักหนุ่ยนะครับ...” ธีร์หันมาพูดเบาๆกับหนุ่ย ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนจะเป็นไข้...ปากร้อนตาร้อนไปหมด  สงสัยนั่งรถมาทั้งวัน ใจจริงก็ไม่อยากจะนั่งรถตู้มาหรอก...แต่หนุ่ยกลัวว่าคนในบ้านจะไม่มีเพื่อนนั่งมาเพราะถ้าเขานั่งเครื่องมากับหนุ่ยแล้วเหลือคนในบ้านอีกสี่คนเท่านั้นที่ต้องนั่งรถตู้มา...สงสัยงานนี้ขากลับต้องหาเครื่องบินกลับแน่ๆเลย...

“ผมก็รักพี่นะ...” หนุ่ยตอบกลับแล้วมองไปที่น้ำตก
“พี่ธีร์ครับ...ผมอยากจะบอกกับพี่ว่า...ชีวิตผม...ผมขอฝากเอาไว้กับพี่นะครับ” หนุ่ยกอดกระชับเอวเข้ามามากขึ้น เขาไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่านี้ เท่านี้ก็ตกเป็นเป้าสายตาอยู่แล้ว
“หือ...ได้สิครับ...แต่พี่ก็ขอฝากชีวิตพี่ไว้ให้หนุ่ยดูแลด้วยนะ...” ธีร์พูดเบาๆก่อนจะอิงศีรษะมาแนบกับไหล่กว้างของเด็กหนุ่ม โมงยามนี้...ชีวิตมันมีความสุขเหลือเกิน...ธีร์ไม่เคยอบอุ่นใจเท่านี้มาก่อน

“พี่ธีร์...ทำไมตัวอุ่นๆล่ะ...” หนุ่ยจับไหล่ของธีร์แล้วหันมาดูตาที่แดงเรื่อๆของคนรัก ปากแดงจัดของธีร์ทำให้บอกได้เลยว่าชายหนุ่มกำลังมีไข้
“ผมว่าเรากลับกันก่อนดีมั้ยพี่...ดูท่าทางพี่จะไม่สบายนะเนี่ย...” หนุ่ยถาม
“ไม่เป็นไรหรอก...เดี๋ยวคุณแม่ไม่มีเพื่อนคุย...เรากลับไปที่โต๊ะก่อนดีกว่า” ธีร์เดินนำกลับเข้าร้าน
“ไหวนะพี่...” หนุ่ยเดินตามมาประคองเอวอย่างรวดเร็ว

          กลางดึกคืนนั้นที่โรงแรม ระหว่างที่สองหนุ่มหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน หนุ่ยรู้สึกว่าตัวของธีร์ร้อนขึ้นเรื่อยๆ...หลังจากที่ฤทธิ์ยาที่ทานเข้าไปตอนดึกหมดไปแล้ว

“พี่ธีร์ไหวมั้ยครับ...ตัวพี่ร้อนจี๋เลยนะ...” หนุ่ยเปิดไฟที่หัวเตียงแล้วเอาหลังมืออังกับหน้าผากของคนรัก
“...เดี๋ยวผมเช็ดตัวให้”  เด็กหนุ่มกระวีกระวาดลงจากเตียงในชุดนุ่งลมห่มฟ้า หนุ่ยเข้าไปในห้องน้ำแล้วจัดการเอาผ้าขนหนูผืนเล็กมาชุบน้ำเย็น ผ้าชุบน้ำหมาดๆลูบไล้ไปทั่วตัวของธีร์ ชายหนุ่มตัวสั่นเล็กน้อย ริมฝีปากสั่นเล็กน้อยหนุ่ยได้ยินเสียงฟันกระทบกันกึกกัก

“หนาวเหรอครับ...เดี๋ยวไข้ลดแล้วนะ...เช็ดตัวแล้วเดี๋ยวทานยาอีกหน่อยนะครับ” หนุ่ยพูดเบาๆข้างหู ธีร์รับรู้ด้วยการพยักหน้าเล็กน้อย เปลือกตาที่ฝืนลืมขึ้นมา เขามองเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใย...

“พี่ไม่เป็นไร...” ธีร์พยายามพูดแต่เสียงที่สั่นเครือมันปฏิเสธไม่ได้ถึงอาการป่วยไข้ที่เข้ามารุมเร้า
“ไม่เป็นไรอะไรล่ะครับ...ตัวร้อนขนาดนี้...” เด็กหนุ่มลูบผ้าเย็นๆไปทั่วหน้าท้องขาวเนียนนั้นอย่างเบามือ ซอกรักแร้ ซอกขาทั้งสองข้าง ตลอดจนปลีน่องและเรียวขาที่ขาวเนียน...ไม่มีส่วนไหนในร่างกายที่หนุ่ยไม่ได้สัมผัสผ่าน...ทุกอณูในร่างนี้...เขารู้สึกได้ว่า...เขาเป็นเจ้าของ...เขาต้องดูแลร่างบอบบางและหัวใจอันเปี่ยมไปด้วยความรักที่มีให้กับเขา...นั้นไปตราบจนวันตาย....

“ค่อยยังชั่วขึ้นมั้ยครับ” หนุ่ยถามพลางจับร่างบางนั้นไว้ในอ้อมแขนแข็งแกร่งแล้วพยุงให้ลุกขึ้นมานั่ง
“ทานยาสักหน่อยนะครับ...” หนุ่ยหันไปหยิบเอายาลดไข้มาส่งเข้าปากธีร์สองเม็ดแล้วเอาแก้วน้ำจ่อเข้าที่ปากบางแดงนั้น ธีร์กลืนยาพร้อมกับน้ำก่อนที่จะลงไปนอนเหมือนเดิม หนุ่ยจัดการเก็บแก้วน้ำแล้วลงนอนกอดยอดรัก...ยอดดวงใจเอาไว้ในอ้อมกอดอีกครั้ง...แม้ร่างของเด็กหนุ่มจะเปลือยเปล่า...แต่ก็ยังอุ่นร้อนพอที่จะทำให้ธีร์รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น...ไข้ในใจไม่มี...ไข้ในกายคงจะลดลงในเร็ววัน ...ด้วยความรัก ความห่วงหาอาทร...สิ่งเหล่านี้เพียงพอที่จะทำให้อาการป่วยของธีร์หายไปโดยเร็ว

          เช้าที่สดใสของเชียงใหม่เหมือนอาการไข้ของธีณ์ที่หายเป็นปลิดทิ้ง...ด้วยการดูแลอย่างดีของเด็กหนุ่ม ไข้ที่สูงเมื่อคืนหายไปแล้ว ธีร์กลับมาสดใสดังเดิม ทั้งสองเดินลงมาที่ห้องอาหารกลางสวนสวยของโรงแรมที่พัก ธีร์นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารกับน้ำชาอุ่นๆหนึ่งถ้วย

“พี่นั่งคอยแป๊บนะ...เดี๋ยวผมไปตักข้าวต้มมาให้” หนุ่ยจับบ่าธีร์กดลง...หนุ่ยบังคับให้ธีร์นั่งลงตรงข้ามกับภาณี
“อืม...พี่ไปตักเองก็ได้ครับ...ไม่ต้องหรอก...” ธีร์ยิ้มแห้งๆแต่แววตานั้นสดใสเหมือนเดิม
“ไม่เป็นไรครับพี่...เดี๋ยวผมตักให้...พี่นั่งเถอะ” หนุ่ยเดินออกไปที่ซุ้มอาหารด้านข้าง

“เป็นไงบ้างล่ะ...พยาบาลประจำตัวดูแลลูกดีมั้ย” ภาณีถามแล้วยิ้มอย่างใจดี
“โธ่...คุณแม่ก็...”  ธีร์ยิ้มหน้าแดงด้วยความเขิน เป็นครั้งแรกที่ภาณีแซวและพูดเหมือนกับจะยอมรับการที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน ...และดูแลกัน...นางเองก็รู้สึกโล่งใจที่ลูกชายมีคนดูแล...เห็นจากยามที่เจ็บไข้ได้ป่วยนี่เอง
“แม่พูดตามตรงนะ...แม่เห็นแบบนี้แม่ก็หมดห่วง...แกสองคนดูแลกันและกันให้ดีๆนะ...จากนี้ไปแม่จะได้นอนตายตาหลับ...” ภาณีพูดแล้วน้ำตารื้นปริ่มขอบตา ธีร์เอื้อมมือไปกุมมือภาณีไว้แล้วยิ้มให้กับภาณี
“ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี...ผม...เอ่อ...ผมอยากขอบคุณคุณแม่นะครับที่เข้าใจผมและ ...เอ่อ...หนุ่ย...ถ้าไม่ใช่คุณแม่...ผมคงอึดอัด...คุณแม่คือพระผู้ประเสริฐที่สุดสำหรับผม...ผมรักแม่นะครับ...” ธีร์น้ำตาไหลอาบหน้า ภาณีเอามือมาลูบหัวลูกชายของนางอย่างแผ่วเบา สัมผัสที่อ่อนโยนเปรียบประดุจพระหัตถ์ของพระเจ้าที่ประทานความรักและเมตตามา ให้ไม่มีสิ้นสุด...“พระเจ้าของลูก...คือ...แม่”

“.............................” หนุ่ยนั่งลงข้างๆธีร์อย่างแผ่วเบาและเงียบที่สุด
“หนุ่ย...มานั่งใกล้ๆแม่หน่อยสิ....” ภาณีเรียกเด้กหนุ่มให้เข้ามาใกล้ๆ
“แม่ขออะไรอย่างได้มั้ยลูก...” ภาณีพูดเบาๆแต่น้ำเสียงยังคงกังวานใส
“ค...ครับคุณแม่” หนุ่ยติดอ่างในบัดดล

“หนุ่ย... ต่อไปนี้แม่ขอให้หนุ่ยกับธีร์ดูแลกันและกัน...อย่าได้คิดนอกใจกันเป็นอันขาด ...หนักนิดเบาหน่อยอภัยให้กัน...ดูแลยามเจ็บป่วยทุกข์ใจ...แม่เองก็แก่แล้ว ....ลำพังจะอยู่ดูความรักของเราทั้งสองได้อีกไม่นานแล้ว...ขอให้รักกันตลอดไปนะลูก...” ภาณีพูดจบก็ปล่อยให้น้ำตาไหลซึมออกมา ธีร์กับหนุ่ยยกมือพนมไหว้น้อมรับเอาพรอันประเสริฐมาใส่หัวไว้ แน่นอนเขาทั้งสองจะรักกัน...ชาตินี้จะไม่มีอะไรมาพรากคนทั้งสองให้จากกันได้ นอกจาก.....“ความตาย”...เท่านั้น

“ผมสัญญาครับคุณแม่...” หนุ่ยรับคำอย่างมั่นเหมาะ...เด็กหนุ่มมองเข้าไปในแววตาของคนรักที่เงยหน้าขึ้นมาสบตา
“ผมก็เหมือนกันครับ...ผมสัญญาครับคุณแม่” ธีร์ขยับหมุนแหวนทองคำขาวที่สวมอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายไปมาราวกับจะให้คำมั่นสัญญากับเจ้าของแหวนด้วยเหมือนกัน
“ดีแล้ว...ทานข้าวกันเถอะ...เดี๋ยววันนี้ทัวร์ไหว้พระกันดีมั้ย...ให้เป็นสิริมงคลกันสักหน่อย...” ภาณียิ้มแย้มแจ่มใสพลางพยักเพยิดไปทางด้านข้างให้กับโต๊ะอาหารของสามชิกในบ้านที่ตอนนี้ยิ้มกันแก้มปริ...
“ดูๆไปเหมือนงานแต่งงานเลยนะเนี่ย” ภาณีแซวออกมาเสียงดัง ทำเอาทั้งสองคนยิ้มหน้าแดงด้วยความเขินอาย

...............................................

          ธีร์หัวหมุนอยู่ในออฟฟิศคนเดียว เขาเหลือบดูนาฬิกาที่ผนังห้องมันบอกเวลาสามทุ่มเข้าไปแล้ว หนุ่ยยังไม่มารับสักที...แต่ถึงมารับเขาก็ยังกลับไม่ได้...เดือนหน้ามีกรุ๊ปทัวร์ของข้าราชการกระทรวงใหญ่กระทรวงหนึ่งจะพาผู้บริหารไปถลุงงบประมาณ ...เอ้ย...ไปดูงานกันที่อเมริกา...แต่ขอเน้นที่ลาสเวกัสเป็นพิเศษ...ธีร์ถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อคิดถึงงบประมาณที่ต้องใช้ไปกับงานนี้..ภาษีของประชาชนทั้งนั้น

“....ตู๊ด....ตู๊ด....ตู๊ด....” เสียงโทรศัพท์สำนักงานดังขึ้น...ธีร์กดรับโอนสายเข้ามาที่โต๊ะทำงาน...
“ฮัลโหล...ขอสายคุณธีร์ครับ...” เสียงที่คุ้นเคยทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งวาบ...

“ฝุ่น” ธีร์เรียกชื่อนั้นออกมาเบาๆ
“ใช่ครับฝุ่นเอง...ฝุ่นกลับมาหลายวันแล้วนะ...คิดถึงธีร์มากๆเลยครับ...”เสียงฝุ่นเจื้อยแจ้ว

“แล้วฝุ่นไปได้เบอร์สำนักงานธีร์มาจากไหน” ธีร์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาพยายามข่มอารมณ์ให้ไม่ฟุ้งซ่านไปกว่านี้ ความรักที่เคยมี...ความรักที่เคยเกาะกุมหัวใจ...บัดนี้มันไม่มีเหลืออีกแล้ว ...เยื่อใยมันหมดไปนานแล้ว
“ฝุ่นได้มาจากไอ้เชน...” ฝุ่นพูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจในความสามารถในการตามหาเบอร์ของธีร์

“...............”  ธีร์เงียบ เขากำลังคิดอยู่ว่า“เชน”คือใคร

“ไอ้เชนมันเป็นเพื่อนกับหุ้นส่วนของธีร์ไงครับ...เชนเป็นเพื่อนกับคุณเต้น่ะ...”  ฝุ่นไขข้อข้องใจ

“เหรอ...แล้วที่โทรมามีอะไรรึเปล่า”ธีร์พูดด้วยความรู้สึกเฉยเมยเป็นอย่างมาก
“ไม่มีอะไรครับ...แค่คิดถึง...ฝุ่นอยากชวนธีร์ไปทานข้าวกัน...พอจะมีเวลาว่างบ้างมั้ยครับ...” ฝุ่นพูดไปเรื่อยแต่ตอนนั้นหูของธีร์ไม่ได้ฟัง สายตามัวแต่จับจ้องถึงร่างสูงแกร่งที่กำลังเดินเข้าออฟฟิศมา “หนุ่ย”

“ขอโทษนะฝุ่น...ธีร์ไม่ว่างเลย...งานยุ่งมาก....แล้วธีร์อยากจะบอกฝุ่นนะว่า ธีร์ไม่มีเวลาให้ฝุ่นอีกแล้ว...การรอคอยของธีร์มันสิ้นสุดไปนานแล้ว...ถ้าเป็นไปได้และหาว่าธีร์เสียมารยาทนะ...ต่อแต่นี้ฝุ่นไม่ต้องโทรมาหาธีร์อีก ...เรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว...” ธีร์วางหูแล้วเงยหน้าขึ้นมองร่างของเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า หนุ่ยยิ้มให้กับธีร์อย่างคนรักที่เข้าใจคนรัก...

“ขอบคุณครับพี่...ขอบคุณที่พี่ทำทุกอย่างเพื่อรักของเรา...” หนุ่ยเดินเข้ามากอดธีร์ ร่างสูงแกร่งในชุดนักศึกษาโอบกอดร่างบอบบางนั้นไว้แน่น

“พี่รักหนุ่ยนะ...” ธีร์น้ำตาซึม

“เรากลับบ้านกันเถอะ...”  หนุ่ยพูดเบาๆ  .....



kuraki

  • บุคคลทั่วไป
พี่ธีร์เด็ดขาดมาก  o13

คุณแม่ก็สุดยอด หวังว่าคงจะไม่มีอะไรเศร้าๆแล้วนะคะ ทั้งคู่เต้ อ้น และธีร์ หนุ่ย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด