มีตอนต่อมาให้นะคะ กับ บทที่สี่ ของเพลงรัก
เรื่องราวของน้ำต้นและนนท์ จะเป็นอย่างไรต่อไป เมื่อทั้งสองเริ่มทำงานด้วยกัน
************************
เพลงรัก
บทที่ 4
วันอาทิตย์แรกในรอบหลายเดือนวันนี้เป็นวันว่างที่หาได้ยากยิ่งสำหรับน้ำต้น แม้อัลบั้มชุดแรกจะหมดช่วงโปรโมตไปนานแล้ว แต่ผลจากความสำเร็จของมันก็ยังตามมาอย่างต่อเนื่อง ดูได้จากงานโชว์ตัว งานมินิคอนเสิร์ต และการถ่ายแฟชั่นที่ยังคงมีเข้ามาเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง หลายครั้งที่เขาอดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า เขาแค่ชอบร้องเพลงมากเท่านั้นเองแท้ๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้คนชื่นชมเขามากมายถึงเพียงนี้ งานต่างๆที่ประเดประดังเข้ามาไม่ต่างอะไรกับผลพลอยได้ที่เปิดโอกาสให้เขาได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการทำงานด้านอื่นๆเพิ่มขึ้น และด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจนี้เอง ทำให้น้ำต้นไม่เคยอิดออดในเรื่องของการทำงานเลย อย่างเก่งก็บ่นกับเมษบ้างว่าเหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น แต่ก็ไม่เคยงอแงเลยสักครั้ง ยิ่งเวลาโทรคุยกับแม่ น้ำต้นยิ่งไม่เคยบ่น เพราะแม่เป็นคนบอกว่าเขาเป็นคนเลือกเส้นทางนี้เอง เพราะฉะนั้นจงยอมรับผลที่จะตามมาด้วยรอยยิ้มดีกว่า
เขานั่งกดรีโมททีวีเปลี่ยนช่องไปมาอย่างไม่ได้นึกอยากดูอะไรเป็นพิเศษ แม้จะได้ชื่อว่าเป็นห้องพัก แต่ก็ต้องนับว่าเป็นห้องที่น่าอยู่ไม่เลว ห้องของเขาอยู่บนชั้นสิบห้า สูงพอที่จะมีความเป็นส่วนตัวและได้เห็นวิวทิวทัศน์รอบๆได้ ในห้องถูกออกแบบเอาไว้เป็นสัดส่วนชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นห้องนอนที่มีห้องน้ำในตัว ถัดไปก็เป็นห้องครัวที่ว่าตามจริง เขาแทบไม่ได้ใช้งานอะไรสักเท่าไหร่ นอกจากเวลาที่อยากจะเข้ามาหาอะไรกินก๊อกๆแก๊กๆไปตามเรื่อง แล้วก็ห้องนั่งเล่นที่เขานั่งอยู่นี่ เขามองไปรอบๆห้องที่แม่ชอบแซวว่า ห้องหนุ่มโสดโดยแท้ แล้วก็หันไปเห็นกองของขวัญที่กองอยู่สูงพะเนินเทินทึกอยู่ตรงมุมห้อง ก่อนที่จะยิ้มออกมา “เยอะขนาดนี้ แกะเท่าไหร่ก็ไม่ทันสักที” เขารำพึง แต่ก็รู้สึกชื่นใจทุกครั้งที่ได้เห็น น้ำต้นไม่เคยไม่ใส่ใจของขวัญที่ได้รับมาเลยแม้แต่ชิ้นเดียว จดหมายทุกฉบับ กระดาษโน้ตทุกชิ้น เขาก็เก็บรักษาเอาไว้อย่างดี ในใจชักนึกหวั่นอยู่เหมือนกันว่า ถ้ามันล้นห้องขึ้นมา เข้าจะทำอย่างไรกับของที่ได้รับมาดีล่ะนี่ แล้วก็ส่ายหน้าก่อนที่จะยิ้มกับตัวเองและเลิกคิดถึงมันในที่สุด
อันที่จริงแม้จะได้วันหยุดกับเขาเสียที ไปๆมาๆน้ำต้นกลับไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับวันหยุดที่มีดีเหมือนกัน เพื่อนฝูงก็ไม่ว่าง แต่อันที่จริงเขาอยากจะใช้เวลาทำอะไรเรื่อยเปื่อยคนเดียวมากกว่า อะไรก็ได้ ว่าแล้ว เหมือนจะตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด น้ำต้นหยิบเสื้อยืดธรรมดาตัวหนึ่งมาสวมคู่กับกางเกงยีนส์สีซีดกลางเก่ากลางใหม่ พอสวมรองเท้าผ้าใบเสร็จก็คว้าเป้คู่ใจออกมา โดยไม่ลืมถือหมวกแก๊ปที่ตอนนี้กลายเป็นของจำเป็นมากที่สุดไปแล้วติดมือออกมาด้วย
ค่าที่ว่าคอนโดหนุ่มโสดของเขาอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าอย่างยิ่ง น้ำต้นจึงเดินทอดอารมณ์ขึ้นบันไดรถไฟฟ้าไปอย่างง่ายๆและสบายใจที่สุด อากาศในกรุงเทพในช่วงปลายปีอย่างนี้สบายดีเหลือเกิน แม้มันจะไม่ได้เย็นสบายเหมือนกับตอนอยู่บ้านที่เชียงราย แต่ก็พอจะชดเชยไปได้พอกล้อมแกล้มเหมือนกันล่ะน่า น้ำต้นคิดกับตัวเองประสาคนมองโลกในแง่ดี
มองดูเผินๆ น้ำต้นในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กหนุ่มธรรมดาทั่วไป ขึ้นไปบนรถไฟฟ้าเขาก็ไม่ได้หันซ้ายหันขวา ทำท่ามีพิรุธ หรือดูว่ามีใครจ้องมองอยู่หรือไม่ แค่ยืนอยู่ใกล้ๆประตูและยืนมองทิวทัศน์เบื้องนอกอย่างเพลิดเพลินเท่านั้น เช้าวันอาทิตย์คนยังไม่หนาตาเท่าไร เขาก็ยิ่งปล่อยตัวสบายๆ ทิ้งความเป็นนักร้องเอาไว้เบื้องหลัง กลายเป็นนายน้ำต้นคนธรรมดาเท่านั้น
รถไฟฟ้าพาเขาไปหยุดตรงสถานีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นย่านที่มีร้านน่านั่งอยู่มากมาย น้ำต้นไม่ได้อยากจะทำอะไรมากกว่าการไปนั่งหากาแฟอร่อยๆกินแล้วก็อ่านหนังสือหรือทำอะไรของตัวเองไป ตอนอยู่บ้านที่เชียงราย เขาก็เป็นแบบนี้ เขาไม่ค่อยชอบไปเที่ยวเตร็ดเตร่ที่ไหน วันๆก็อยู่บ้านฟังเพลง ร้องเพลงไปตามเรื่อง ขนาดพ่อกับแม่ยังเคยออกปากให้เขาออกไปไหนมาไหนกับเพื่อนฝูงบ้างก็ได้ น้ำต้นได้แต่ยิ้มแล้วก็บอกพ่อกับแม่ว่า “เพื่อนๆเขามาหาต้นอยู่แล้ว ต้นไม่ต้องออกไปหรอก” ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง น้ำต้นเป็นขวัญใจเพื่อนๆ อยู่โรงเรียนเขาทั้งตั้งใจเรียนและขยันทำกิจกรรมไม่ได้หยุด เสาร์อาทิตย์บางทีเพื่อนๆก็มาหาเขาถึงบ้าน ออกจากบ้านกับเพื่อนทีไรถ้าไม่ไปหาอะไรกิน ก็ไปเล่นกีฬา มีเท่านี้จริงๆ จนเพื่อนบางคนถึงกับออกปากว่า “คนอะไรวะ ทำไมใช้ชีวิตน่าเบื่ออย่างนี้” น้ำต้นไม่ว่าอะไรนอกจากยืนยันคำพูดเดิมๆว่า “ความสุขของคนเราไม่เหมือนกันนี่หว่า”
น้ำต้นเดินลงสถานีรถไฟฟ้า เขาเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างและบอกร้านจุดหมายที่ต้องการไปกับคนขี่ทันทีอย่างไม่ลังเล นี่ถ้าแฟนๆรู้ว่านักร้องชื่อดังอย่างน้ำต้นกำลังนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างอย่างคล่องแคล่วเพื่อไปหากาแฟดื่ม คงได้แปลกใจไปตามๆกัน ความเป็นจริงกับสิ่งที่เห็นตามหน้าจอทีวีก็เป็นอย่างนี้แหละ มันขัดแย้งกันเสมอ เขาล้วงมือลงในกระเป๋าพร้อมหยิบเหรียญสิบบาทให้กับมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่พาเขามาส่งถึงที่ ก่อนจะเดินเข้าไปสั่งกาแฟแบบที่เขาชอบดื่มเป็นประจำเมื่อมาร้านนี้
น้ำต้นถือกาแฟร้อนไปยังมุมที่เขามักจะนั่งอยู่เป็นประจำ ยังไม่สิบโมงเช้าแบบนี้ คนย่อมบางตาเป็นธรรมดา เขาหยิบไอพ็อตสีขาวออกมาจากเป้ ในนั้นบรรจุเพลงที่เขาชื่นชอบเอาไว้จำนวนนับไม่ถ้วน แม้จะชอบฟังเพลงมากเพียงไร น้ำต้นก็อดคิดไม่ได้จริงๆว่า คนคนนึงจะฟังเพลงได้มากมายขนาดไหนกันนะ เป็นพันเป็นหมื่นขนาดนี้เลยหรือเปล่า เพราะเอาเข้าจริงๆเขาเป็นคนมีนิสัยถ้าชอบเพลงไหนมากๆ ก็จะฟังเพลงนั้นซ้ำๆวนไปวนมาได้เป็นสิบเป็นร้อยเที่ยว เอาจนร้องได้นั่นแหละ เขาหยิบหนังสือแนวสืบสวนฆาตกรรมเล่มเขื่องอย่างที่ชอบขึ้นมาอ่าน เดี๋ยวนี้เวลาอ่านหนังสือของเขาเหลือน้อยลงเต็มที คงจะมีแต่วันแบบนี้นี่แหละที่จะได้หยิบเอาหนังสือที่ซื้อสะสมเอาไว้กองพะเนินมานั่งอ่านสักที
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ น้ำต้นไม่ได้สนใจจะรับรู้ พออ่านหนังสือจนรู้สึกล้า เขาก็ลุกไปสั่งขนมมากินเพิ่มคู่กับนม กาแฟกินวันละแก้วก็พอแล้ว น้ำต้นพูดกับเมษบ่อยๆ เวลาที่เมษถามว่าจะเอากาแฟเพิ่มอีกไหม เขาหยิบสมุดบันทึกเล่มหนึ่งออกมา สภาพของมันเห็นได้ชัดว่าผ่านการใช้งานมาพอสมควรแล้ว ปกติเด็กหนุ่มไม่ใช่คนชอบเขียนบันทึกประจำวันสักเท่าไรนัก แต่เมื่อไรที่นึกครึ้มใจ หรือมีเรื่องอะไรที่โดนใจเข้ามา เขาก็อยากจะบันทึกความทรงจำเหล่านั้นเอาไว้บ้างเหมือนกัน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนเล่นดนตรีมาก่อน เรื่องแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงจึงจำเป็นกับเขาไม่น้อย และเพิ่งจะมาเริ่มจริงจังกับมันหลังจากที่มีอัลบั้มแรกของตัวเองออกมานี่แหละ ถ้าเขาอยากจะเป็นนักร้องที่ประสบความสำเร็จ เขาก็ควรจะทำอะไรได้มากกว่าแค่ร้องเพลงอย่างเดียว เสียดายก็ตรงที่มานั่งร้านแบบนี้ จะแบกกีตาร์มาด้วยเป็นที่เอิกเกริกไม่ได้เสียด้วยสิ เขาคิดกับตัวเองอย่างติดตลก
น้ำต้นใช้เวลาอยู่ที่ร้านกาแฟแห่งนั้นนานหลายชั่วโมง รู้ตัวอีกครั้งก็จะหกโมงเย็นเข้าไปแล้ว เป็นวันที่เขาได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองอย่างเรียบง่ายได้คุ้มค่าอย่างยิ่ง ขณะกำลังชั่งใจว่าจะออกไปหาอะไรกินเป็นมื้อเย็นก่อนกลับบ้าน หรือไปแวะที่ไหนต่อดี ต้นสังเกตเห็นใครคนหนึ่งที่คุ้นตาเหลือเกินเดินเข้ามาในร้าน เขายิ้มออกมาอย่างยินดีโดยไม่ปิดบัง แต่ตอนที่กำลังจะลุกขึ้นไปทักนั้น เขาเห็นใครอีกคนเดินเข้ามาติดๆ เมื่อฝ่ายแรกหันไปเห็นว่าคนที่เข้ามาทักทายด้านหลังเป็นใคร สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปกลายเป็นเคร่งเครียดทันที น้ำต้นนึกไม่ถึงว่าเขาจะได้เห็นสีหน้าแบบนั้นด้วย เขาชะงักก่อนที่จะตัดสินใจนั่งลงดังเดิม แต่สายตาจับจ้องไปที่คนสองคนนั้นอย่างสนใจ
“นนท์” เจ้าของชื่อหันไปทางต้นเสียงก่อนที่รอยยิ้มบางๆจะกลายเป็นความประหลาดใจและกลายเป็นความตึงเครียดในที่สุด
“เอ้… มาทำอะไรที่นี่” นนท์ถามด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก
“ก็เรามาแถวนี้ เห็นหลังอยู่ไวๆยังคิดอยู่ว่าใช่นนท์หรือเปล่า แล้วก็ใช่จริงๆด้วย มาคนเดียวเหรอ”
นนท์ไม่ตอบ แค่พยักหน้าแล้วหันไปรับกาแฟที่สั่งเอาไว้เท่านั้น
“เรานั่งด้วยได้ไหม” เอ้ถาม
“ไม่ดีหรอก นายไม่ได้มาคนเดียวไม่ใช่เหรอ” นนท์ว่าแล้วก็ถือกาแฟไปนั่งอย่างไม่สนใจอะไรอีก ทำเอาอีกฝ่ายสะอึกไป แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เดินตามไปอย่างไม่ลดละ และนั่งที่โต๊ะตัวเดียวกับนนท์โดยที่เจ้าของโต๊ะไม่แม้แต่จะคิดเชื้อเชิญ
“แต่เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ไม่ใช่เหรอ” เอ้ท้วง
“ก็เป็นเพื่อนได้ เราไม่ได้ว่าอะไร แต่ถ้านายคาดหวังว่าเราจะเป็น “เพื่อน” กันเหมือนเดิม มันคงเป็นไปไม่ได้แล้วนะเอ้”
“อะไรกันนนท์ งอนอะไรไม่เข้าท่า” เอ้ว่าอย่างหงุดหงิด
“อย่ามายุ่งกับเราเอ้ นายต้องการอะไรกันแน่ถึงได้มาวุ่นวายกับเราอีก” นนท์หยุดก่อนจะมองผ่านกระจกออกไปด้านนอก “โน่น เพื่อนนายเขามองหาโน่นแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า” เอ้ว่าอย่างไม่สนใจ
“อย่า... เอานิสัยมักง่ายมาใช้แถวนี้เอ้ แล้วขอร้อง จะไปไหนก็ไป” นนท์ว่าอย่างเย็นชา และไม่ใส่ใจกับคนตรงหน้าอีกต่อไป
“เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องนะนนท์”
“เราไม่จำเป็นต้องคุยกัน ไปเถอะเอ้ เราไม่อยากเจอนายอีก หรือจะให้เราย้ายโต๊ะเอง นายถึงจะพอใจ”
“เออ ไม่ต้อง” เอ้เริ่มหัวเสียขึ้นมาบ้าง “เราไปก็ได้ แต่เรายังไม่ยอมแพ้หรอกนะ” เขาว่าพร้อมกับลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้ “แล้วเจอกันนะนนท์”
น้ำต้นไม่รู้ว่าทั้งสองคนพูดคุยอะไรกัน เขารู้แต่ว่า นนท์ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาคู่สนทนาอีก ใบหน้านิ่งๆที่ปกติจะดูอ่อนโยนในตอนนี้ ดูบึ้งตึงและไม่สู้ดีเอาเสียเลย ฝ่ายที่เข้ามาทักทายเดินออกจากร้านไปแล้ว น้ำต้นชั่งใจอย่างไม่รู้ว่าจะเข้าไปทักทายหรือจะปล่อยให้นนท์นั่งต่อไปคนเดียวดี สุดท้ายเขาได้แต่หันไปมองโต๊ะที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของร้านอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี จนกระทั่งอีกฝ่ายลุกเดินออกไปในที่สุด
สองทุ่มแล้ว น้ำต้นตัดสินใจกลับคอนโดหรือบ้านกลางเมืองของเขา โดยไม่สนใจจะทานมื้อเย็นอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ในหัวมีแต่ภาพที่ได้เห็นและมีอะไรที่ต้องคิดอยู่เต็มไปหมด ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับพี่นนท์หนอ ถึงได้ทำสีหน้าแบบนั้นตอนเดินออกจากร้านไป และมันก็ยังติดตาเขามาจนถึงตอนนี้
ในห้องประชุมเล็กบนชั้นสามสิบ
การประชุมในวันนี้สมาชิกไม่ได้หนาตาอย่างเช่นเมื่อหลายวันก่อน เพราะหลักๆแล้ววันนี้เป็นการพูดคุยถึงเรื่องของดนตรีเป็นหลัก หลายคนที่ไม่ได้มีความรู้เชิงลึกในเรื่องของดนตรี จึงขอตัวไปทำงานที่ล้นมืออยู่ให้เสร็จ และปล่อยให้คนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงอย่างนรเศรษฐ์ มิ่ง นนท์ และที่ขาดไม่ได้น้ำต้นรับมือกันไปก่อน
ตลอดระยะเวลาที่นั่งประชุมกันนั้น น้ำต้นสังเกตเห็นว่านนท์ไม่ค่อยพูดอะไรนัก หน้าตาของเขาแม้จะไม่เคร่งเครียดจนน่ากลัวเหมือนเมื่อคืน แต่จะเรียกว่าสบายดีก็คงไม่ใช่แน่ ไม่ว่าพี่มิ่งและพี่นอจะถามอะไร ก็ดูเหมือนว่า นนท์จะสงวนคำพูดเหลือเกิน เขาดูมีเรื่องอะไรในใจที่ต้องคิดอยู่ตลอดเวลา จนแม้แต่คนอื่นๆที่ไม่ได้ช่างสังเกตเหมือนน้ำต้นยังรู้สึกได้
“นนท์ พอจะมีไอเดียอะไรใหม่ๆสำหรับงานของต้นบ้างแล้วหรือยัง” มิ่งถาม
“ก็... พอจะมีอยู่เหมือนกันครับ แต่ว่ามันยังไม่ค่อยเรียบร้อย ผมก็เลยอยากทำให้มันเสร็จสมบูรณ์จริงๆก่อน ค่อยเอามาให้ดูกันอีกที”
“ต้นล่ะ”
“ก็... มีไอเดียที่พอจะเอามาเป็นวัตถุดิบในการแต่งเพลงบ้างแล้วนิดหน่อยครับพี่ พร้อมเมื่อไหร่ต้นจะเอามาให้พวกพี่ช่วยดูให้นะครับ”
“ได้ คือ... พี่ไม่ได้เร่งอะไรหรอก โปรเจ็กต์นี้ พี่อยากให้เวลากับมันเต็มที่หน่อย ไม่อยากจะเร่งออกมา อะไรที่ไม่ดีจริงๆ พี่ไม่อยากปล่อยหรอก แต่ก็ไม่อยากให้พวกเราวางใจเกินไป พี่ก็คงจะถามเราบ่อยๆแบบนี้แหละ อย่าเพิ่งเบื่อไปก่อนก็แล้วกัน”
“งั้นวันนี้เอาแค่นี้” นอปิดการประชุมอย่างไม่เป็นทางการนี้อย่างเรียบง่ายตามแบบฉบับของเขา
“ต้นเดี๋ยวออกมาคุยกับพี่แป๊ปนะ” พี่มิ่งบอกน้ำต้น หน้าตาจริงจัง
เดินออกมายังไม่ทันพ้นประตูดี มิ่งก็เอ่ยถามกับต้นด้วยสีหน้าที่แสดงความเป็นห่วงออกมาอย่างไม่ปิดบัง “นนท์เป็นอะไร ต้นรู้หรือเปล่า”
ต้นอึ้งไปเป็นครู่ก่อนจะตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ต้นไม่แน่ใจเหมือนกันครับพี่มิ่ง แต่ท่าทางคงมีเรื่องไม่สบายใจเอามากๆ”
“พี่ฝากดูนนท์หน่อยนะต้น เขาไม่ค่อยมีเพื่อนที่เมืองไทยเท่าไหร่ แล้วเป็นคนไม่ค่อยแสดงความรู้สึก วัยพี่ห่างเขาเยอะ บางทีก็ไม่รู้จะเข้าไปถามยังไงดี พี่อดเป็นห่วงมันไม่ได้ ยังไงก็น้องน่ะนะ”
น้ำต้นยิ้มออกมาในที่สุด “ได้ครับพี่มิ่ง”
“ฝากหน่อย ฝากหน่อย มีกันอยู่แค่นี้แล้ว” พี่มิ่งตบบ่าเขาเบาๆก่อนจะเดินออกไป
การประชุมเลิกไปแล้ว นนท์ยังคงนั่งเหม่อบ้างสลับกับชั่งใจว่าจะจดอะไรลงไปในสมุดจดงานดี เขาไม่มีสมาธิเอาเลยจริงๆ ไม่ควรเลย ปกติแล้วเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว นนท์จะแยกแยะได้ไม่เคยเอามาปนกัน ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องบางเรื่องจะมีผลต่อจิตใจของเขามากถึงเพียงนี้
“พี่นนท์... พี่.. วู้ว...” เสียงของน้ำต้นปลุกนนท์ให้ตื่นจากภวังค์ทันที ก่อนที่จะเห็นว่านักร้องคนดังยืนโบกไม้โบกมืออยู่ตรงประตูราวกับเด็กๆก็ไม่ปาน เรียกร้อยยิ้มน้อยๆให้กับนนท์ได้เป็นครั้งแรกของวันเลยก็ว่าได้
“ครับน้ำต้น” เขาวางปากกา ปิดสมุดลงในที่สุด แล้วก็ค่อยๆถอดแจ๊กเก็ตสีดำออกเมื่อเครื่องปรับอากาศที่เย็นฉ่ำถูกปิดลง
“ค่ำแล้วพี่... ไปกินข้าวกันนะ” น้ำต้นยื่นหน้าแบ๊วเข้ามาใกล้และมองเขาด้วยตากลมใสคู่นั้น เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากจะออกไปกินข้าวหรือไปไหนเลยจริงๆตอนนี้ “นะพี่นะ ต้นยังไม่ได้กินอะไรเลยเหมือนกัน หิวแล้วด้วย เพื่อนจะไปกินข้าวก็ไม่มี” เด็กหนอเด็ก ได้ทีก็อ้อนเอาอ้อนเอา
แล้วคนใจอ่อนอย่างนนท์ก็ตกปากรับคำไปในที่สุด
“เย้... มันต้องอย่างนี้สิพี่ ปาย... ลุกเลย เดี๋ยวนี้เลย... หิวไส้จะขาดอยู่แล้ว” นนท์อดหัวเราะไม่ได้กับท่าทางของน้ำต้นที่เอามือลูบพุงแบนๆป้อยๆ หน้าตาละห้อยเพราะความหิวอย่างไม่ปิดบังกันเลย หมดกัน... นักร้องขวัญใจวัยรุ่นแห่งยุค
“ไปครับ จะกินอะไรคิดเอาไว้รึยัง” นนท์ถามเอาใจขึ้นมาบ้าง
“วันนี้ตามใจพี่นนท์”
“อ้าว ไหงมาตามใจพี่”
“ขอสารภาพ หิวจนคิดไม่ออกแล้ว” น้ำต้นเอาหัวทิ่มผนังห้องเบาๆเหมือนคนที่อับจนหนทางเต็มที แหม... กะอีแค่เลือกร้านอาหารแค่นี้ นนท์ได้แต่ส่ายหน้ากับลีลาของอีกฝ่าย
“ไปกินอาหารญี่ปุ่นร้านข้างๆนี่ไหม พี่เองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน แต่ถ้าหิวแบบนี้พี่ว่าดีกว่าขับรถออกไปตระเวนหาร้านนะ”
“จัดมาพี่!” น้ำต้นทำท่าพยักเพยิดให้นนท์เดินตามออกมา ส่วนตัวเองสะพายเป้เตรียมพร้อมเอาไว้อยู่แล้ว ก่อนที่จะกึ่งเดินกึ่งกระโดดออกไปอย่างเริงร่าเกินเหตุ
น้ำต้นฝ่าด่านแฟนเพลงตรงชั้นล่างของตึกออกมาอย่างไม่ยากเย็นนัก แค่เขาออกปากว่าขอออกไปคุยงานสักพักแล้วเดี๋ยวจะกลับมา แฟนๆก็เปิดทางให้เขาอย่างว่าง่ายแล้ว ก็เพราะไอ้ความใสซื่อนี่แหละ แฟนเพลงทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ถึงได้ติดเขาหนึบชนิดตามไหนตามนั่นกันเลยทีเดียว